• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 6 ตอนที่ 2

    “ได้ข่าวของร้านสาขาใหญ่มารึเปล่า”

    “ครับเชฟ จากข้อมูลที่ได้ ร้านที่สาขาเวนิสซ่อมเสร็จเรียบร้อยนานแล้วครับ แต่ไม่เห็นจะมีการเตรียมตัวเปิดร้านเลย”

    “ไม่เตรียมตัวเปิดร้านงั้นเหรอ”

    จูนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าถ้าซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงยังไม่เปิดขาย จูนยกนิ้วขึ้นมาเคาะโต๊ะ และถามคำถามขึ้นมาอีก

    “แล้วเรื่องข่าวลือล่ะ เป็นไงบ้าง”

    “ปล่อยข่าวออกไปแล้วว่าข่าวลือที่ว่าโชมินจุนอาจจะเป็นผู้สืบทอดกิจการเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูล”

    “ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ เพราะถ้าคนพากันสนใจเรื่องเด็กคนนั้นมากเกินไปก็อาจจะกระทบเป้าหมายของฉันได้”

    จูนรู้สึกปวดหัวจึงยกมืออีกข้างขึ้นมากดที่ขมับตัวเอง ผู้จัดการมองดูภาพนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร จูนยิ้มเศร้าๆ และมองเขา

    “ฉันดูใช้ชีวิตเหนื่อยมากเลยใช่มั้ย”

    “ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ใช่ครับ ตอนนี้ตัวตนของเชฟจูนก็ออกจะชัดเจน แม้ว่าไม่นานมานี้เชฟมินจุนจะเป็นที่รู้จักของผู้คน แต่นั่นก็เป็นในหมู่ของคนทั่วไป ถ้าเป็นในหมู่ของพวกนักชิมอาหารเขาเทียบกับเชฟจูนไม่ได้เลย ทำไมถึงได้ระวังขนาดนั้นครับ จากที่ผมดู แค่ทำงานของเชฟจูนไปตามปกติ ตำแหน่งเจ้าของโรสไอส์แลนด์ก็คง…”

    “โลกนี้ไม่มีของฟรีหรอกนะ”

    จูนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เธอมองมือของตัวเอง มือที่มีทั้งแผลมีดบาดและแผลไฟลวก

    “เพราะมีแผลพวกนี้ฉันถึงได้มีความสามารถในการทำอาหาร เวลาจะได้อะไรมาฉันก็ต้องเตรียมตัวมากเท่านั้น ต้องจ่ายตามคุณค่าของมัน ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีทางได้มา ฉันไม่ใช่จิ้งจอกที่ได้แต่รอให้พวงองุ่นตกลงมาแล้วสุดท้ายก็ถอดใจ ปลอบใจตัวเองว่ามันคือองุ่นเปรี้ยว ถ้าอยากกินองุ่นฉันก็จะซื้อองุ่นนั่น แล้วถ้ามันอร่อยมากฉันก็คงจะซื้อต้นของมันมาปลูกเอง”

    ผู้จัดการไม่สามารถตอบอะไรได้ มีหลายครั้งที่ความทะเยอทะยานของจูนดูยอดเยี่ยมและงดงาม แต่บางครั้งมันก็ดูเศร้ามากด้วยเหมือนกัน ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของจูนก็ดังขึ้น จูนมองผู้จัดการและยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

    “ฮัลโหล”

    “ฉันเดฟนะ ไม่ได้คุยกันนานเลย”

    “นานมากจนรู้สึกแปลกเลยล่ะ คิดว่าคุณจะเกลียดฉันแล้วซะอีก หรือว่ามีเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นต้องโทรหาคนที่ตัวเองเกลียด”

    “ผมไม่เคยเกลียดคุณหรอก ทั้งตอนที่เราเคยคบกัน และก็ตอนนี้”

    “คุณคงไม่ได้โทรมาเพื่อจะชวนคุยเรื่องในอดีตหรอกมั้ง ถ้างั้นมีอะไร เราไม่ใช่คนที่จะโทรหากันโดยไม่มีเรื่องอะไรนี่”

    “ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ”

    “ถ้ายังไม่เข้าเรื่องจะวางแล้วนะ ฉันไม่มีเวลามาคุยเล่นด้วย”

    คำพูดที่ตัดบทด้วยความเย็นชาทำให้เดฟเงียบไปพักใหญ่ และไม่นานก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของเดฟพูดขึ้นมาว่า

    “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังระวังมินจุน”

    “แล้วไง”

    “อย่าเป็นแบบนั้นเลย มินจุนไม่ใช่คนที่จะทำอันตรายคุณหรอก”

    “ไม่ได้ระวังตัวเพราะคนหรอก แต่ระวังเพราะสถานการณ์ต่างหาก”

    “ผมรู้ดีว่าคุณขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ยังไง และรู้ว่ากลัวเพราะอะไรด้วย แต่ลองเชื่อใจอาจารย์เรเชลดูหน่อยดีมั้ย ถ้าคุณมีคุณสมบัติ ท่านจะต้องให้ในสิ่งที่คุณต้องการแน่ๆ”

    “ฉันเชื่อในตัวอาจารย์ แต่ไม่เชื่อใจตัวเองต่างหาก”

    คำพูดที่คิดไม่ถึงทำให้เดฟพูดอะไรไม่ออก จูนหลับตาแล้วพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

    “ถึงต้องเตรียมตัวไง ถ้าหน้าตากับหุ่นไม่สวยก็ต้องแต่งตัวให้มันดูหรูหรา ตัวเองจะได้รู้สึกแย่น้อยลง ก็แค่อยากจะใส่เสื้อเพิ่มอีกชั้น”

    “คุณจะใส่เสื้อเพิ่มอีกชั้นมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าพยายามจะถอดเสื้อของคนอื่นเพียงเพราะอยากให้อาจารย์เรเชลมองเห็นล่ะก็ ผมคงนั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่ได้”

    “ไม่อยู่เฉย? คิดว่าจะทำยังไงล่ะ”

    “มีเหตุผลเดียวที่คุณไม่คิดระวังตัวเรื่องผม เพราะผมไม่มีความทะเยอทะยาน คุณรู้ดีว่าผมไม่สนใจตำแหน่งเชฟที่ทำหน้าที่ดูแลโรสไอส์แลนด์ทั้งหมด แต่ถ้าคุณล้ำเส้นแล้วทำให้อาจารย์ไม่สบายใจ ถึงเวลานั้นคุณจะต้องระวังผมมากกว่ามินจุนแน่ๆ”

    “นี่กำลังขู่ฉันเหรอ”

    “ที่พูดก็เพื่อตัวคุณเองนะ”

    “น่าซึ้งใจจริงๆ แค่นี้นะ ต่อไปหวังว่าคงไม่ต้องรับสายจากคุณอีก”

    จูนวางสายแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด ผู้จัดการที่สังเกตท่าทางของจูนอยู่จึงพูดขึ้นมาด้วยความระมัดระวังว่า

    “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ”

    “เป็นสิ”

    ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาหรือความโกรธ รอบดวงตาของเธอก็แดงก่ำ เหมือนมีบางอย่างกำลังพลุ่งพล่านอย่างเห็นได้ชัด จูนเหลือบเห็นผู้จัดการทำท่าอึกอัก เลยยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดตาและพูดว่า

    “ออกไปได้แล้ว ไปลองสืบดูหน่อยว่าช่วงนี้สื่อและข่าวต่างๆ พูดถึงร้านสาขาของเราว่ายังไงบ้าง แล้วก็ข่าวเกี่ยวกับตัวฉันด้วย รวมถึงที่พูดกันในโซเชียล”

    “รับทราบครับ”

    พอผู้จัดการออกไปจากห้อง ความเงียบก็เข้าปกคลุม จูนจึงพึมพำในความเงียบว่า

    “เดฟ ฉันไม่ถอดเสื้อผ้าคนอื่นหรอก ไม่ถอด”

    เพราะเธอจะแต่งตัวให้หรูหราจนไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเทียบได้ จูนเอามือที่ปิดตาอยู่ออก ตาที่เคยแดงกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่เคยแดงมาก่อน เธอไม่มีเวลามานั่งเสียน้ำตา ไม่มีเวลามาหลับตา เบิกตากว้างแล้วมองไปที่ทางข้างหน้าเถอะ เพราะทางสายนั้นมันอันตรายและยากลำบากเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

     

    2

    วิ่งแล้วมองไปข้างหน้า

     

    หลังจากวันนั้นในหัวของมินจุนก็มีแต่ความคิดหนึ่งวนเวียนอยู่ นั่นคือจะออกไปจากกรงนกของเรเชลดีหรือไม่ เวลาที่เขาพูดถึงปัญหานี้เมื่อไหร่ คนรอบตัวก็จะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป แบบแรกก็คือให้กำลังใจอย่างเงียบๆ เหมือนกรณีของโคลอี้ บอกว่าการที่มินจุนคิดมากเรื่องนั้นก็คงมีเหตุผลบางอย่างที่สมควร และเขาคงจะหาคำตอบที่ถูกต้องได้เหมือนทุกครั้ง คนพูดแบบนี้เยอะที่สุด แบบที่สองเป็นการคัดค้านอย่างรุนแรง แอนเดอร์สันอยู่ในกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินว่ามินจุนกำลังคิดหนักเรื่องจะออกไปจากโรสไอส์แลนด์ดีหรือไม่ก็โมโหมาก บอกว่าถ้าเป็นเหตุผลอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่จะไปด้วยเหตุผลที่ไร้สาระแบบนั้นอีกฝ่ายไม่สนับสนุน ความจริงมินจุนก็เข้าใจ มินจุนรู้ดีว่าแอนเดอร์สันคิดกับตัวเขายังไง ได้มาเจอคู่แข่งของตัวเองทั้งที แต่เขากลับจะออกไปที่อื่น เป็นเรื่องปกติที่แอนเดอร์สันไม่มีทางจะรู้สึกยินดี ส่วนปฏิกิริยาแบบสุดท้ายก็เป็นแบบที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

    “คิดมากไปรึเปล่า”

    “ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าคิดมากไปหรือเปล่า”

    คาย่าเอามะเขือเทศใส่เครื่องปั่นด้วยหน้าตาบึ้งๆ มินจุนเหลือบมองเครื่องปั่นที่กำลังสั่นพลางสังเกตท่าทีของเธอ

    “ดูเหมือนจะไม่พอใจอะไรบางอย่างนะ”

    “ก็ต้องไม่ชอบสิ การที่นายจะไปจากโรสไอส์แลนด์ก็หมายความว่านายอาจจะไปจากแอลเอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราอาจจะต้องอยู่ห่างกัน”

    คำพูดนั้นทำให้มินจุนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นอย่างจริงจัง ไม่สิ พูดตามตรงแล้วเขาเลี่ยงที่จะคิดถึงมันมากกว่า แต่ถึงแม้จะคิดอย่างจริงจังก็คงยากที่จะได้คำตอบชัดเจน คาย่ายิ้มเศร้าๆ และหยุดปั่น

    “น่าตลกดีนะ เราสองคนน่ะ เคยคิดว่าเราจะช่วยทำให้อีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้น แต่มันดูเหมือนว่าเราเป็นตัวถ่วงให้กันและกันมากกว่า”

    “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”

    “ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงนาย แล้วก็ไม่อยากโดนถ่วงด้วย บางครั้งก็ไม่รู้ว่าอะไรต้องมาก่อน ควรต้องคิดถึงคนของตัวเองก่อน หรือต้องคิดถึงงานก่อนกันแน่”

    คาย่าพูดถึงตรงนั้นแล้วก็ทำท่าครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็ยิ้มออกมา

    “ความจริงไม่ว่าจะอยู่ที่โรสไอส์แลนด์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ฉันเคยคิดว่าอยากอยู่กับนาย”

    “ที่บอกว่าอยู่ด้วยกันหมายถึงในครัวเหรอ”

    “ไม่รู้สิ ไม่ค่อยมั่นใจที่จะพูดออกมาอย่างชัดเจนหรอก”

    คาย่าพูดแบบนั้นและใส่น้ำตาลลงไปในน้ำมะเขือเทศปั่นข้นๆ พอมินจุนเห็นก็ทำหน้าบึ้ง

    “ไม่รู้เหรอว่าถ้าใส่น้ำตาลลงไปในมะเขือเทศจะทำลายสารอาหารจนหมด”

    “จำเป็นต้องกินแบบที่มันดีต่อสุขภาพขนาดนั้นด้วยเหรอ แค่อร่อยก็พอแล้ว”

    “ถ้าจะกินให้อร่อยก็ไม่ต้องเอาน้ำตาลไปใส่ในมะเขือเทศหรอก แค่เอามาทำเป็นสมูธตี้ก็ได้นี่”

    “ไว้ค่อยบ่นทีหลังนะ ฉันไปทำงานก่อน”

    “ฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน ออกไปพร้อมกันสิ”

    มินจุนแย่งแก้วในมือของคาย่ามาดื่มมาหนึ่งอึกโดยไม่สนใจสายตาของคาย่า

    “ก็อร่อยดีนะ”

     

    โรสไอส์แลนด์ยังไม่ได้เปิดทำการ แม้มินจุนและเพื่อนร่วมงานจะกลับมาที่แอลเอเป็นเวลาพักใหญ่แล้วก็ตาม ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะร้านสาขาใหญ่ยังมีบางส่วนที่ซ่อมแซมไม่เรียบร้อย แต่ไม่ใช่ เพราะไม่ว่าจะไปร้านสาขาใหญ่กี่ครั้งก็หาส่วนที่แตกต่างกับเมื่อก่อนแทบไม่เจอ และวันนี้เรเชลก็เรียกพวกเขาทุกคนมารวมตัวกัน ไม่ใช่ร้านสาขาเวนิสที่พวกเขาเคยรู้จัก แต่เป็นที่ดาวน์ทาวน์ลอสแองเจลิส มินจุนเข้ามาอยู่ในตึกทันสมัยที่เหมือนเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไม่นานก็เข้าลิฟต์และกดชั้นบนสุด ผู้ชายที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันมองมินจุนแล้วทำท่าเหมือนคุ้นๆ ไม่นานก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงระมัดระวังว่า

    “ใช่เชฟมินจุนจากโรสไอส์แลนด์รึเปล่าครับ”

    “ใช่ครับ”

    “ว้าว! ถ้างั้นข่าวลือนั่นคงจะจริงสินะ”

    “ข่าวลือเหรอครับ”

    มินจุนทำหน้างง พอได้เห็นสีหน้าแบบนั้นก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นทำตัวไม่ถูก

    “ความจริงมีข่าวลือกันในหมู่พวกเราน่ะครับ ว่าโรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่อาจจะมาเปิดที่ชั้นบนสุดของตึกนี้”

    “อะไรนะครับ!”

    ตอนนั้นมินจุนไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตัวเองได้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ร้านสาขาใหญ่จะย้ายมาอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ที่หาดเวนิส? ผู้ชายคนนั้นเกาหัวอย่างเขินๆ

    “คุณทำหน้าแบบนี้แสดงว่ามันคงเป็นแค่ข่าวลือมั่วๆ สินะครับ ได้เจอคุณมินจุนที่นี่ก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงซะอีก”

    “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”

    ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ลิฟต์ก็มาหยุดที่ชั้นของผู้ชายคนนั้น ประตูเปิดออกแล้วชายคนนั้นก็โบกมือให้มินจุนด้วยความเสียดาย

    “ถ้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะครับ”

    “ไว้เจอกันครับ”

    มินจุนยิ้มพอเป็นพิธีและตอบออกไป ประตูปิดลงบดบังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชายคนนั้น หน้าตาของมินจุนบึ้งลง ตอนที่ลิฟต์มาถึงชั้นบนสุด ภาพที่มินจุนเห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาอึ้ง

    “นี่มัน…”

    รู้สึกเหมือนได้กลับมาที่ร้านอาหารของจูนอีกครั้ง ถ้าร้านของจูนงดงามเหมือนเพชรที่หรูหราฟุ่มเฟือย ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองช่อกุหลาบ กระเบื้องหินอ่อนที่พื้นมีหลายลวดลาย ราวกับกำลังดูงานศิลปะ หลอดไฟหลายแบบที่ห้อยอยู่บนเพดานก็งดงามมาก แม้เป็นชั้นบนสุดของตึกแต่ก็มีเพดานสูง มองเห็นห้องครัวขนาดใหญ่ได้ชัดเจนพอๆ กับห้องอาหารที่ใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของชั้น มินจุนกลืนน้ำลาย ตอนนั้นเองไอแซคก็เดินมา

    “มาแล้วเหรอ มินจุน”

    “ไอแซค นี่มัน…”

    มินจุนยากที่จะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแต่ไอแซคไม่แตกตื่นและตอบออกไปด้วยน้ำเสียงใจเย็น

    “เข้าไปในครัวสิ ทุกคนรออยู่”

    “ไอแซค ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าที่นี่มีร้านอาหารขนาดใหญ่แบบนี้อยู่ นี่มัน…”

    “เข้าไปในครัวก็จะได้คำตอบ”

    คำพูดของไอแซคทำให้มินจุนเดินไปอย่างฝืนใจ ก่อนจะเข้าไปในครัวก็มองเห็นได้ไม่ยากว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง เพราะเป็นครัวแบบเปิดโดยสมบูรณ์ ร้านโรสไอส์แลนด์ก่อนหน้านี้จะเปิดแค่หน้าต่าง ให้ความรู้สึกเหมือนแอบมองเข้าไปในครัวได้ แต่ครัวนี้คิดว่าคนน่าจะได้ยินเสียงทุกอย่างที่อยู่ในครัว เพราะขอบเขตระหว่างครัวกับห้องอาหารมีเพียงโต๊ะเคาน์เตอร์ครัวยาวๆ และโต๊ะแบบบาร์เท่านั้น

    “มาแล้วเหรอ”

    เรเชลมองมินจุนและยิ้ม มินจุนจึงชะงักเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไป คนอื่นมารวมตัวกันหมดแล้ว เรเชลกระแอมแล้วเริ่มพูด

    “ถึงตอนนี้ฉันคิดว่าพวกเธอคงจะพอเดากันได้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านใหม่ของพวกเรา”

    “แล้วที่เดิมล่ะครับ”

    มินจุนพูดความสงสัยที่อยู่ในใจออกมาทันที ไม่ใช่คำถามของเขาคนเดียว แต่เป็นคำถามของทุกคนที่อยู่ในที่นี้ เรเชลมองที่พื้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย ก่อนจะพูดต่ออย่างช้าๆ ว่า

    “บางครั้งเราก็ต้องลืมอดีตแล้วเดินไปข้างหน้า ฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว สาขาเวนิสเก่ามากแล้ว เป็นสถานที่ที่ขาดความทันสมัยและที่จริงก็ไม่ได้มีความดั้งเดิมอะไร ในแง่การใช้งานจริงก็ยังบกพร่องอีกมาก ถ้าจะดื้อทำต่อไปมีแต่จะแย่ลง”

    น้ำเสียงของเรเชลฟังดูหนักอึ้ง เธอเองก็คงไม่ได้ยินดีกับการตัดสินใจในครั้งนี้ของตัวเองสักเท่าไหร่ ร้านสาขาเวนิสมีความหมายต่อเธอและลึกซึ้งมากกว่าสิ่งไหนโดยก็รู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าร้านสาขาเวนิสไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก ตึกที่ไม่ได้มีความหรูหราสมกับการเป็นร้านอาหารมิชลินสามดาว รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ เวลากลางคืนแถวชายหาดเวนิสถือเป็นพื้นที่ห้ามเข้า เพราะมีทั้งการยิงกันของแก๊งต่างๆ และพวกขี้ยาที่เตร็ดเตร่ การที่ไม่เลิกล้มความตั้งใจทั้งที่เป็นสถานที่แบบนั้นก็เพราะยึดติดกับมันมาก มีทั้งความทรงจำและร่องรอยต่างๆ ของแดเนียล

    “เพราะฉะนั้นที่นี่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของพวกเรา”

    คำพูดนั้นทำให้ใจของมินจุนเต้นรัว ช่วงเวลานี้เขาสามารถลืมความกังวลที่เคยคิดในช่วงที่ผ่านมาว่าจะไปจากเรเชลดีหรือไม่ ใช่แล้ว แค่เปลี่ยนแปลงก็พอ ถ้าเรเชลสามารถเปลี่ยนได้ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ข้างๆ แต่ถ้าเรเชลกลับมามองคุณค่าของตัวเอง ไม่ใช่คุณค่าของตัวเขาได้ล่ะก็…

    อาจทำให้เหตุผลที่ต้องไปจากอาจารย์หายไปก็ได้

    และในตอนนี้เขาก็อยากจะใช้เวลาร่วมกับเรเชลในก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง ว่าเธอจะเดินไปยังไง และทำอาหารแบบไหน ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาว่า

    “พวกเรามาทำอาหารอะไรง่ายๆ กันหน่อยดีมั้ยครับ”

    “ตอนนี้น่ะเหรอ”

    “ก็มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี่ครับ ทำอะไรที่แต่ละคนอยากทำตามอารมณ์ในตอนนี้ เชฟก็ต้องเล่นสนุกในแบบเชฟสิครับ”

    “เป็นข้อเสนอที่ดีนะ ถ้างั้นเรามาทำกันดีมั้ยทุกคน”

    เรเชลยิ้มกว้างและหันไปมองทุกคน ไม่มีใครไม่สามารถตอบว่าไม่อยากทำเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น มินจุนรีบตรงไปที่ตู้เย็นแล้วเลือกวัตถุดิบ อาจเพราะยังไม่ได้เปิดร้าน ปริมาณของวัตถุดิบจึงไม่ค่อยเยอะ ดังนั้นสิ่งที่มินจุนเลือกจึงเป็นอะไรที่ธรรมดามาก หมูสามชั้น ขิง กระเทียม ต้นหอม สาหร่ายทะเล เหล้าสำหรับทำอาหาร และเครื่องปรุงอื่นๆ ที่เขาตั้งใจจะทำก็คือหมูตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่น รูปแบบก็ง่ายๆ นำเนื้อหมูที่โรยพริกไทยไปย่างให้เหลืองพอประมาณ เอาเนื้อหมู ต้นหอม และขิงลงไปต้มในน้ำซุปที่ได้จากสาหร่ายทะเล เขาต้มหมูทิ้งไว้แล้วหันไปมองข้างๆ อยู่ครู่หนึ่ง ในระหว่างที่ทุกคนกำลังทำอาหาร ราฟาเอลกลับไม่ทำ แม้จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เขาก็กลับมามีสมาธิกับการทำอาหารอีกครั้ง เดิมทีแล้วเมนูนี้ต้องใช้เวลาทำนานหลายชั่วโมง ต้มหมูประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นต้องเคี่ยวกับซีอิ๊ว เหล้าสำหรับทำอาหาร น้ำตาล และอย่างอื่นอีกเป็นเวลาประมาณสี่สิบนาที วิธีที่เขาเลือกทำเพื่อลัดขั้นตอนพวกนั้นลงก็คือหั่นเนื้อหมูให้บางลงกว่าเดิม แล้วบั้งเนื้อให้ถี่ๆ แค่นี้ก็จะช่วยทำให้เครื่องปรุงรสเข้าเนื้อได้เร็วขึ้น หลังจากเคี่ยวเสร็จก็เอาวาซาบิหรือมัสตาร์ดทาไว้ด้านบน ทำเหมือนข้าวปั้น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ข้าวปั้นหมูตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่น ราฟาเอลเห็นดังนั้นจึงถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

    “อาหารเอเชียนี่ ทำอาหารแบบนี้ในวันแรก มีความหมายอะไรรึเปล่า”

    “ที่ผ่านมาพวกเราเอาแต่โฟกัสอยู่กับอาหารตะวันตก ครั้งนี้ก็เลยอยากจะลองดึงรสชาติที่หลากหลายจากทางอื่นดูบ้าง ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษหรอกครับ”

    “นายต้องทำได้แน่”

    มินจุนรู้สึกว่าคำพูดของราฟาเอลฟังดูแปลกๆ จึงถามออกไปด้วยความสงสัย

    “ทำไมถึงไม่ทำอาหารล่ะครับ”

    “ซูเชฟลงมือทำอาหารเองมันดูไม่ค่อยดีนี่”

    “เหตุผลนั้นจริงๆ เหรอครับ”

    ราฟาเอลยิ้มและเลี่ยงที่จะตอบ ไม่นานทุกคนก็ทำอาหารเสร็จและมานั่งรวมกันในห้องอาหาร ระหว่างที่ทุกคนกำลังเวียนชิมอาหารของคนอื่น แอนเดอร์สันที่ตักอาหารของมินจุนใส่ปากก็ถึงกับตาโต

    ทำอาหารญี่ปุ่นออกมาได้ในแบบที่ไม่ทำให้คนกินรู้สึกต่อต้าน

    กลิ่นขิงเหมือนจะแรง แต่ถ้าลดความเข้มข้นของกลิ่นลงก็จะทำให้ทุกคนถูกปากได้ มินจุนสามารถปรับใช้ได้ดีขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านี้แอนเดอร์สันไม่เคยเห็นมินจุนทุ่มเทและใส่ใจกับอาหารเอเชียมากขนาดนี้มาก่อน

    นี่คิดจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนกัน เจ้าคนประหลาด

    “ทุกคนพัฒนาขึ้นเยอะมากเลยนะเนี่ย”

    พอเรเชลพูดขึ้นมา สายตาของทุกคนพากันมองไปที่เธอ

    “ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมักจะมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงที่เราจะได้เจอในครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่การย้ายสถานที่เท่านั้น”

    “มีอะไรอีกเหรอครับ”

    “ราฟาเอลกำลังจะลาออก”

    คำพูดของเรเชลทำให้ทุกคนหันไปมองราฟาเอลราวกับนัดกัน ราฟาเอลจึงชูสองนิ้ว แล้วเรเชลก็พูดว่า

    “ในบรรดาพวกเธอ มีคนไหนที่พร้อมรับมือกับตำแหน่งนั้นบ้าง”

    สายตาของเดมี่เชฟทุกคนปรากฏความโลภที่ไม่อาจซ่อนได้ และคนที่ทำสายตามั่นใจที่สุดก็คือเจเน็ต เธอค่อยๆ ยกมือขึ้น พอเรเชลหันไปมอง เธอก็พูดว่า

    “คุณเรเชลคงจะทราบอยู่แล้วว่าฉันเคยได้รับการเสนอให้เป็นซูเชฟในร้านอาหารที่เคยทำก่อนหน้านี้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเห็นความเป็นไปได้ในตัวของฉัน”

    “ฉันเองก็ไม่สงสัยเรื่องความสามารถของเธอเลย เธอทำหน้าที่ในฐานะเดมี่เชฟได้อย่างสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าเธอก็คงทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดีในฐานะซูเชฟ แต่ที่ฉันคาดหวังมันไม่ใช่แค่หน้าที่เท่านั้น แต่จะต้องแสดงประสิทธิภาพได้มากกว่าตำแหน่งและความสามารถด้วย เหมือนที่ราฟาเอลเคยทำ”

    ราฟาเอลควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ คำสั่งของเรเชลถูกบอกต่อมาถึงพวกเขาแบบไม่ผิดเพี้ยน และคนที่คอยสังเกตดูอย่างละเอียดเวลาที่พวกเขาจัดการกับไฟและวัตถุดิบก็คือราฟาเอล ถ้าถามว่าจะแสดงความสามารถแบบไม่ด้อยกว่าราฟาเอลได้หรือเปล่า พูดตามตรงว่าไม่มั่นใจที่จะตอบออกไปได้ ราฟาเอลถือเป็นมืออาชีพมากคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ระดับซูเชฟ แต่เขามีความสามารถถึงขั้นเป็นหัวหน้าเชฟในร้านอาหารหรูๆ ได้ และเพราะแบบนั้นเขาจึงได้มารับตำแหน่งซูเชฟของสาขาใหญ่ เพราะซูเชฟสาขาใหญ่ก็เก่งไม่แพ้หัวหน้าเชฟของร้านทั่วไป พูดง่ายๆ ก็คือที่เรเชลถามว่ามั่นใจว่าสามารถเป็นซูเชฟของร้านสาขาใหญ่ได้หรือเปล่าในอีกแง่หมายความว่ามีความสามารถพอที่จะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าเชฟของสาขาย่อยได้หรือเปล่านั่นเอง ซึ่งมินจุนก็คิดว่าเขาไม่มีความสามารถระดับนั้น

    ถ้าวันเดียวยังพอว่า คงจะพอทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องคอยตื่นตัวและสังเกตทุกอย่างนานถึงหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปีล่ะก็…

    มินจุนส่ายหน้า นั่นมันคนละเรื่องกันเลย ความสามารถที่ดีที่สุดมันมีขีดจำกัดในช่วงเวลาหนึ่ง ถึงได้เรียกว่าดีที่สุด ถ้าสามารถคงความดีที่สุดได้ตลอด มันก็คงไม่ใช่ดีที่สุด แต่น่าจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว และพื้นฐานของมินจุนก็ยังไม่ได้สูงถึงขนาดนั้น เลเวลเป็นตัวบ่งชี้ เขามีเลเวลทำอาหารแค่ระดับแปดเท่านั้น และยังไม่รู้เงื่อนไขที่ทำให้เลื่อนไปเป็นระดับเก้าด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถถึงระดับซูเชฟสาขาใหญ่ของโรสไอส์แลนด์ หรือระดับหัวหน้าเชฟของสาขาย่อย จนกว่าเลเวลการทำอาหารของเขาจะขึ้นไปถึงระดับเก้า ขนาดอลันที่เห็นครั้งล่าสุดยังมีเลเวลการทำอาหารระดับแปดอยู่เลย

    ถ้าเป็นซูเชฟของสาขาย่อยล่ะก็…

    อย่างน้อยจากที่เขาเคยเห็นก็ไม่เคยมีซูเชฟของสาขาย่อยคนไหนที่มีเลเวลทำอาหารระดับเก้า ความจริงถ้าได้ระดับเก้าแล้วรับตำแหน่งเป็นซูเชฟก็คงเป็นเรื่องแปลก ถึงแม้จะเป็นสาขาใหญ่ก็ยังทำความเข้าใจได้ยาก ถ้าไม่ได้มีความคิดเหมือนราฟาเอลก็แทบเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้

    “อาจารย์คิดยังไงเหรอครับ”

    ดังนั้นคำถามของจาเวียร์จึงทำให้มินจุนตั้งใจฟังคำตอบมาก สิ่งที่สงสัยที่สุดในตอนนี้ก็คือความรู้สึกในใจของเรเชล เธอประเมินพวกเขาเอาไว้สูงขนาดไหน คิดดูแล้วก็ตลก ปกติเวลาที่เรเชลคาดหวังในตัวเขา เขามักจะไม่ยอมรับความจริง คิดว่าเธอประเมินสูงเกินไปเพราะไม่เห็นคะแนนระบบ แต่ตอนนี้เขากลับกำลังรอฟังการประเมินอย่างมีเมตตาของเธอมากกว่าตอนไหน

    “พูดกันตรงๆ ฉันอยากจะให้โอกาสกับพวกเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าฉันมองด้วยความลำเอียงรึเปล่า แต่จะมีพ่อแม่ที่ไหนบ้างที่มองว่าสิ่งที่ลูกตัวเองทำไม่น่าเอ็นดู”

    “หมายความว่ายังไม่ดีพอสินะครับ”

    น้ำเสียงที่หดหู่ของจาเวียร์ทำให้เรเชลส่ายหน้า

    “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในตัวพวกเธอ ฉันเชื่อ แต่ถ้าถามถึงระดับความเชื่อว่ามันมากพอที่จะฝากตำแหน่งซูเชฟได้รึเปล่า ฉันก็คงตอบแบบมั่นใจไม่ได้”

    เป็นเรื่องธรรมดาที่เรเชลจะพูดแบบนั้น ไม่สิ ความจริงมินจุนคิดว่าเรเชลอาจจะใช้วิธีตอบแบบนั้นเพื่อพูดอ้อมๆ ไม่ว่าจะมองแบบไหนตอนนี้พวกเขาก็เหมือนยังขาดความสามารถที่จะทำตำแหน่งซูเชฟของโรสไอส์แลนด์

    “ดังนั้นจึงมีข้อเสนออย่างหนึ่งมาให้พวกเธอ”

    คำนั้นทำให้ดวงตาของเหล่าเดมี่เชฟเป็นประกาย น้ำเสียงของเรเชลให้ความรู้สึกเหมือนกับคุณย่าที่ซ่อนของขวัญที่เตรียมเอาไว้ให้หลานๆ เพราะแบบนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เรเชลพูดในเวลาถัดมา สีหน้าของเดมี่เชฟจึงบูดบึ้งลง

    “จะเรียกว่าเป็นโชคดีก็ยังไงอยู่ แต่เพราะเรื่องไฟไหม้และการย้ายสถานที่ทำให้พวกเรามีเวลาเหลืออีกมาก และนั่นก็หมายความว่าพวกเธอจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติที่ปารีสได้”

    “การแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติที่ปารีสเหรอครับ”

    “เคยได้ยินรึเปล่า”

    “แน่นอนสิครับ ก็มันเป็นการแข่งขันทำอาหารระดับโลกที่ขึ้นชื่อว่ามีมาตรฐานสูงที่สุด พวกเรา…จะชนะได้เหรอครับ”

    จาเวียร์พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น การแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติที่ปารีสไม่ใช่การแข่งขันสำหรับมือสมัครเล่น ไม่สิ ถึงแม้จะเป็นมืออาชีพก็ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปแข่งได้ เพราะว่าการแข่งขันรายการนั้นเป็นที่ที่เต็มไปด้วยคนมีชื่อเสียง หรือคนที่มีความเชี่ยวชาญ ถ้าระดับเรเชลก็ว่าไปอย่าง เป็นสถานที่ที่ต่อให้หัวหน้าเชฟของร้านสาขาทั่วไปลงแข่งก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้หรือเปล่า การลงแข่งในที่แบบนั้นคงยากที่จะคิดเอาชนะได้

    “ฉันไม่คาดหวังว่าต้องชนะหรอกนะ สิ่งสำคัญก็คือพวกเธอสามารถแสดงอะไรให้เห็นได้บ้างต่างหาก”

    “หมายความว่าถ้าแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างได้ก็อาจจะพิจารณาเรื่องตำแหน่งซูเชฟอย่างจริงจังงั้นเหรอครับ”

    “ถ้าไปอยู่ที่อื่นแล้วสามารถแสดงความสามารถที่ดีออกมาให้เห็นได้ ไม่ใช่แค่ภายใต้การควบคุมของฉันเท่านั้นล่ะก็ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไม่ใช้พวกเธอเป็นซูเชฟของฉันนี่”

    คำพูดนั้นทำให้เหล่าเดมี่เชฟหันไปมองกัน ในระหว่างที่พวกเขามองกันด้วยสายตาสังเกต เรเชลก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ว่า

    “เพิ่มเติมอีกนิด ตามกฎแล้วหนึ่งทีมจะมีสองคน พวกเธอจะจับคู่กันเอง หรือจะเลือกเชฟผู้ช่วยไปด้วยอีกคนก็แล้วแต่ หรือจะขอร้องใครที่มีความสามารถมาเข้าทีมก็ได้ เรื่องนั้นพวกเธอเลือกได้ตามอิสระ แต่จำเอาไว้อย่างหนึ่ง…”

    น้ำเสียงของเรเชลจริงจังขึ้น

    “พวกเธอไปที่นั่นเพื่อพิสูจน์ความสามารถว่าพวกเธอสามารถพัฒนาไปได้ถึงไหน”

     

    “แล้วยังไง จะไปปารีสเหรอ”

    “น่าจะเร็วๆ นี้”

    “เชฟอะไรกัน ดาราก็ไม่ใช่ มีอะไรนิดก็ต้องบินไปต่างประเทศตลอด”

    คาย่าบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แอนเดอร์สันจึงมองคาย่าเหมือนอีกฝ่ายเป็นตัวตลก

    “เธอไม่น่าอยู่ในสถานะที่จะพูดแบบนั้นรึเปล่า”

    “นายหุบปากไปเลย คนรักเขาคุยกัน อย่าพูดแทรก”

    “ถ้างั้นพวกเธอก็น่าจะอยู่กันแค่สองคนนะ ชวนฉันมาอยู่ด้วยทำไมล่ะ”

    “หยุดทั้งสองคนนั่นแหละ ไม่ทะเลาะกันจริงจัง แต่เห็นหาเรื่องกันตลอด เมื่อไหร่จะพูดดีๆ ใส่กันนะ”

    “พูดอะไรน่าสยองอีกแล้ว”

    คาย่าจ้องมินจุนด้วยสายตาเย็นชาพลางตักปลาออกจากกระทะ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือพรหมลิขิตกันแน่ อาหารที่คาย่าตักใส่จานในตอนนี้คืออาหารฝรั่งเศสที่ชื่อว่าทรูอิตโออามอง* คือการนำปลาเทราต์ไปคลุกไข่ แป้งสาลี น้ำมัน เนย เกลือ และพริกไทย แล้วนำลงไปทอด จากนั้นก็ราดน้ำเลมอน อัลมอนด์ และผงพาร์สลีย์ลงไปบนปลาเทราต์ที่ทอดเสร็จแล้ว

    “แล้วไปนานแค่ไหนล่ะ”

    “น่าจะไม่ถึงสิบห้าวันนะ”

    เมื่อได้ยินแบบนั้นคาย่าก็ไม่พูดอะไรไปพักใหญ่ มินจุนคอยสังเกตคาย่าและหั่นเนื้อปลาเทราต์ใส่ปาก ปลาถูกแกะก้างออกอย่างดีจึงทำให้ตอนเคี้ยวไม่เจอก้างเลย รสชาติหอมมันของนมและเนยกับรสอัลมอนด์ที่เคี้ยวแล้วกรุบกรอบ น้ำจากตัวปลาไหลออกมาอย่างนุ่มนวลและซึมไปตามลิ้น เทียบกับขั้นตอนการทำที่เรียบง่าย ถือว่าสามารถทำรสชาติออกมาได้ดีจนน่าตกใจ และนั่นก็คือเหตุผลที่มินจุนประเมินคาย่าไว้สูงกว่าตัวเขาเอง แค่เพียงสร้างสูตรอาหารขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วโฟกัสไปที่รายละเอียดแต่ละอย่าง เธอก็จะสามารถทำรสชาติที่เทียบเคียงกันออกมาได้ ยิ่งด้วยประสาทสัมผัสพื้นฐานของคาย่า แม้จะแค่ทำเนื้อหมูตุ๋นแบบง่ายๆ ก็สามารถดึงเอารสชาติที่เหมือนกับได้ทุ่มเทคิดค้นสูตรขึ้นมา ความชำนาญในการคิดสูตรอาหารของเธออาจยังด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่ถ้าเธอชำนาญเมื่อไหร่ แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นเรเชลก็คงเอาชนะเธอได้ไม่ง่ายเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ในอนาคตเธอสามารถเอาชนะในวงการอาหารระดับโลกได้ด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ ไม่ใช่แค่ในอเมริกาเท่านั้น

    ถ้าเรามีประสาทสัมผัสแบบนั้น ไม่ใช่ระบบล่ะก็ มันจะเป็นยังไงกันนะ

    แม้จะเป็นความคิดที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่มินจุนก็คิดเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ถ้าเขามีพรสวรรค์แบบนั้นของคาย่า ถ้าสามารถทำให้ประสาทสัมผัสแบบนั้นกลายมาเป็นของตัวเองได้ล่ะก็ คงจะทำให้โลกที่เขาอยู่เปลี่ยนไปเป็นคนละความรู้สึกกัน ดังนั้นเวลาที่ได้จับคู่กับคาย่าเขาจึงรู้สึกว่าถูกยกระดับขึ้นไปในแบบที่แตกต่างจากปกติ รู้สึกเหมือนได้แชร์ประสาทสัมผัสของคาย่ามาเล็กน้อย และก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึก ทั้งข่าว ทั้งรายการทีวีต่างๆ เชฟที่เคยทำงานร่วมกับคาย่าต่างก็พูดว่ารู้สึกเหมือนกับได้ไปเที่ยวโลกอื่น เขาเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างมาก บางครั้งเขาคิดว่าควรต้องรออีกสักหน่อย เวลาที่คาย่ากลับปลาหรือเนื้อบนกระทะก็มักจะมีเปลวไฟพุ่งขึ้นมาทุกครั้ง เธอรู้จังหวะดี ถึงขั้นทำให้คิดว่าเธอสามารถมองเห็นภาพวัตถุดิบด้านที่แนบอยู่บนกระทะหรือตะแกรงย่าง นอกจากนั้นประสาทสัมผัสในการปรุงรสชาติของเธอก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขาที่มีพลังของระบบช่วย ยกตัวอย่างการโรยเกลือ เธอสามารถทำให้รสชาติของอาหารออกมาดีมากโดยยังคงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเกลือเอาไว้ได้ พอเขามองคาย่าพร้อมความคิดแบบนั้น คาย่าก็ขมวดคิ้ว

    “ทำไมมองด้วยสายตาที่ชวนให้อารมณ์เสียแบบนั้น”

    “เป็นสายตาแห่งการนับถือต่างหาก”

    “พอเลย ว่าแต่พวกนายจะอยู่ทีมเดียวกันเหรอ”

    “เปล่า”

    แอนเดอร์สันตอบออกมาทันที มินจุนจึงหันไปมองเพื่อเป็นการย้ำถาม แต่แอนเดอร์สันไม่ได้พูดเล่น เขาไม่คิดที่จะจับคู่กับมินจุน เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะทำได้ดีแค่ไหน สายตาของผู้คนก็คงจับจ้องไปที่มินจุนแน่นอน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไปยืนเป็นตัวประกอบอยู่ข้างๆ มินจุนถอนหายใจและพูดว่า

    “เมื่อกี้เจเน็ตกับจาเวียร์ก็บอกว่าไม่มีทางอยู่ทีมเดียวกับฉัน หรือว่าที่ผ่านมาฉันจะไม่มีคนคบโดยไม่รู้ตัว”

    “ถ้าจะโทษก็โทษความดังของนายเถอะ ขืนไปยืนข้างๆ นาย มีหวังได้เป็นแค่ตัวประกอบ”

    “เฮ้อ ใครจะรู้ว่าชื่อเสียงมันกลับเป็นข้อเสีย”

    มินจุนส่ายหน้าและถอนหายใจ ตอนนั้นเองคาย่าก็หันมามองตาแป๋ว

    “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่มีคู่น่ะสิ”

    “ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้”

    “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น คู่กับฉันมั้ยล่ะ”

    “ว่าไงนะ”

    “คู่กับฉันไง”

    คาย่ายิ้มแบบหยอกๆ มินจุนจึงเลิกคิ้ว

    “…”

    “ทำไมต้องตกใจด้วย มีเหตุผลอะไรที่จะคู่กับฉันไม่ได้เหรอ”

    “เปล่า นี่พูดจริงเหรอ”

    “แยกไม่ออกเลยเหรอว่าเวลาไหนฉันพูดจริงหรือพูดเล่น”

    คาย่าทำหน้าผิดหวัง แต่มินจุนต้องตกใจเป็นธรรมดา เพราะมันเป็นทางเลือกที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน ถึงแม้เรเชลจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องจับคู่กับเดมี่เชฟด้วยกัน แต่ก็คิดว่ามันไม่มีความหมายอะไรมากมาย เพราะเดมี่เชฟมีกันสี่คนพอดี ไม่ว่ายังไงก็คงจับคู่กันได้ แต่ถ้ามินจุนจับคู่กับคาย่าก็เท่ากับสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง เพราะจะทำให้อีกสามคนที่เหลือต้องมีหนึ่งคนที่จับคู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เดมี่เชฟของร้านสาขาใหญ่ พอเป็นแบบนั้นก็ทำให้แอนเดอร์สันทั้งรู้สึกตื่นเต้นและทำหน้าบูดไปโดยปริยาย ไม่มีอะไรเป็นตัวรับประกันว่าคนคนนั้นจะไม่ใช่ตัวเขา ขณะที่มินจุนก็ตกอยู่ในห้วงความคิด การที่ได้ร่วมทีมกับคาย่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย กลับดีซะด้วยซ้ำ คนมากมายเคยบอกว่าเวลาอยู่กับคาย่าความสามารถของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอีกเท่าตัว และเขาก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น คาย่ามักทำให้เขาพัฒนาขึ้นอยู่ตลอด ทั้งความคิดและการทำอาหาร

    “ตอบตอนนี้เลยว่าจะคู่กับฉันรึเปล่า”

    “นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ในทันทีนะ”

    “ตัดสินใจทันทีก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน ฉันรู้จักนาย แล้วนายก็รู้จักฉัน และรู้ด้วยว่าเวลาที่เราทำอาหารด้วยกันมันเป็นยังไง ไตร่ตรองดูสิ อย่าคิดมาก ดีหรือไม่ดี”

    “วันนี้ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษนะ”

    “ช่วยไม่ได้นี่ ถ้าคราวนี้ให้นายไปคนเดียว ฉันก็ต้องอยู่คนเดียวอีก”

    คาย่าทำหน้าหดหู่

    “เริ่มเหนื่อยกับการต้องอยู่คนเดียวแล้ว”

    “โตขึ้นเยอะเลยนะคาย่า ทำตัวเหมือนผู้หญิงก็เป็นด้วย”

    แอนเดอร์สันพูดเหน็บเบาๆ คาย่าจึงหันไปจ้องแอนเดอร์สันเขม็ง

    “รีบไปหาคู่ของนายเถอะ ตาทึ่ม”

    “หาแน่ ไม่ต้องให้เธอมาห่วงหรอก”

    “เชอะ ฝันไปเถอะว่าฉันจะห่วงนาย ว่าแต่จะเอายังไงมินจุน ตัดสินใจได้รึยัง”

    มินจุนพยักหน้า ความจริงตั้งแต่ตอนแรกที่คาย่าพูดออกมา ใจของเขาก็เอนไปด้านหนึ่งแล้ว เขาอยากเป็นเชฟที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างคาย่าได้ เขาเริ่มทำอาหารด้วยแรงบันดาลใจนั้น ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ของคาย่า

    “เอาสิ ไปแข่งด้วยกัน”

     

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘ยอดเชฟเทพนักปรุง 6’ วางขาย 25 มีนาคม 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook