• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 7 ตอนที่ 2

    การแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติของปารีสถือเป็นศักดิ์ศรีของฝรั่งเศส แต่กลับไม่มีเชฟฝรั่งเศสผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศสักคน และนั่นก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสไม่สนใจการแข่งขันนี้อีกต่อไป

    นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี

    แต่โชคดีที่ผู้จัดการแข่งขันนี้ฉลาดพอที่จะพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส ชาวฝรั่งเศสหลายคนไม่สนใจการทำอาหารพอๆ กับที่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการแข่งขันนี้ ผู้จัดจึงนำความได้ชัยของเชฟจากอเมริกาและความพ่ายแพ้ของเชฟฝรั่งเศสมาเป็นโฆษณาเชิญชวนให้ผู้คนเข้ามาชมการแข่งขัน

    ถ้าอยากพัฒนาวงการอาหารก็ต้องมีความใส่ใจและความสนใจให้มากกว่านี้ การที่เชฟฝรั่งเศสพ่ายแพ้อาจเป็นเพราะขาดความใส่ใจและความสนใจที่จะพัฒนา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ชาวฝรั่งเศสต่างก็ตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเป็นชาติที่มีใจรักในอาหาร

    ปัญหาก็คือพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้

    มันเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากมาก การมีตัวตนของมินจุน คาย่า โทบี้ และเอว่านั้นไม่ต่างกับการสร้างบาดแผลอันเจ็บปวดให้ชาวฝรั่งเศส ไม่มีใครจะทนดูบาดแผลบนร่างกายและศักดิ์ศรีของตัวเองได้นานนัก มินจุนไม่แปลกใจถ้าจะถูกชาวฝรั่งเศสเมินใส่ เขาจึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจต่อภาพที่ได้เห็นในเวลานี้

    “ว้าว…คนฝรั่งเศสนี่สุดยอดจริงๆ”

    มินจุนหันไปมองคนดูที่แน่นขนัด ถ้าเทียบกับรอบรองชนะเลิศแล้วนับว่ามีจำนวนไม่น้อยไปกว่ากันเลย โดยส่วนตัวแล้วมินจุนไม่เข้าใจว่าทำไมคนดูจึงพากันมาที่นี่มากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นการแข่งขันฟุตบอลก็ว่าไปอย่าง แต่พอคิดดูแล้วก็อาจเป็นเพราะแม้จะไม่มีเชฟจากประเทศของตัวเองลงแข่ง แต่การได้ชมช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็ถือว่ามีความหมายสำหรับพวกเขาแล้ว

    ว่าแต่คนดูได้แต่มองดูการทำอาหารอยู่ไกลๆ ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติ แล้วจะมีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันได้อย่างไรกันนะ ขณะที่มินจุนกำลังนึกสงสัยคาย่าก็พึมพำว่า

    “คนฝรั่งเศสใจกว้างจังแฮะ มาดูหน้าคนที่ทำให้เชฟของประเทศตัวเองอับอายถึงที่นี่”

    “ดูท่าจะไม่ได้มาเพราะใจกว้างนะ”

    “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

    “แค่…รู้สึกได้น่ะ”

    มีความจริงที่มินจุนรับรู้ได้ผ่านสายตาของตัวเอง นั่นคือบรรดาคนที่มาดูนั้นส่วนใหญ่เป็นเชฟที่มีเลเวลการทำอาหารระดับห้าซึ่งเชฟระดับนี้สามารถเปิดร้านอาหารเล็กๆ ได้ ว่าไปแล้วการที่เชฟมารวมตัวกันในการแข่งขันทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร เพราะการแข่งขันทำอาหารก็ต้องดึงดูดความสนใจคนที่เป็นเชฟอยู่แล้ว บางคนถึงกับรู้จักชื่อของมินจุนเป็นอย่างดี แต่วันนี้อาจจะพิเศษสักหน่อย เพราะมินจุนรู้สึกเหมือนเชฟทั่วทั้งฝรั่งเศสมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

    ให้ตายสิ…ในบรรดานั้นจะมีเชฟเลเวลเก้ากี่คนกันนะ

    ก่อนหน้านี้ที่นักข่าวจากทุกสำนักของฝรั่งเศสพากันพูดถึงตัวเอง มินจุนยังไม่สะดุ้งสะเทือนใดๆ แต่ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ การที่นักข่าวฝรั่งเศสและคนฝรั่งเศสมองมาที่เขานั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกับการที่เชฟชาวฝรั่งเศสมองมากจริงๆ เพราะโลกของเขาไม่ได้อยู่ในสื่อ แต่อยู่ในร้านอาหาร และผู้คนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ในตอนนี้ต่างก็เป็นคนที่ยืนอยู่ในครัวเหมือนกับเขา

    ถ้าเป็นพวกเชฟที่มาดูการแข่งขันล่ะก็ มันยิ่งทำให้อาหารที่เราจะทำในวันนี้ดูน่าอร่อยมากขึ้นไปอีก

    เพราะอาวุธที่เตรียมมาในวันนี้นั้นยิ่งรู้จักวิธีการปรุงมากเท่าไหร่ก็จะทำให้ยิ่งรู้คุณค่าของรสชาติมากเท่านั้น คนธรรมดาคงไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเชฟด้วยกันต้องรู้แน่ๆ ขณะที่มินจุนกำลังรวบรวมสมาธิอยู่เงียบๆ โทบี้กับเอว่าก็เดินเข้ามาใกล้ โทบี้ยิ้มบางๆ ก่อนจะทักทาย

    “เตรียมตัวมาดีหรือเปล่าครับ”

    “เตรียมตัวมาดีมากครับ”

    “ถ่อมตัวบ้างก็ได้ ต่อให้มั่นใจขนาดไหนก็ไม่ควรจะตอบออกมาง่ายๆ แบบนี้นะ”

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะถ่อมตัวก็เลยพูดออกมาแบบนี้ต่างหาก”

    มินจุนตอบอย่างหน้าตาเฉย ถ้าเป็นตอนปกติโทบี้ก็คงจะหัวเราะและพูดเล่นต่อ แต่คราวนี้กลับไม่ทำแบบนั้น เขาเอาแต่จ้องมินจุนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “รอบนี้เป็นการแข่งกันระหว่างทีมของโรสไอส์แลนด์ ผมจะไม่ประมาทและจริงจังมากกว่าทุกครั้ง”

    “วันนี้ผมก็ตื่นเต้นกว่าทุกครั้งเช่นกัน”

    คำพูดนี้ของมินจุนทำให้สีหน้าของโทบี้พลันบึ้งตึง เขาเคยคิดว่าการได้เข้าร่วมในการแข่งขันรายการนี้เป็นเส้นทางที่สุดยอด แต่พอได้ยินคำพูดของมินจุนเขาก็ฉุกคิดว่าหรือนี่จะเป็นความแตกต่างสำคัญที่สุดระหว่างพวกเขากันนะ แน่นอนว่าคนที่ทุ่มเทอย่างมอบกายถวายหัวกับคนที่เตรียมตัวอย่างสนุกสนานนั้นย่อมแตกต่างกัน

    แต่จังหวะการเต้นของหัวใจมันหลอกกันไม่ได้ ในที่สุดโทบี้ก็ค่อยๆ หันหลังกลับไป ตามที่เขาได้พูดไว้กับมินจุน เขาจะไม่ประมาทอีกต่อไปแล้ว และจะเลิกคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกด้วย

    เราต้องแสดงให้เห็นว่าได้เรียนรู้อะไรมาจากเชฟจูนบ้าง

    คนส่วนใหญ่มักมองข้ามและไม่ตระหนักถึงฝีมือที่แท้จริงของจูน บางคนถึงกับพูดว่าเธอเก่งเรื่องบริหารมากกว่าการทำอาหาร แต่ถ้าเธอเป็นเชฟแบบนั้นจริงโทบี้ก็คงจะไม่เคารพเธอตั้งแต่แรก เท่าที่โทบี้รู้จัก เธอเป็นเชฟที่โดดเด่นและมากฝีมือ แม้ประสาทรับรสจะไม่ได้สุดยอด แต่เธอก็ทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะเติมเต็มความสามารถด้านประสาทรับรสที่ขาดหายไปของตัวเอง

    จูนได้ถ่ายทอดโลกแห่งการทำอาหารที่เรียงร้อยด้วยทฤษฎีและเหตุผลจนสมบูรณ์ส่งต่อไปยังลูกศิษย์ของเธอ และตอนนี้โทบี้ก็คิดที่จะขอยืมศาสตร์การทำอาหารของเธอมาใช้

    “หือ?”

    ขณะที่กำลังจ้องมองภาพด้านหลังของโทบี้กับเอว่ามินจุนก็แปลกใจ แน่นอนว่าเขาไม่ได้อ่านใจของโทบี้ออก แต่เขากำลังอ่านหน้าต่างของระบบที่ปรากฏอยู่บนหัวของเอว่า

    เลเวลการทำอาหาร…เพิ่มขึ้น

    เขาจำได้ว่าล่าสุดที่เห็นนั้นเลเวลการทำอาหารของเอว่าอยู่ที่ระดับเจ็ด แต่ตอนนี้เลเวลของเธอขึ้นไปถึงระดับแปดแล้ว จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก การแข่งขันทำอาหารคือโอกาสอันดีที่จะทำให้ฝีมือของเชฟพัฒนาขึ้น ด้วยความที่มีการกำหนดหัวข้อและการแบกรับความรับผิดชอบในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา อาหารที่ทำออกมาจึงดีกว่าปกติ เมื่อต้องก้าวข้ามกำแพงของตัวเองโดยมีเชฟคนอื่นๆ คอยสร้างสรรค์ผลงานดีๆ อยู่รายล้อมแบบนั้นย่อมไม่มีทางที่ฝีมือการทำอาหารจะไม่สูงขึ้น

    แต่มินจุนก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แน่นอนว่าการใส่ใจต่อเลเวลที่สูงขึ้นของคู่แข่งเป็นเรื่องที่รอบคอบสมควรทำ แต่ตอนนี้เขาต้องพับเก็บเรื่องนั้นเอาไว้ เขาจะไม่บอกโทบี้ที่เป็นคู่แข่งหรอกว่าเขากำลังตื่นเต้น

    เขาเพลิดเพลินกับการทำอาหาร นั่นเป็นความคิดที่มีมาตลอดตั้งแต่ต้น ยิ่งพอได้ทำอาหารกับคาย่าเขาก็ยิ่งซื่อสัตย์ต่อความคิดนั้น เพราะอาหารในแบบที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดก็คืออาหารของคาย่า และตอนนี้คาย่าก็ได้มาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว

    ยิ่งไปกว่านั้น…

    มินจุนอยากแสดงให้เชฟและผู้ชมมากมายที่อยู่ที่นี่ได้เห็นว่าการทำอาหารคือความเพลิดเพลิน ขณะที่มินจุนกำลังกำหมัดอย่างมุ่งมั่นกรรมการก็มายืนอยู่ตรงหน้า โดยบาสเตียนเป็นคนพูดก่อน ปกติแล้วอีกฝ่ายชอบพูดด้วยโทนเสียงสูงเหมือนพิธีกรตามงานอีเวนต์ แต่วันนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและจริงจัง

    “หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานสำหรับพวกคุณทั้งสี่หรือเปล่าครับ”

    “ฉันว่ามันน่าปวดหัวมากกว่าสนุกนะคะ แต่อีกเดี๋ยวพวกคุณจะได้สนุกกับอาหารของทีมเราแน่ค่ะ”

    “ความมั่นใจในตัวเองยังคงเป็นเสน่ห์ของเชฟคาย่าเสมอเลยนะครับ ว่าแต่เรื่องที่เราคุยกันไว้เมื่อคราวก่อน ถ้าคุณมาที่ร้านอาหารของผม…”

    “ถ้าฉันตอบคำถามนั้น พวกคุณจะให้คะแนนสูงๆ กับทีมฉันรึเปล่าล่ะ”

    “งั้นเอาไว้ตอบหลังจบการแข่งขันดีกว่าครับ วันนี้พวกคุณคิดที่จะทำอาหารอะไรเหรอครับ”

    “เป็นอาหารฝรั่งเศส แต่ก็ไม่เหมือนอาหารฝรั่งเศส บอกไม่ได้ว่าวัตถุดิบหลักคืออะไร รสชาติจะออกมาเป็นยังไง พวกเราก็เลยยังไม่ได้ตั้งชื่อค่ะ”

    “ฟังแล้วรู้สึกคาดหวังขึ้นมาเลยนะครับ”

    “อย่าคาดหวังดีกว่าค่ะ ไม่แน่พอทานเข้าไปแล้วอาจจะตกใจจนกัดลิ้นตัวเองเลยก็ได้”

    คาย่ายิ้มกว้าง มันเป็นรอยยิ้มที่อยู่ตรงกลางระหว่างเด็กน้อยกับหญิงสาว ดูมีเสน่ห์มาก ในระหว่างที่บาสเตียนกำลังกระแอมอยู่นั้น มินจุนก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง

    “อาหารที่เราจะทำในครั้งนี้ไม่มีตัวเอกครับ แต่ทุกองค์ประกอบจะเป็นตัวเอกด้วยกัน เพราะวัตถุดิบแต่ละชนิดจะเผยรสชาติและความพิเศษของตัวเองออกมา ไม่มีวัตถุดิบไหนที่โดดเด่นไปกว่ากัน มันคือการจดจ่ออยู่กับวัตถุดิบทั้งหมดครับ”

    คอนเซ็ปต์ของอาหารในครั้งนี้ไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาในเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เขาสร้างสรรค์จากอาหารต่างๆ มากมายที่เคยพบเจอ อย่างเช่นเมื่อครั้งที่เรเชลทำซุปมันฝรั่งโฟมเบคอน จริงๆ แล้วพื้นฐานมันคือซุปมันฝรั่ง แค่เสริมโฟมเบคอนเข้าไป แต่กลิ่นของเบคอนทำให้ลืมมันฝรั่งไปเลย วัตถุดิบเสริมเพียงหนึ่งอย่างมีพลังมากพอที่จะพลิกบทบาทของตัวเองให้กลายเป็นวัตถุดิบหลักได้ มินจุนกับคาย่าได้นำจุดนี้มาเป็นตัวสร้างความต่าง ไม่ถึงขนาดทำให้มันพลิกบทบาทเป็นวัตถุดิบหลัก แต่ดึงเอกลักษณ์ของวัตถุดิบข้างเคียงแต่ละอย่างให้เหมาะสมกับวัตถุดิบหลัก

    ส่วนวัตถุดิบหลักที่รับบทแสดงนำในเรื่องนี้ ได้แก่ เต้าหู้ ฟัวกราส์ และเนื้อน่องไก่ โดยทำเนื้อน่องไก่ให้เหมือนโดนัท ใส่เต้าหู้ในรูตรงกลาง ส่วนบริเวณรอบๆ ก็หั่นฟัวกราส์ออกเป็นเส้นแล้วนำมาพันไว้ จากนั้นก็ทำโฟมวาซาบิและพาวเดอร์จากซีอิ๊วและไวน์

    อาหารที่พอกินเข้าไปจะไม่สามารถแยกออกได้ว่ากำลังกินเต้าหู้ ฟัวกราส์ หรือเนื้อไก่ เพราะจะรู้สึกถึงรสชาติทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ผสานกลืนเป็นหนึ่งเดียว มันไม่ใช่การนำวัตถุดิบที่แตกต่างกันสามชนิดใส่ปากพร้อมกันในคำเดียว แต่เป็นการทำให้รู้สึกถึงรสชาติของวัตถุดิบสามชนิดพร้อมกันจากอาหารอย่างเดียว เหมือนนิยามของคำว่า ‘เหมือน’ กับคำว่า ‘คล้าย’ ในความคิดของมินจุนกับคาย่าแล้วสองคำนั้นแตกต่างราวฟ้ากับเหว

    และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะแสดงความแตกต่างที่ว่านั้นให้กรรมการและเชฟที่มาดูพวกเขาได้เห็น หลักฐานแห่งความพร้อมของพวกเขาได้ปรากฏอยู่บนมุมปากที่กำลังยกยิ้ม

     

    [คะแนนทำอาหารโดยประเมินของอาหารฝรั่งเศสที่ไม่มีชื่อและตัวเอกของคาย่า โลตัสและโชมินจุนคือสิบคะแนน!]

     

    พักหลังมานี้ทำอาหารสิบคะแนนออกมาบ่อยมา แต่ความจริงแล้วถ้าให้มินจุนทำอาหารจานนี้คนเดียว อย่าว่าแต่หนึ่งสัปดาห์เลย ผ่านไปหนึ่งปีจะทำได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เป็นเพราะคาย่ามีความคิดและมุมมองหลายอย่างที่มินจุนไม่มี ซึ่งอาหารจานนี้คงจะทำออกมาไม่ได้ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้น

    ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรพรสวรรค์จึงเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ไม่ได้ใช้เพียงแค่ความพยายามเท่านั้น ต่อให้พลิกแผ่นดินค้นหาก็อาจพบได้ในคนเพียงคนเดียว มันจึงมีค่ายิ่งกว่าอัญมณี เป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ไร้พรสวรรค์รู้สึกทุกข์ทรมานกับการดิ้นรนที่จะมีมันให้ได้

    สูตรอาหารของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยผลลัพธ์อันโหดร้ายของการมีหรือไม่มีพรสวรรค์ที่ว่านั่น ถ้ามินจุนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์สูตรอาหารนี้ก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและกระหายเมื่อได้เห็นมัน

    อาหารจานนี้ก้าวข้ามมาตรฐานของทั้งอาหารตะวันตกและอาหารตะวันออก หากแต่ก็เชื่อมโยงทั้งสองวัฒนธรรมเอาไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะดูมีความเป็นฝรั่งเศสจ๋า แต่ก็แปลกใหม่สำหรับคนฝรั่งเศส

    บาสเตียนถามขึ้นว่า

    “เป็นอาหารที่ท้าทายหรือเปล่าครับ”

    “ที่ผ่านมาเราเคยทำอาหารที่ไม่ท้าทายด้วยเหรอคะ”

    “นั่นสินะ…”

    ในการแข่งขันรอบก่อนหน้านี้มินจุนกับคาย่าไม่รู้จักเอสคาโก้ดีนัก จึงทดลองทำเอสคาโก้ด้วยวิธีต่างๆ ไปพร้อมกับทำความเข้าใจรสชาติ ดังนั้นความท้าทายจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของพวกเขาไปแล้ว โซฟีทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จึงถามขึ้นมาว่า

    “รีบบอกมาเถอะค่ะ คราวนี้เป็นอาหารที่ต้องเอาเข้าปากก่อนถึงจะเกิดความประทับใจเหมือนคราวที่แล้วรึเปล่าคะ”

    “ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอกค่ะ การคาดหวังเอาไว้เยอะๆ อาจจะสนุกกว่าก็ได้ อาหารจานนี้ให้อารมณ์เหมือนห่อหุ้มรสชาติของเต้าหู้ด้วยฟัวกราส์ อืม อธิบายยากจริงๆ มินจุน นายช่วยอธิบายทีสิ”

    “ผมจะบอกวัตถุดิบกับวิธีทำก็แล้วกันนะครับ นำเนื้อน่องไก่มาปั้นเป็นทรงกระบอกแล้วเจาะรูตรงกลางเหมือนโดนัท จากนั้นก็นำไปรมควันจนด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่ม”

    “แล้วต่อจากนั้นล่ะคะ”

    “ที่ผิวรอบนอกของเนื้อน่องไก่ทาไซรัปที่ทำจากน้ำตาลและไวน์ จากนั้นก็นำฟัวกราส์ที่แล่เป็นเส้นบางๆ มาพันเอาไว้ แล้วทอร์ช”

    โซฟีพยักหน้าตาม พอฟังมาจนถึงตรงนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามีความพิเศษแปลกใหม่อะไร แม้ว่าการแล่ฟัวกราส์ให้เป็นเส้นบางๆ จะฟังดูเป็นไอเดียที่น่าสนใจ แต่ก็แค่เอามาพัน สิ่งสำคัญคือซอสที่ใช้ต่างหาก เพราะรสชาติของซอสสามารถสร้างความประทับใจหรือความผิดหวังให้กับอาหารจานนั้นได้ แต่พอนึกถึงฝีมือของมินจุนกับคาย่าแล้ว พวกเขาไม่เคยทำอะไรไม่อร่อย ดังนั้นข้อสรุปที่ได้จากอาหารจานนี้คงเป็น…

    ความสนุกงั้นเหรอ

    โซฟีตกใจมากที่ตัวเองคิดแบบนั้น เพราะในฐานะเชฟสิ่งที่เธอปรารถนาจากอาหารก็คือรสชาติ ไม่ใช่ความสนุก เธอคิดว่ารสชาติที่ยอดเยี่ยมจะนำมาซึ่งความสนุกที่เยี่ยมยอด

    ดังนั้นเธอจึงตกใจที่ตัวเองนึกถึงความสนุกจากอาหารของพวกเขา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจกับความแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน นี่เป็นเพราะพลังแห่งพรสวรรค์ที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวหรือเป็นความมุ่งมั่นของคนหนุ่มสาวกันนะ แต่ก็มีเวลาให้เธอครุ่นคิดได้ไม่นานนัก เพราะคาย่ากำลังจะพูดถึงซอสที่ทำ

    “แล้วก็เอาเต้าหู้ใส่ในรูตรงกลางค่ะ”

    “เต้าหู้?”

    “ใช่ค่ะ จากนั้นก็วางบนพาวเดอร์ที่ทำจากซีอิ๊วและไวน์ขาว วางโฟมที่ทำจากวาซาบิไว้ด้านบนอีกที”

    “มันเหมือนกับ…ซูชิเต้าหู้ เอ๊ะ หรือจะเป็นซูชิไก่ เอาเป็นว่าให้ความรู้สึกเหมือนซูชิใช่มั้ยคะ”

    “แล้วแต่จะมองเลยค่ะ เพราะอย่างนั้นอาหารจานนี้ถึงได้สนุกไงคะ กินอาหารหนึ่งอย่างแต่กลับได้แต่ละรสชาติที่แยกจากกันอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันรสชาติเหล่านั้นก็ไม่ได้ตีกันเองด้วย”

    คำอธิบายของคาย่าทำให้คนดูต่างกระซิบกระซาบ คนดูที่เป็นเชฟอาจจะคิดอะไรได้มากมายกับไอเดียนี้ แล้วก็จะตามด้วยคำถามที่ว่าทำได้จริงๆ หรือ สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้ในอาหารแบบไหนได้บ้าง แน่นอนว่ากรรมการก็เกิดคำถามเหล่านั้นขึ้นในหัวเช่นกัน แม้แต่โทบี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาหันไปมองเอว่าแล้วกระซิบ

    “ไอเดียไม่ใช่เล่นๆ เลยใช่มั้ย”

    “ไอเดียของสองคนนั้นเคยไม่ดีด้วยเหรอ”

    “แย่แล้ว…ฉันคิดเอาไว้ว่าถ้าได้เงินรางวัลจะเอาไปซื้อคูเป้ขับสักคันแท้ๆ”

    เอว่าแสร้งหัวเราะให้กับการเล่นมุกที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ของโทบี้ แต่เขาก็คงจะพูดไปเพราะอยากคลายความตื่นเต้นนั่นล่ะ

    “ฉันเคยอยากเห็นคนมาเหยียบหน้านายสักครั้ง แต่เอาเข้าจริงกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด”

    “อยากเห็นคนมาเหยียบหน้าฉันเหรอ ทำไมล่ะ”

    “รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก ก็เพราะว่านายมั่นหน้าเกินไป แต่พอเห็นนายดูไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้แล้วฉันก็รู้สึกสงสารขึ้นมา”

    โทบี้ยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร เอว่าจึงรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่เขาไม่โต้ตอบ

    “เอาเป็นว่าต่อให้ฝืนใจยังไงก็เชิดหน้าเข้าไว้นะ เชิดให้คอเป็นตะคริวไปเลย จำได้ใช่ไหมว่าถ้าชนะนายต้องสละตำแหน่งซูเชฟ”

    “เรื่องนั้น…”

    “…?”

    “ไม่มีอะไร ไว้ค่อยคุยกัน”

    โทบี้หัวเราะเบาๆ แน่นอนว่า ณ ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตของพวกเขามาก มันไม่ใช่เพราะเงินรางวัลล้านดอลลาร์ แต่เป็นเพราะช่วงเวลานี้จะประเมินประสบการณ์ที่พวกเขาสั่งสมมาตลอดชีวิต ดังนั้นโทบี้จึงเข้าใจคำพูดของมินจุน อีกฝ่ายคิดที่จะแสดงให้เห็นถึงอาหารของตัวเอง ไม่ใช่อาหารสำหรับการแข่งขัน เขาเองก็เป็นคนที่รักการแข่งขันยิ่งกว่าใคร แต่ตอนนี้เขาจะสนใจแค่ความเพลิดเพลินที่ซ่อนอยู่ในการแข่งขัน

    ใช่แล้ว โทบี้รักการแข่งขัน เขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครมาก่อนและหาเชฟมาเป็นคู่แข่งด้วยได้ยาก อาจฟังดูประหลาด แต่เป็นเพราะเขาสัมผัสแต่ความหอมหวานของชัยชนะมาโดยตลอด ไม่เคยรู้จักรสชาติของความขมขื่น ดังนั้นเขาจึงรักการแข่งขัน

    แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่ารสชาติของความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในการแข่งขันนั้นเป็นเช่นไร รู้แล้วว่าจะจัดการกับความพ่ายแพ้ด้วยวิธีไหน เขาหันไปมองมินจุนและคาย่าผู้ที่ฉลาดหลักแหลมและมอบความพ่ายแพ้ให้แก่เขา

    “ฉันไม่อยากเป็นของปลอมของที่นี่หรอกนะ”

    “ถ้างั้นก็ต้องชนะ อืม ต้องเอาชนะไปด้วยกัน”

    เอว่าพูดเสียงเบาราวกระซิบ

    “วันนี้…ฉันไม่อยากแพ้”

    “เพราะเงินรางวัลล้านดอลลาร์?”

    “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะน่า”

    เอว่าส่ายหัวราวกับไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก โทบี้จึงหัวเราะ แต่ทว่าแววตากลับเฉียบคม

    ใช่แล้ว เรามาตรงจุดนี้ได้เพราะเราคือโทบี้ และสุดท้ายเราก็ยังจะเป็นตัวเรา

    ไม่นานกรรมการก็เดินเข้ามาพูดคุยกับทีมของโทบี้ ขณะที่ปากของโทบี้กำลังอธิบายถึงอาหารที่จะทำ แต่สมองกลับกำลังวาดภาพอาหารของมินจุนกับคาย่าโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่เพราะความอยากเอาชนะ แต่เพราะไอเดียนั้นน่าสนใจเสียจริงๆ และขั้นตอนการทำก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดพอๆ กับสูตรของมันเลย

    ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มขึ้น มินจุนเข้าไปหยิบวัตถุดิบ ส่วนคาย่าเริ่มจุดไฟ แล้วทีมที่ลงมือทำก่อนก็คือทีมของพวกเขา การใช้มีด การจัดการกับเนื้อไก่ และการทำไซรัปเป็นหน้าที่ของมินจุน เขาหั่นเนื้อน่องไก่อย่างชำนาญแล้วทำให้มันเป็นรูปร่างโดยใส่ลงไปในแม่พิมพ์ทรงกระบอก

    คนดูต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ทักษะแต่ละอย่างของมินจุน ไม่ว่าจะเป็นมือที่จับมีด ความไว และความประณีตในการหั่นเนื้อออกจากกระดูก เพราะถ้าจะวัดฝีมือในการทำอาหารก็ต้องดูจากทักษะในการใช้มีดเป็นหลัก ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเขาต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักแน่นอน

    เชฟที่มาชมการแข่งขันในตอนนี้ไม่ได้เป็นแฟนคลับของมินจุนกับคาย่า พวกเขาค่อนข้างไปทางสงสัยมากกว่าศรัทธาและยกย่องเสียด้วยซ้ำ เพราะมินจุนกับคาย่าทำให้วงการอาหารอันทรงเกียรติของฝรั่งเศสต้องสั่นสะเทือน ดังนั้นพวกเขาจึงอยากรู้ว่าสิ่งที่มินจุนกับคาย่ามีคืออะไรและสิ่งที่พวกเขาไม่มีคืออะไร แน่นอนพวกเขาไม่เคยคิดว่ามินจุนกับคาย่าไม่มีฝีมือ เพราะถ้าไม่มีฝีมือก็คงจะไม่ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ

    แต่มันก็ต้องมีขอบเขต สิ่งที่สตาร์เชฟมีไม่ใช่แค่ความสามารถ ถ้างั้นนอกเหนือจากความสามารถแล้วมันคืออะไรล่ะ พวกเขาอยากค้นหาสิ่งนั้นจากมินจุนกับคาย่า ถ้าดูจากความสามารถและประสบการณ์แล้วโทบี้เหนือกว่ามินจุนกับคาย่าด้วยซ้ำ แต่คนที่มีประเด็นอยู่ตลอดกลับเป็นมินจุนกับคาย่า อาหารที่ถูกพูดถึงก็เป็นของมินจุนกับคาย่า ที่แท้แล้วความแตกต่างคืออะไรกันแน่

    ระหว่างที่คนดูกำลังสนอกสนใจมือของมินจุนกับคาย่าก็เคลื่อนไหวไม่หยุด น้ำตาลกับไวน์ถูกเคี่ยวจนกลายเป็นไซรัป แพตตี้เนื้อไก่ที่สุกแบบกำลังดีห่อหุ้มไว้ด้วยฟัวกราส์และทอร์ชจนกลายเป็นสีเหลืองทอง คนดูต่างพากันกลืนน้ำลายพลางตกอยู่ในภวังค์

    เป็นเรื่องน่าแปลกมาก แน่นอนว่ามินจุนกับคาย่าเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยม แต่ความสามารถก็ไม่น่าจะเกินไปจากมาตรฐานทั่วไป แต่ทำไมกัน หรือเป็นเพราะพลังแห่งสูตรอาหาร…เพียงแค่เห็นขั้นตอนการทำอาหารของพวกเขาทุกคนก็อยากจะเข้าไปยืนใกล้ๆ เดี๋ยวนี้เลย

    หรือเป็นเพราะรอยยิ้มนั้น…รอยยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจและเพลิดเพลินกับการทำอาหารยิ่งกว่าใคร หรือจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ว่าใครก็จินตนาการไปไม่ถึง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร พวกเขามีพรสวรรค์ในการกระตุ้นความอยากอาหารของมนุษย์จนทำให้คนดูถึงกับสงสัยใคร่รู้ บางคนคิดอยากจะกลับร้านเพื่อลองทำอาหารแบบพวกเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย

    ท่ามกลางสายตาที่สงสัยและหิวกระหายอาหารจานดังกล่าวก็เสร็จสมบูรณ์ คาย่าหันไปพูดกับมินจุนว่า

    “ฉันนึกชื่ออาหารออกแล้ว”

    “ชื่ออะไรเหรอ”

    คาย่าฉีกยิ้ม ก่อนตอบว่า

    “เต้าหู้โชตัส”

    มันไม่ใช่การตั้งชื่อที่มีเซ้นส์สักเท่าไหร่

    “เอาชื่อนี้จริงน่ะ”

    “ทำไม มีอะไรแปลกเหรอ”

    “ฟังดูยังไงๆ ก็ไม่รู้”

    “งั้นนายเสนอชื่ออื่นมาสิ”

    “อืม…”

    มินจุนได้แต่ยักไหล่ เขาย่อมไม่อยากให้ชื่อว่าเต้าหู้โชตัส คำว่าโชตัสมาจากไหนก็รู้กันดี ส่วนการตั้งชื่อจากวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวก็ไม่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของอาหารจานนี้ด้วย เพราะการที่อาหารจานนี้ได้สิบคะแนนไม่ใช่เพราะแสดงรสชาติของเต้าหู้ออกมาได้ดี แต่เป็นเพราะนำรสชาติของวัตถุดิบที่หลากหลายมารวมเอาไว้อย่างสร้างสรรค์ในจานเดียวต่างหาก ดังนั้นชื่อก็ควรสื่อถึงคอนเซ็ปต์นี้

    การตั้งชื่อยากยิ่งกว่าคิดสูตรเสียอีก

    อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อหรูหราอะไร แค่ตั้งชื่อให้รู้ว่าเป็นอาหารอะไรและทำจากอะไรบ้างก็พอ แต่อาหารในครั้งนี้ค่อนข้างน่าสับสน ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นไก่ย่าง แต่มันก็ยังค่อนข้างห่างไกลจากคอนเซ็ปต์ของอาหารจานนี้อยู่ดี

    “มีอะไรผิดพลาดเหรอ”

    คาย่ากอดอกพร้อมมองไปที่จานอาหาร มินจุนจึงหัวเราะแล้วตบบ่าของเธอเบาๆ แม้จะถามเพราะไม่รู้จริงๆ แต่น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความมั่นใจและความตื้นตันอย่างเปี่ยมล้น

    “เธอน่าจะรู้ดีกว่าฉันเสียอีกว่ามันไม่มีอะไรผิดพลาด”

    “ก็รู้แหละ ก็แค่อยากได้ยินว่ามันสมบูรณ์แบบจากปากของคนอื่น ไม่ใช่ปากของฉันเอง”

    “สมบูรณ์แบบเสียจนไม่รู้ว่าจะสมบูรณ์แบบได้มากกว่านี้อีกมั้ย แต่ถ้าถามถึงสิ่งที่ขาดไปก็น่าจะเป็นชื่อ”

    “ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องชื่อกันเถอะ”

    คาย่าส่ายหัวแล้วยิ้มกว้าง ส่วนก็มินจุนมองไปที่อาหารจานนั้น อารมณ์ของพ่อแม่ที่มองดูทารกแรกเกิดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ภาพของฟัวกราส์ เต้าหู้ และเนื้อไก่ดูงดงามมาก ตอนนั้นเองมินจุนก็เริ่มรู้สึกถึงสายตาของผู้คน

    “น่าประหลาดใจมาก”

    ท่ามกลางคนดูเชฟสาวชาวเอเชียพูดขึ้นมา ชายชาวยิวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยจึงหันไปมองเธอ

    “ว่าไงนะครับ”

    “อาหารที่เชฟสองคนนั้นทำฉันไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย ไม่เคยคิดเลยว่าจะนำเสนอความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการอาหารของฝรั่งเศสได้ด้วยวิธีแบบนั้น”

    “ทุกคนในที่นี้ก็คงจะคิดไม่ถึงเหมือนกัน อาหารฝรั่งเศสเป็นเหมือนกับกำแพงที่แข็งแรงทนทานและสูงตระหง่าน มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยอิฐทีละก้อน ข้ามผ่านเวลาอันยาวนาน ยิ่งมันแข็งแรงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

    “กำแพง…ฟังดูเข้าท่าดีนะคะ เป็นคำที่ชัดเจนที่สุด ปกติแล้วกำแพงเมืองจะพังเพราะก้อนหินที่เขวี้ยงมาจากด้านนอก ไม่ค่อยมีหรอกที่จะถูกพังจากด้านในเมือง”

    “ต้องขอบคุณเขาสองคนที่เขวี้ยงหินเข้ามา มันทำให้ผมได้มีประสบการณ์ที่สนุกในช่วงบั้นปลายของชีวิต”

    ชายชาวยิวยิ้มกว้าง มีเชฟชาวฝรั่งเศสหลายคนกำลังเป็นกังวลกับ ‘สถานการณ์’ นี้ แต่ในขณะเดียวกันก็คาดหวัง ชัดเจนแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงได้มาเยือน พวกเขาต่างตระหนักว่าจะปล่อยให้อาหารฝรั่งเศสเป็นไปในรูปเดิมต่อไปไม่ได้อีก และในการตระหนักนั้นก็นำมาซึ่งการปฏิรูปครั้งใหญ่ หวังว่าชื่อของมินจุนกับคาย่าจะได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อบุคคลผู้นำความเปลี่ยนแปลงมาให้กับวงการอาหารและหน้าประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

    หากแต่สิ่งที่สำคัญก็คือการปฏิรูปนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตาม หรือจะเป็นเพียงเงาที่หลงเหลือไว้เบื้องหลัง

    “ต้องทำยังไงนะถึงจะทำอาหารแบบนั้นออกมาได้”

    ชายชาวยิวไม่ได้ตอบกลับคำพูดนั้นของเชฟสาวชาวเอเชีย เพราะเขากำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้อยากเป็นเหมือนมินจุนหรือคาย่าเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอิจฉาสองคนนั้น หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเขาอายุมากเกินกว่าที่จะถูกกระตุ้นจากการแข่งขัน

    แต่เชฟสาวคนนี้ยังอายุน้อยจึงแสดงความอิจฉาออกมา เธอมีความใฝ่ฝันและเธอก็ยอมรับในพรสวรรค์ของสองคนนั้นจนอยากจะทำตาม บางทีถ้าเป็นเขาในสมัยก่อนก็อาจมีความปรารถนาแบบนี้

    “เขาสองคนก็คงจะทำเต็มที่ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้น่ะ”

    “ก็คงจะเป็นแบบนั้นค่ะ”

    “คุณก็ทำให้เต็มที่ในแบบของคุณ แบบนั้นก็คงจะเรียกได้ว่ามีจุดที่เหมือนกันแล้วหนึ่งจุด”

    “เป็นคำแนะนำที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะคะ”

    “คำแนะนำก็มักเป็นแบบนี้แหละ”

    หญิงสาวถอนหายใจพลางส่งสายตาไปที่มินจุนกับคาย่าอีกครั้ง พวกเขาเป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆ ถ้าไม่เรียกว่ายอดเยี่ยมก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรได้อีก ปกติแล้วเชฟวัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่ยังจับทิศทางการทำอาหารของตัวเองได้ไม่ชัดเจนนัก แต่พวกเขากลับทำให้วงการอาหารของฝรั่งเศสสั่นสะเทือนได้ พวกเขาได้ทำลายความดื้อดึงของฝรั่งเศสและนำเสนออาหารแนวทางใหม่ต่อหน้าชาวฝรั่งเศส

    กรรมการพากันเดินเข้าไปหามินจุนกับคาย่า

    “คิดว่าอาหารจานนี้สมบูรณ์แบบมั้ยคะ”

    “สมบูรณ์แบบครับ”

    “คำอธิบายเกี่ยวกับอาหาร…เท่าที่ได้ฟังเมื่อสักครู่ก็พอจะรู้คร่าวๆ และพอจะคาดเดาได้จากขั้นตอนการทำค่ะ”

    “ถ้างั้นอยากชิมเลยมั้ยครับ”

     

     

    (To Be Continued…)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook