• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน นาโนมาชิน 1 ครั้งที่ 4

    บทที่ 3

    เข้าสู่สำนักมาร (3)

     

    พรรคมารประกอบไปด้วยพรรคมากมายนับร้อยพรรค แต่มีเพียงหกพรรคที่กล่าวได้ว่าเป็นเสาหลักของพรรคมาร

    สำนักมารถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกฝนจอมยุทธ์หน้าใหม่ โดยทุกสิบปีจะเป็นช่วงที่เหล่าทายาทท่านประมุขจะเข้ามาอยู่ในสำนักมาร จึงมีการเรียกการฝึกฝนคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักมารช่วงนี้ว่าศึกชิงตำแหน่งรองประมุขพรรคมาร

    ในช่วงที่มีการจัดศึกชิงตำแหน่งรองประมุขพรรคมารถือเป็นโอกาสที่ดีกว่าตอนเข้าสำนักมารในยามปกติ เพราะมีพรรคอื่นๆ มาเข้าร่วมมากมาย อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีจะได้เข้าไปอยู่ใต้อาณัติของรองประมุขซึ่งจะกลายเป็นประมุขพรรคมารคนถัดไป ด้วยเหตุนี้จึงมีเด็กสาวและเด็กหนุ่มจากทุกพรรคในพรรคมารมารวมตัวกัน ซึ่งมีจำนวนถึงเกือบหนึ่งพันคน

    หากเดินผ่านทางเข้าของสำนักมารเข้ามาก็จะพบกับลานฝึกขนาดใหญ่ที่กว้างพอจะรองรับจำนวนคนขนาดนั้นได้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มสาวจำนวนมากที่ยืนอยู่บนลานฝึกใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เพราะมันเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้เห็นโฉมหน้าของท่านประมุข ผู้นำสูงสุดของพรรคในพิธีบรรจุเข้าสำนักมาร หากไม่ใช่พิธีสำคัญหรือวาระพิเศษคนในพรรคทั่วไปก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของท่านประมุขเลย พวกเขาจึงย่อมคาดหวังเป็นธรรมดา

    และตอนนั้นลานฝึกที่เคยเงียบงันก็เริ่มมีเสียงเซ็งแซ่

    “ดูโน่นสิ! ท่านองครักษ์เบื้องซ้ายมาแล้ว”

    “ถ้าท่านองครักษ์เบื้องซ้ายมาแล้ว อีกเดี๋ยวท่านประมุขก็คงมา”

    “นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าจะได้เห็นท่านประมุข!”

    ชายวัยกลางคนผู้มีผมยาวสีแดงเดินไปทางด้านซ้ายของแท่นพิธีหน้าลานฝึกใหญ่ พลางมองบรรดาเด็กหนุ่มสาวแล้วยิ้มหยัน

    ศิษย์รุ่นนี้ไม่มีระเบียบวินัยเอาซะเลย เจ้าพวกโง่ ทั้งๆ ที่นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้าก็ได้

    ชายวัยกลางคนผู้มีผมสีแดงคือ ‘พญาเพลิง’ อีฮวามยอง ผู้เป็นองครักษ์เบื้องซ้ายคนใกล้ชิดของท่านประมุข ประมุขพรรคมารจะมีองครักษ์ทั้งหมดสามคนคอยอารักขา ได้แก่ องครักษ์ใหญ่ องครักษ์เบื้องซ้าย และองครักษ์เบื้องขวา ซึ่งทั้งสามคนจะทำตามคำสั่งของท่านประมุขเท่านั้น โดยองครักษ์ใหญ่จะคอยอารักขาอยู่ข้างๆ ท่านประมุขตลอดเวลา ส่วนองครักษ์เบื้องซ้ายและเบื้องขวาจะคอยรับคำสั่งของท่านประมุขทั้งเรื่องภายในและภายนอก ซึ่งพวกเขาทั้งสามต่างอยู่ในอันดับผู้แข็งแกร่งทั้งสิบของพรรคมาร

    อืม…นั่นคือเหล่าคุณหนูคุณชายของพรรคทั้งหกที่จะมาเข้าร่วมในครั้งนี้สินะ

    สายตาขององครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองเหลือบไปยังกลุ่มเด็กที่ยืนอยู่แถวหน้าสุด

    เมื่อเข้ามาในลานฝึกใหญ่จะมีการมอบป้ายกลมให้กับเด็กหนุ่มสาวทุกคน โดยบนป้ายนั้นจะมีตัวเลขกำกับไว้ ผู้มาเข้าสำนักมารจะได้รับหมายเลขตามลำดับการเข้า ยกเว้นบรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขของพรรคทั้งหก

    เด็กพวกนี้ดูหน่วยก้านดีใช่เล่น

    ในขณะที่เด็กหนุ่มสาวคนอื่นกำลังยืนต่อแถวอยู่ด้านหลัง บรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขจากพรรคทั้งหกกลับยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าสุด พวกเขาดูทะนงตนราวกับว่าตนเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น และด้วยการมีสายเลือดโดยตรงของท่านประมุข พวกเขาจึงได้รับป้ายสีดำตัวเลขสีแดงซึ่งต่างจากคนอื่นที่ได้ป้ายสีขาวตัวเลขสีดำ พวกเขาได้รับหมายเลขตามลำดับของผู้สืบทอดดังนี้

    หมายเลขหนึ่ง ชอนมูยอน พรรคมารทมิฬ

    หมายเลขสอง ชอนคยองอุน พรรคมารกระบี่

    หมายเลขสาม ชอนมูกึม พรรคมารปีศาจ

    หมายเลขสี่ ชอนจงซอม พรรคมารพิษ

    หมายเลขห้า ชอนยูชัน พรรคมารดาบ

    หมายเลขหก ชอนวอนรยอ พรรคมารเสียง

    ถึงบนป้ายจะมีแค่ตัวเลข แต่เพราะพวกเขาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุข อีฮวามยองจึงคุ้นเคยกับชื่อของทุกคนเป็นอย่างดี ในศึกชิงตำแหน่งรองประมุขครั้งก่อนมีผู้ท้าชิงผู้หญิงสองคนจากพรรคมารพิษและพรรคมารดาบ แต่คราวนี้มีผู้ท้าชิงหญิงเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมาจากพรรคมารเสียง ทว่าก็ไม่ได้เป็นที่คาดหวัง เพราะในประวัติศาสตร์ของศึกชิงตำแหน่งรองประมุขพรรคมารมีเพียงครั้งเดียวที่ผู้ท้าชิงผู้หญิงคว้าชัยชนะไปได้

    มาครบกันทุกคนแล้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้านั่นเลย

    อีฮวามยองกวาดตามองไปเรื่อยๆ จากแถวหน้าสุด แต่กลับไม่เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังหา ในบรรดาผู้เข้าสำนักมารในครั้งนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากเหล่าแกนนำของพรรคมารในความหมายอื่น

    อยู่โน่นเอง

    หลังจากกวาดตาไปได้สักพัก ในที่สุดอีฮวามยองก็เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น หากไม่ติดป้ายสีดำก็คงหาไม่เจอ เขาเห็นชอนยออุนกำลังยืนเหม่อลอยอยู่เพียงลำพังใกล้เด็กหนุ่มคนอื่นๆ ตรงช่วงกลางของแถวสุดท้ายที่อยู่บริเวณทางเข้าของสำนักมาร

    ผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขที่เป็นคนนอกพรรคทั้งหก

    ถึงจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขพรรคมาร แต่ชอนยออุนกลับยืนอยู่ข้างหลัง ไม่ได้มายืนอยู่แถวหน้าสุด ท่าทางของเขาดูละล้าละลังเพราะถูกเบียดจากเด็กหนุ่มที่อยู่รอบๆ จนต้องยืนโผล่ออกมาจากแถวเพียงคนเดียว

    เรียกร้องความสนใจด้วยวิธีเช่นนั้นหรือ

    ภาพนั้นช่างน่าขันจนดึงความสนใจได้จริงๆ ซึ่งอีฮวามยองเองก็ถูกดึงความสนใจด้วยเหตุนี้ เท่าที่ได้ยินได้ฟังมาเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ หากเป็นไปตามข่าวลือจริงก็คงจะตกรอบตั้งแต่พิธีเข้าสำนักมารอย่างแน่นอน

     

    คนเยอะจริงๆ

    พอได้ยืนอยู่แถวหลังสุดชอนยออุนก็พอจะคาดเดาถึงจำนวนของเด็กหนุ่มสาวที่มาได้ว่าน่าจะมีถึงพันคน อันที่จริงเขาไม่ได้มาช้าที่สุด แต่เจ้าหน้าที่บอกให้รอเพราะหาป้ายชื่อของเขาไม่เจอ ชอนยออุนจึงต้องรอจนทุกคนเข้าไปในสำนักมารหมดแล้ว

    แต่ถึงจะมีป้ายสีดำเขาก็ไม่อาจไปยืนอยู่บริเวณแถวหน้าสุดได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่านี่เป็นฝีมือของใครบางคนในพรรคทั้งหก แต่เขาเลือกจะไม่ใส่ใจ

    หากต้องปะทะกับคนพวกนั้นตั้งแต่เริ่มคงไม่ดีแน่

    เดิมทีคนพวกนั้นพยายามสังหารเขาตั้งแต่ก่อนเข้ามาในสำนักมาร หากเผชิญหน้ากันจะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน

    วูววว!

    ทันทีที่เสียงเป่าแตรเขาสัตว์ดังก้องไปทั่วลานฝึกใหญ่ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นยิ่งกว่าตอนที่องครักษ์เบื้องซ้ายเดินออกมา นั่นเพราะมีบุคคลปรากฏบนแท่นพิธีที่อยู่หน้าลานฝึกใหญ่

    “ท่านประมุขพรรคมาร!”

    “เฮ!”

    “พรรคมารเทพสวรรค์จงเจริญ!”

    เด็กหนุ่มสาวนับพันคนร้องตะโกนทันทีที่เห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนแท่นพิธี ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมานั่งบนบัลลังก์ เขาสวมเสื้อคลุมยาวที่ทำจากผ้าไหมสีดำและปักตัวอักษรสีแดงว่า ‘ชอน (สวรรค์)’

    เขาคือชอนยูจงประมุขพรรคมารคนปัจจุบัน ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าหนึ่งในห้ายอดฝีมือแห่งยุทธภพ นอกจากตำแหน่งแล้วชอนยูจงยังสะกดใจของผู้คนให้อยู่หมัดด้วยท่าทีที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม

    “ไม่กล้าเงยหน้าเลย”

    พวกเด็กหนุ่มสาวต่างไม่กล้าที่จะสบตาท่านประมุขที่พวกตนเคยปรารถนาอยากเห็น ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ข้างประมุขพรรคมารคือ ‘พญายม’ มาราคยอม องครักษ์ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าองครักษ์ เขาสวมหน้ากากที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในพรรคมารที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา

    “อึก”

    ส่วนคนที่ใส่เสื้อผ้ามอมแมมและเดินโซเซเหมือนคนเมาสุราอยู่ทางขวาของแท่นพิธีก็คือ ‘ดาบคลั่ง’ ซอบแมง ผู้เป็นองครักษ์เบื้องขวา ภายนอกดูเหมือนคนสกปรกซอมซ่อ แต่เขาเป็นถึงหนึ่งในผู้แข็งแกร่งทั้งสิบของพรรคมาร

    “ชิ”

    “มองอะไร”

    ทันทีที่อีฮวามยองมองซอบแมงที่กำลังยืนโซเซพร้อมถือน้ำเต้าสุราด้วยสายตาสมเพช ซอบแมงก็ไม่สบอารมณ์

    และในตอนนั้นเององครักษ์ใหญ่มาราคยอมก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วตะโกนเสียงดัง

    “เงียบ!”

    เสียงตะโกนอันชัดเจนที่ได้ยินแม้จะฟังระยะไกลทำให้ภายในลานฝึกที่เคยเต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวายพลันสงบเงียบทันที

    “ท่านประมุข พร้อมแล้วขอรับ”

    มาราคยอมหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทันทีที่ลานฝึกเงียบประมุขพรรคมารชอนยูจงก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์ เหล่าเด็กหนุ่มสาวพากันกลืนน้ำลายจดจ้องไปที่ท่านประมุขราวกับสงสัยว่าเขากำลังจะพูดอะไร

    “ทุกท่านคือกลุ่มคนที่จะเป็นผู้กำหนดอนาคตของพวกเราหลังเข้าสู่สำนักมาร”

    ท่านประมุขพูดด้วยน้ำเสียงปกติซึ่งต่างจากมาราคยอมโดยสิ้นเชิง แต่ถึงจะไม่ได้ดังไปทั่วลานฝึก แต่เด็กหนุ่มสาวทุกคนต่างก็ได้ยินชัดเจน ทำให้พวกเขาพอจะรับรู้ได้ว่าประมุขพรรคมารชอนยูจงผู้เป็นห้ายอดฝีมือแห่งยุทธภพนั้นมีกำลังภายในที่ล้ำลึกเพียงใด

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่สำนักมาร ขอให้ทุกท่านสั่งสมวรยุทธ์เพื่อกลายเป็นพลังของพรรคมารเราในภายภาคหน้า”

    เขาพูดจบเพียงเท่านี้แล้วหันหลังกลับ จากนั้นองครักษ์ใหญ่มาราคยอมก็พูดว่า

    “เป็นเกียรติมากขอรับ”

    แล้วชอนยูจงก็ลงจากแท่นพิธีและเดินจากไปเงียบๆ โดยมีองครักษ์ใหญ่มาราคยอมคอยคุ้มกัน

    แม้พวกเด็กหนุ่มสาวจะไม่ได้คาดหวังคำกล่าวยืดยาว ทว่าพวกเขาก็อึ้งไปกับคำกล่าวที่สั้นอย่างยิ่งของท่านประมุข แต่หลังจากนั้นเสียงดังอื้ออึงของพวกเขาก็กลับมาอีกครั้ง

    “ขอให้อายุยืนหมื่นปี!”

    ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ชอนยออุนกลับมีสีหน้าแปลกประหลาด เพราะตลอดระยะเวลาสิบห้าปีที่ใช้ชีวิตมาเขาเพิ่งจะได้สบตากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาครั้งแรก ระหว่างกล่าวอยู่บนแท่นพิธีท่านประมุขย่อมเห็นชอนยออุนที่กำลังยืนอยู่แถวหลังสุด แต่สายตานั้นกลับไม่มีทั้งความอบอุ่นและความเย็นชาใดๆ แฝงอยู่เลย

    ข้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว

    ชอนยูจงไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลยสักครั้งแม้กระทั่งตอนที่ฮูหยินฮวาสิ้นลม หากไม่คาดหวังก็ย่อมไม่ผิดหวัง

    ทันทีที่อีฮวามยองออกมายืนที่หน้าแท่นพิธีแทน บรรยากาศในลานฝึกก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง

    “ท่านประมุขกล่าวต้อนรับจบแล้ว ตอนนี้เราจะเริ่มกันเลย”

    จ้อกแจ้กๆ

    “ยืนกันตรงๆ ไม่ได้รึ!”

    เสียงขององครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองที่ดังทะลุแก้วหูทำให้เสียงพูดคุยพลันเงียบลงทันใด เขามีนิสัยเด็ดขาดและหงุดหงิดง่ายแตกต่างจากรูปลักษณ์ที่สง่างามโดยสิ้นเชิง

    “ข้าจะอธิบายง่ายๆ ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”

    สิ่งที่อีฮวามยองกำลังจะอธิบายให้ฟังก็คือระเบียบของสำนักมาร

    “สำนักมารจะให้เวลาทั้งหมดสี่ปีโดยมีการทดสอบทั้งหมดหกขั้น”

    เรื่องที่สำนักมารให้เวลาสี่ปีนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ในบรรดาพรรคทั่วไปและพรรคขนาดกลางนั้นยังมีเด็กหนุ่มสาวบางคนที่บิดามารดาหรืออาจารย์ไม่เคยเข้าสำนักมาร ดังนั้นจึงต้องตั้งใจฟังเรื่องการทดสอบที่องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองจะอธิบาย

    “พวกเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบทั้งหกขั้นตามลำดับ ซึ่งการท้าทายจะมีโอกาสเดียวเท่านั้น”

    จ้อกแจ้กๆ

    คำว่าการท้าทายจะมีโอกาสเดียวทำให้พวกเด็กๆ พากันว้าวุ่น เพราะนั่นหมายความว่าหากไม่ผ่านเพียงครั้งเดียวจะตกรอบทันที

    “เข้าใจที่ข้าพูดกันสินะ คนที่ทดสอบไม่ผ่านจะถูกขับออกจากที่นี่”

    โอกาสที่จะขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุดมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาจจะดูไร้ปรานีไปสักหน่อย แต่ก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อให้เกิดการแข่งขันการพัฒนาอย่างดุเดือด

    ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มหน้าตาดีผู้มีอายุประมาณสิบเจ็ดปีและมีบุคลิกราวคุณชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดบริเวณด้านล่างของแท่นพิธีก็ยกมือพร้อมพูดว่า

    “ข้ามีคำถามขอรับ”

    เด็กหนุ่มผู้มีป้ายสีดำที่ปักตัวเลขสองผู้นี้คือชอนคยองอุนแห่งพรรคมารกระบี่ผู้อยู่ในลำดับสองของศึกชิงตำแหน่งรองประมุข สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและกล้าถามแทรกขึ้นกลางคันขณะที่การอธิบายยังไม่จบ

    ทว่า…

    “ใครสั่งให้เจ้าถาม”

    “ขอรับ?”

    คิ้วบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชอนคยองอุนแห่งพรรคมารกระบี่ขมวดเข้าหากันในทันที ด้วยเพราะมีสายเลือดของท่านประมุข เขาจึงได้รับการเคารพนบนอบจากทุกคนในพรรคมารมาโดยตลอด พอถูกเรียกว่า ‘เจ้า’ เขาก็ถึงกับชะงักไปในทันที

    “โอ้ ดูเหมือนจะไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเจ้า อยากสอบตกก่อนเริ่มศึกชิงตำแหน่งงั้นรึ”

    คำพูดอันเด็ดขาดขององครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองทำให้ชอนคยองอุนไม่อาจพูดอะไรออกไปได้อีกและทำได้เพียงเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ในใจ เพราะเขาเพิ่งนึกได้ถึงสิ่งที่เคยลืมไป

    ก่อนเข้าสำนักมารหนึ่งวัน องครักษ์ของเขาเคยเตือนเอาไว้ว่า

    ‘ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่สำนักมาร อภิสิทธิ์ทั้งหมดของการเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านประมุขหรือคนของหกพรรคจะหมดไปทันที และไม่ว่าผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักมารในครั้งนี้จะเป็นใครก็อย่าได้ทำให้เขาผู้นั้นขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาดนะขอรับ’

    แม้เขาจะไม่ได้ล่วงเกินใหญ่โต แต่ดูเหมือนเรื่องไม่ดีจะมาเยือนถึงตรงหน้าแล้ว เพราะคนที่ไม่พอใจคือปีศาจร้ายที่เป็นทั้งองครักษ์ของท่านประมุขและเป็นหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งของพรรคมาร การไปทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองโดยไม่จำเป็นรังแต่จะนำความเสียหายมา

    “ขออภัยขอรับ”

    ใบหน้าของผู้สืบทอดจากอีกห้าพรรคซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ชอนคยองอุนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ

     

     

    บทที่ 4

    การทดสอบขั้นที่หนึ่งง่ายดายนัก (1)

     

    เพราะชอนคยองอุนอวดดีและไร้มารยาทจนถูกหักหน้าให้เสื่อมเสียเกียรติ ภายในลานฝึกจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง

    ซึ่งนั่นยิ่งตอกย้ำคำพูดที่ว่าหลังจากเข้าสู่สำนักมารแล้วทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขันช่วงชิงอย่างดุเดือดเสมือนปลาใหญ่กินปลาเล็ก

    องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองกลับมาพูดต่อ

    “นี่คงจะเป็นคำถามที่เจ้าสงสัยสินะ ทุกคนอาจคิดว่าการทดสอบทั้งหกขั้นของสำนักมารนั้นโอกาสแค่ครั้งเดียวมันน้อยเกินไป แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบไปสู่ขั้นต่อไปจะได้รับสิทธิประโยชน์สามประการ”

    คำว่าสิทธิประโยชน์ทำให้สายตาของพวกเด็กหนุ่มสาวเป็นประกาย เพราะยิ่งอยู่ในสำนักมารนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและได้รับสถานะที่สูงขึ้นด้วย

    “สิทธิประโยชน์ประการแรกคือโอสถอายุวัฒนะ พวกเจ้าจะได้รับยาวิเศษที่มีชื่อว่าโอสถมังกรมารซึ่งสกัดมาจากวัตถุดิบต่างๆ มากมาย อย่างเช่นน้ำจากหินในถ้ำลึกหรือของวิเศษอื่นๆ ในพรรคมารของเรา ทุกครั้งที่ผ่านการทดสอบหนึ่งขั้นก็จะได้รับโอสถมังกรมารหนึ่งเม็ด”

    โอสถมังกรมารเป็นยาวิเศษที่พรรคมารสกัดขึ้นตามที่อีฮวามยองกล่าว มันอาจไม่ดีเท่าโอสถอายุวัฒนะของวัดเส้าหลิน แต่ก็มีประสิทธิภาพดีกว่าโอสถอายุวัฒนะทั่วไป เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะดูดซับพลังจากยานี้และจะได้รับกำลังภายในยี่สิบปี ซึ่งคนที่ผ่านการทดสอบทั้งหกขั้นจะได้กินยาวิเศษนี้ถึงหกเม็ด หากคำนวณคร่าวๆ คนคนนั้นก็จะมีกำลังภายในรวมกันถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี ซึ่งทำให้กลายเป็นยอดฝีมือระดับเลิศล้ำได้เลย

    ดูจากการที่เหล่าผู้แข็งแกร่งในร้อยอันดับแรกของพรรคมารที่ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับเลิศล้ำขึ้นไป กล่าวได้ว่ามันเป็นสิทธิที่มีประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ยาวิเศษนี้เมื่อกินไปแล้วครั้งหนึ่งร่างกายจะเกิดการดื้อยาขึ้น ทำให้การกินครั้งต่อไปยากจะมีประสิทธิผลเท่าเดิม ด้วยสรรพคุณของมันที่อาจช่วยเพิ่มกำลังภายในได้ถึงยี่สิบปี ยานี้จึงถูกแจกจ่ายให้เหล่ายอดฝีมือที่มีตำแหน่งสูงภายในพรรคมาร ส่วนพวกระดับล่างจะไม่ได้รับ

    หกขั้นรึ

    สายตาของชอนยออุนเต็มไปด้วยความสนใจ เพราะตอนนี้เขายังไม่มีกำลังภายใน หากผ่านการทดสอบทั้งหกขั้นไปได้ก็จะเป็นโอกาสสร้างกำลังภายในขึ้นในเวลาอันสั้นผ่านยาวิเศษดังกล่าว

    “สิทธิประโยชน์ประการที่สองคือตำราเคล็ดวิชา หากพวกเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่คุ้นเคยกับวรยุทธ์ก็คงจะรู้ถึงความสำคัญของเคล็ดวิชา”

    เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักมาร เพราะสำนักมารแห่งนี้คือสถานที่รวบรวมตำราเคล็ดวิชาทั้งหมดของพรรคมารเอาไว้ จึงถือเป็นขุมสมบัติที่มีแม้แต่ตำราวิชาวรยุทธ์ของพรรคเสาหลักทั้งหก

    ตำราเคล็ดวิชา!

    สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชอนยออุนในตอนนี้อาจจะเป็นวรยุทธ์มากกว่ากำลังภายใน ถึงแม้เขาจะเรียนรู้เคล็ดวิชากระบี่สั้นได้ด้วยพลังของนาโนแมชชีน แต่การจะอยู่รอดในสำนักมารจำเป็นต้องมีวรยุทธ์ที่กล้าแกร่งกว่านี้

    “หอตำราเคล็ดวิชาของสำนักมารมีทั้งหมดห้าชั้น ระดับของตำราวรยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับโดยไล่ตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นห้า หอตำราจะถูกเปิดหนึ่งชั้นเมื่อผ่านการสอบหนึ่งขั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าจะเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด”

    และในชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นบนสุดนั้นไม่เพียงมีตำราเคล็ดวิชาของพรรคมารเท่านั้น แต่ยังมีตำราเคล็ดวิชาขั้นเทพอื่นๆ ของยุทธภพอยู่ หากใครได้เรียนวรยุทธ์ขั้นเทพเหล่านั้นก็ย่อมพัฒนากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วยุทธภพได้

    “อืม…แต่สำหรับพวกเจ้าต่อให้ตายแล้วฟื้นก็ไม่มีทางขึ้นไปถึงชั้นห้าได้หรอก จงตื่นจากฝันซะ”

    องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองพูดให้ความหวังและทำลายความหวังในคราวเดียว แต่ถึงกระนั้นสิทธิประโยชน์ข้อสองก็ยิ่งใหญ่พอที่จะปลุกเร้าความทะเยอทะยานของทุกคนได้

    “เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาสนุกแล้ว สิทธิประโยชน์ประการที่สามก็คือคนที่ยังไม่มีลำดับและตำแหน่งในพรรคมารก็จะได้รับสิ่งเหล่านั้น”

    จ้อกแจ้กๆ

    คำว่าลำดับและตำแหน่งทำให้เสียงเอะอะดังยิ่งกว่าเดิม พรรคมารตัดสินทุกสิ่งตามผลการแข่งขันเอาตัวรอดของแต่ละคนซึ่งต่างกับในฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม เด็กหนุ่มสาวของทุกพรรคในพรรคมารจะอยู่ในสถานะไร้ตำแหน่งใดๆ จนกว่าจะเข้าสำนักมาร ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานะที่ได้รับการปกป้องอย่างหนึ่ง

    เป็นเช่นนั้นเอง

    ชอนยออุนเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ทุกคนเข้าสำนักมาร นั่นเป็นเพราะทันทีที่เข้าสำนักมาร พวกเขาก็จะเข้าสู่ห่วงโซ่ที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กของพรรคมาร ไม่ใช่เด็กหนุ่มสาวที่ถูกปกป้องอีกต่อไป

    แม้พรรคมารจะเป็นพรรคที่ไม่สุงสิงกับฝ่ายใด แต่ที่นี่ก็มีเคล็ดวิชาอันทรงพลังอำนาจจนเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของยุทธภพ

    “ผ่านขั้นที่หนึ่งจะได้เป็นนักรบระดับล่าง ผ่านขั้นที่สองจะได้เป็นนักรบระดับกลาง ผ่านขั้นที่สามจะได้เป็นนักรบระดับสูง ลูกหลานจากตระกูลนักรบทั่วไปคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าลูกหลานจากพรรคต่างๆ ได้เป็นแค่นักรบระดับสูงกลางล่างคงจะขายหน้ามากทีเดียว”

    นอกจากจัดพิธีเข้าสำนักทุกสิบปีแล้ว สำนักมารยังมีการทดสอบและฝึกฝนนักรบระดับสูงกลางล่างทุกห้าปีอีกด้วย ดังนั้นนอกจากลูกหลานของพรรคต่างๆ แล้วก็ยังมีลูกหลานจากตระกูลนักรบทั่วไปมาเข้าร่วมด้วย

    “นี่! ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มจากตระกูลนักรบทั่วไปที่หมายมั่นจะเป็นนักรบระดับสูงกลางล่าง แต่ถ้าสอบผ่านจนถึงขั้นที่สองก็จะได้โอสถมังกรมารไปครอบครอง ฉะนั้นจงทุ่มเทให้มากล่ะ!”

    ตามคำพูดของอีฮวามยองก็คือเด็กหนุ่มจากตระกูลนักรบที่สมัครเข้ามาทดสอบเป็นนักรบระดับสูงกลางล่างก็จะมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้ในศึกครั้งนี้ด้วย หากได้โอสถมังกรมารมาครอบครองก็เรียกได้ว่าเป็นโชคสองชั้น โดยนักรบในพรรคมารแบ่งออกเป็นสามระดับพลังยุทธ์ที่แตกต่างกัน นั่นคือนักรบระดับล่างมีพลังยุทธ์ระดับสาม นักรบระดับกลางมีพลังยุทธ์ระดับสอง และสุดท้ายคือนักรบระดับสูงมีพลังยุทธ์ระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จำนวนนักรบระดับสูงในพรรคมารจึงมีไม่มากนัก

    “ผ่านขั้นสี่ก็จะได้รับตำแหน่งหัวหน้ากอง ผ่านขั้นห้าจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าทัพ และสุดท้ายคือขั้นหกซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน ข้าขอข้ามไปเลยก็แล้วกัน”

    การที่อีฮวามยองกล่าวเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน เพราะการทดสอบขั้นหกให้ผ่านนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในรุ่นที่ผ่านๆ มาคนที่ผ่านการทดสอบขั้นหกในสำนักมารก็ยังมีไม่ถึงสิบคน

    อีฮวามยองไม่ได้คาดหวังมากนักเพราะที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด

    “หากสอบผ่านแล้วก็จะได้รับตำแหน่งในทันที แม้จะยังอยู่ในสำนักมารก็ตาม ตอนแรกทุกคนอาจจะเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กใหม่เหมือนกันหมด แต่ตอนจบพวกเจ้าอาจเป็นผู้บังคับบัญชาหรือข้ารับใช้ก็ได้”

    นี่คือสาระสำคัญแท้จริงที่อธิบายถึงสำนักมาร หากตะเกียกตะกายขึ้นไปข้างบนไม่ได้ก็จะถูกคัดออก ที่ผ่านมาชอนยออุนจะใช้แผนชั่วร้ายเฉพาะตอนที่ต้องเอาชีวิตรอดเท่านั้น พอได้ยินคำนี้ดวงตาของเขาก็เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด หากการรักษาลมหายใจที่ผ่านมาคือการอยู่รอด การต่อสู้เพื่อขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดในเวลานี้ก็คือการอยู่รอดไม่ต่างกัน

    “อย่าดีใจไปเลย คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็จะไม่มีทางขึ้นไปได้เกินขั้นสามหรอก”

    อีฮวามยองมองเด็กหนุ่มสาวตรงหน้าแล้วยิ้มเยาะราวกับล่วงรู้ทุกอย่างล่วงหน้าอยู่แล้ว

    “ข้าขอจบการอธิบายคร่าวๆ เพียงเท่านี้ จากนี้ไปจะเป็นการทดสอบขั้นที่หนึ่งเพื่อจัดกลุ่มและจัดที่พัก”

    ความงงงันปรากฏบนใบหน้าของพวกเด็กหนุ่มสาวทันทีที่ได้ยินการแจ้งอย่างกะทันหันว่าการทดสอบขั้นที่หนึ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งที่ตลอดการฟังคำอธิบายพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและฮึกเหิมที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แต่ไม่มีใครคิดถึงว่าการทดสอบขั้นที่หนึ่งจะเริ่มขึ้นในวันแรกที่มีพิธีเข้าสำนักมาร

    “ตามที่ข้าบอกไปตั้งแต่ต้น หากไม่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งก็ต้องออกจากสำนักมาร เพราะคนเช่นนั้นไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นนักรบระดับล่าง”

    คำพูดอันเย็นชาทำให้เด็กหนุ่มสาวมากกว่าครึ่งมีใบหน้าซีดเผือด เพราะพวกเขาคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้เรียนอะไรก่อนแล้วค่อยเริ่มการทดสอบ แต่กลับกลายเป็นว่าจะคัดคนที่ไร้ฝีมือออกตั้งแต่เริ่ม

    ชอนยออุนเองก็งุนงงไม่แพ้กัน

    อะไรกัน จะทดสอบขั้นที่หนึ่งเลยรึ

    หากต้องทดสอบขั้นที่หนึ่งในสภาพที่ไม่มีแม้แต่กำลังภายในเช่นนี้ โอกาสจะถูกคัดออกย่อมมีมากอย่างแน่นอน เรียกได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยกับเขาโดยสิ้นเชิง หากเป็นเช่นนี้เขาคงต้องภาวนาให้การทดสอบขั้นที่หนึ่งนั้นแสนง่ายหรือไม่ก็ไม่ต้องใช้กำลังภายใน เขาถึงจะผ่านไปได้

    และในที่สุดอีฮวามยองก็ประกาศการทดสอบขั้นที่หนึ่งอย่างเป็นทางการต่อหน้าทุกคน

    “ขั้นที่หนึ่งคือการทดสอบที่ดูทักษะพื้นฐาน การจะเป็นนักรบของพรรคมารเราได้ อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังภายในพื้นฐาน”

    ชอนยออุนที่กำลังภาวนาอย่างมุ่งมั่นถึงกับหน้าเสียในทันที ดูท่าเขาต้องเผชิญกับเรื่องนี้เสียแล้ว การทดสอบขั้นที่หนึ่งคงเป็นการทดสอบเพื่อคัดคนที่ไม่มีกำลังภายในออกไป

    “คนที่ไม่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งจะถูกกำหนดให้ไปทำงานทั่วไปในพรรคมารอย่างการเกษตร การค้า หรืองานรับใช้ ดังนั้นพวกเจ้าจงเตรียมพร้อมให้ดี พรรคมารของเราต้องการคนทำงานชั้นต่ำเช่นนั้นจำนวนมากซะด้วยสิ”

    อีฮวามยองพูดเชิงขบขันเพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ต่อให้เป็นการพูดขบขันแค่ไหน ชอนยออุนก็รู้สึกใจคอไม่ดี

    เฮ้อ…น่าหงุดหงิดชะมัด

    เขาโกรธมาก แม้เขาจะเคยคิดว่าตัวเองอาจไม่ดีพอที่จะอยู่ในสำนักมาร แต่การทดสอบกำลังภายในในวันแรกของการเข้าสำนักเช่นนี้เหมือนเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเขา

    ที่ไม่ให้ข้าฝึกกำลังภายในก็เพราะอย่างนี้สินะ

    ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮูหยินทั้งหกพรรคจึงกีดกันไม่ให้เขาฝึกกำลังภายใน เพราะหากทดสอบกำลังภายในผ่านก็จะเข้าสู่สำนักมารได้ แต่หากไม่ผ่านก็จะถูกขับออกทันที เขาจะไม่เป็นที่ยอมรับไม่ว่าจะในตำแหน่งใดๆ และกลายเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานะต่ำสุดของพรรคมาร และหากเป็นเช่นนั้นบรรดาฮูหยินของทั้งหกพรรคที่เคยพยายามลอบสังหารเขาจนถึงตอนนี้ก็จะลงมือสังหารเขาได้อย่างเปิดเผย

    หึ!

    ใบหน้าของชอนมูกึมผู้สืบทอดแห่งพรรคมารปีศาจซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดพลันอิ่มเอมด้วยความพึงพอใจ เพราะเขารู้ถึงความรู้สึกของชอนยออุนเป็นอย่างดี

    ข้าอยากจะฆ่ามันด้วยมือตัวเอง แต่…หึๆ ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของใคร แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว

    แผนกีดกันไม่ให้ชอนยออุนฝึกกำลังภายในไม่ใช่ฝีมือของพรรคมารปีศาจ ชอนมูกึมรู้เพียงว่ามันคือแผนที่นำโดยฮูหยินคนใดคนหนึ่งในพรรคทั้งหก แต่ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นแผนเพื่อจุดประสงค์นี้

    และตอนนั้นเองสตรีวัยกลางคนผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ก็เดินขึ้นมาบนแท่นพิธีพร้อมพิณ องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองผายมือไปทางนางแล้วพูดว่า

    “ท่านฮังโซยู ผู้นำพรรคมารเสียงและผู้อาวุโสลำดับห้าของพรรคมารจะรับหน้าที่ดูแลการทดสอบขั้นที่หนึ่งในครั้งนี้”

    เด็กสาวหน้าตางดงามผู้แต่งกายหรูหราด้วยชุดผ้าไหมสีแดงและยืนอยู่ท้ายแถวหน้าสุดกำลังยิ้มที่มุมปาก นางคือชอนวอนรยอแห่งพรรคมารเสียงที่เป็นผู้สืบทอดลำดับหก

    ความจริงแล้วคนจากพรรคทั้งหกห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกการทดสอบในสำนักมารโดยเด็ดขาด แต่มีเพียงการทดสอบเดียวเท่านั้นที่จะยื่นมือเข้ามาได้ นั่นก็คือการทดสอบขั้นที่หนึ่ง

    ปกติแล้วพวกเด็กหนุ่มสาวจะต้องโห่ร้องอย่างดีใจที่ได้เห็นบุคคลที่ยากจะได้พบอย่างประมุขพรรคมารและผู้อาวุโส แต่พอได้รู้ว่าบุคคลนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดสอบขั้นที่หนึ่ง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย

    เป็นการทดสอบอะไรกันนะถึงได้ให้ผู้อาวุโสห้ามาดูแลเช่นนี้

    เสียงอื้ออึงที่ดังขึ้นทำให้อีฮวามยองแย้มยิ้ม

    “การทดสอบครั้งนี้ง่ายดายนัก แต่หากไม่ผ่านการทดสอบพวกเจ้าก็จะไม่ได้ขึ้นเป็นนักรบระดับล่างไปชั่วชีวิต”

    สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นผู้อาวุโสห้าฮังโซยูก็นั่งลงบนเก้าอี้อยู่บนแท่นพิธีแล้วตั้งท่าเตรียมดีดพิณ ทันใดนั้นคนที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วก็รีบยกมือขึ้นมาปิดหู

    “อะไรกัน หากท่านผู้อาวุโสห้าบรรเลงเพลงพิณพิฆาต เด็กอย่างพวกเจ้าย่อมไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน แต่ท่านผู้อาวุโสห้าจะปรับและบรรเลงเพื่อให้เหมาะกับพวกเจ้า ดังนั้นอย่ากังวลไปเลย และใครที่ดวงดีมีความอดกลั้นก็อาจจะทนได้ต่อให้ไม่มีกำลังภายในก็ตาม หึๆ”

    อีฮวามยองพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจงใจพูดกับชอนยออุนเสียมากกว่า เพลงพิณพิฆาตที่แฝงไปด้วยกำลังภายในไม่ใช่สิ่งที่เอาชนะได้ด้วยความอดทน ชอนยออุนกัดริมฝีปากแน่น

    ให้ตายสิ

    การทดสอบในขั้นนี้คือการอดทนต่อเสียงพิณพิฆาต มันเป็นวิธีเดียวที่จะคัดกรองคนไร้ประสิทธิภาพออกจากคนนับพันโดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก

    “หากมีกำลังภายในน้อยที่สุดคงทนได้เพียงหนึ่งเค่อ* เท่านั้น” ผู้อาวุโสห้าฮังโซยูที่ปิดปากเงียบมาตลอดเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะสมกับที่เป็นผู้นำพรรคมารเสียง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังปิดหูจึงไม่ได้ยิน

    “ผู้ใดที่ทนต่อเสียงพิณพิฆาตได้โดยไม่หมดสติเป็นระยะเวลาหนึ่งเค่อ ผู้นั้นจะผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่ง! เริ่ม!”

    ทันทีที่องครักษ์เบื้องซ้ายอีฮวามยองพูดจบ เล็บของนิ้วอันเรียวยาวของผู้อาวุโสห้าฮังโซยูก็เริ่มดีดสายพิณ

    ติ๊งงงงง! ติ๊ง! ติ๊ง!

    เริ่มดีดไปได้เพียงนิดเดียวเสียงพิณอันไพเราะก็ดังก้องไปทั่วลานฝึก แต่เสียงนั้นใช่ว่าจะเป็นเสียงที่ไพเราะเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มบรรเลงเป็นเพลงแม้แต่ท่อนเดียว แต่เด็กหนุ่มสาวหลายสิบคนที่ยืนอยู่แถวกลางก็พากันล้มลงไปในสภาพปิดหูและน้ำลายฟูมปาก

    “โอ๊ยยย!”

    “ปิดหูแล้วก็ยังได้ยิน!”

    ตึง!

    นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ทุกครั้งที่ดีดพิณแก้วหูก็จะสั่น หัวใจก็จะสะเทือน บางคนถึงกับยกมือขึ้นกุมหน้าอกและล้มพับลงไป

    หากต้องการเพลิดเพลินหรือทนเสียงพิณพิฆาตระดับนี้ให้ได้จะต้องมีกำลังภายในมากกว่ายี่สิบปี หากไม่ใช่ลูกหลานจากพรรคชั้นสูงหรือผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประมุขจากพรรคทั้งหกที่มีกำลังภายในล้นเหลือเพราะมีโอกาสได้กินโอสถอายุวัฒนะมากมายหลายขนานและได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กทั่วไปย่อมไม่อาจทานทนได้เลย

    ปวดหูกันสินะ หึๆ อีกไม่นานพวกเจ้าจะได้ลงไปนอนกองกับพื้น

    ความเพลิดเพลินปรากฏบนใบหน้าของชอนมูกึมผู้สืบทอดแห่งพรรคมารปีศาจ แต่หลังจากนี้เรื่องกลับดำเนินไปในทิศทางอันแตกต่างจากที่ทุกคนคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

    หือ? มีอะไรแปลกๆ นะ

    นิ้วของฮังโซยูที่เคยดีดสายพิณเบาๆ ในช่วงแรกกลับเร่งดีดให้เร็วขึ้น หากมองสีหน้าของนางก็พอจะเดาได้ว่ากำลังอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะชอนยออุนเพียงคนเดียว

    เพราะเหตุใดกัน เจ้านั่นไม่ล้มได้อย่างไร

    ชอนยออุนผู้ที่นางเคยคิดว่าจะต้องล้มเป็นคนแรกเพราะไม่มีกำลังภายในกลับยืนนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะนาโนแมชชีนที่อยู่ในสมองของชอนยออุนได้เปิดการทำงานโหมดป้องกันฉุกเฉินทันทีที่นางบรรเลงเพลงจนเกิดคลื่นเสียงแผ่ไปทั่วลานฝึกใหญ่

    [เกิดคลื่นความถี่ต่ำและคลื่นความถี่สูงจากคลื่นเสียงที่ออกมาจากการบรรเลงพิณ ค้นพบข้อกังวลที่อาจสร้างความเสียหายให้กับแก้วหูและร่างกายของผู้ใช้งาน ปรับเป็นโหมดป้องกันเหตุฉุกเฉินทันที ปิดกั้นคลื่นเสียงที่จะเข้ามาในแก้วหูและร่างกาย]

    ปกติแล้วนาโนแมชชีนจะดำเนินโปรแกรมตามคำสั่งของผู้ใช้งาน แต่เมื่อตรวจพบอันตรายที่ส่งผลต่อร่างกายของผู้ใช้งาน โปรแกรมป้องกันตัวก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ

    เสียงที่จู่โจมมานี้แฝงไปด้วยกำลังภายใน แต่เมื่อปิดกั้นเสียงด้วยโหมดป้องกันคลื่นความถี่ เสียงพิณพิฆาตจึงไม่อาจเข้าสู่หูของชอนยออุนได้

    อะไรกัน

    ตอนที่พิณเริ่มดีดในหัวของชอนยออุนมีแต่เสียงของนาโนแมชชีนและหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มสาวนับพันคนตรงหน้าที่พากันล้มพับไปเกินกว่าครึ่ง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook