• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1 บทที่ 1 – 8

    บทที่ 1 เริ่มชีวิตเจ้าชายตั้งแต่วันนี้

     

    เฉิงเหยียนรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเรียกเขา
    “ฝ่าบาท ตื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
    เขาหันหน้าไปอีกทาง ทว่าเสียงนั้นไม่เพียงไม่หายไป ซ้ำกลับจะดังขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกเหมือนมีคนยื่นมือมาดึงแขนเสื้อเบาๆ
    “ฝ่าบาท…เจ้าชาย!”
    เฉิงเหยียนลืมตาขึ้นทันใด หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุ้นเคยหายไป โต๊ะทำงานหายไป กำแพงที่แปะกระดาษโน้ตจนเกลื่อนก็หายไปเช่นกัน สิ่งเหล่านั้นถูกแทนด้วยภาพที่ไม่คุ้นตา…อาคารบ้านเรือนขนาดย่อมสร้างจากอิฐและหิน ลานเมืองรูปวงกลมคลาคล่ำไปด้วยผู้คน กลางลานมีแท่นแขวนคอนักโทษหน้าตาคล้ายกรอบประตูตั้งอยู่ เขานั่งอยู่บนเวทีสูงตรงข้ามกับลาน ใต้ก้นไม่ใช่เก้าอี้หมุนนุ่มๆ ทว่าเป็นเก้าอี้เหล็กแข็งๆ รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คน ดวงตาแต่ละคู่กำลังจับจ้องมองเขาไม่วางตา พวกผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนสตรีชั้นสูงชาวตะวันตกในยุคกลางกำลังปิดปากแอบหัวเราะเขา
    นี่มันบ้าอะไรกัน ฉันไม่ได้กำลังปั่นงานเขียนแบบอยู่เหรอ เฉิงเหยียนงงไปหมด การโหมงานหนักติดกันสามวันทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาย่ำแย่จนถึงขีดสุด จำได้แค่ว่าสุดท้ายร่างกายเหมือนจะรับไม่ไหว หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ เขานึกอยากจะฟุบหลับกับโต๊ะสักครู่…
    “ฝ่าบาท ทรงประกาศคำตัดสินเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
    คนพูดก็คือชายที่แอบดึงแขนเสื้อเขาคนนั้น ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุประมาณห้าสิบหกสิบได้ ชายคนนั้นสวมชุดขาว มองเผินๆ คล้ายแกนดัล์ฟในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริง
    นี่ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ เฉิงเหยียนเลียริมฝีปากที่แห้งผาก แล้วตัดสิน…ตัดสินอะไร
    แล้วเขาก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว ฝูงชนในลานเมืองกำลังมองไปยังแท่นแขวนคอพลางชูกำปั้นส่งเสียงโหวกเหวก ซ้ำยังเขวี้ยงหินไปทางนั้นเป็นครั้งคราว
    เฉิงเหยียนเคยเห็นเครื่องประหารยุคโบราณแบบนี้จากทางโทรทัศน์…เสาสองต้นสูงประมาณสี่เมตร บริเวณหัวเสามีคานพาดเชื่อมต่อกัน ตรงกลางคานฝังห่วงเหล็กที่ขึ้นสนิมเป็นดวงๆ เชือกป่านเส้นหนาสีออกเหลืองลอดผ่านห่วงเหล็ก ปลายเชือกด้านหนึ่งยึดอยู่กับคาน ส่วนอีกด้านรัดอยู่ที่คอนักโทษ
    ในฝันประหลาดครั้งนี้ เฉิงเหยียนพบว่าตัวเองสายตาดีจนน่าตกใจ ปกติหากไม่ใส่แว่น เขาจะมองตัวหนังสือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ชัด แต่เวลานี้เขากลับมองเห็นทุกรายละเอียดบนแท่นแขวนคอซึ่งอยู่ไกลเกินห้าสิบเมตรได้อย่างชัดเจน
    นักโทษคนนั้นถูกคลุมศีรษะ มือทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง สวมชุดหยาบๆ สีเทาดูสกปรกราวกับผ้าขี้ริ้ว รูปร่างผอมแห้ง ข้อเท้าที่โผล่ออกมาบอบบางราวกับจะใช้มือหักได้ บริเวณหน้าอกนูนขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง เธอยืนตัวสั่นระริกอยู่ท่ามกลางสายลม แต่ยังคงพยายามยืดตัวตรงเต็มที่
    เอาล่ะ เธอไปทำความผิดอะไรมา ผู้คนมากมายเหล่านี้ถึงได้เคียดแค้นชิงชังจนอยากเห็นเธอถูกแขวนคอต่อหน้า
    พอคิดถึงตรงนี้ความทรงจำในสมองเฉิงเหยียนก็ถูกเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่าง คำตอบพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าในทันที
    เธอเป็น ‘แม่มด’
    เธอถูกปีศาจล่อลวงจนหลงผิด เป็นร่างจำแลงของสิ่งไม่บริสุทธิ์
    “ฝ่าบาท” แกนดัล์ฟเอ่ยเร่งอย่างระมัดระวัง
    เขาเหลือบมองอีกฝ่าย อ้อ ที่แท้ก็ไม่ได้ชื่อแกนดัล์ฟ แต่ชื่อบารอฟ ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังที่ถูกส่งมาเพื่อช่วยเขาบริหารบ้านเมือง
    และตัวเขาก็คือโรแลนด์ เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิลซึ่งถูกส่งมาปกครองเมืองชายแดนแห่งนี้ ประชาชนของเมืองจับแม่มดได้จึงรีบคุมตัวมายังสถานีตำรวจ…ไม่สิ ต้องเรียกว่าศาลถึงจะถูก โดยปกติมุขนายก* หรือลอร์ดเจ้าของที่ดินจะเป็นคนสั่งประหารชีวิตแม่มด แต่ในเมื่อเวลานี้เขาเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด การออกคำสั่งนี้จึงกลายเป็นหน้าที่เขาไปโดยปริยาย
    เพียงแค่คิดความทรงจำในสมองก็ตอบข้อสงสัยของเขาทีละข้อโดยไม่จำเป็นต้องเลือกขึ้นมาอ่าน ราวกับว่าเขาเคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาแล้วจริงๆ เฉิงเหยียนสับสนไปหมด ฝันอะไรจะลงลึกถึงรายละเอียดขนาดนี้ ดังนั้นนี่คงไม่ใช่ฝันแน่ๆ เขาย้อนเวลามาสู่ยุคมืดของยุโรปและอยู่ในร่างของโรแลนด์ เปลี่ยนจากวิศวกรออกแบบเครื่องกลที่ปั่นงานข้ามวันข้ามคืนมาเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่ผู้สูงศักดิ์อย่างนั้นหรือ
    ต่อให้ดินแดนแห่งนี้จะดูแร้นแค้นและล้าหลังมาก แต่เขาก็ไม่เคยเห็นชื่ออาณาจักรเกรย์คาสเซิลปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์มาก่อน
    แล้วอย่างนี้เขาควรทำอย่างไรต่อดี
    พวกปรากฏการณ์แหกกฎวิทยาศาสตร์อย่างการย้อนเวลาเอาไว้ค่อยไปหาคำตอบทีหลังก็ได้ ตอนนี้เขาควรรีบหยุดความโกลาหลตรงหน้านี้เสียก่อน…การกล่าวหาว่าใครบางคนเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติหรือความอัปมงคลถือเป็นเรื่องปกติของสังคมที่ยังไม่พัฒนา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องยอมสั่งแขวนคอคนเพื่อสนองความต้องการด้านมืดของฝูงชน เรื่องโง่เง่าแบบนั้นเฉิงเหยียนไม่เอาด้วยหรอก
    เขาคว้าหนังสือคำสั่งจากมือบารอฟมาโยนทิ้ง บิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “ข้าง่วงแล้ว ไว้วันหน้าค่อยว่ากันใหม่ วันนี้แยกย้ายได้!”
    เฉิงเหยียนไม่ได้ทำไปด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาแค่อ้างอิงจากพฤติกรรมการทำงานของเจ้าชายในความทรงจำ จึงได้แสดงท่าทางอย่างชนชั้นสูงที่ชอบเอาแต่ใจออกมา ใช่แล้ว เจ้าชายตัวจริงต้องเป็นคนไม่เอาถ่าน นิสัยน่ารังเกียจ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ แต่ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว พวกเขาจะคาดหวังให้เจ้าชายวัยยี่สิบต้นๆ ที่ไม่มีใครควบคุมได้คนหนึ่งมีนิสัยดีแค่ไหนกัน
    บรรดาชนชั้นสูงที่นั่งบนเวทีเดียวกันกับเขาต่างแสดงสีหน้าชินชา มีเพียงชายร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะคนหนึ่งลุกขึ้นว่า “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อพิสูจน์แล้วว่านางเป็นแม่มดจริงก็ต้องรีบประหารเดี๋ยวนั้น มิฉะนั้นเกิดแม่มดคนอื่นๆ มาชิงตัวนางไปจะทำอย่างไร หากศาสนจักรรู้เข้าคงไม่นิ่งดูดายแน่พ่ะย่ะค่ะ”
    คาร์เตอร์ แลนนิส ชายหนุ่มท่าทางซื่อตรงคนนี้คือหัวหน้าอัศวินของเขา เฉิงเหยียนขมวดคิ้ว “อะไรกัน เจ้ากลัวหรือ” คำพูดหยอกล้อนั้นแฝงน้ำเสียงเสียดสีอย่างชัดเจน ชายหนุ่มร่างกำยำที่ลำแขนหนากว่าลำตัวของเหล่าแม่มดกลับกลัวฝ่ายตรงข้ามจะพากันมาปล้นคุก หรือเจ้านี่คิดว่าแม่มดเป็นภูตผีปีศาจจริงๆ
    “รอให้มากันเยอะๆ แล้วรวบจับทีเดียวไม่ดีกว่าหรือไร”
    พอเห็นว่าคาร์เตอร์ไม่ได้แย้งอะไรอีก เฉิงเหยียนจึงโบกมือเรียกองครักษ์ให้มาพาตัวเองออกไป หัวหน้าอัศวินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยอมเดินตามหลังมา ขุนนางคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นโค้งตัวแสดงความเคารพ ทว่าสายตากลับฉายแววเหยียดหยันอย่างเปิดเผยจนเฉิงเหยียนสัมผัสได้
    เมื่อกลับมาถึงที่พัก…ซึ่งก็คือปราสาทที่ตั้งอยู่ราวๆ ตอนใต้ของเมืองชายแดน เขาก็สั่งให้องครักษ์ขวางผู้ช่วยเจ้ากรมคลังที่มีสีหน้าร้อนรนไว้นอกประตูโถงใหญ่ ถึงตอนนี้ค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาหน่อย
    สำหรับคนที่ใช้เวลาร้อยละเก้าสิบหมกตัวอยู่แต่กับคอมพิวเตอร์แล้ว การแสดงละครตบตาผู้ชมมากมายเมื่อครู่นั้นนับได้ว่าไม่เลวเลย เฉิงเหยียนอาศัยความทรงจำในหัวเดินหาห้องนอนตัวเอง เขานั่งพักบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะควบคุมจังหวะหัวใจที่เต้นกระหน่ำได้ สิ่งสำคัญตอนนี้คือการทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ตัวเองเป็นถึงเจ้าชายแท้ๆ ทำไมไม่อยู่ที่เมืองหลวง ถ่อมาทำอะไรในเมืองที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้
    เรื่องนี้ไม่คิดยังพอว่า แต่พอคิดและได้คำตอบเท่านั้นล่ะ เขาก็ถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง
    โรแลนด์ วิมเบิลดันมาที่นี่เพื่อชิงราชบัลลังก์
    ต้นเหตุทั้งหมดมาจากพระราชโองการของพระราชาวิมเบิลดันที่สามแห่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิล ซึ่งมีความว่า ‘ผู้ที่จะได้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ไม่ใช่ผู้ที่เกิดเร็วที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีความสามารถในการปกครองประชาชนมากที่สุด’ พระราชาได้ส่งบุตรธิดาทั้งห้าที่บรรลุนิติภาวะแล้วออกไปปกครองตามดินแดนต่างๆ เป็นเวลาห้าปี จากนั้นค่อยตัดสินจากทักษะการปกครองว่าใครจะได้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์คนต่อไป
    ตัดสินคนจากความสามารถ ให้ความเสมอภาคทางเพศ ฟังดูเป็นความคิดที่ทันสมัยทีเดียว แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ใครจะรับรองได้ว่าพวกเขาห้าคนอยู่ภายใต้เงื่อนไขการแข่งขันที่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่เกมที่เล่นแบบเรียลไทม์เสียหน่อย และเท่าที่เขารู้ดินแดนของเจ้าชายลำดับที่สองก็ดีกว่าเมืองชายแดนมาก…เอ่อ จะว่าไปแล้ว ในบรรดาพวกเขาห้าคนดูเหมือนจะไม่มีดินแดนของใครเลวร้ายไปกว่าเมืองชายแดนของเขาเลย แค่เริ่มต้นก็เสียเปรียบเสียแล้ว
    แล้วอีกอย่างจะใช้อะไรเป็นตัวประเมินผลการแข่งขันกัน ประชาชน ทหาร หรือว่าเศรษฐกิจ วิมเบิลดันที่สามไม่เคยพูดถึงเกณฑ์ใดๆ และไม่เคยกำหนดกติกาการแข่งขันเลย หากมีการลอบฆ่ากันจะทำอย่างไร ราชินีจะทนดูลูกตัวเองฆ่ากันตายต่อหน้าต่อตาได้อย่างนั้นหรือ…แต่พอนึกดูดีๆ อีกที เอาล่ะ ข่าวร้ายอีกแล้ว ราชินีดันเสียไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว
    เฉิงเหยียนถอนหายใจเห็นได้ชัดว่าเขากำลังอยู่ในยุคศักดินาอันมืดมนและป่าเถื่อน ดูจากการล่าแม่มดอย่างดุเดือดก็พอจะรู้อยู่ อย่างน้อยได้ย้อนเวลามาเป็นเจ้าชายก็ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว ต่อให้ไม่ได้ราชบัลลังก์ เขาก็ยังมีสายเลือดกษัตริย์แห่งเกรย์คาสเซิลอยู่ดี ขอเพียงรักษาชีวิตไว้ได้ อย่างไรก็ต้องได้เป็นผู้ปกครองดินแดนสักแห่ง
    นอกจากนี้…ได้เป็นพระราชาแล้วอย่างไร ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีความเจริญอย่างยุคปัจจุบัน จะให้เขากลายเป็นคนประเภทเดียวกับพวกชาวเมืองน่ะหรือ เวลาไม่มีอะไรทำก็เผาแม่มดเล่น ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ทุกคนเทกระโถนปัสสาวะอุจจาระลงถนนกันโครมๆ สุดท้ายก็ตายจากไปด้วยกาฬโรค?
    เฉิงเหยียนข่มความคิดฟุ้งซ่านในใจ แล้วเดินไปยืนหน้ากระจกเต็มตัวในห้องนอน คนในกระจกมีผมหยักศกสีเทาอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นที่สุดของราชวงศ์เกรย์คาสเซิล เครื่องหน้าสมดุลรับกันดี ติดตรงท่าทางดูเหลาะแหละไม่จริงจัง ไม่มีสง่าราศี ใบหน้าก็ซีดขาวอย่างคนขาดการออกกำลังกาย ส่วนเรื่องที่ว่าเขามีนิสัยติดเหล้าติดผู้หญิงหรือไม่นั้น เขาค้นความทรงจำอยู่สักครู่…ดูเหมือนจะใช้ได้ทีเดียว โรแลนด์มีคนรักอยู่ในเมืองหลวงหลายคน ทุกคนล้วนสมัครใจเองทั้งนั้น เขายังไม่เคยบังคับขืนใจใคร
    คราวนี้มาดูสาเหตุที่เขาย้อนเวลามาบ้าง เฉิงเหยียนพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า…คงเป็นเพราะเขาถูกเร่งงานอย่างไร้มนุษยธรรม เจ้านายเพิ่มกะกลางคืนติดๆ กันจนเขาหัวใจวายเฉียบพลัน กลายเป็นศพในคดีอนาถ และกว่าร้อยละแปดสิบของเหยื่อในคดีประเภทนี้ก็หนีไม่พ้นนักเขียนโค้ด วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรคอมพิวเตอร์
    เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยก็ดูเหมือนเขาจะได้ชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต เขาไม่ควรบ่นอะไรมากมาย ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่นี้ได้ แต่ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งในตอนนี้คือการสวมบทบาทเจ้าชายให้แนบเนียน อย่าให้ใครเห็นพิรุธแล้วจับเขาไปเผาทั้งเป็นด้วยข้อหาว่าถูกปีศาจเข้าสิงร่าง
    “ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเอาตัวให้รอดก่อน” เขาสูดหายใจลึกก่อนจะพูดเบาๆ กับกระจก “นับแต่นี้ไป ข้าคือโรแลนด์”

     

    บทที่ 2 แม่มดอันนา (1)

     

    หลังจากนั้นเขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อครุ่นคิดถึงโลกนี้อย่างละเอียด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นก็สั่งให้คนรับใช้ยกเข้ามา
    ความดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ทำให้โรแลนด์สะกดกลั้นความกลัวและความไม่คุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมแปลกใหม่หลังย้อนเวลามาได้ เขารู้ดีว่ายิ่งเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้เร็วเท่าไร ความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอมก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
    แต่ต้องพูดกันตามตรงว่าในสมองของเจ้าชายไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องที่ไปคลุกคลีกับพวกชนชั้นสูง โรแลนด์พยายามนึกซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็นึกเรื่องที่พอจะมีเนื้อหาสาระไม่ออก…ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับพวกขุนนาง สถานการณ์ทางการเมือง หรือความสัมพันธ์กับอาณาจักรข้างเคียง ส่วนความรู้พื้นฐานทั่วไปอย่างชื่อเมืองหรือปีสำคัญต่างๆ ที่เขานึกออก ก็ไม่สามารถเอามาเชื่อมโยงกับความรู้ประวัติศาสตร์ยุโรปที่ตัวเองรู้มาได้
    ดูท่าเจ้าชายองค์นี้คงไม่มีวาสนาได้เป็นพระราชาเสียแล้ว บางทีพระราชาแห่งเกรย์คาสเซิลคงจะเล็งเห็นจุดนี้ ถึงได้ส่งเขามาที่เมืองบ้าๆ นี่…เมืองที่ต่อให้ปกครองเละเทะขนาดไหนก็ไม่ส่งผลเสียอะไรมาก
    ส่วนพวกพี่ๆ น้องๆ พวกนั้น…โรแลนด์ค้นความทรงจำอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
    พี่ชายคนโตเชี่ยวชาญการรบ พี่ชายคนรองเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว พี่สาวดุร้ายโหดเหี้ยม น้องสาวฉลาดหลักแหลม
    นี่คือความทรงจำทั้งหมดที่เหลืออยู่ในสมองของเจ้าชายลำดับที่สี่ เขาถึงกับพูดไม่ออก พี่น้องอยู่ร่วมกันมากว่าสิบปี กลับมีคำบรรยายถึงลักษณะของแต่ละคนเพียงสั้นๆ แค่ไม่กี่คำ พวกเขามีพลังอำนาจอย่างไร มือขวาคนสำคัญคือใคร โดดเด่นเรื่องอะไร รายละเอียดพวกนี้เขากลับไม่รู้แม้แต่น้อย
    เจ้าชายเพิ่งมาอยู่เมืองชายแดนได้สามเดือน พวกขุนนางที่นี่ก็แสดงท่าทีดูถูกเขาอย่างเปิดเผย เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายลำดับที่สี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าคนนายคนจริงๆ โชคดีที่ตอนออกจากเมืองหลวง วิมเบิลดันที่สามได้ส่งขุนนางฝ่ายปกครองและฝ่ายทหารมาช่วยเขาอย่างละคน มิฉะนั้นเขาคงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สาวใช้ที่ชื่อไทร์ก็มาเตือนโรแลนด์อยู่หลายรอบว่าผู้ช่วยเจ้ากรมคลังต้องการพบเขา ดูท่าคงบ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว เขาลูบก้นสาวใช้ตามที่เจ้าชายในความทรงจำมักทำ แล้วสั่งให้เธอไปแจ้งบารอฟให้ไปรอที่โถงรับแขก
    เมื่อเห็นไทร์เดินหน้าแดงออกจากประตูไป โรแลนด์ก็พลันนึกขึ้นมาได้ ปกติในนิยายย้อนเวลาต้องมีระบบตัวช่วยแถมติดมาด้วยไม่ใช่หรือ เขาหาวหนึ่งครั้งพึมพำคำว่าตัวช่วยในใจอยู่หลายสิบครั้ง แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น
    นิยายหลอกคนจริงๆ นั่นล่ะ

    บารอฟนั่งกระวนกระวายรออยู่ในโถงรับแขกนานแล้ว พอเห็นโรแลนด์เดินมาก็รีบเข้าไปหา “ฝ่าบาท เหตุใดเมื่อวานจึงไม่ทรงสั่งแขวนคอพ่ะย่ะค่ะ”
    “ช้าเร็วหนึ่งวันจะเป็นไรไป” โรแลนด์ปรบมือเรียกคนรับใช้ให้ยกอาหารเช้าเข้ามา “ค่อยๆ นั่งลงคุยกันดีกว่า”
    ดูๆ ไปก็เหมือนกับภาพในความทรงจำอยู่ เวลาเกิดปัญหา หัวหน้าอัศวินมักจะถามเขาตรงๆ ต่อหน้า ในขณะที่ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังจะแอบมาถามตามลำพังทีหลัง แต่ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งคู่ก็จงรักภักดีต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…ถึงจะทำไปเพราะเห็นแก่หน้าพระราชาก็ตาม
    “ช้าไปหนึ่งวันก็อาจทำให้แม่มดคนอื่นๆ แห่กันมาได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรตามพระทัยไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
    “เหตุใดแม้แต่เจ้าก็ตำหนิข้าเรื่องนี้เล่า” โรแลนด์ย่นหัวคิ้ว “ข้านึกว่าเจ้าจะแยกแยะข่าวลือกับความจริงได้เสียอีก”
    บารอฟหน้าตางุนงง “ข่าวลืออะไรพ่ะย่ะค่ะ”
    “ก็ข่าวลือที่ว่าแม่มดชั่วร้ายบ้างล่ะ เป็นภูตผีปีศาจบ้างล่ะ” โรแลนด์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ศาสนจักรเป็นคนปล่อยข่าวลือทั้งนั้น ข้าว่าถ้าไม่อยากให้พวกเขามายุ่มย่ามที่นี่ พวกเราก็ต้องทำการตรงกันข้าม พวกเขาแพร่ข่าวว่าแม่มดเป็นสิ่งชั่วร้าย พวกเราก็จะไม่ล่าแม่มด และจะประกาศให้ชาวเมืองรู้ด้วยว่านี่เป็นเพียงข่าวลือเหลวไหลที่ศาสนจักรแต่งขึ้น”
    บารอฟตกตะลึง “แต่…แต่แม่มดเป็น…”
    “เป็นสิ่งชั่วร้ายใช่ไหม” โรแลนด์ถามกลับ “ยกตัวอย่างได้ไหมล่ะ”
    ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังเงียบไปสักครู่ คล้ายกำลังคิดว่าเจ้าชายแกล้งหยอกเขาอยู่หรือไม่ “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไว้พวกเราค่อยคุยกันวันหลังดีกว่า กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ไม่โปรดศาสนจักร แต่ทำเช่นนี้มีแต่จะได้ผลตรงข้ามกับที่ต้องการ”
    ดูท่าเขาคงไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อที่หยั่งรากลึกยาวนานได้ภายในวันเดียว โรแลนด์เบะปาก ไม่ดื้อดึงจะเอาชนะอีก
    ตอนนี้อาหารเช้าถูกยกขึ้นโต๊ะแล้ว มีขนมปังทอดหนึ่งจาน ไข่ดาวหนึ่งจาน และนมอีกหนึ่งเหยือก เขารินนมให้ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังหนึ่งแก้ว แล้วเลื่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย
    “เจ้ายังไม่ได้กินข้าวมากระมัง ค่อยๆ กินค่อยๆ พูดดีกว่า” จากที่สาวใช้รายงานมา บารอฟมารอพบเขาที่นอกปราสาทตั้งแต่ฟ้าสาง จึงน่าจะยังไม่ได้กินอะไรมา แม้จะตั้งใจเลียนแบบนิสัยเจ้าชายตัวจริงให้เหมือนที่สุด แต่อย่างน้อยเขาก็ควรค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และผู้ช่วยเจ้ากรมคลังก็เป็นเป้าหมายที่ไม่เลวเลย หากทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกว่าตนเห็นความสำคัญของพวกเขา พวกเขาก็จะยิ่งมีกำลังใจทุ่มเททำงานให้
    ความคิดริเริ่มเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จมาแต่ไหนแต่ไรมิใช่หรือ
    บารอฟรับแก้วนมมาแต่ไม่ดื่ม เขาพูดอย่างร้อนรนว่า “ฝ่าบาท พวกเรากำลังเดือดร้อนนะพ่ะย่ะค่ะ สามวันก่อนมีทหารรายงานว่าพบค่ายพักแรมที่น่าจะเป็นของพวกแม่มดทางป่าตะวันตก พวกนางมัวรีบร้อนเดินทางจึงเผลอทิ้งร่องรอยไว้ พวกทหารเจอสิ่งนี้ในค่ายพักแรมพ่ะย่ะค่ะ”
    เขาควักเหรียญหนึ่งเหรียญออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงตรงหน้าโรแลนด์
    มันไม่ใช่เหรียญกษาปณ์ที่พบได้ทั่วไป อย่างน้อยในความทรงจำของโรแลนด์ เขาเองก็ไม่เคยเห็นเงินชนิดนี้มาก่อน…ดูเหมือนมันจะไม่ได้ทำจากโลหะด้วยซ้ำ
    เขาคลำๆ ดูแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าของชิ้นนี้กำลังส่งความร้อนออกมา ไม่ใช่อุณหภูมิจากตัวผู้ช่วยเจ้ากรมคลังแน่นอนเพราะมันสูงเกินสี่สิบองศา พริบตานั้นเขานึกถึงแผ่นแปะให้ความร้อนขึ้นมาทันที
    “มันคืออะไร”
    “ตอนแรกกระหม่อมคิดว่านี่เป็นเพียงสิ่งของที่แม่มดคนใดคนหนึ่งทำขึ้น แต่ความจริงเลวร้ายกว่าที่กระหม่อมคิดไว้มาก” บารอฟปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ลวดลายบนนั้น…คือรูปภูเขาศักดิ์สิทธิ์และดวงตาปีศาจ มันคือสัญลักษณ์ของสมาคมแม่มดพ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์สัมผัสผิวขรุขระบนหน้าเหรียญเดาว่าน่าจะทำจากดินเผา บนเหรียญมีรูป ‘ภูเขา’ อยู่จริงๆ…สามเหลี่ยมเรียงกันสามอัน ตรงกลางสามเหลี่ยมมีดวงตาหนึ่งดวง เค้าโครงลายเส้นดูหยาบน่าจะถูกขัดด้วยมือ
    เขาพยายามนึกคำว่า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และดวงตาปีศาจ’ กับ ‘สมาคมแม่มด’ แต่ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดูเหมือนเจ้าชายลำดับที่สี่จะไม่มีความรู้เรื่องเวทมนตร์ไสยศาสตร์เอาเสียเลย
    บารอฟเองก็ไม่ได้หวังว่าโรแลนด์จะรู้อะไรอยู่แล้ว จึงอธิบายต่อ “ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่เคยเจอแม่มดจริงๆ ถึงได้ประเมินพวกนางต่ำไป จริงอยู่ที่พวกนางบาดเจ็บได้ เลือดไหลได้ และถูกฆ่าได้เหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเรา แต่นั่นเฉพาะแม่มดที่ไม่รู้จักตอบโต้เท่านั้น ส่วนแม่มดที่ถูกปีศาจล่อลวงสำเร็จ แม้พวกนางจะมีอายุขัยที่สั้นมาก แต่ก็แลกมาด้วยพลังลึกลับอันน่าสะพรึงกลัว คนธรรมดาไม่มีทางรับมือได้แน่นอน หากพวกนางบรรลุนิติภาวะเมื่อไร ต่อให้ส่งคนทั้งกองทัพไปสู้ก็ยังอาจปราชัยย่อยยับได้ พวกนางคงพ่ายแพ้แก่ความปรารถนา ถึงได้ยอมใฝ่ต่ำไปเป็นสมุนของปีศาจ
    ด้วยเหตุนี้เองศาสนจักรจึงก่อตั้งกองกำลังพิพากษาขึ้น หากพบว่าหญิงคนใดมีโอกาสจะกลายเป็นแม่มด สามารถจับตัวมาประหารได้ทันที พระราชาเองก็ทรงเห็นด้วยกับวิธีนี้ อันที่จริงมาตรการพวกนี้ใช้ได้ผลมากนะพ่ะย่ะค่ะ ทุกวันนี้แม่มดก่อเหตุคุกคามน้อยลงกว่าเมื่อร้อยปีก่อนมาก ความเชื่อเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์หรือประตูนรกก็มาจากคัมภีร์โบราณในยุคนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์กัดขนมปังทีละคำ ในใจแอบหัวเราะอย่างเย็นชา
    แม้ว่าภูมิหลังของโลกนี้จะต่างจากที่เขารู้มามาก แต่เส้นทางการดำเนินประวัติศาสตร์กลับเหมือนกันจนน่าตกใจ ศาสนจักรก็คือศาสนจักร เขารู้อยู่แล้วว่าศาสนานั่นล่ะที่เป็นเขี้ยวเล็บของปีศาจ เป็นแหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายที่แท้จริง แค่พบเบาะแสนิดๆ หน่อยๆ ก็ตัดสินประหารคนได้แล้วหรือ แค่อ้างนามพระเจ้าก็สามารถสั่งจับกุม พิพากษา ประหารชีวิตคนได้ตามใจ? นี่คือความเสื่อมทรามอีกรูปแบบหนึ่งแท้ๆ ในหัวเจ้าชายตัวจริงยังมีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้อำนาจเกินควรของศาสนจักรอยู่ ซึ่งช่วยยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี
    “ในคัมภีร์โบราณบันทึกไว้ว่าแม่มดจะพบความสงบสุขที่แท้จริงก็ต่อเมื่อได้ไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ที่นั่นพวกนางจะไม่ถูกพลังวิเศษตีกลับ และจะเป็นอิสระจากแรงปรารถนาทั้งปวง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เขียนไว้ในคัมภีร์นั่นจะต้องเป็นแหล่งกำเนิดของความชั่วร้าย และเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับนรกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีเพียงนรกเท่านั้นที่ไม่ลงโทษคนใฝ่ต่ำพวกนี้”
    “แล้วสมาคมแม่มดเล่า เกี่ยวข้องอย่างไรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์”
    บารอฟนิ่วหน้า “ก่อนหน้านี้แม่มดมักทำอะไรเพียงลำพัง ไม่ว่าจะหลบหนีหรือซ่อนตัวอยู่เงียบๆ แต่หลังจากสมาคมก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แม่มดก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วออกตามหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน คนในสมาคมยังถึงกับชักชวนคนอื่นๆ ให้เข้าร่วมเป็นแม่มดด้วยเหตุนี้ เมื่อปีก่อนก็เคยเกิดเหตุทารกหญิงจำนวนมากหายตัวไปที่ท่าเรือเคลียร์ริเวอร์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าเป็นฝีมือของพวกนางนี่ล่ะ”

     

    บทที่ 3 แม่มดอันนา (2)

     

    โรแลนด์กลืนไข่ดาวชิ้นสุดท้ายลงคอแล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก “สรุปว่าที่พูดมาทั้งหมดก็คือเจ้ากลัวว่าถ้าสมาคมแม่มดรู้ว่านางยังไม่ตายแล้วจะแห่กันมาช่วยนาง?”
    “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟกระทืบเท้าพลางว่า “พวกนางเคลื่อนไหวกันรีบร้อนคล้ายกำลังเร่งเดินทางไปที่ใดสักแห่ง หากแม่มดคนนั้นถูกประหารไปแล้วคงไม่เป็นไร แต่เวลานี้นางยังมีชีวิตอยู่! สมาคมบ้าๆ นั่นขโมยได้แม้กระทั่งทารก มีหรือจะไม่มาช่วยพวกเดียวกัน”
    โรแลนด์เริ่มสงสัยขึ้นมาตงิดๆ คล้ายมีอะไรผิดปกติชอบกล เหตุใดเวลาพูดถึงแม่มดทีไร ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังกับหัวหน้าอัศวินต้องทำท่าเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
    หญิงที่กำลังจะถูกแขวนคอคงเป็นแม่มด เธอดูผ่ายผอมราวกับจะปลิวลมด้วยซ้ำ หากมีพลังร้ายกาจน่าหวั่นเกรงจริง เหตุใดเธอจึงเอาแต่ยืนนิ่งรอความตายล่ะ ไม่สิ เธอไม่น่าจะถูกจับตัวตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ศาสนจักรสอนกรอกหูเสมอว่าแม่มดคือร่างจำแลงของปีศาจ นอกจากกองกำลังพิพากษาแล้ว กองทัพธรรมดามีแต่จะพ่ายแพ้ย่อยยับให้กับพวกเธอ ทว่าแม่มดคนนี้กลับถูกชาวเมืองชายแดนจับได้ ถูกทรมานสารพัด กระทั่งถูกส่งมาถึงแดนประหาร ก็ยังไม่ปรากฏวี่แววพลังอันน่ากลัวที่ว่าแม้แต่น้อย
    “นางถูกจับได้อย่างไร”
    “กระหม่อมได้ยินว่าตอนที่เหมืองเนินเขาทิศเหนือถล่ม นางได้เผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อหนีเอาตัวรอด จึงถูกชาวบ้านที่กำลังโกรธแค้นจับตัวมาพ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์คิดอยู่สักครู่ อืม เรื่องนี้เหมือนจะพอจำได้อยู่ เหตุเกิดก่อนวันที่ฉันจะย้อนเวลามาหนึ่งวัน
    “แล้วนางเผยตัวอย่างไร”
    “เอ่อ…กระหม่อมเองก็ไม่แน่ใจนัก” ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังส่ายศีรษะ “ตอนนั้นเหตุการณ์ชุลมุนมาก คาดว่าคงมีคนเห็นนางใช้มนตร์ดำพ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์ขมวดคิ้ว “พวกเจ้าไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียดหรือ”
    “ฝ่าบาท ตอนนี้การฟื้นฟูผลผลิตของเหมืองเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังแย้ง “รายได้กว่าครึ่งของเมืองชายแดนมาจากแร่เหล็ก นอกจากนี้ผู้ตรวจการก็ยืนยันแล้วว่าในที่เกิดเหตุมีคนตายเพราะมนตร์ดำจริงๆ”
    “มนตร์ดำแบบใด” โรแลนด์เริ่มสนใจ
    “คล้ายกับการหลอมละลายพ่ะย่ะค่ะ ศีรษะและลำตัวศพไหลกองกับพื้น ชวนให้นึกถึงเทียนสีดำที่ไหม้หมดแล้ว” อีกฝ่ายผุดสีหน้าขยะแขยง “ฝ่าบาทคงไม่อยากทอดพระเนตรภาพเช่นนั้นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์เล่นส้อมเงินในมือพลางครุ่นคิดไปด้วย ในประวัติศาสตร์เหยื่อจากการล่าแม่มดส่วนใหญ่มักเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกนางกลายเป็นเครื่องระบายความโกรธแค้นของศาสนจักรและชาวเมืองที่โง่เขลา ในขณะที่เหยื่อส่วนน้อยเลือกเดินเข้าสู่ความตายเอง เหยื่อกลุ่มนี้มักแต่งตัวพิลึกพิลั่น วันๆ เอาแต่โยนของประหลาดสารพัดอย่างลงหม้อ อ้างว่าตัวเองสามารถพยากรณ์อนาคตรู้เห็นความเป็นตายได้
    พวกเธอรู้จักสรรหาวิธีต่างๆ เช่นว่าใช้ปฏิกิริยาของเปลวไฟมาอ้างว่าตัวเองได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์
    ในสายตาคนยุคใหม่ สิ่งเหล่านี้คือลูกเล่นจากปรากฏการณ์ทางเคมีทั้งนั้น แต่ในยุคสมัยนี้ทุกคนมักเข้าใจผิดเอาง่ายๆ ว่ามันคือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
    ส่วนเรื่องการละลายคนนั้น โรแลนด์นึกถึงกรดโครโมซัลฟิวริก* เป็นอย่างแรก แต่ของเล่นที่ว่านี้มีขั้นตอนยุ่งยาก หากจะใช้ก็ต้องแช่คนลงไปทั้งตัว และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังห่างไกลจากการละลายของเทียนมาก ส่วนกรดแก่อื่นๆ นั้นยิ่งใช้ไม่ได้ใหญ่
    ถ้าอย่างนั้นแม่มดคนนี้ทำได้อย่างไร
    หากใช้วิธีเล่นแร่แปรธาตุ เธอก็คงเป็นนักเคมีที่หาตัวจับยากของดินแดนแห่งนี้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ล่ะก็…
    พอนึกถึงตรงนี้โรแลนด์ก็ตัดสินใจแน่วแน่
    “พาข้าไปพบนาง”
    “ดะ…เดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะเสด็จไปพบแม่มดหรือพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟกระโดดผึงด้วยความตื่นตระหนก มือปัดไปโดนแก้วนมที่ยังไม่ได้ดื่มจนหกกระจาย
    “ถูกต้อง นี่เป็นคำสั่ง” โรแลนด์หันไปยิ้มให้ผู้ช่วยเจ้ากรมคลัง ตอนนี้เขาเริ่มนึกขอบคุณนิสัยไร้เหตุผลของเจ้าชายตัวจริงแล้ว
    เขาเดินมาถึงประตูก่อนจะชะงักฝีเท้า “จริงสิ ข้าสงสัยมานานแล้ว เหตุใดจึงใช้วิธีแขวนคอเล่า”
    “อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
    “ข้าถามว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงแขวนคอแม่มด พวกนางน่าจะถูกมัดติดเสาแล้วเผาทั้งเป็นมิใช่หรือ”
    บารอฟมีสีหน้างุนงง “อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่านางไม่กลัวไฟนี่สิ”

    เมืองชายแดนมีคุกใต้ดินเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ดินแดนแร้นแค้นแห่งนี้เลี้ยงนักโทษได้ไม่มาก นักโทษส่วนใหญ่เข้าคุกได้ไม่กี่วันก็ต้องถูกตัดสิน…ไม่ถูกปล่อยตัวก็ถูกประหารชีวิต
    นอกจากบารอฟแล้ว คนที่ตามเจ้าชายเข้ามาในคุกยังมีหัวหน้าอัศวิน พัศดี ผู้คุมนักโทษ และทหารอีกสองนาย
    คุกใต้ดินมีทั้งหมดสี่ชั้น ผนังคุกเป็นหินแกรนิตเนื้อแข็ง โรแลนด์เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาสังเกตว่ายิ่งเข้าไปลึก ทางเดินก็ยิ่งแคบ จำนวนห้องขังก็น้อยลงเรื่อยๆ ดูท่าคนสร้างคงขุดหลุมเป็นรูปกรวยแล้วจึงค่อยก่อหินขึ้นมาเป็นชั้นๆ
    งานก่อสร้างหยาบๆ เช่นนี้ย่อมไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี พื้นทางเดินจึงเปียกแฉะ น้ำเสียขุ่นคลั่กไหลซึมตามขั้นบันได
    แม่มดถูกขังไว้ในคุกชั้นล่างสุด ยิ่งลงไปลึกเท่าไร กลิ่นเหม็นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
    “ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนี้อันตรายเกินไปจริงๆ แม้นางจะถูกตรวนลงทัณฑ์แห่งพระเจ้าสะกดพลังไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอนเสียเมื่อไร”
    ผู้พูดคือคาร์เตอร์ แลนนิส ทันทีที่หัวหน้าอัศวินผู้นี้รู้ว่าเจ้าชายจะไปพบแม่มดก็รีบตามมา แล้วคอยพูดเกลี้ยกล่อมมาตลอดทาง กระทั่งคำสั่งของเจ้าชายก็ใช้ไม่ได้ผล…เขาไม่มีวันยอมรับคำสั่งใดๆ ที่อาจเป็นภัยต่อชีวิตเจ้าชาย ไม่มีอะไรไล่เขาไปได้
    อุตส่าห์เกิดมามีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรแท้ๆ ทำไมถึงพูดมากเช่นนี้ โรแลนด์อยากจะเรียกคนมาเย็บปากเขาจริงๆ “หากไม่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย แล้วจะกล้าต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายได้อย่างไร ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจจุดนี้เสียอีก”
    “คิดจะต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายก็ต้องรู้จักประมาณตน การกระทำที่มุทะลุไม่ได้แสดงถึงความกล้าหาญพ่ะย่ะค่ะ”
    “หมายความว่าหากเจอศัตรูที่อ่อนแอกว่าก็ใช้กำลังจัดการได้ แต่หากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าก็ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นสิ”
    “มิใช่เช่นนั้นฝ่าบาท ความหมายของกระหม่อมคือ…”
    “ก่อนหน้านี้เจ้ากลัวแม่มดจะหนีคุก มาตอนนี้ก็กลัวการเผชิญหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆ หัวหน้าอัศวินของข้าช่างแกร่งกล้าไม่เป็นสองรองใครจริงๆ”
    หัวหน้าอัศวินเป็นคนพูดมาก แต่โต้เถียงไม่เก่ง เมื่อเจอคนฝีปากกล้าอย่างโรแลนด์จึงเอาชนะไม่ได้ คนทั้งหมดมาถึงคุกชั้นล่างในเวลานี้เอง
    ชั้นนี้มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าชั้นก่อนหน้ามาก และมีห้องขังเพียงสองห้องเท่านั้น
    หลังผู้คุมจุดคบไฟบนผนังเพื่อไล่ความมืดมิด โรแลนด์ก็เห็นแม่มดคนนั้นกำลังนั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้องขัง
    ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิในคุกใต้ดินต่ำจนมองเห็นไอสีขาวลอยออกมาพร้อมลมหายใจ เขาสวมเสื้อขนสัตว์บุซับในอย่างดีจึงไม่รู้สึกหนาว ทว่าหญิงสาวในนั้นสวมเพียงชุดยาวตัวเดียว ซ้ำยังปกคลุมร่างกายได้ไม่มิด แขนและฝ่าเท้าที่โผล่พ้นชายชุดออกมาหนาวจนขาวซีด
    แสงจากเปลวไฟที่สว่างขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เธอเบือนหน้าหนี ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย แต่เพียงอึดใจเดียวเธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วมองมายังพวกเขา
    ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นสงบนิ่งราวกับทะเลสาบก่อนเจอพายุ ใบหน้าของเธอไม่ปรากฏความหวาดกลัว ความโกรธเคือง หรือความเคียดแค้นใดๆ
    โรแลนด์รู้สึกราวกับฝันไป ราวกับภาพที่เห็นไม่ใช่สาวน้อยผู้อ่อนแอ แต่เป็นเงามืดที่กำลังกลืนกินเปลวไฟ เพียงพริบตาเดียว เขาพลันรู้สึกว่าแสงจากคบไฟบนผนังมืดมัวลงอย่างเห็นได้ชัด
    เธอพยายามลุกขึ้นยืนพิงผนัง ท่าทางโงนเงนคล้ายจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ทว่าในที่สุดเธอก็ยืนขึ้นได้อย่างมั่นคง แล้วเดินโขยกเขยกออกจากมุมมืดมาสู่บริเวณที่แสงสว่างส่องถึง
    เพียงกิริยาธรรมดาๆ ก็ทำให้คนทั้งกลุ่มสูดหายใจเข้าลึกด้วยความหวาดหวั่น ต่างพากันถอยหลังไปคนละก้าวสองก้าว มีเพียงหัวหน้าอัศวินเท่านั้นที่พุ่งตัวมาขวางหน้าเขา
    โรแลนด์ตบบ่าคาร์เตอร์เป็นการส่งสัญญาณให้เขาผ่อนคลายลง “เจ้าชื่ออะไร”
    “อันนา” เธอตอบ

     

    บทที่ 4 เปลวไฟ

     

    “ตอนเหมืองถล่มเกิดอะไรขึ้น เจ้าจงเล่ามาให้ละเอียดอีกครั้ง”
    อันนาพยักหน้า แล้วเริ่มบรรยายเหตุการณ์
    โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจ
    เขานึกว่าอีกฝ่ายจะนิ่งเงียบ ร้องขอความเป็นธรรม หรือไม่ก็สาปแช่งเขา ทว่าเธอกลับให้ความร่วมมือตอบคำถามเขาแต่โดยดี ถามอะไรก็ตอบตามนั้น
    เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนมากนัก พ่อของอันนาเป็นคนงานในเหมืองแร่ เขาทำงานอยู่ในอุโมงค์ตอนที่เหมืองกำลังถล่ม
    พออันนารู้ข่าวก็รีบลงอุโมงค์ไปช่วยพร้อมกับครอบครัวคนงานคนอื่นๆ ว่ากันว่าเหมืองเนินเขาทิศเหนือแห่งนี้เคยเป็นรังสัตว์ประหลาดใต้ดินมาก่อน ในอุโมงค์มีทางแยกมากมาย เชื่อมทะลุได้ทุกทิศทาง เนื่องจากกลุ่มคนที่ลงมาช่วยญาติพี่น้องมีความเห็นแตกต่างกัน เมื่อเข้าอุโมงค์มาแล้วจึงแยกย้ายกันออกตามหาคนของตัวเอง ตอนที่อันนาเจอพ่อนั้น ข้างกายเธอเหลือเพียงคู่สามีภรรยาเพื่อนบ้าน ป้าซูซานและลุงแองเคอร์เท่านั้น
    เธอเห็นพ่อถูกรถเข็นบรรทุกหินเต็มคันทับจนขาหัก ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ข้างกันมีคนงานอีกคนกำลังนั่งยองๆ ค้นเงินบนตัวของพ่อ พอเห็นคนมา คนงานคนนั้นก็ใช้จอบฟาดลุงแองเคอร์จนล้มกับพื้น ในขณะที่เขากำลังจะฆ่าลุงแองเคอร์นั้น อันนาก็ชิงฆ่าเขาเสียก่อน
    คู่สามีภรรยาเพื่อนบ้านสาบานว่าจะไม่เล่าเรื่องเธอให้ใครฟัง จากนั้นทั้งสามคนก็ช่วยพ่อของอันนาออกมาได้
    ทว่าเช้าตรู่วันต่อมา พ่อของอันนากลับใช้ไม้เท้าค้ำเดินออกจากบ้าน ไปรายงานทหารลาดตระเวนว่าลูกสาวของตนเป็นแม่มด
    “เพราะเหตุใด” โรแลนด์ฟังมาถึงตรงนี้ก็อดถามไม่ได้
    บารอฟถอนใจ “คงเพราะเงินรางวัลนั่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ ใครก็ตามที่นำเบาะแสแม่มดไปรายงานจะได้รับเงินรางวัลยี่สิบห้าเหรียญทอง สำหรับคนขาพิการแล้ว เงินจำนวนนี้มากพอจะใช้ค้ำจุนชีวิตที่เหลืออยู่ได้เลย”
    โรแลนด์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถาม “อีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำ เจ้าฆ่าเขาได้อย่างไร”
    ทันใดนั้นอันนาพลันหัวเราะขึ้นมา เปลวไฟเหนือคบกระเพื่อมไหวราวกับผิวทะเลสาบที่สั่นกระเพื่อมเพราะลูกคลื่น
    “ก็ด้วยพลังปีศาจอย่างที่พวกท่านว่าอย่างไรเล่า”
    “หุบปาก! นางปีศาจ!” พัศดีตะคอกใส่นาง ทว่าเสียงกลับสั่นจนทุกคนฟังออก
    “อย่างนั้นหรือ ข้าอยากเห็นสักครั้ง” เจ้าชายยังคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
    “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าอัศวินหันไปพูดพลางขมวดคิ้ว
    โรแลนด์เดินออกมาจากด้านหลังหัวหน้าอัศวิน สาวเท้าเข้าใกล้ห้องขังทีละก้าว “หากใครกลัวจะหลบออกไปก่อนก็ได้ ข้าไม่ได้บังคับให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่”
    “ไม่ต้องกลัว ที่คอนางสวมตรวนลงทัณฑ์แห่งพระเจ้า!” บารอฟเอ่ยเสียงดังปลอบทุกคน และดูเหมือนกำลังปลอบตัวเองไปด้วย “ต่อให้ปีศาจร้ายกาจเพียงใดก็ไม่สามารถทำลายพรของพระเจ้าได้”
    โรแลนด์ยืนอยู่หน้าลูกกรง ห่างจากอันนาเพียงหนึ่งช่วงแขน เขาสามารถมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบดินและรอยแผลของอีกฝ่ายได้ชัดเจน เครื่องหน้าที่อ่อนเยาว์บ่งบอกว่าเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทว่าสีหน้ากลับไม่ปรากฏความไร้เดียงสาแม้แต่น้อย กระทั่งจะดูว่าเธอกำลังโกรธอยู่หรือไม่ก็ยากจะสังเกตได้เช่นกัน…ลักษณะที่ขัดแย้งกันเช่นนี้เขาเคยเห็นในโทรทัศน์ อย่างเวลาที่นักข่าวไปสัมภาษณ์เด็กกำพร้าเร่ร่อนผู้ทนทุกข์ทรมานจากความยากจน เหน็บหนาว และหิวโหย ทว่าก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เด็กกำพร้าพวกนั้นมักห่อไหล่ก้มหน้าเมื่ออยู่หน้าเลนส์กล้อง แต่อันนาไม่เป็นเช่นนั้น
    จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังพยายามยืดตัวตรง สายตาของเธอเหลือบขึ้นเล็กน้อยสบตาเจ้าชายอย่างสงบ
    เธอไม่กลัวความตาย โรแลนด์สัมผัสได้ ดูเหมือนเธอกำลังรอความตายด้วยซ้ำ
    “เพิ่งเคยเจอแม่มดเป็นครั้งแรกหรือ นายท่าน ความอยากรู้อยากเห็นของท่านอาจทำร้ายตัวท่านได้”
    “หากเป็นพลังปีศาจจริง แล้วผู้พบเห็นจะต้องเคราะห์ร้าย เช่นนั้นคนที่ตายก็ไม่น่าจะเป็นข้า แต่เป็นบิดาเจ้ามากกว่า” โรแลนด์ตอบ
    แสงไฟในคุกพลันมืดสลัวลง ครั้งนี้ไม่ใช่ภาพฝันแน่ เปลวไฟหดเหลือเพียงกลุ่มแสงเล็กๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่างกดข่มไว้ เขาได้ยินเสียงหายใจถี่กระชั้นและเสียงสวดอ้อนวอนดังมาจากข้างหลัง ตลอดจนเสียงคนล้มเพราะรีบร้อนก้าวถอยหลังด้วยความตื่นกลัว
    หัวใจของโรแลนด์ค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดนอันแสนมหัศจรรย์ ฟากหนึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริง ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎและความแน่นอนซึ่งถูกกำหนดไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนอีกฟากเป็นโลกมหัศจรรย์ เต็มไปด้วยความลึกลับและความแปลกใหม่ เวลานี้เขากำลังยืนอยู่หน้าประตูสู่โลกใบใหม่นี้
    สิ่งที่ห้อยอยู่ที่คอเธอคือตรวนลงทัณฑ์แห่งพระเจ้าอย่างนั้นหรือ โซ่เหล็กสีแดงห้อยจี้โปร่งใสแวววาวนั่นเหมือนถูกทำขึ้นอย่างลวกๆ หากไม่จับเธอใส่กุญแจมือไพล่ไว้ด้านหลังล่ะก็ แค่กระชากด้วยมือก็ขาดแล้วล่ะมั้ง
    โรแลนด์เหลือบมองกลุ่มคนข้างหลังแวบหนึ่ง อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังอธิษฐานอย่างหวาดกลัวยื่นมือเข้าไปในลูกกรง กำจี้ไว้แล้วกระชากอย่างรวดเร็ว จี้กับโซ่ขาดออกจากกันทันที…การกระทำของเขาทำให้อันนาถึงกับตกตะลึง
    “แสดงให้ข้าเห็นสิ” เขาพูดเบาๆ เธอเป็นสิบแปดมงกุฎ นักเคมี หรือว่าปีศาจตัวจริงกันแน่
    หากตอนนี้เธอควักสารพัดขวดออกมาแล้วเริ่มผสมกรดล่ะก็ ฉันจะผิดหวังมาก เขาคิดในใจ
    จากนั้นโรแลนด์ก็ได้ยินเสียงไอน้ำขยายตัวเพราะความร้อนดังเปรี๊ยะๆ…ควันสีขาวลอยขึ้นจากพื้น อุณหภูมิรอบด้านพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
    เขาเห็นเปลวไฟผุดขึ้นจากใต้เท้าของอีกฝ่าย ลามเลียขาเปลือยเปล่าของเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นพื้นที่เธอยืนอยู่ก็เกิดลุกไหม้ ขณะเดียวกัน คบไฟด้านหลังก็ระเบิดออกจนแสงสว่างจ้าตาราวกับได้รับออกซิเจนบริสุทธิ์ ห้องขังทั้งห้องพลันสว่างราวกับกลางวัน ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกของทุกคน
    แม่มดเดินมาข้างหน้า เปลวไฟคืบคลานตามจังหวะการก้าวเท้า ตอนที่เธอเข้ามายืนประชิดประตูห้องขัง ลูกกรงเหล็กหลายสิบเส้นก็ลุกไหม้กลายเป็นลูกกรงไฟ
    โรแลนด์จำต้องก้าวถอยหลัง อากาศร้อนผ่าวกัดผิวของเขาจนแสบไปหมด ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขารู้สึกราวกับได้ย้อนเวลาจากปลายฤดูใบไม้ผลิกลับไปสู่กลางฤดูร้อนอีกครั้ง ไม่สิ นี่ไม่ใช่ความระอุแบบฤดูร้อน อุณหภูมิจากเปลวไฟไม่ได้โอบล้อมเขาทุกทิศทาง ด้านหน้าที่เผชิญกับเปลวไฟนั้นร้อนระอุ ทว่าด้านหลังกลับหนาวสะท้าน เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังผุดเหงื่อเย็นๆ ออกมา
    …เธอไม่กลัวไฟจริงๆ
    โรแลนด์นึกถึงคำพูดของผู้ช่วยเจ้ากรมคลัง เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นอย่างลึกซึ้งก็ตอนนี้เอง
    ในเมื่อเธอคือเปลวไฟ เธอจะกลัวตัวเองได้อย่างไร
    ไม่นานนักลูกกรงเหล็กก็เปลี่ยนจากสีแดงเข้มเป็นสีเหลืองสว่าง รูปทรงเริ่มละลายตามสีที่แปรเปลี่ยน นั่นแปลว่าอุณหภูมิของพวกมันสูงเกินหนึ่งพันห้าร้อยองศาแล้ว ในสภาวะที่ไม่มีระบบรักษาอุณหภูมิใดๆ ยังทำได้ถึงเพียงนี้ ถือว่าเกินความคาดหมายของโรแลนด์ไปมาก เขากับคนอื่นๆ พากันถอยห่างจากห้องขัง แทบจะฝังตัวติดกับผนังหินที่อยู่ไกลที่สุด
    หากไม่ทำเช่นนี้ ความร้อนจากเหล็กที่หลอมเหลวจะทำให้เสื้อผ้าลุกไหม้แม้ไม่ได้สัมผัสโดยตรง…เหมือนอย่างอันนาในเวลานี้ ชุดนักโทษของเธอกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ทั่วร่างถูกโอบล้อมด้วยเปลวไฟร้อนแรง
    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรกว่าเปลวไฟจะดับมอดลงจนหมด
    บนผนังเหลือเพียงคบไฟเล็กๆ ที่กำลังลุกไหม้อย่างเงียบงัน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อ อากาศที่ร้อนผ่าว ตลอดจนลูกกรงห้องขังที่ถูกเผาจนหงิกงอราวกับกรงเล็บปีศาจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน
    นอกจากโรแลนด์และหัวหน้าอัศวินที่ยังคงยืนอยู่ คนที่เหลือต่างทรุดฮวบลงกับพื้น พัศดีถึงกับตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้ว
    ในเวลานี้อันนากำลังยืนเปลือยอยู่นอกห้องขัง แม้เครื่องจองจำที่แขนจะหายไปแล้ว แต่เธอไม่คิดปกปิดเรือนร่างของตัวเองแม้แต่น้อย มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลกลับมานิ่งสงบดังเดิมอีกครั้ง
    “ข้าได้สนองความสงสัยใคร่รู้ของท่านแล้ว นายท่าน” เธอพูด “คราวนี้ฆ่าข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
    “ไม่” โรแลนด์เดินเข้าไปคลุมเสื้อนอกของตัวเองบนร่างของเธอ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด “อันนา ข้าต้องการว่าจ้างเจ้า”

     

    บทที่ 5 เหตุผล

     

    ‘กฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์หรืออุณหพลศาสตร์คือไม่มีกระบวนการใดที่ถ่ายโอนความร้อนจากวัตถุที่เย็นกว่าไปยังวัตถุที่ร้อนกว่าได้โดยไม่ก่อให้เกิดงานในระบบ นั่นคือเราไม่สามารถนำความร้อนจากแหล่งพลังงานเพียงแหล่งเดียวมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยปราศจากผลกระทบใดๆ หรือก็คือในกระบวนการที่ผันกลับไม่ได้ เอนโทรปี* จะมากกว่าศูนย์’

    โรแลนด์บรรจงเขียนกฎข้อนี้ลงบนกระดาษ…ด้วยตัวอักษรของคนโลกนี้ มองเผินๆ ดูคล้ายภาษาไส้เดือนมาก เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนที่นี่เรียนรู้ตัวอักษรที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
    หากถามว่าในบรรดากฎฟิสิกส์มากมายเหล่านี้ ข้อไหนชวนให้ปวดหัวที่สุด โรแลนด์จะต้องเลือกกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์อย่างไม่ต้องสงสัย นิยามของกฎข้อนั้นคือ ‘พลังงานความร้อนบนโลกนี้จะไหลจากสูงไปต่ำเสมอ ความไม่เป็นระเบียบเข้าแทนที่ความเป็นระเบียบ เอนโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดทุกอย่างจะกลับสู่ความว่างเปล่า จักรวาลกลายเป็นความเงียบสงัด’
    ทว่าในโลกแห่งนี้ การเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป พลังวิเศษสามารถเกิดขึ้นได้จากความว่างเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการคิดค้นเครื่องจักรนิรันดร์* เสียอีก! พลังแห่งปีศาจหรือ โรแลนด์ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างดูถูก พวกเขายังไม่รู้จักพลังนี้อย่างแท้จริงต่างหาก หากพูดให้ใหญ่โตเสียหน่อย มันสามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลนี้ได้ทั้งจักรวาลเชียวล่ะ
    แน่นอนว่าตอนนี้เขาคงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเมืองชายแดนก่อน
    โรแลนด์ฮัมเพลงพลางฉีกกระดาษใส่เตาผิง มองดูมันกลายสภาพเป็นขี้เถ้าในกองไฟรู้สึกสะใจที่ได้หลุดพ้นจากพันธนาการ
    ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังมองพฤติกรรมประหลาดของเจ้าชายด้วยความงุนงง ยังดีที่อีกฝ่ายมักทำเรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร นอกจากนี้เขายังดูออกด้วยว่าเจ้าชายกำลังอารมณ์ดีไม่น้อย
    “เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ‘แม่มด’ ถูกแขวนคอไปแล้วตอนเที่ยง” บารอฟรายงาน
    “อืม คงไม่มีใครจับได้ใช่ไหม” โรแลนด์จรดปลายพู่กันเบาๆ “อย่างไรเสียก็คลุมหัวไว้”
    เพื่อป้องกันศาสนจักรและสมาคมแม่มดบุกมาถึงที่นี่ โรแลนด์จึงสั่งให้พัศดีหานักโทษประหารที่มีรูปร่างคล้ายเคียงมาปลอมเป็นอันนา นอกจากหัวหน้าอัศวินและผู้ช่วยเจ้ากรมคลังแล้ว คนอื่นๆ จะได้รับค่าปิดปากเป็นเงินยี่สิบเหรียญทอง ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากสำหรับพวกเขา
    บารอฟเคยถามว่าเขาต้องการปิดปากพยานไปตลอดกาลหรือไม่ แต่โรแลนด์ปฏิเสธ เขาเองก็รู้ว่าความลับพวกนี้คงปิดไว้ไม่ได้นาน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขานึกอยากให้ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปด้วยซ้ำ…แค่ซื้อเวลาตอนนี้เอาไว้ก่อน จะอย่างไรสักวันหนึ่งเขาก็ต้องแตกหักกับศาสนจักรอยู่ดี ใครจะยอมให้พวกโง่เง่านั่นเหยียบย่ำทรัพยากรดีๆ เช่นนี้ล่ะ! หากแม่มดคนอื่นรู้ว่าชายแดนของอาณาจักรมีเมืองเล็กๆ ที่พร้อมให้พวกเธอใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ หรือแม้กระทั่งให้ค่าตอบแทนอย่างงามแล้ว พวกเธอจะคิดอย่างไรกัน
    ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ทรัพยากรบุคคลคือสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ
    “เช่นนั้นก็ตามนี้” โรแลนด์สั่ง “เจ้าไปสรุปรายงานการค้า การเก็บภาษี และรายจ่ายที่จำเป็นของเมืองชายแดนมาให้ข้าดู ส่วนโรงงานในเมืองจำพวกเหล็ก สิ่งทอ และเครื่องปั้นดินเผา เจ้าก็รวบรวมข้อมูลเรื่องจำนวนและขนาดมาให้ข้าด้วยแล้วกัน”
    “กระหม่อมต้องใช้เวลาจัดการข้อมูลพวกนี้สามวันพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” บารอฟพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
    “ยังมีอะไรอีกหรือ” โรแลนด์รู้ว่าถึงเวลาทดสอบฝีปากแล้ว การกระทำของเขาเมื่อวานย่อมทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัยไม่น้อย เขาเป็นจอมเสเพลก็จริง แต่นิสัยแย่ไม่ได้หมายความว่าสมองต้องแย่ไปด้วยนี่ ในสายตาของผู้ช่วยเจ้ากรมคลังแล้ว การซ่อนตัวแม่มดไว้คงไม่ต่างอะไรจากการประกาศตัวเป็นศัตรูต่อคนทั้งโลก
    “ฝ่าบาท…กระหม่อมไม่เข้าใจ…” บารอฟเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “แม้ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทจะทรงเกเรไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอันใด แต่ว่า…เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงยอมเสี่ยงถึงเพียงนี้เพื่อช่วยแม่มดเพียงคนเดียว ศาสนจักรเป็นคนออกกฎล่าแม่มดก็จริง แต่ราชาวิมเบิลดัน เสด็จพ่อของฝ่าบาทก็ทรงเห็นด้วยกับเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
    โรแลนด์คิดสักครู่ก่อนจะถามกลับ “เจ้าคิดว่าเมืองชายแดนแห่งนี้ดีหรือไม่”
    “เอ่อ คือ…” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับข้อสงสัยของตน แต่บารอฟก็ยังตอบไปตามจริง “ก็ไม่ถือว่าดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
    “เรียกว่าเลวร้ายเชียวล่ะ หากเทียบกับเมืองวาเลนเซียและท่าเรือเคลียร์ริเวอร์แล้ว เจ้าคิดว่าข้ามีโอกาสชนะพวกพี่น้องคนอื่นๆ มากแค่เพียงใดกัน”
    ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังอ้าปากพะงาบๆ ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
    “โอกาสแทบเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงต้องเปลี่ยนวิธี” โรแลนด์มองดูอีกฝ่ายเดินเข้าสู่กับดักที่ตัวเองวางไว้ทีละก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วิธีที่ทำให้เสด็จพ่อข้าจดจำข้าได้ขึ้นใจ”
    เขาไม่ได้เริ่มจากการถกเถียงว่าแม่มดชั่วร้ายจริงหรือไม่ เพราะการทำเช่นนั้นไม่ก่อให้เกิดผลอะไร…บารอฟเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมคลังมายี่สิบปี ถือว่าเป็นขุนนางมืออาชีพคนหนึ่ง สำหรับขุนนางแล้ว การโน้มน้าวด้วยผลประโยชน์ย่อมได้ผลกว่าการอ้างถึงความผิดชอบชั่วดี นอกจากนี้การจะยกเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาพูดก็ไม่เหมาะกับนิสัยของเจ้าชายเท่าไร เมื่อหวนนึกถึงพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ โรแลนด์ก็พบว่าเจ้าตัวไม่ใช่คนดีเลยจริงๆ
    ดังนั้นเขาจึงเลือกประเด็นความขัดแย้งตลอดกาลระหว่างอาณาจักรและศาสนจักรมาใช้เป็นหัวใจหลัก สภาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเรืองอำนาจขึ้นทุกวันเปรียบประดุจหนามยอกอกของราชาวิมเบิลดันที่สาม ศาสนจักรประกาศว่าโลกนี้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และพระสันตะปาปา* ก็คือทูตของพระเจ้า หากประชาชนพบว่าสิ่งที่ศาสนจักรพูดไม่ใช่ความจริง ย่อมต้องเกิดความเคลือบแคลง และอำนาจการปกครองของศาสนจักรก็จะถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง
    หากเขาพูดว่า ‘แม่มดไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ดังนั้นข้าจึงอยากช่วยพวกนาง’ คงโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ยาก สู้เปลี่ยนเป็น ‘แม่มดไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ข้าสามารถอาศัยจุดนี้มาโจมตีศาสนจักรได้’ ยังน่าจะทำให้บารอฟเอนเอียงมาทางเขาได้มากกว่า
    “ต่อให้พวกพี่น้องของข้าปกครองดินแดนได้เจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด สุดท้ายก็ตกอยู่ใต้อำนาจของศาสนจักรอยู่ดี ศาสนจักรเที่ยวประกาศเรื่องเทวสิทธิราชย์ปาวๆ หากพระราชาที่ชอบธรรมหมายถึงคนที่พระสันตะปาปาสวมมงกุฎให้เท่านั้น แล้วพวกเราจะยังเหลืออำนาจใดในการปกครองอาณาจักรนี้” โรแลนด์หยุดไปเล็กน้อย “คราวนี้เสด็จพ่อจะทรงเห็นความหวังจากตัวข้า ซึ่งก็คือดินแดนที่ไม่ตกอยู่ใต้การควบคุมของสภาศักดิ์สิทธิ์ และมีเชื้อพระวงศ์เป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเสด็จพ่อจะทรงเลือกใคร”
    เพียงเปลี่ยนวลีที่ว่า ‘เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก’ มาเป็น ‘เป็นศัตรูกับศาสนจักร’ ก็ทำให้คนยอมรับได้ง่ายขึ้นแล้ว…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบารอฟที่ยืนข้างเดียวกับราชวงศ์มาตั้งแต่ต้น
    “ในทำนองเดียวกัน หากเสด็จพ่อเล็งเห็นว่ากลุ่มคนที่มีพลังวิเศษเหล่านี้สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสั่นคลอนศาสนจักรแล้วล่ะก็ คำสั่งไล่ฆ่าก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น ทางหนึ่งมีโอกาสเป็นศูนย์ อีกทางมีโอกาสมากกว่าศูนย์ เจ้าคิดว่าข้าควรเสี่ยงหรือไม่เล่า” โรแลนด์จ้องผู้ช่วยเจ้ากรมคลัง พูดเน้นทีละคำ “อย่าสงสัยการตัดสินใจของข้า บารอฟ เจ้าเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมคลังมายี่สิบปีแล้วใช่หรือไม่ หากว่าข้าได้เป็นราชาวิมเบิลดันที่สี่จริงๆ เจ้าก็ตัดคำว่าผู้ช่วยทิ้งไปได้เลย ไม่แน่ว่าเจ้าอาจได้ตำแหน่งที่ดีกว่านั้น อย่างเช่น…มือขวาพระราชา”

    โรแลนด์มองตามหลังบารอฟที่เดินจากไปก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจต่อคำสัญญาของเขานัก ซึ่งก็เข้าใจได้ แม้แต่โรแลนด์เองยังไม่เชื่อเลยว่าแผนการเหลวไหลที่เพิ่งแต่งขึ้นเมื่อครู่จะเป็นจริงได้ แต่แล้วยังไงล่ะ สิ่งสำคัญคือการทำให้บารอฟเชื่อว่าตัวเขาวางแผนไว้เช่นนั้นต่างหาก…แผนโง่ๆ ที่ไม่ซับซ้อนเกินสติปัญญาของเจ้าชายจอมเสเพล สอดคล้องกับตัวตนของเจ้าชายที่เกลียดศาสนจักร ทั้งยังช่วยปูทางสู่การรวบรวมแม่มดในอนาคตอีก
    ส่วนความคิดจริงๆ ของเขาน่ะหรือ ต่อให้พวกเขารู้ก็คงไม่มีวันเข้าใจอยู่ดี
    โรแลนด์เรียกสาวใช้เข้ามา “เรียกอันนามาพบข้า”
    จากนี้ไปก็ได้เวลาทำงานใหญ่แล้ว เขาคิดอย่างกระตือรือร้น

     

    บทที่ 6 ฝึกฝน (1)

     

    ในสวนดอกไม้ด้านหลังปราสาทมีกระท่อมเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหลัง ผนังทุกด้านสร้างขึ้นจากแผ่นไม้ โดยเว้นช่องว่างไว้เป็นหน้าต่างสองบาน
    กลางกระท่อมมีสระทรงสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐเขียว กว้างยาวประมาณสามเมตร ข้างในถมดินเหลืองจนเต็ม เมื่อผสมน้ำลงดินในปริมาณที่เหมาะสม ดินจะติดไฟยากและมีความเหนียวในระดับหนึ่ง สามารถใช้พลั่วขุดเป็นรูปทรงที่ต้องการได้ บนดินเหลืองยังมีแท่งเหล็กกองอยู่หลายแท่ง…คาร์เตอร์ไปเอาเหล็กพวกนี้มาจากช่างเหล็ก
    ข้างสระมีบ่ออยู่หนึ่งบ่อ โรแลนด์ถูกใจบ่อนี้มากจึงสั่งให้คนมาสร้างกระท่อมที่นี่
    ทว่าหากจะใช้เป็นห้องทดลองแล้ว ที่นี่ก็ยังถือว่าหยาบเกินไป เขาส่ายหน้า ของที่สร้างเสร็จในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนจะสมบูรณ์แบบดั่งใจนึกได้อย่างไร ส่วนห้องที่จะใช้งานจริงนั้น ต้องรอบารอฟรวบรวมวัสดุอุปกรณ์ให้ครบก่อนจึงค่อยเลือกทำเลก่อสร้าง
    “เป็นอย่างไร เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
    เขาหันไปยิ้มถามอันนาที่มีสีหน้างงงัน
    เธอในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่อยู่ในคุกราวกับคนละคน…หลังจากผ่านการขัดสีฉวีวรรณอย่างดี ผมบลอนด์ประบ่าของเธอก็ดูนุ่มเป็นประกาย ผิวที่ไม่ได้รับการบำรุงก็ดูเปล่งปลั่งเพราะยังเยาว์วัย รอยกระจางๆ บริเวณสันจมูกยิ่งเพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาให้เธอ แม้ร่างผอมบางนั้นยังดูคล้ายจะปลิวตามลมได้ทุกเมื่อ ทว่าพวงแก้มของเธอก็เริ่มมีสีระเรื่อแล้ว รอยเขียวช้ำและรอยรัดบริเวณคอก็จางลงกว่าเมื่อวานมาก โรแลนด์คิดว่านอกจากความสามารถที่เหนือธรรมชาติแล้ว แม่มดคงได้รับพลังทางกายภาพด้วย อย่างน้อยดูจากการฟื้นฟูร่างกายก็ได้ อันนาฟื้นฟูร่างกายได้เร็วกว่าคนธรรมดามาก
    “อันที่จริงเจ้าเจอเรื่องร้ายๆ มาไม่น้อย ข้าควรให้เจ้าพักผ่อนหลายวันหน่อย แต่ตอนนี้เวลากระชั้นมากจริงๆ ไว้ข้าจะชดเชยให้เจ้าทีหลัง” โรแลนด์เดินวนรอบตัวสาวน้อยหนึ่งรอบ “เสื้อผ้าชุดนี้ใส่พอดีตัวไหม”
    ชุดที่อันนาสวมอยู่นี้เขาบรรจงเลือกสรรมาจากที่ต่างๆ…เพื่อสนองความสุขส่วนตัวของเขาเอง ชุดที่ปกปิดทั้งตัวอย่างช่างหลอมเหล็กดูจะหนาและหนักเกินไป ไม่เหมาะกับเธอ ชุดนักเวทในเกมแม้จะดูสง่างาม แต่ก็ขยับตัวได้ไม่สะดวก ชายชุดอาจติดประกายไฟและถูกเผาเป็นขี้เถ้าได้ง่าย ส่วนชุดสาวใช้น่ะ หึ จะมีอะไรเหมาะไปกว่านี้อีก
    แม้ว่าในโลกนี้ยังไม่มีชุดสาวใช้เป็นจริงเป็นจัง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร ชุดทำงานของพวกคนรับใช้ในปราสาทก็มีเค้าโครงคล้ายกับชุดสาวใช้ในยุคหลังพอสมควร ดังนั้นโรแลนด์จึงให้ไทร์เอาชุดตัวเองมาปรับแก้ตามรูปร่างของอันนา ยกชายกระโปรงให้สั้นขึ้น เปลี่ยนเสื้อแขนยาวเป็นแขนสั้น เปลี่ยนคอกลมเป็นคอปกแล้วผูกโบ เท่านี้ก็ได้ชุดแม่มดแบบใหม่แล้ว
    เพียงจับคู่กับหมวกแม่มดปลายแหลม (สั่งตัด) รองเท้าบูตยาวสีดำ (มีอยู่แล้ว) และผ้าคลุมยาวไม่เกินหัวเข่า (สั่งตัด) ตัวละครที่เคยเห็นแต่ในหนังก็มายืนอยู่ตรงหน้าโรแลนด์แล้ว
    “ฝ่าบาท…ทรงต้องการให้หม่อมฉันทำอะไรเพคะ”
    อันนาตามความคิดของเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้าไม่ทันจริงๆ หรือสมองของเธอจะเริ่มใช้การไม่ได้แล้ว ตอนที่ถูกคนจับใส่กระสอบแล้วลากออกมาจากคุก เธอยังคิดว่าชีวิตที่ถูกสาปแช่งของตนคงจะสิ้นสุดในอีกไม่ช้า ทว่าเมื่อถอดกระสอบคลุมศีรษะออก ภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่แท่นแขวนคอหรือกิโยตีน แต่เป็นห้องขนาดใหญ่อันโอ่อ่าหรูหรา จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็กรูเข้ามาจับเธอถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำให้ เธอถูกขัดถูตั้งแต่รักแร้ไปจนถึงง่ามเท้า ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่ถูกขัดจนสะอาดสะอ้าน
    จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการสวมเสื้อผ้า เธอไม่คิดเลยว่าแค่สวมเสื้อผ้าก็ต้องมีคนมาช่วยสวมให้ และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสื้อผ้าจะมีสัมผัสที่ลื่นสบายได้ถึงเพียงนี้…มันปกคลุมลำตัวเธออย่างนุ่มนวล ไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย
    คนสุดท้ายที่เข้ามาในห้องคือชายชราหนวดขาว เขาไล่ทุกคนออกไปก่อนจะวางสัญญาฉบับหนึ่งลงตรงหน้าเธอ คราวนี้อันนาถึงได้รู้ว่าคนที่ต้องการจะจ้างเธอคือเจ้าชายลำดับที่สี่ของอาณาจักร และคำพูดในวันนั้นก็ไม่ใช่คำลวง ในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหากเธอทำงานรับใช้เจ้าชาย เธอจะได้เงินหนึ่งเหรียญทองเป็นค่าตอบแทนรายเดือน
    อันนารู้ดีว่าเงินหนึ่งเหรียญทองหมายถึงอะไร พ่อของเธอทำงานในเหมืองทั้งวัน ได้ค่าตอบแทนตามปริมาณแร่ที่ขุดได้ ในช่วงที่รายได้ดีที่สุดยังได้แค่หนึ่งเหรียญเงิน หากจะแลกเป็นเหรียญทองก็ต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงิน มิหนำซ้ำยังต้องดูด้วยว่าเหรียญเงินที่ใช้แลกนั้นบริสุทธิ์พอหรือไม่
    ถ้าอย่างนั้นงานของเธอคืออะไร นอนกับเจ้าชายหรือ อันนาได้ยินพวกสาวใช้กระซิบกระซาบกันเช่นนั้นระหว่างที่เธออาบน้ำ แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองมีค่าถึงเพียงนั้น เลือดที่แปดเปื้อนความชั่วร้าย คนใฝ่ต่ำที่สกปรกโสมม…คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอต่างพากันหลบหน้าหนีหาย ต่อให้เจ้าชายจะสนใจในพลังของเธอมากจนถึงขั้นไม่หวาดกลัวปีศาจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ค่าตอบแทนใดๆ แก่เธอเลย
    คืนนั้นไม่มีใครมาเรียกตัวเธอไป อันนาจึงได้นอนหลับสบาย…มันเป็นเตียงที่นุ่มที่สุดเท่าที่เธอเคยสัมผัสมาทั้งชีวิต นุ่มจนเธอผล็อยหลับทันทีที่ทิ้งตัวลงไป กว่าจะตื่นก็ล่วงเข้าช่วงเที่ยงของอีกวันไปแล้ว อาหารเที่ยงถูกยกเข้ามาให้เธอถึงในห้อง มีขนมปัง เนยแข็ง และสเต๊กเนื้ออีกหนึ่งชิ้น เธอตั้งใจจะตายแล้วแท้ๆ…คนที่ยอมทิ้งได้แม้กระทั่งชีวิตยังจะเหลือความอาลัยใดให้โลกใบนี้อีก ตอนแรกเธอยังคิดอย่างนั้น แต่หลังจากส่งสเต๊กเนื้อเข้าปากแล้ว น้ำตาของอันนาก็เอ่อล้นออกมา
    ซอสและผงพริกไทยผสมผสานรสชาติอันกลมกล่อมอยู่ในปาก ความเผ็ดหวานจัดจ้านจู่โจมต่อมรับรสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทิ้งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วช่องปากแม้ว่ากลืนลงคอไปแล้ว…เธอพลันรู้สึกว่าโลกนี้ยังพอมีสิ่งสวยงามอยู่บ้าง
    หากได้กินอาหารเช่นนี้ทุกวัน ต่อให้ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ปีศาจเข้ากัดกินร่างกาย เธอก็คงมีความกล้าที่จะต่อสู้ขึ้นมาบ้างกระมัง
    ขณะยืนอยู่ในกระท่อมไม้ที่ดูไม่เหมือนห้องขังและไม่มีทางเป็นห้องนอนของเจ้าชาย อันนาได้แอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าหากเป็นความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ว่าเขาจะให้เธอสวมชุดประหลาดนี้ก็ดี หรือจะให้แสดงพลังอันน่าเหลือเชื่อก็ช่าง เธอก็ยินดีจะลองดูสักครั้ง ดังนั้นอันนาจึงถามซ้ำอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีแววลังเลอีกต่อไป
    “ฝ่าบาท ทรงต้องการให้หม่อมฉันทำอะไรเพคะ”
    “ตอนนี้เจ้าแค่พยายามควบคุมพลังตัวเองให้ได้ก็พอ ลองฝึกซ้ำไปซ้ำมา จนเรียกใช้หรือสั่งหยุดได้ดังใจ”
    “ฝ่าบาททรงหมายถึงพลังของปี…”
    “ไม่ใช่ อันนา” โรแลนด์ขัดขึ้น “พลังของเจ้าเองต่างหาก”
    แม่มดกะพริบดวงตาสีฟ้าแสนสวยของเธอ
    “คนส่วนใหญ่ยังมีอคติกับพวกเจ้าคิดว่าแม่มดได้รับพลังมาจากปีศาจ เป็นสิ่งชั่วร้ายเลวทราม แต่พวกเขาเข้าใจผิดถนัด” โรแลนด์ย่อตัวลง สบตากับอีกฝ่าย “เจ้าคงไม่คิดเช่นนั้นเหมือนกันใช่หรือไม่”
    เขานึกถึงเสียงหัวเราะเบาๆ ของอันนาตอนอยู่ในคุก คนที่คิดว่าตัวเองชั่วร้ายคงไม่เปล่งเสียงหัวเราะเจือแววเย้ยหยันตัวเองเช่นนั้นหรอก
    “หม่อมฉันไม่เคยใช้มันทำร้ายใคร” เธอพูดเสียงเบา “ยกเว้นโจรชั่วคนนั้น”
    “การตอบโต้ศัตรูไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เจ้าทำถูกแล้ว ผู้คนกลัวเจ้าเพราะพวกเขายังไม่เข้าใจ…พวกเขารู้เพียงว่าคนที่หมั่นฝึกฝนจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่รู้ว่าคนกลายเป็นแม่มดได้อย่างไร พลังที่ไม่มีใครรู้จักย่อมน่ากลัวเสมอ”
    “แต่ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวแม้แต่น้อย” อันนาพูด
    “เพราะข้ารู้ว่าพลังนั้นเป็นของเจ้า” โรแลนด์หัวเราะ “หากโจรผู้นั้นก็มีพลังอันน่าตกใจเช่นเดียวกับเจ้า ข้าคงไม่กล้ายืนต่อหน้าเขาแน่”
    “เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มกันดีกว่า” เขาว่า

     

    บทที่ 7 ฝึกฝน (2)

     

    เปลวไฟผุดขึ้นมาจากใต้เท้าเธอก่อนจะดับวูบอย่างรวดเร็ว
    นี่คือการฝึกครั้งที่ยี่สิบสาม
    เธอล้มเหลวอีกครั้ง
    หน้าผากของอันนาผุดเหงื่อออกมาเป็นเม็ดๆ เธอใช้หลังมือปาดทิ้ง ไอร้อนพลันลอยขึ้นมาส่งเสียงดังซ่าๆ
    เธอเริ่มการฝึกต่อทันทีโดยไม่คิดหยุดพัก ชุดแม่มดนั้นถูกพับวางไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย หากไม่ใช่เพราะเธอยืนยันจะทำเช่นนี้แต่แรก ชุดแม่มดคงถูกไฟเผาเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว
    โชคดีที่โรแลนด์เป็นเจ้าชาย จึงหาชุดจำนวนมากมาให้เธอได้ไม่ยาก เขาให้ไทร์ส่งชุดทำงานตัวยาวมาหนึ่งลังเต็มๆ…ซึ่งก็เป็นชุดที่รวบรวมมาจากบรรดาสาวใช้ทั้งนั้น
    ในที่สุดการฝึกครั้งที่ยี่สิบสี่ก็ประสบผล เปลวไฟไม่ได้ผุดขึ้นจากเท้าเธอแล้ว มันเปลี่ยนมาลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเธอแทน อันนาขยับช่วงแขนอย่างระมัดระวัง หวังให้ไฟเคลื่อนลงไปอยู่ที่ปลายนิ้ว ทว่าเปลวไฟกระตุกอยู่สองครั้ง ก่อนจะวิ่งย้อนขึ้นไปตามแขนพร้อมกับเสียงลุกไหม้ เปลวไฟยังลามไปตามส่วนอื่นๆ ของชุดด้วยเช่นกัน
    อันนาดับไฟ ถอดชุดที่ไหม้ไปซีกหนึ่งทิ้งด้วยสีหน้านิ่งเรียบ จากนั้นหันไปหยิบตัวใหม่ในลังมาใส่
    ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ โรแลนด์จะเสมองไปทางอื่น…แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขาเลยก็ตาม
    อันที่จริงหากไม่ได้โรแลนด์ขอร้องแกมบังคับล่ะก็ เธอคงเปลือยกายฝึกไปแล้ว แต่ถ้าทำเช่นนั้นโรแลนด์ก็จะดูเธอฝึกไม่ได้ เขาไม่สามารถมองผู้หญิงเปลือยกายด้วยใจที่สงบได้…โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยิ่งทวีเสน่ห์ดึงดูดใจยามร่างกายลุกเป็นไฟเช่นนั้น
    โรแลนด์ส่ายหน้าสะบัดความคิดสกปรกทิ้งไป เท่าที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าการฝึกใช้พลังจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาตั้งเป้าให้อันนาว่าเธอจะต้องปล่อยเปลวไฟออกจากฝ่ามือหรือนิ้วเท่านั้น ห้ามให้มันลามมาถึงเสื้อผ้าบนตัว และต้องรักษาอุณหภูมิให้สูงพอที่จะหลอมแท่งเหล็กในสระด้วย
    หลังการฝึกครั้งที่สามสิบจบลงด้วยความล้มเหลว โรแลนด์ก็สั่งให้เธอหยุด
    “พักก่อนเถอะ”
    อันนานิ่งอึ้งมองเขา ไม่ยอมขยับตัวหรือโต้ตอบอะไร
    โรแลนด์จึงต้องจูงมือพาสาวน้อยเดินไปที่เก้าอี้ แล้วกดตัวเธอให้นั่งลง
    “เจ้าเหนื่อยแล้ว หากเหนื่อยก็ควรพักสักครู่ อย่าฝืนตัวเองเกินไป พวกเรายังมีเวลาอยู่” เขาช่วยซับเหงื่อที่หน้าผากให้เธอ “มาจิบชายามบ่ายกันก่อนดีกว่า”
    โรแลนด์รู้ว่าบรรดาชนชั้นสูงในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลไม่มีธรรมเนียมจิบชายามบ่าย กำลังการผลิตของโลกนี้ยังต่ำอยู่ ผู้คนไม่มีเวลามาดื่มด่ำอาหารอันประณีต…จะกินให้ครบสามมื้อยังยาก ไม่ต้องพูดถึงมื้อที่สี่เลย ส่วนพวกลูกเศรษฐีที่มีเวลาว่างทั้งวันก็มักไปกระจุกตัวกันตามโรงเหล้าหรือบ่อนพนันเสียมากกว่า
    แต่ธรรมเนียมนี้ต่อให้ไม่มีเขาก็สร้างขึ้นเองได้ ขนมเขามีอยู่แล้ว ส่วนชาไม่มีก็ใช้เบียร์แทน…ในตอนที่รู้ว่าต้องย้ายไปอยู่เมืองชายแดนห่างไกลความเจริญ เจ้าชายก็หอบสาวใช้ บ่าวไพร่ และพ่อครัวมาด้วย
    ดังนั้นธรรมเนียมจิบชายามบ่ายจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กระท่อมไม้หยาบๆ ในสวนดอกไม้หลังปราสาท
    อันนาจ้องขนมหน้าตาประณีตในแต่ละจาน แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง มีของกินที่ดูสวยงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ
    แม้จะไม่รู้ชื่อเรียก แต่การผสมผสานกันระหว่างตัวขนมสีขาวกับผลไม้สีแดงสดก็ชวนให้น้ำลายสอแล้ว โดยเฉพาะเส้นสายลวดลายที่ประดับตกแต่งอยู่รอบนอก ยิ่งช่วยเปิดโลกของเธอได้อีกขั้น
    โรแลนด์มองสีหน้าเหลอหลาของอันนาอย่างภาคภูมิใจ แค่เค้กสตรอเบอรี่ธรรมดาๆ ยังทำเธอตกใจได้ถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำสตรอเบอรี่ก็ผ่านการเชื่อมมาแล้ว รสชาติไม่สดใหม่แล้วด้วย
    สิ่งที่น่าเพลิดเพลินกว่าการกินก็คือการสังเกตสีหน้าของแม่มด โรแลนด์มองดูอีกฝ่ายตักเค้กเข้าปากอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแทบจะฉายแสงได้ เส้นผมพลิ้วไหวไปมา เหมือนเขากำลังดูการ์ตูนทำอาหารอยู่อย่างไรอย่างนั้น
    …อาหารที่ไม่มีประกายไม่ใช่อาหารที่ดี!*
    ใช้ได้ ตัวละครตัวนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลย
    ดังนั้นการดูอันนาฝึกฝนพลังและจิบชายามบ่ายด้วยกันจึงกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของโรแลนด์ไปโดยปริยาย ส่วนงานบริหารแม้เขาไม่ได้ใส่ใจ บารอฟก็ช่วยจัดการให้อย่างดีอยู่แล้ว
    สามวันต่อมา บารอฟก็ส่งข้อมูลต่างๆ ของเมืองชายแดนมาที่ห้องทำงานของโรแลนด์ หากเป็นเมื่อก่อน นี่คงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก เจ้าชายน่ะหรือจะทนอ่านรายงานน่าปวดหัวกองโตถึงเพียงนั้นได้
    ที่จริงเขาก็ไม่ได้อ่านหรอก โรแลนด์อ่านได้สองบรรทัดก็ตาลายแล้ว จึงสั่งบารอฟตรงๆ ว่า “เจ้าอ่านให้ข้าฟังที”
    เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการฟังผู้ช่วยเจ้ากรมคลังอ่านรายงานจนจบ แล้วเขาก็พบความผิดปกติบางอย่าง “เหตุใดรายได้จากภาษีและการค้าช่วงฤดูหนาวถึงเป็นศูนย์ทุกปี”
    ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำ หากผลผลิตต่างๆ จะลดลงบ้างก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ถึงกับลดลงจนเหลือศูนย์นี่หมายความว่าอย่างไร ชาวเมืองที่นี่จำศีลกันหรือ
    บารอฟกระแอม “ฝ่าบาท ทรงลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฤดูหนาวเป็นเดือนแห่งปีศาจ เมืองชายแดนป้องกันตัวเองไม่ได้ ชาวเมืองทั้งหมดจึงย้ายไปอยู่ที่ป้อมปราการลองซอง แต่วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ความปลอดภัยของฝ่าบาทย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
    “เดือนแห่งปีศาจหรือ” โรแลนด์ลองนึกดู เหมือนว่าจะมีศัพท์คำนี้อยู่จริงๆ…ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจเรื่องภูตผีหรือแม่มดผู้ชั่วร้าย คิดว่าเป็นเพียงตำนานเล่าขานของโลกที่ยังไม่เจริญเท่านั้น แต่ตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าแม่มดมีอยู่จริง ส่วนจะชั่วร้ายหรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกที แล้วถ้าอย่างนั้น…ตำนานภูตผีอื่นๆ ที่เล่าลือกันอย่างแพร่หลายล่ะ จะเป็นจริงด้วยไหม
    ตอนที่เจ้าชายองค์นี้เรียนหนังสือในราชสำนัก ครูสอนประวัติศาสตร์เคยอธิบายเรื่องเดือนแห่งปีศาจอย่างละเอียด หลังหิมะแรกของฤดูหนาวตกลงมา ดวงอาทิตย์จะอับแสง ประตูนรกในเทือกเขาดรากอนส์แบ็คจะเปิดออก
    กลิ่นอายของปีศาจจากนรกจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตแล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นทาส บรรดาสัตว์จะกลายเป็นสัตว์อสูรทรงพลัง บุกเข้าโจมตีมนุษย์ แม่มดส่วนใหญ่เองก็ถือกำเนิดในฤดูนี้ แถมพลังของพวกเธอยังแกร่งกล้ากว่าปกติด้วย
    “เจ้าเคยเห็นประตูนรกหรือไม่” โรแลนด์ถาม
    “ฝ่าบาท คนธรรมดาจะเห็นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” บารอฟส่ายหน้ารัว “อย่าว่าแต่เทือกเขาดรากอนส์แบ็คที่ไม่มีทางข้ามไปได้เลย แม้แต่เทือกเขาใกล้ๆ นี้ก็ถูกกลิ่นอายปีศาจปกคลุมทั้งสิ้น หากคนธรรมดาเข้าไปใกล้ อย่างเบาก็ปวดหัว อย่างหนักก็เสียสติ นอกเสียจากว่า…”
    “นอกเสียจากว่าอะไร”
    “นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะเป็นแม่มด ผู้ที่มองเห็นประตูนรกได้มีเพียงแม่มดเท่านั้น เพราะพวกนางเป็นสมุนของปีศาจอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้รับอันตรายจากกลิ่นอายปีศาจพ่ะย่ะค่ะ” พูดถึงตรงนี้บารอฟก็เหลือบไปมองสวนดอกไม้ด้านหลัง
    “แล้วสัตว์อสูรเล่า เจ้าคงเคยเห็นมาก่อนกระมัง” โรแลนด์เคาะโต๊ะเรียกสายตาเขาให้กลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
    “เอ่อ กระหม่อมไม่เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็มาที่ชายแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนฝ่าบาท คนในเมืองหลวงแทบไม่มีใครได้พบเจอสิ่งชั่วร้ายที่แท้จริงหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
    ชาวเมืองชายแดนต้องอพยพกันปีละครั้งเช่นนี้ แล้วเมืองจะเจริญได้อย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่าเมืองชายแดนเพียงแค่แร้นแค้นไม่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีศักยภาพพอจะพัฒนาได้ มาตอนนี้ดูท่าจะยากแล้ว
    “ป้อมปราการลองซองสามารถต้านทานสัตว์อสูรได้ แสดงว่าพวกมันสามารถถูกฆ่าและเอาชนะได้! แล้วเหตุใดพวกเราไม่ลองอยู่สู้กับพวกมันที่เมืองชายแดนนี่เล่า”
    “ป้อมปราการลองซองมีกำแพงเมืองที่แข็งแรง และมีกองทัพอันแข็งแกร่งของดยุกไรอัน* ประจำการอยู่ เมืองชายแดนเทียบไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟอธิบาย “เมืองชายแดนแห่งนี้มีไว้เพื่อแจ้งข่าวเตือนภัยแก่ทางป้อมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงถูกสร้างอยู่ระหว่างเนินเขาทิศเหนือและแม่น้ำเรดริเวอร์พ่ะย่ะค่ะ”
    ไม่ต่างจากเหยื่อที่รอศัตรูมาขย้ำระหว่างทางเลยสักนิด โรแลนด์หัวเราะหยัน

     

    บทที่ 8 เดือนแห่งปีศาจ (1)

     

    หากคิดจะพัฒนาเมืองก็ต้องวางรากฐานให้มั่นคง ดินไม่ดียังปรับปรุงได้ พื้นที่เล็กไปยังขยายได้ แต่หากไม่มีคนอยู่อาศัย ทุกอย่างก็เป็นได้แค่ความฝัน
    หากดินแดนแห่งหนึ่งถูกชาวเมืองละทิ้งได้ทุกเมื่อแล้ว เช่นนั้นใครจะมาตั้งรกรากที่นี่ ใครจะยังทำมาหากินที่นี่ได้อย่างสบายใจ
    หลังจากผู้ช่วยเจ้ากรมคลังออกไปแล้ว โรแลนด์ก็เรียกคาร์เตอร์ หัวหน้าอัศวินของเขาเข้ามา
    “พาคนของเจ้าไปหาพวกทหาร นายพราน หรือชาวไร่มาพบข้า เขาต้องอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่าห้าปี ต้องเคยอยู่ถึงเดือนแห่งปีศาจด้วย หากหาคนที่เคยสู้กับสัตว์อสูรได้ยิ่งดี”
    หัวหน้าอัศวินจากไปแล้ว โรแลนด์นวดขมับพลางพลิกดูรายงานพวกนั้นต่อ
    สินค้าส่งออกที่สำคัญของเมืองนี้คือแร่และขนสัตว์ สินค้านำเข้าส่วนมากคืออาหาร โดยขนส่งผ่านแม่น้ำเรดริเวอร์ไปยังป้อมปราการลองซองหรือเมืองวิลโลว์ แร่ที่ส่งออกมีมากมายหลายชนิด ทั้งเหล็ก ทองแดง กำมะถัน คริสตัล ทับทิม ไพลิน…นับว่าเหมืองที่นี่มีแร่หลากหลายมาก เขาคิดถึงคำพูดของอันนาที่ว่าเมื่อก่อนเหมืองเนินเขาทิศเหนือเคยเป็นรังสัตว์ประหลาดไม่ทราบชนิด จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าลึกลงไปในอุโมงค์จะมีทางแยกมากน้อยเพียงใด
    เมื่อพลิกมาดูหน้าเสบียงอาหาร โรแลนด์ก็ถึงกับขมวดคิ้ว แร่ส่วนใหญ่ถูกขายให้ป้อมปราการลองซอง แต่อีกฝ่ายกลับจ่ายค่าสินค้าด้วยอาหาร ไม่ใช่เงินที่ใช้กันในอาณาจักร ว่ากันตามหลักแล้ว อย่างไรเสียอัญมณีก็นับเป็นสินค้ามีราคา ควรแลกเป็นอาหารได้จำนวนมาก ทว่าจากการค้าขายตลอดหลายปีมานี้ เมืองชายแดนกลับไม่มีเสบียงสะสมมากเท่าไร ฐานะทางการเงินก็ไม่ได้ร่ำรวย
    หรือจะพูดอีกอย่างก็คือผลผลิตแร่ทั้งปีของเมืองแลกได้เพียงเสบียงอาหารสำหรับชาวเมืองสองพันคนเท่านั้น ก่อนเจ้าชายจะย้ายมา ผู้ปกครองเมืองนี้ที่คอยดูแลเรื่องแร่ก็เป็นพวกเดียวกับป้อมปราการลองซอง พวกเขาผลิตเองขายเองก็เข้าใจได้อยู่ อย่างไรเสียในสายตาพวกเขา ต่อให้ที่นี่ตุนเสบียงไว้มากเพียงใดก็ต้องกลายเป็นของสัตว์อสูรอยู่ดี
    ส่วนการค้าขนสัตว์นั้นเป็นกิจการของชาวเมืองท้องถิ่น พวกเขาจะเข้าไปล่าสัตว์นานาชนิดในป่าเร้นลับทางตะวันตก แล้วขายให้ผู้รับซื้อจากป้อมปราการลองซองหรือชาวเมืองวิลโลว์ เมืองชายแดนไม่ได้เก็บภาษีจากการค้าเหล่านี้ เพราะไม่สามารถตามควบคุมได้ตลอด
    โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในเมื่อเขามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็จะไม่ยอมให้ทางป้อมจ่ายค่าแร่ด้วยอาหารอีก แม่น้ำเรดริเวอร์แตกสาขาเชื่อมโยงไปเกือบทั่วอาณาจักร การคมนาคมขนส่งถือว่าไม่ติดขัด เมื่อมีเส้นทางหลักสำหรับขนส่งสินค้าเช่นนี้ ต่อให้ป้อมปราการลองซองไม่ส่งอาหาร พวกเขาก็ยังไปซื้อจากที่อื่นได้อยู่ดี
    บอกแล้วว่าเขาสามารถอยู่สู้กับสัตว์ประหลาดบ้าๆ ที่เมืองชายแดนแห่งนี้ได้
    คาร์เตอร์ทำงานรวดเร็วว่องไว วันรุ่งขึ้นก็พาทหารสองนายกับนายพรานอีกหนึ่งคนมาพบเขา “สองคนนี้คือนายกองลาดตระเวนของเมืองชายแดน มีหน้าที่จุดสัญญาณเตือนภัยทุกปี ส่วนนายพรานคนนี้บอกว่าเขาเคยสู้กับสัตว์อสูรมาก่อน และเคยตัดหัวสัตว์อสูรกับมือด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
    คนทั้งสามโค้งตัวทำความเคารพพร้อมกัน
    โรแลนด์พยักหน้าสั่งให้พวกเขาถอยไปอีกด้าน แล้วเรียกเข้ามาซักถามทีละคน
    “ทูลจะ…เจ้าชายที่…ที่เคารพ…” ทหารที่ถูกเรียกคนแรกตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นภาษา “กระหม่อมกับไบรอันเป็น…เป็นคนที่นี่…พอหิมะตกแล้ว พวกเราก็จะ…จะมุ่งหน้าไปที่หอ…หอส่งสัญญาณไฟที่เหมืองเนินเขาทิศเหนือ ที่นั่นสา…สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หากพวกมันข้าม…ข้ามป่าเร้นลับมาเมื่อไร พวกเราก็จะจุด…จุดไฟสัญญาณ แล้วถอยไปทางถนน…ถนนเส้นเล็ก เพื่อหนีขึ้นเรือที่เตรียมไว้ล่วง…หน้าพ่ะย่ะค่ะ”
    “ในเมื่อพวกเจ้ามาด้วยกัน ก็เรียกคู่หูเจ้ามาตอบแทนดีกว่า” โรแลนด์ปิดหน้าส่ายหัว “สัตว์อสูรรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเราฆ่ามันได้หรือไม่”
    ทหารอีกนายก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงกับติดอ่าง “ทูลเจ้าชาย น่าจะได้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อก่อนพวกมันก็เป็นสัตว์ป่าธรรมดาทั่วไป แม้จะถูกพลังปีศาจกระตุ้นจนดุร้ายบ้าคลั่ง แต่ก็ยังสังหารได้พ่ะย่ะค่ะ ทุกๆ ปีหลังพ้นเดือนแห่งปีศาจไปแล้ว ป้อมปราการลองซองจะส่งทหารม้ามาเก็บกวาดซากสัตว์ระหว่างทางจากป้อมไปเมืองชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”
    “แล้วเดือนแห่งปีศาจกินเวลานานเท่าไร”
    “โดยปกติก็ประมาณสองถึงสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ…แต่จะให้แน่นอนต้องดูพระอาทิตย์” ไบรอันตอบ
    “ดูพระอาทิตย์หรือ” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
    “พ่ะย่ะค่ะ” ทหารอธิบาย “ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จมาที่นี่ได้ไม่นานจึงไม่รู้ เมืองชายแดนแห่งนี้ หากหิมะตกแล้วก็จะตกต่อเนื่องไปตลอด จนกระทั่งพระอาทิตย์กลับมาสว่างอีกครั้ง หิมะถึงเริ่มละลายไป”
    “เมื่อหิมะละลายจะถือว่าสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจหรือ” โรแลนด์ค้นความทรงจำ อย่างน้อยหิมะในเกรย์คาสเซิลก็ไม่เป็นอย่างนั้น ปกติแค่วันรุ่งขึ้นก็ละลายแล้ว พระอาทิตย์ก็ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงอะไร
    “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเจอเดือนแห่งปีศาจที่กินเวลานานที่สุดเมื่อสองปีก่อน กินเวลานานเกือบสี่เดือน มีคนอดตายไปจำนวนไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
    “แล้วเหตุใดป้อมปราการลองซองจึงไม่มีอาหารเหลือเลยเล่า” โรแลนด์ถาม
    สีหน้าของไบรอันดูย่ำแย่เต็มที “พวกเขามีพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เทศบาลเฟอร์เรโนผู้รับผิดชอบการจ่ายเสบียงบอกว่าปริมาณแร่ที่พวกเราผลิตได้ในฤดูใบไม้ร่วงแลกอาหารได้เพียงสามเดือนเท่านั้น หากต้องการส่วนของเดือนที่สี่ก็ต้องส่งแร่ชุดใหม่ให้เขาก่อน แต่เดือนแห่งปีศาจยังไม่สิ้นสุด พวกเราออกไปจากป้อมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
    “ที่แท้ก็เช่นนี้…ข้าเข้าใจแล้ว”
    ขุนนางใจทรามพวกนี้ทอดทิ้งประชาชนโดยแท้ หากป้อมปราการลองซองปฏิบัติต่อชาวเมืองชายแดนอย่างอบอุ่นราวกับลมฤดูใบไม้ผลิสักหน่อย การที่เขาจะให้ชาวเมืองรั้งอยู่ที่นี่เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก แต่เท่าที่ฟังมา พวกเต่าหดหัวหลังกำแพงเมืองพวกนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร โรแลนด์เรียกชายคนสุดท้ายมาซักถามต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับจดจำชื่อของเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้แล้ว
    ชายคนสุดท้ายเป็นนายพรานรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เวลายืนตรงสูงเกือบหกฟุต ทำเอาโรแลนด์รู้สึกอึดอัดไม่น้อย โชคดีที่พอเขาเดินมาถึงตรงหน้าก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
    “เจ้าบอกว่าเจ้าเคยฆ่าสัตว์อสูรหรือ”
    “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบห้าว “กระหม่อมเคยฆ่าพันธุ์หมูป่าหนึ่งตัว พันธุ์หมาป่าหนึ่งตัว”
    “ ‘พันธุ์’ หรือ” โรแลนด์ทวนคำพูดเขา “หมายความว่าอย่างไร”
    “เป็นคำที่พวกพรานใช้เรียกสัตว์อสูรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สัตว์ป่าที่ดุร้ายอยู่แล้วเมื่อกลายพันธุ์ไปจะยิ่งรับมือยากกว่าเดิม ซ้ำร้ายพวกมันยังพัฒนาจุดแข็งของตัวเองให้ดีขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า อย่างเช่นพันธุ์หมูป่า ขนที่หลังของมันจะแข็งขึ้นมาก ขนาดยิงหน้าไม้ในระยะห้าสิบก้าวยังไม่เข้า ส่วนพันธุ์หมาป่าก็จะยิ่งเจ้าเล่ห์และวิ่งเร็วจนน่าตกใจ หากคิดจะฆ่ามันต้องเตรียมกับดักไว้ล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
    “ที่แกร่งอยู่แล้วก็จะยิ่งแกร่ง ที่เร็วอยู่แล้วก็จะยิ่งเร็ว” โรแลนด์พยักหน้า “แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นสัตว์อยู่ดี”
    “พ่ะย่ะค่ะ พวกมันยังไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด” นายพรานพูดถึงตรงนี้ก็กลืนน้ำลาย “ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือพันธุ์ผสมพ่ะย่ะค่ะ”
    ไม่รอให้โรแลนด์ได้ถาม นายพรานก็เล่าต่อ
    “พวกมันคือร่างจำแลงของปีศาจตัวจริง มีเพียงนรกเท่านั้นที่จะสร้างสัตว์ประหลาดน่ากลัวเช่นนี้ได้ กระหม่อมเคยเจอพันธุ์ผสมอยู่ตัวหนึ่ง มันมีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีปีกขนาดใหญ่ที่หลัง จึงสามารถบินในระยะใกล้ๆ ได้ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนมันจะหากระหม่อมเจอเสมอ ไม่ว่ากระหม่อมจะหลบซ่อนอย่างไร มันก็ต้อนให้กระหม่อมออกมาจนได้ และที่สำคัญมันไม่ได้ตั้งใจจะกินกระหม่อม ฝ่าบาท มันเพียงเล่นกับเหยื่อของมันเท่านั้น” นายพรานฉีกเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ซึ่งลากจากทรวงอกไปถึงช่วงท้อง “กระหม่อมชิงกระโดดลงแม่น้ำเรดริเวอร์ก่อนที่จะสลบไป จึงเอาชีวิตรอดมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
    “มีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ” โรแลนด์รู้สึกว่าโลกนี้ยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นทุกที กำแพงเมืองที่มั่นคงแข็งแรงอาจขวางกั้นสัตว์อสูรพันธุ์ปกติได้ แต่กับพันธุ์ที่บินได้ล่ะ “พวกพันธุ์ผสมคงมีไม่มากหรอกกระมัง”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook