• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 6 ตอนที่ 1

    1

    ในกรงนก

     

    ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายตอนจบก็เป็นอะไรที่ไม่น่ายินดีนัก การเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนกัน ในขณะที่กำลังเข้าสู่เขตแอลเอ มินจุนก็ทำสีหน้าว้าวุ่นใจ เจเน็ตเหลือบมองแล้วถามขึ้นว่า

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ดีใจเหรอไง”

    “ดีใจสิ แต่รู้สึกเหมือนต้องจากเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ต่อไปนี้ก็คงไม่ได้ขึ้นรถคันนี้อีกแล้ว”

    “ต้องอยู่แบบโยกไปเยกมาแบบนี้ไม่เห็นสนุกเลย”

    “ใครเขาหมายถึงความสนุกกันล่ะ”

    พอเห็นมินจุนถอนหายใจ เจเน็ตก็เบือนหน้าหนี ถ้าจะปรับอารมณ์ตามเขาก็คงไม่มีวันจบสิ้น บางครั้งเคยคิดว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเคล็ดลับของพรสวรรค์ที่เขามี จึงคิดอยากมีบ้าง แต่ความคิดนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะถ้าขืนอ่อนไหวง่ายแบบนี้คงจะเอาตัวรอดไม่ได้ บางคนอาจจะบอกว่าคนเป็นเชฟ แค่ทำอาหารเก่งก็พอแล้ว ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่เป็นจริงในระดับหนึ่ง แต่เจเน็ตไม่อยากหยุดอยู่แค่นั้น ไม่อยากหยุดอยู่กับแค่ร้านอาหารที่ดี เจ้าของร้านอาหารที่มีลูกค้าประจำมากมาย เพราะเธอมีความทะเยอะทะยาน อาจเพราะแบบนั้น ตอนที่ได้เจอจูนเธอจึงคุยกับจูนได้อย่างถูกคอ ในขณะที่เชฟคนอื่นพูดถึงจูนว่า ‘สุดโต่งเกินไป’หรือไม่ก็ ‘ใช้ชีวิตแบบนั้นคงจะน่าเบื่อ’แต่เจเน็ตไม่คิดแบบนั้น เธอคิดว่าจูนเป็นคนเก่ง เจเน็ตหยิบมือถือดูรายชื่อติดต่อ ชื่อของจูนก็เป็นหนึ่งในนั้น คิดว่าจะส่งข้อความหาดีมั้ย แต่ศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ การที่ก้มหัวเข้าไปหาคนที่ไม่ได้ต้องการตัวเองมันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายแพ้

    “ต่อไปพวกเราจะเป็นยังไงกันนะ”

    มายาเอ่ยถามขึ้นมา เจเน็ตจึงเหลือบมองก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสนใจนัก

    “จะเป็นยังไงล่ะ ก็แค่กลับไปทำงานในร้านสาขาใหญ่ กลับไปยืนในครัวอีกครั้งก็เท่านั้นเอง”

    “แต่สาขาใหญ่ยังไม่เรียบร้อยนี่คะ ยังไม่ได้เปิดจองโต๊ะด้วย”

    “มีเวลาได้เตรียมตัวก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนี่”

    “อืม…”

    มายาเอียงคอพร้อมทำหน้าเหมือนยังไม่แน่ใจ มินจุนไม่ได้เข้าร่วมบทสนทนาของคนทั้งสอง ตอนถามเรเชลก็ดูเหมือนไม่อยากตอบเกี่ยวกับเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ ถ้าลองนึกถึงนิสัยของเรเชล อาจเป็นไปได้ว่าพยายามทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย แล้วค่อยมาเฉลยทีหลังเหมือนเป็นการเซอร์ไพรส์ แต่จากที่มินจุนสังเกตดู มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ดูเหมือนเรเชลกำลังกลุ้มใจอะไรบางอย่าง เท่าที่เขารู้ก็คงมีแค่ความกลุ้มใจเกี่ยวกับทิศทางของพวกเขาเท่านั้น

    “ทีนี้ก็จะได้เจอเชฟคาย่าอีกครั้งแล้วสินะคะ”

    พอมายาแซว มินจุนก็กระแอมออกมาอย่างเคอะเขิน หลังออกจากชิคาโก คาย่าก็อยู่กับเขาต่ออีกสามวัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปแอลเอก่อนเพราะมีงาน กว่าเขาจะตามคาย่ากลับไปก็ใช้เวลาไปหนึ่งเดือน

    “ครั้งนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าการอยู่ห่างกับคนรักมันลำบากกว่าที่คิด”

    “แต่ปกติเชฟมินจุนก็ชอบอะไรที่มันยากๆ อยู่แล้วนี่คะ อาหารที่พวกคุณทำคราวนั้นก็เหมือนกัน ที่ทำเทปปันยากิ รู้รึเปล่าคะว่าตอนนี้คนเขาพูดกันว่ายังไง”

    เทปปันยากิที่คาย่ากับมินจุนทำด้วยกันได้รับกระแสตอบรับร้อนแรงที่สุดจากการเดินสายเปิดฟู้ดทรักมาเป็นเวลานาน เคล็ดลับดึงดูดสายตาชาวเน็ตก็คือการเปิดเผยสูตรอาหาร หรือไม่ก็ทำให้ดูหรูหรา และวิดีโอที่ลูกค้าถ่ายตอนที่เขาสองคนทำอาหารก็น่าทึ่งจริงๆ คนที่ชื่นชมไม่ได้มีแค่คนทั่วไปเท่านั้น ขนาดผู้เชี่ยวชาญในการทำเทปปันยากิยังออกปากชม เพราะรู้ดีว่าการทำทุกอย่างให้ประสานกันต้องใช้สมาธิมากแค่ไหน

     

    ‘พวกเขาไม่ใช่ระดับมือสมัครเล่นแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีเทคนิคของตัวเอง แถมนี่ยังไม่ใช่อาหารที่ตัวเองคุ้นเคย แต่สามารถประสานงานกันได้ดีขนาดนั้น เวลาเข้าครัวจริงๆ ก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ’

     

    ‘ถ้าคาย่ากับมินจุนจะทำเทปปันยากิ ผมก็คงไม่ห้าม ตอนนี้ยังขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดสนใจแบบลงลึกจริงๆ ขึ้นมาล่ะก็ อาจจะกลายเป็นเชฟเทปปันยากิที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ไม่สิ ระดับโลกขึ้นมาก็ได้’

     

    ดูเหมือนเป็นคำชมทั่วไป แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น ในแต่ละสาขาพวกเชฟแอบเขม่นกันเล็กน้อย ยิ่งพวกอาหารเกาหลี อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารตะวันตกที่แบ่งตามประเทศก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงจะเป็นในครัวเดียวกัน แต่ละแผนกก็มักชอบบอกว่าตัวเองดีกว่า แต่ตอนนี้พวกเขากลับชมคนที่ไม่ได้อยู่ในสาขาเดียวกับตัวเอง แถมยังบอกว่าอาจเก่งที่สุดในหมู่พวกเขาอีก อาจคิดว่าเป็นการชมตามมารยาทก็ได้ แต่มายาไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเธอรู้จักความดื้อของพวกเชฟดี ถึงแม้จะเป็นการชมตามมารยาทก็ไม่ค่อยเห็นใครที่เค้นคำพูดยกย่องคนอื่นว่าเก่งกว่าตัวเองทั้งที่ใจไม่คิดแบบนั้นหรอก

    ไม่ว่าเชฟมินจุนกับเชฟคาย่าจะทำอะไรก็ดีไปหมดจริงๆ

    คนที่ได้ดีก็ได้ดีอยู่วันยังค่ำ คำพูดนี้ช่างเหมาะกับเขาสองคนจริงๆ ต่อให้โรสไอส์แลนด์เจ๊งและต้องไปเปิดร้านข้างถนนก็รู้สึกว่ามินจุนกับคาย่าน่าจะได้ดาวมิชลินมาครองอยู่ดี

    แต่ตอนนี้มินจุนไม่ได้คิดเรื่องทำอาหารเลย ตอนนี้เขานึกถึงคนที่กำลังจะได้เจอ ผ่านไปสักพักเขาก็มายืนอยู่หน้าร้านเบเกอรี่ของลิซ่า

    “น้ามินจุน!”

    เอลล่ายิ้มกว้างพร้อมวิ่งเข้าใส่ มินจุนจึงยิ้มแล้วอุ้มเอลล่าขึ้นมา เอลล่ากอดคอแล้วหอมแก้มของเขา

    “เอลล่าหนักขึ้นเยอะเลยนะ”

    “ไม่ได้อ้วนนะ หนูสูงขึ้น”

    “อยู่ในช่วงที่กำลังสูงนี่เนอะ”

    มินจุนยิ้มพลางลูบหัวของเอลล่าอย่างเอ็นดู เอลล่าจึงเอาหน้าซุกลงไปที่คอของเขา ไม่นานลิซ่าก็เดินออกมามอง

    “กลับมาแล้วเหรอ”

    “สบายดีรึเปล่าครับ ลิซ่า”

    “งานลดลงก็สบายดีเหมือนกันนะ เข้ามาสิ”

    มินจุนก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินตามลิซ่าเข้าไป

    “อ้อ ได้เจอคาย่ารึยัง”

    “ยังเลย เธอยังทำงานอยู่ ผมก็เลยมาหาเอลล่าก่อน”

    “หนูคิดถึงน้ามากเลย”

    เอลล่าทำเสียงออดอ้อน มินจุนค่อยๆ วางเอลล่าลงพื้น พอเห็นเอลล่าเขาก็คิดว่าตัวเองจากไปนานจริงๆ ภาพของเอลล่าที่ดูสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งคืบทำให้รู้สึกแปลกตา

    “แล้วเอลล่าสบายดีรึเปล่า”

    “สบายดีค่ะ แต่อยากกินอาหารที่น้าทำมากเลย ทำให้กินหน่อยสิคะ”

    “นี่!เอลล่า!”

    ลิซ่าทำเสียงดุ เอลล่าจึงเบะปากใส่พร้อมทำสายตาดื้อดึง

    “ก็แม่ให้กินแต่เบเกอรี่นี่ หนูก็อยากกินอย่างอื่นบ้าง”

    “อะไรของเราเนี่ย อยู่ๆ ก็บอกว่าแม่ให้กินแต่เบเกอรี่”

    มินจุนมองสองแม่ลูกแล้วยิ้มก่อนจะพูดว่า

    “ถ้าอนุญาตให้ใช้ครัว ผมก็ทำได้”

    “ไม่เห็นต้องขอกันเลย เคยมาทำอาหารที่บ้านเราตั้งหลายครั้งแล้วนี่”

    เบเกอรี่ถือเป็นการทำอาหารอย่างหนึ่งซึ่งก็ตลกดีที่ถูกมินจุนแย่งใช้ครัวอยู่บ่อยๆ เพราะเอลล่าชอบกินอาหารฝีมือของมินจุน

    “อาหารที่ว่า ทำให้ฉันบ้างได้มั้ย”

    ตอนนั้นเองก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมา มินจุนจึงหันไปมอง แจ็คนั่งวีลแชร์ออกมามองมินจุนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แจ็คยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นสายตาของมินจุนจับจ้องอยู่ที่วีลแชร์

    “คนเราพออายุเยอะก็เป็นแบบนี้แหละ ว่าแต่ช่วยตอบคำถามที่ถามไปก่อนหน้านี้หน่อยสิ ทำอาหารให้ฉันบ้างได้มั้ย”

    “แน่นอนสิครับ อยากทานอะไรเหรอครับ”

    “อาหารที่มีความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือดีๆ แล้วก็วัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบอะไรพวกนั้นไม่เอานะ ขอแบบธรรมดาก็พอ คิดซะว่าเป็นอาหารที่กินให้ท้องอิ่มสักมื้อ”

    คำพูดนั้นทำให้รู้สึกกดดันมากกว่าเดิม แต่มินจุนก็เดินไปที่ครัวเงียบๆ และสำรวจดูของในตู้เย็น สิ่งที่เห็นมีแค่ผักไม่กี่อย่างกับเนื้อแกะสำหรับทำสเต๊ก ปลาแซลมอน และชีสหลากชนิดเท่านั้น แล้วเขาก็คิดสูตรอาหารขึ้นมาได้ในทันที แม้จะไม่ใช่สูตรอาหารที่ดีอะไรมากมาย แต่ก็ดีเกินพอสำหรับทำกินในครอบครัว

    มินจุนเอาน้ำใส่หม้อ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยแล้วต้ม อีกฝั่งหนึ่งก็เอาเนื้อปลาแซลมอนมาคลุกน้ำมันมะกอกและนำไปคลุกแป้งกับงา อาหารสองอย่างที่เขากำลังทำตอนนี้คืออาหารอิตาเลียน สเต๊กแซลมอนคลุกงากับพาสต้าชีสสี่ชนิด เทียบแล้วทั้งสองอย่างไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในเกาหลี เพราะเป็นอาหารที่มักจะทำกินกันในครอบครัวชาวอิตาเลียน พาสต้าชีสสี่ชนิดเป็นที่รู้จักพอสมควรในอเมริกา แต่สเต๊กแซลมอนคลุกงานั้นไม่ใช่

    นำปลาแซลมอนคลุกน้ำมันมะกอกและงา แล้วทอดให้ผิวด้านนอกเหลือง ส่วนพาสต้าชีสสี่ชนิดก็นำชีสสี่ชนิดไปเคี่ยวกับนมแล้วทำเป็นซอส โดยพื้นฐานจะใช้ชีสกอร์กอนโซล่าและชีสพาร์มิจาโน่เร็กจาโน่ นอกจากนั้นก็จะแตกต่างกันไป และสิ่งที่มินจุนเลือกใช้เพิ่มในตอนนี้ก็คือสวิสชีสและเกาด้าชีส*เพราะคิดว่าความกลมกล่อมของเกาด้าชีสกับกลิ่นฉุนเฉพาะตัวของสวิสชีสจะสามารถดึงเอาความสมดุลที่สมบูรณ์แบบออกมาได้

    เอลล่ากำลังเขย่งมองมินจุนทำอาหารอยู่ข้างๆ มินจุนแอบรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างที่เมื่อกลับมาถึงแอลเอก็ทำอะไรแบบนี้เป็นอย่างแรก แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกเลวร้ายอะไร เพราะไม่ว่ายังไงความเพลิดเพลินที่สุดในชีวิตของเขาก็อยู่ที่การทำอาหาร หลังจากชีสละลายก็ใส่พริกไทยลงไปพอประมาณ ใส่เส้นลงไปผัด และจัดใส่จาน คนมักคิดว่าสปาเกตตี้ผัดกระเทียมน้ำมันมะกอกเป็นพาสต้าที่เรียบง่ายที่สุด แต่ความจริงพาสต้าจานนี้ก็ง่ายพอๆ กัน การผัดกระเทียมน้ำมันมะกอกทำได้ง่ายก็จริง แต่จะทำให้อร่อยถือเป็นเรื่องยาก วิธีนี้จึงดึงรสชาติออกมาได้ง่ายกว่า หลังจากทำพาสต้าเสร็จแล้วต่อมาก็ถึงเวลาของสเต๊กแซลมอนคลุกงา มินจุนกลับเนื้อปลาแซลมอนที่มีงาติดอยู่เต็มไปหมด ผ่านไปไม่นานก็ย้ายออกมาวางบนเขียง รอให้สะเด็ดน้ำมันพอสมควรแล้วใช้กระทะใบเดิมผัดพริกปาปริก้า หัวหอม พริกหยวก และอื่นๆ ก่อนตักใส่จาน จากนั้นเอาปลาแซลมอนวางลงด้านบนก็เป็นอันเสร็จ

    คะแนนที่ได้…

    มินจุนกำลังจะตรวจสอบคะแนนทำอาหารโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็หยุดไป ถ้ามัวแต่สงสัยเรื่องคะแนนอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะกลับไปยึดติดกับคะแนนเหมือนเมื่อก่อนอีกก็ได้ หลังจากตั้งโต๊ะเสร็จทั้งสี่คนก็มานั่งรวมกัน เอลล่ามองภาพนั้นอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าภาพที่แจ็ค มินจุน ลิซ่า และเธอนั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง อาจจะเป็นเพราะเธอคิดว่าเขาเป็นเหมือนพ่อของเธอก็ได้ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดมันออกไป เพราะตอนนี้เธอเองก็โตพอจะรู้แล้วว่าคำพูดแบบนั้นทำให้ลิซ่าต้องทุกข์ใจ

    “ไม่ได้ทำอะไรที่ดีเลิศหรอกนะครับ แต่ก็น่าจะอร่อย เพราะผมเป็นคนทำ”

    “ไม่เจอกันพักเดียว ดูมีความมั่นใจขึ้นเยอะเลยนะ”

    “แค่คิดว่ามาถึงตอนนี้ก็น่าจะต้องกล้าๆ ขึ้นบ้างแล้วน่ะครับ”

    “ดีจังนะ”

    แจ็คยิ้มแล้วใช้ส้อมม้วนพาสต้าชีสสี่ชนิดเข้าปาก เสียงเส้นกับฟันสัมผัสกันดังขึ้น ระหว่างนั้นเอลล่าก็ยิ้มแล้วพูดว่า

    “อร่อยจัง”

    “ลองกินแซลมอนดูด้วยสิ อร่อยนะ”

    “หนูไม่ชอบแซลมอน”

    เอลล่าทำท่าลังเล แต่ก็ยกส้อมขึ้นมาเหมือนไม่สามารถปฏิเสธอาหารที่มินจุนเป็นคนทำให้ หลังจากนั้นไม่นานเอลล่าที่กำลังเคี้ยวปลาแซลมอนก็ตาโตแล้วหันไปมองมินจุน

    “มันไม่รู้สึกแหวะๆ เลย”

    “ปกติมันต้องไม่รู้สึกแหวะๆ อยู่แล้ว”

    เอลล่าถึงกับยกแซลมอนขึ้นมาดูว่ามันคืออย่างอื่นรึเปล่า มินจุนเข้าใจเอลล่าที่เป็นแบบนั้น เพราะความจริงที่เขาทำสเต๊กแซลมอนคลุกงาก็เพราะรู้ว่าเอลล่าไม่ชอบแซลมอน กลิ่นมันๆ ของงาที่หุ้มปลาแซลมอนเอาไว้ตอนนี้ทำให้กลิ่นคาวไม่สามารถเผยตัวออกมา และตอนนั้นแจ็คก็พูดขึ้นมาว่า

    “ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับเธอมากเลยนะ รู้สึกว่าอาหารดูผ่อนคลายในทางที่ดี”

    “เพราะผมได้เห็นอะไรมากมายเลยครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมีอะไรให้คิดเยอะขึ้นด้วยสินะ”

    คำพูดของแจ็คทำให้มินจุนเงียบไป เขาเดาไม่ออกว่าแจ็คพูดถึงเรื่องอะไร ขอบเขตมันกว้างมาก แจ็คจึงเกริ่นออกมาราวกับกับอ่านสีหน้าของเขาออก

    “ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันขอแนะนำอะไรสักอย่างนะ เป็นคำแนะนำเพื่อตัวเธอเอง และในขณะเดียวกันก็เป็นคำแนะนำเพื่อเรเชลด้วยเหมือนกัน”

    “อะไรเหรอครับ”

    แจ็ควางส้อมที่จิ้มแซลมอนลงบนจาน แล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่น

    “เตรียมตัวออกไปจากกรงนกของเรเชลเถอะ”

    มือของมินจุนชะงักทันที เขาค่อยๆ วางส้อมลงแล้วมองแจ็คด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนที่ตกใจมากกว่ากลับเป็นลิซ่า ลิซ่าส่งสายตาเหมือนต่อว่าแจ็คก่อนพูดว่า

    “พ่อ มันไม่ใช่เรื่องที่พ่อจะเข้าไปยุ่งนะคะ”

    “ฉันรู้ ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้คงจะต้องพูดแล้ว ถ้าให้พูดตามตรง มันไม่ใช่เพื่อเธอหรอกนะมินจุน เพื่อเรเชลมากกว่า”

    “เพื่ออาจารย์เรเชลน่ะเหรอครับ”

    มินจุนไม่ได้ถามแจ็คว่าเป็นการทำเพื่อเรเชลยังไง เขารู้คำตอบของคำถามนั้นอยู่แล้ว เพราะตัวเขาเองคือคนที่อยู่ข้างๆ เรเชล มันทำให้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนกว่าใครว่าเขามีอิทธิพลกับเรเชลยังไง ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลในทางที่ดี หรือว่าอิทธิพลในทางที่ไม่ดี

    “เรเชลกำลังค่อยๆ ลืมวิธีทำอาหารด้วยตัวเอง ในขณะที่โฟกัสอยู่กับความเป็นไปได้ในตัวเธอ กลับลืมความเป็นไปได้ของตัวเอง”

    มินจุนยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบแทนคำตอบ ลิซ่าทบทวนคำพูดของแจ็คอยู่เงียบๆ เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน แต่พอได้ฟังแจ็คพูดแบบนั้นก็เข้าใจ ในขณะที่ลิซ่าหันไปมองมินจุน แจ็คก็พูดต่อว่า

    “ก่อนหน้านี้ฉันไม่สามารถพูดออกไปได้จริงๆ เพราะมีสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้จากเรเชลมากมาย จะบอกว่าให้เตะโอกาสนั้นทิ้งไปก็คงทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นเวลาไม่ถึงปี แต่เธอก็ได้อะไรไปมากมายจริงๆ จากเรเชล เพราะฉะนั้นตอนนี้…”

    แจ็คพูดออกมา แต่ก็เหมือนรู้สึกผิด จึงไม่สามารถมองหน้ามินจุนได้ ส้อมของมินจุนค่อยๆ ม้วนสปาเกตตี้ที่เต็มไปด้วยชีส เส้นที่ไม่ได้ยาวมากถูกม้วนไปจนสุดแล้ว แต่ส้อมก็ยังคงหมุนอยู่ไปอีกพักใหญ่ เมื่อส้อมหยุดลงมินจุนก็อ้าปาก ไม่ได้เพื่อเอาสปาเกตตี้ใส่ปาก แต่เพื่อพูดออกมา

    “ผมเข้าใจที่คุณพูดแบบนั้น ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ตัวตนของผมอาจจะเป็นพิษกับอาจารย์เรเชลมากกว่ายาบำรุง แต่ว่า…”

    มินจุนกำส้อมแน่น ส้อมที่อยู่ในมือสั่น สปาเกตตี้ที่ม้วนเอาไว้จึงร่วงหล่นลงบนจาน มินจุนมองกระดาษทิชชูที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะกินข้าวแล้วพูดต่อว่า

    “ผมยังอยากอยู่ต่ออีกหน่อย เพราะตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต นี่แทบจะป็นครั้งแรกที่ได้ทำอาหารอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องสนใจอะไร และคนที่ทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ก็คืออาจารย์เรเชล”

    แจ็คถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาไม่สามารถโทษมินจุนได้ เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าคนที่ชื่อเรเชลมีเสน่ห์ยังไง ตอนนั้นเองเอลล่าก็ลงจากเก้าอี้แล้วมุดเข้าไปใต้โต๊ะ จากนั้นยื่นหน้าออกมาตรงหน้าของมินจุน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงว่า

    “จะไปที่อื่นอีกเหรอคะ”

    “เปล่าหรอก ไม่ไป”

    “หนูอยากอยู่กับน้ามินจุนทุกวัน”

    มินจุนยกมือลูบหัวเล็กๆ ของเอลล่า

    “ฉันก็อยากอยู่กับเอลล่าทุกวันเหมือนกัน”

     

    มินจุนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะไม่ค่อยชอบรสชาติของมัน บางครั้งเขาก็อ้างเหตุผลทางศาสนาเพื่อเลี่ยงการดื่ม แต่ความจริงมันก็แค่ความเคยชินว่าฉันเป็นคนไม่ดื่มเหล้า แล้วตัวตนนั้นแบบนั้นก็กลายมาเป็นตัวกำหนดการกระทำของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทว่าวันนี้เขากลับมองวิสกี้ที่อยู่ในมุมหนึ่งของตู้เก็บอาหารแห้ง ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับอาการปวดหัวในตอนนี้ได้หรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็หันหลังให้ตู้อย่างหมดเรี่ยวแรงและนอนคว่ำบนโซฟา ทั้งบ้านมีแค่เขาคนเดียว แอนเดอร์สันพอกลับมาถึงแอลเอก็ถูกคู่สามีภรรยาลุสโซเรียกตัวไปที่บ้านทันที ส่วนคาย่า…

     

    คาย่า :โทษทีนะ วันนี้งานเยอะ น่าจะกลับช้าหน่อย

     

    ข้อความถูกส่งมาจากคาย่า แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร เขาคงไปเร่งคนที่กำลังยุ่งไม่ได้ เพราะเธอเองก็คงอยากรีบกลับมาเหมือนกัน

    “อยากคุยอะไรกับใครสักหน่อย…”

    มินจุนอยากระบายความว้าวุ่นใจ แต่ไม่มีใครอยู่ เขาเคยคิดว่าการทำงานที่โรสไอส์แลนด์ทำให้มีเพื่อนมากขึ้นกว่าเดิม แต่พอคิดดูก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะแอลเอเป็นสถานที่ที่มีผู้คนมากมายเข้าๆ ออกๆ อยู่เป็นประจำ การคบเพื่อนจึงยากที่จะสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้ง ความจริงถ้าโทรเรียกใครสักคนก็คงออกมาหา แต่จะพูดคุยอะไรได้มากมายกันล่ะ ถ้าเป็นมาร์โค่อาจจะพอเป็นไปได้ แต่ตอนนี้มาร์โค่เป็นไข้หวัดใหญ่และไม่ได้ไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ มีอีกคนที่เขาพอนึกได้ แต่ก็ไม่กล้าติดต่อไป แล้วตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ซึ่งน่าตลกที่บนจอปรากฏชื่อของคนที่เขาเพิ่งนึกถึง

    ‘โคลอี้ ชอง’

    “ฮัลโหล”

    พอมินจุนค่อยๆ เอ่ยออกไปอย่างระมัดระวัง ปลายสายก็เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็ได้ยินน้ำเสียงที่โล่งใจของโคลอี้ดังขึ้น

    “เฮ้อ ขอบใจนะ กังวลว่านายจะไม่รับสาย”

    “แล้วทำไมฉันถึงจะไม่รับสายเธอล่ะ”

    “ก็ฉันทำผิดเอาไว้นี่”

    “ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ไม่มีเลย”

    แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ว่าโคลอี้กำลังยิ้มอยู่ มินจุนจึงถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

    “โทรมามีเรื่องอะไรเหรอ”

    “อืม…แค่รู้สึกว้าวุ่นใจ ไม่รู้จะโทรหาใคร พอดีได้ยินว่านายกลับมาแอลเอแล้ว…”

    “ฉันเองก็กำลังว้าวุ่นใจอยู่เหมือนกัน”

    “หรือว่า…”

    โคลอี้พูดแล้วก็หยุดชะงักไป ไม่สิ น่าจะลำบากใจที่จะพูดออกมามากกว่า ความเงียบนั้นทำให้มินจุนพอเดาได้ว่าโคลอี้จะพูดอะไร แล้วไม่นานโคลอี้ก็พูดสิ่งที่เขาเดาเอาไว้ออกมา

    “ออกมาดื่มอะไรกันหน่อยมั้ย นายไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เอาเป็นพวกกาแฟหรือโบบาก็ได้”

    มินจุนไม่สามารถตอบออกไปได้ในทันทีเพราะคิดไม่ตกว่าออกไปเจอโคลอี้ได้รึเปล่า รู้สึกเหมือนทำผิดต่อทั้งคาย่าและโคลอี้ ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ โคลอี้ก็รีบพูดเสริมราวกับรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของมินจุน

    “ชวนในฐานะเพื่อนน่ะ”

    “อืม เจอกันที่ไหนดีล่ะ”

    “ตอนนี้ฉันกำลังจะไปทำธุระที่มารีน่าเดลเรย์ อยู่แถวบ้านนายพอดี ให้ฉันไปรับมั้ย”

    “แล้วกลับมาส่งอีกน่ะนะ ไม่ลำบากเหรอ”

    “ไม่เป็นไรเลย ให้ฉันไปรับเลยมั้ย น่าจะใช้เวลาประมาณสิบนาที”

    “โอเค”

    มินจุนรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ เพราะความสัมพันธ์ของเขากับโคลอี้อึมครึมกันมานาน คิดอยู่เสมอว่าต้องแก้ไข จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อการชวนอย่างกล้าหาญของโคลอี้ในวันนี้ได้ หลังจากยืนอยู่ที่หน้าบ้านไม่นาน รถคูเป้สีขาวที่ดูหรูหราก็มาจอด มันเป็นรถคนละคันกับที่เคยเห็นครั้งที่แล้ว พอกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเลื่อนลง โคลอี้ก็ขยับแว่นกันแดดลงเล็กน้อยแล้วยิ้มให้

    “ไม่เจอกันนานเลยนะ มินจุน”

    “นั่นสิ”

    มินจุนขึ้นไปนั่งข้างคนขับ โคลอี้ที่ไม่ได้เจอกันมานานดูเปลี่ยนไปมาก ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ได้ดูเชยเลย แต่ตอนนี้รู้สึกได้ชัดเจนว่าเธอคือดารา เธอกำลังแสดงให้เห็นว่าคนสมัยใหม่คือคนแบบไหน ยกเว้นก็แต่นิ้วมือที่ไม่มีการแต่งแต้มสีสันซึ่งมินจุนก็รู้สึกโล่งใจมากที่โคลอี้ ชองยังมีความตั้งใจที่จะเป็นเชฟอยู่เหมือนเดิม เธอมีทัศนคติในแบบของเชฟอยู่ เขาจึงยิ้มออกมาหลังจากที่รู้สึกว่าโคลอี้ ชองคนเดิมยังอยู่

    “ชอบยิ้มแบบไม่มีเหตุผลตลอดเลยนะ”

    “ยิ้มไม่ได้เหรอ”

    “ก็เพราะแบบนั้นไงฉันถึงได้ใจเต้น”

    อยู่ๆ มินจุนก็รู้สึกตื่นเต้น โคลอี้จึงยิ้มแล้วโบกมือไปมา

    “อย่ากลัวไปเลย ไม่ได้จะรุกอะไรหรอก ถ้าจะทำแบบนั้นก็คงทำไปนานแล้ว”

    “เธอดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ”

    “คนเราจะเหมือนเดิมอยู่ตลอดได้ยังไงกันล่ะ ยิ่งทำรายการโทรทัศน์ก็ต้องมีหยาบกระด้างขึ้นบ้าง”

    “ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”

    “ดื่มอะไรกันดี”

    “ฉันไม่ค่อยชอบพวกกาเฟอีนเท่าไหร่ เอาเป็นโบบาดีมั้ย”

    “อ้อ มีร้านอร่อยที่รู้จักอยู่ ไปร้านนั้นก็แล้วกัน”

    โบบาเป็นเครื่องดื่มที่รู้จักกันดีในแถบเกาหลีหรือแคนาดา มีอีกชื่อว่าบับเบิ้ลที เครื่องดื่มที่ใส่ไข่มุกซึ่งทำจากแป้งมันสำปะหลังหนึบๆ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่นานมานี้เพิ่งได้รับความนิยมในแอลเอมากพอๆ กับกาแฟ ดังนั้นพอตอนไปถึงร้าน โต๊ะจึงเต็มหมด โคลอี้หันไปมองมินจุนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

    “โทษที ปกติคนไม่เยอะขนาดนี้ ไปที่อื่นดีมั้ย”

    “ไม่ต้องหรอก ซื้อคนละแก้วแล้วไปนั่งกินในรถก็ได้ สถานที่ไม่ได้สำคัญอะไรนี่”

    “อ้อ จริงสิ นึกออกแล้ว”

    โคลอี้สั่งแบล็กมิ้ลค์ทีสองแก้ว ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีทั้งสองก็ถือโบบาอยู่ในมือ

    “ไปกันเถอะ”

    “ไปไหนเหรอ”

    “ที่พักของฉันมีคลับเฮ้าส์อยู่น่ะ ไปกินที่นั่นก็ได้ เรียบง่ายแล้วก็มีครัวด้วย ถ้าหิวก็ทำอะไรกินได้ ไม่ไกลจากที่นี่หรอก”

    ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างปุบปับ มินจุนจึงได้แต่ทำหน้าเหวอและพยักหน้าตกลง หลังจากนั้นพอมาถึงคลับเฮ้าส์ ผู้คนที่อยู่ข้างในก็พากันหันมามองก่อนจะหันกลับไปคุยกันต่อ พวกเขาไม่ได้มีทีท่าตกใจที่ได้เห็นคนดัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่นี่เป็นอพาร์ตเมนต์ที่หรูหราหรือมีเหตุผลอื่น

    “เอาไงดี หิวรึเปล่า”

    “นิดหน่อย ทำไมเหรอ”

    “รอเดี๋ยวนะ ฉันไปหยิบวัตถุดิบก่อน”

    “จะทำอาหารเหรอ”

    “ก็พวกเราเป็นเชฟนี่นา”

    โคลอี้พูดแบบนั้นแล้วยิ้ม ไม่ได้เห็นภาพที่เธอตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็นำวัตถุดิบมาวางเรียงราวกับยกมาทั้งตู้เย็น เธอเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางเท้าเอว

    “เป็นไง เท่านี้พอจะทำอะไรได้บ้างมั้ย”

    “ทำกันคนละอย่างดีมั้ย ไม่ต้องสนใจว่าเป็นจานหลักหรือเป็นแอพเพอไทเซอร์”

    “อือ เอาสิ”

    เมื่อโคลอี้ตอบตกลง มินจุนก็เริ่มเลือกวัตถุดิบทันที เนื้อวัว เห็ด เนย หัวหอม แป้งสาลี เลมอนครีม ซอสมัสตาร์ด เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรสต่างๆ อันดับแรกก็หั่นเนื้อสันในให้หนากว่าเนื้อส่วนอกเล็กน้อย โรยแป้งสาลี จากนั้นก็เทน้ำมันมะกอกลงในกระทะและใส่เนยลงไป หั่นหัวหอมและเห็ดใส่ลงในกระทะ ตามด้วยเกลือและพาร์สลีย์ลงไปเพื่อทำซอส จากนั้นก็ใช้กระทะอีกใบใส่เนย เตรียมเอาเนื้อวัวลงไปผัด ตอนนั้นโคลอี้ที่กำลังทำเอ็นหอยอยู่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ฉันคิดว่าจะเลิกทำรายการแล้ว”

    คำพูดนั้นทำให้มือของมินจุนชะงักไป แต่ไม่นานก็เอาเนื้อวัวใส่ในกระทะจนเกิดเสียงฉู่ฉ่าและมีกลิ่นหอมมัน

    “คิดดีแล้วใช่มั้ยว่ามันเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง”

    “คิดดีแล้ว”

    “ถ้างั้นฉันก็จะคอยเอาใจช่วย”

    มินจุนพูดสั้นๆ ไม่ใช่คำพูดที่ผิวเผิน โคลอี้รู้สึกได้ เธอหันไปมองมินจุนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร มันไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจคำพูดของเธอ แต่เพราะเขาอยากทำให้ช่วงเวลาที่เธอต้องการในตอนนี้จบลงด้วยดี

    “ขอเหล้าเกาเหลียงหน่อยสิ”

    “อ้อ นี่”

    โคลอี้หยิบเหล้าเกาเหลียงส่งให้ มินจุนจึงเอียงกระทะแล้วทำให้ไฟลุกขึ้นมา พอไฟหายไปเขาจึงใส่เลมอนครีมกับซอสมัสตาร์ดลงไป จากนั้นก็ผสมกับซอสที่ใส่หัวหอมและเห็ดที่ทำไว้ล่วงหน้า ดับไฟ เป็นอาหารที่ทำง่ายๆ แต่กลับดูน่ากินมาก

    “ฝีมือทำอาหารของนายดีขึ้นจากปีก่อนมากเลยนะ”

    “แล้วอาหารของเธอล่ะ”

    “ใกล้เสร็จแล้ว รอหน่อยนะ”

    โคลอี้กลับไปยืนหน้ากระทะแล้วจดจ่อโดยมีมินจุนมองดูอยู่เงียบๆ ที่โคลอี้ทำคือเอ็นหอยราดซอส เป็นเมนูที่ไม่ได้แปลกตา และเป็นเมนูที่อยู่ในความทรงจำ เพราะเป็นหนึ่งในเมนูที่เคยทำด้วยกันตอนอยู่ทีมเดียวกันเป็นครั้งแรกในแกรนด์เชฟ

    “ช่วยชิมหน่อยได้มั้ย เชฟ”

    โคลอี้ใช้ตะเกียบคีบเอ็นหอยขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างไม่มั่นใจ มินจุนกัดเอ็นหอยเข้าปากโดยไม่พูดอะไร เอ็นหอยเด้งดึ๋งกำลังกระตุ้นริมฝีปาก ฟันและลิ้น กลิ่นซีอิ๊วที่ฟุ้งออกมาแบบจางๆ กับรสชาติซอสหอยนางรมเข้มข้นกำลังตะโกนใส่เขาว่า‘ฉันคืออาหารของโคลอี้ ชอง ฉันคือโคลอี้ ชอง’

    “ที่ผ่านมาฉันได้แค่หยุดอยู่ตรงนี้”

    โคลอี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มินจุนกลืนเอ็นหอยลงไปและตั้งใจฟังเงียบๆ

    “ในระหว่างที่พวกนายก้าวหน้ามาตลอดหนึ่งปี แต่สิ่งที่ฉันทำก็เป็นแค่เลียนแบบการเป็นเชฟเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงตั้งใจว่าจะเป็นเชฟจริงๆ ฉันต้องเปลี่ยนแปลง ฉันต้องออกไปจากกรงของตัวเอง ฉันถึงได้อยากเจอนายให้ได้ไง เพราะนายออกไปจากกรงแล้ว”

    มินจุนเงียบอยู่พักใหญ่ มันยากเกินไป ไม่รู้ว่าจะต้องตอบว่าอะไร อาจเป็นเพราะแบบนั้น สุดท้ายสิ่งที่เขาตอบออกไปก็เป็นการระบายความในใจ ไม่ใช่การให้กำลังใจ

    “ฉันเองก็ยังออกไปจากกรงไม่ได้เหมือนกัน”

    “จะบอกว่านายอยู่ในกรงงั้นเหรอ”

    โคลอี้มองมินจุนเหมือนไม่เข้าใจ เพราะสำหรับโคลอี้แล้วตอนนี้มินจุนดูเป็นคนที่เดินตามทางของตัวเองได้ดีกว่าใคร ทั้งที่ได้รับความสนใจของคนทั้งโลก แต่ก็ไม่เหลวแหลกเพราะความกดดันพวกนั้น นอกจากนี้ก็ไม่ได้เลือกเดินทางเดินง่ายๆ แบบที่ผู้คนต้องการ ตอนจบรายการแกรนด์เชฟเขาสามารถทำงานด้านโทรทัศน์ได้ถ้าเขาต้องการ และคงทำเงินได้มากมายแบบที่เทียบไม่ได้กับตอนนี้ เขาคือคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำเพียงคนเดียวของโลก ความเป็นสตาร์ของเขาไม่มีอะไรที่เธอจะเทียบได้เลย แต่เขาก็เลือกที่จะเข้าไปทำงานเป็นเดมี่เชฟของโรสไอส์แลนด์ อาศัยแค่ความมีชื่อเสียงของเขาก็สามารถเข้าไปเป็นหัวหน้าเชฟให้กับเจ้าของร้านอาหารดีๆ ได้ แต่เขาก็ไม่ทำแบบนั้น จริงอยู่ที่ชื่อเสียงของโรสไอส์แลนด์จะดูมีแนวโน้มที่ดีกว่าหัวหน้าเชฟของร้านอาหารทั่วไป แต่การเข้าไปเป็นเดมี่เชฟก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายอยู่ดี แต่เขาก็ทำ ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยความโลภที่อยู่ตรงหน้า พอเขาที่เป็นแบบนั้นบอกว่าตัวเองอยู่ในกรง เธอจึงไม่เข้าใจ เธอชี้ไปที่อาหารของเขา เนื้อสันในที่ชุ่มไปด้วยครีมซอสสีขาวให้ความรู้สึกเหมือนคาโบนาร่า พอใช้ตะเกียบคีบขึ้นมา เนื้อก็เด้งราวกับยังมีชีวิต

    “เนื้อผัดสไตล์รัสเซีย…นายคิดว่าเชฟที่อยู่ในกรงจะทำได้เหรอ”

    “ก็คงขึ้นอยู่กับว่าเป็นกรงแบบไหน”

    “แล้วกรงของนายคืออะไรล่ะ”

    “โรสไอส์แลนด์”

    อยู่ๆ คำตอบนั้นก็ทำให้โคลอี้เลิกคิ้ว แล้วถามด้วยน้ำเสียงเหมือนสังหรณ์ใจ

    “นี่คงไม่ได้คิดจะออกจากโรสไอส์แลนด์ใช่มั้ย”

    “ไม่รู้เหมือนกัน”

    “เหตุผลคืออะไรเหรอ”

    โคลอี้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สิ่งที่มินจุนตัดสินใจไม่ว่ายังไงก็คงมีเหตุผล เขาไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญแบบนี้แค่เพียงเพราะทำตามอารมณ์

    “ฉันได้ยินมาว่าตัวตนของฉันปิดตาของเชฟเรเชลอยู่ เชฟเรเชลสนใจความสามารถของฉัน แต่กลับไม่มองความสามารถของตัวเองเลย”

    โคลอี้ไม่รู้จะตอบว่าอะไร และอีกใจก็รู้สึกอิจฉา เพราะมันหมายความว่ามินจุนมีเสน่ห์และมีพรสวรรค์ที่สามารถทำให้คนอย่างเรเชล โรสลืมตัวเองได้ โคลอี้ตักเนื้อผัดสไตล์รัสเซียที่มินจุนทำเข้าปาก เคี้ยวเห็ดนุ่มๆ หัวหอมกรอบๆ และเนื้อวัวหนึบๆ นอกจากนั้นยังมีเลมอนครีมฟุ้งออกมาจางๆ และยังมีความกลมกล่อมของครีมสด กลิ่นที่รุนแรงและหนักแน่นของเหล้าเกาเหลียงเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง ช่างน่าประทับใจ ใช้แค่เหล้าเกาเหลียงก็ทำให้อาหารตะวันตกมีกลิ่นอายของอาหารจีนได้ ไหวพริบของเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ติดใจว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้เหล้าเกาเหลียงแทนไวน์ที่มีอยู่มากมาย ดูท่าเขาคงจะนึกถึงเธอที่คุ้นเคยกับอาหารจีนเลยตั้งใจทำรสชาติแบบนั้นออกมา

    “ยังนึกถึงคนกินเหมือนเดิมเลยนะ”

    เป็นคำพูดที่มีหลายอย่างถูกละเอาไว้ แต่มินจุนเข้าใจว่าทำไมโคลอี้ถึงได้พูดแบบนั้น เขาตักเอ็นหอยของโคลอี้กินต่อโดยไม่พูดอะไร โคลอี้บอกว่ามันเป็นรสชาติเดิมๆ แต่ความจริงไม่ใช่ สูตรอาหารไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากตอนนั้นก็จริง แต่รู้สึกได้ถึงความชำนาญที่มีมากขึ้น

    “มีกลิ่นไฟชัดขึ้นนะ ในแบบที่ไม่มากเกินไป ความหนึบของเอ็นหอยขึ้นอยู่กับตัววัตถุดิบมากกว่า ก็คงไม่มีอะไรจะติ ความเข้มข้นของซอสก็บาลานซ์กับเอ็นหอยพอดี ฝีมือดีแบบนี้ยังจะบอกว่าตัวเองไม่พัฒนาอีกเหรอ โคลอี้”

    ไม่ใช่คำชมที่ตั้งใจเค้นออกมา แต่มันเป็นคำชมจากใจจริงๆ อย่างโคลอี้น่าจะเรียกว่าความสามารถเพิ่มขึ้น เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยด้วย อย่างเมื่อก่อนทำได้แค่พัฒนาฝีมือยามว่างระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำอาหารกินเอง ยังต้องทำอาหารเพื่อถ่ายรายการอีกด้วย แต่ก็ไม่แปลกที่โคลอี้จะรู้สึกว่าความสามารถของตัวเองหยุดอยู่กับที่ เพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ตัวอย่างคาย่า แอนเดอร์สัน มินจุน รวมถึงมาร์โค่ ฝีมือพัฒนาไปมากจนเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน

    “พวกนายเก่งจริงๆ ทั้งนาย คาย่า แอนเดอร์สัน มาร์โค่…แล้วก็คนอื่นๆ ด้วย”

    “เธอเองก็เก่งเหมือนกัน”

    “รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงได้บอกว่าพวกนายเก่ง”

    มินจุนส่ายหน้า โคลอี้จึงยิ้มเล็กน้อยแล้วมองมือของตัวเองราวกับกำลังย้อนคิดกลับไป

    “เพราะพวกนายไม่ได้คำนวณชีวิตของตัวเอง ถ้าต้องการหรืออยากทำอะไรก็จะพยายามทำโดยไม่หันกลับไปมองอะไร สำหรับฉันมันทำได้ยากน่ะ ลองเทียบอันนี้ ลองเทียบอันนั้น แล้วค่อยเลือกทางที่คนอื่นคิดว่าน่าจะดีที่สุด นั่นแหละปัญหา มองจากมุมมองของคนอื่น”

    “เพราะไม่ได้มองจากมุมมองของเธอน่ะเหรอ”

    “อือ การใช้ชีวิตด้วยความถูกต้อง สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ชีวิตของฉันนี่ เพราะมีสิ่งที่ฉันต้องการ มีสิ่งที่ฉันอยากทำ ก็เลยอยากจะเลิกทำรายการน่ะ รู้สึกว่าถ้าขืนทำต่อไปก็คงจะได้ใช้ชีวิตคนละแบบกับที่เคยคิดเอาไว้”

    มินจุนเข้าใจคำพูดของโคลอี้ดีกว่าใคร เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยใช้ชีวิตด้วยการคิดคำนวณแบบนั้นมาก่อน ความจริงคนมากมายบนโลกก็ใช้ชีวิตด้วยการคิดคำนวณ และชีวิตที่ยึดติดกับการคิดคำนวณก็ไม่เคยทำให้ฝันเป็นจริง เพราะความฝันไม่สามารถเปลี่ยนเป็นตัวเลขได้ ในเมื่อไม่สามารถกลายเป็นตัวเลขได้ การใช้ชีวิตด้วยการคำนวณทำให้ตัวแปรที่ไม่ทราบค่าอย่างความฝันเป็นได้แค่จำนวนจินตภาพเท่านั้น กว่าจะรู้คุณค่าของจำนวนจินตภาพก็ใช้เวลานานเหลือเกิน มินจุนนั่งบนขอบเคาน์เตอร์ทำอาหารแล้วพูดว่า

    “ฉันเอาใจช่วยนะ ไม่ได้เอาใจช่วยเพราะว่าเป็นเธอ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

    “กลัวว่าพอเวลาผ่านไปจะมานั่งคิดว่าไม่น่าทำเรื่องท้าทายที่ไร้ความหมายแบบนั้นเลยนี่สิ”

    “ถ้าล้มเหลวก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่ถอดใจก็ไม่มีทางล้มเหลวหรอก เพราะการล้มเหลวมันก็คือตอนที่เราถอดใจ และฉันก็รู้จักเธอ เธอเหมาะกับความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว”

    “เคยทำให้ฉันล้มเหลวอย่างเจ็บปวดที่สุดมาแล้ว จะมาบอกว่าฉันเหมาะกับความสำเร็จอย่างงั้นเหรอ”

    “ขี้เล่นขึ้นนะ”

    “บอกแล้วไง ทำงานด้านทีวีทำให้คนเราหยาบกระด้างขึ้น”

    โคลอี้พูดไปยิ้มไป มินจุนจึงยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองแล้วหันไปทางอื่น แค่โคลอี้พูดถึงเรื่องนั้นได้ด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแบบนี้ก็รู้สึกว่าความเคอะเขินระหว่างเขาสองคนดูเหมือนจะลดลงแล้ว โคลอี้พูดต่อด้วยเสียงเรียบๆ

    “พอลองมาคิดดู ที่ผ่านมาฉันอาจจะมัวแต่ยึดติดกับความสำเร็จและความล้มเหลวมากเกินไปก็ได้นะ แต่ตอนนี้แค่อยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ ไม่ใช่คิดแบบแบ่งขั้วว่าขาวหรือดำ แค่ใช้ชีวิตด้วยการเดินตามความฝันของฉัน”

    “ฉันรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน และมันก็เป็นความคิดที่ดี”

    “อืม ขอบคุณนะมินจุน”

    โคลอี้ยิ้ม พอเห็นรอยยิ้มนั้น มินจุนเองก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้สึกเกร็ง และเขาก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้ ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจหายไป เหมือนความสัมพันธ์จะกลับมาดีแบบเมื่อก่อนอีกครั้ง ทั้งสองคนเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่อบอุ่นแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะยังไม่สามารถเรียกว่าเป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่วันนั้นคงจะมาถึงสักวัน สิ่งที่ทั้งสองคนสามารถทำได้ตอนนี้ก็คือกินอาหารให้หมดโดยไม่พูดอะไร

    ตอนที่ไม่เหลืออาหารแล้วโคลอี้ก็ถามออกมาว่า

    “แล้วคิดจะออกจากโรสไอส์แลนด์จริงๆ เหรอ”

    “ถ้าให้ตอบตอนนี้ก็คงยังหรอก แต่ฉันได้รู้อะไรบางอย่างมาเมื่อไม่นานนี้ สักวัน…”

    มินจุนมองออกไปไกลๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า

    “ฉันคงจะออกมาจากโรสไอส์แลนด์”

    ไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้กับจูน และไม่ใช่เพราะเรเชลไม่ยอมหันมามองตัวเอง แต่เป็นเพราะความโลภของมินจุนล้วนๆ ไม่รู้ว่ารู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาไม่รู้สึกเพียงพอกับการเป็นตัวแทนของใคร นิสัยของเขาเหมาะที่จะเป็นคนสร้างวัฒนธรรมบางอย่างขึ้นมาเองมากกว่าเป็นผู้สานต่อ

    “ฉันชอบโรสไอส์แลนด์ ไม่สิ น่าจะเรียกว่ารักก็ได้ แต่ถ้าถามว่าฉันสามารถทุ่มเททั้งชีวิตของฉันให้โรสไอส์แลนด์ได้รึเปล่า บอกตามตรงฉันคงตอบว่าไม่ได้ ฉันอยากจะมีป้ายร้านของตัวเอง อยากแขวนป้ายชื่อที่ตัวเองเลือกในร้านอาหารของฉันเอง ฉันเคารพอาจารย์เรเชล และก็เคารพกับการที่อาจารย์เรเชลฝันในตัวฉันด้วย แต่ว่า…”

    อยู่ๆ สายตาของมินจุนก็ดูหม่นหมอง แล้วไม่นานก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า

    “ฉันไม่คิดจะเอาความฝันของอาจารย์เรเชลมาเป็นความฝันของตัวเอง”

    ฟันเฟืองเริ่มจะเดินสวนทางกันแล้ว

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook