• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง 5 ตอนที่ 1

    “วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะครับ”

    “ใช่ ขอบคุณมากนะมินจุน”

    “ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีมากจริงๆ หวังว่าจะมีซีนดีๆ ไปออกอากาศนะครับ”

    “มีซีนดีๆ เยอะมากเลย”

    ตากล้องยิ้มอย่างอารมณ์ดี มันเป็นรอยยิ้มที่ปะปนไปด้วยความโล่งใจและความเสียดาย การถ่ายทำที่ทำให้ทีมงานยิ้มได้แบบนี้มักจะได้ผลตอบรับที่ดีเสมอ ตากล้องพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะได้ออกอากาศเร็วๆ นี้

    “ถ้ารายการออกอากาศ คนดูจะมองคุณในแง่ดีมากๆ”

    “นั่นเป็นเพราะทีมงานตัดต่อออกมาดีต่างหาก”

    “ไม่ใช่หรอก มันออกมาดีโดยที่แทบจะไม่ต้องตัดต่ออะไรเลย คุณน่ะดูดีทุกซีน บทสัมภาษณ์คนรอบตัวก็เหมือนกัน”

    ไม่มีใครพูดถึงมินจุนในแง่ลบเลยสักคน แม้แต่เจเน็ตที่เป็นคนแข็งกระด้างยังพูดว่ามินจุนเป็นคนที่ขยันและนิสัยดี ระหว่างนั้นเสียงนุ่มนวลก็ดังแทรกขึ้นมา

    “แล้วไม่สัมภาษณ์ฉันเหรอคะ”

    “เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณชื่ออะไรนะครับ”

    “เดโบร่าห์ค่ะ ครั้งหน้าห้ามลืมนะคะ”

    มินจุนหันไปมองเดโบร่าห์โดยไม่พูดอะไร

    “จ้องทำไม”

    “เมื่อไหร่ร้านคุณจะเสร็จครับเนี่ย”

    “พูดเหมือนอยากให้ฉันรีบกลับไปเร็วๆ เลยนะ”

    “เปล่าซะหน่อย”

    “ฉันจะอยู่จนคุณรำคาญเลยล่ะ”

    แม้จะฟังดูเหมือนพูดเล่น แต่เบื้องหลังคำพูดนั้นมีความหนักใจและอึดอัดใจซ่อนอยู่ หลายครั้งที่เธอมายืนหน้าเคาน์เตอร์เพื่อพยายามจะทำอาหารออกมา แต่ส่วนใหญ่มักจบลงด้วยการถอนหายใจเพราะตรงหน้านั้นยังคงว่างเปล่า และวันไหนที่เธอทำอาหารเมนูใหม่สำเร็จก็มักจะเห็นเธอเดินหน้าเศร้าออกมาจากออฟฟิศของเรเชลราวกับได้ฟังคำวิจารณ์แง่ลบ บางครั้งก็เห็นเธอนั่งสะอื้นพลางกินอาหารที่เหลือจากที่เอาให้เรเชลชิมอยู่เพียงลำพัง

    “ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะครับ พอเสร็จช่วงดินเนอร์แล้วผมยินดีจะช่วย”

    “ช่างเถอะ ถ้าทำแบบนั้นแฟนคุณอาจจะมาฆ่าฉันก็ได้”

    “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่กล้ารับประกันครับ”

    “ที่จริงฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าที่ผ่านมาคุณดูหักโหมเกินไป แต่พอได้เห็นว่าพักหลังคุณเริ่มพักผ่อนบ้างฉันก็โล่งใจ รักษาสุขภาพให้ดีล่ะ ถ้าเป็นอะไรไปจะไม่ใช่แค่ตัวคุณเอง แต่มันจะทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย”

    “ผมจะดูแลตัวเองให้ดีครับ”

    “เชฟมินจุน ใกล้ถึงเวลาต้องเตรียมมื้อเย็นแล้วค่ะ”

    “อ้อ โอเคๆ เอาไว้เจอกันนะครับ”

    “อืม”

    มินจุนเดินเข้าไปในครัวเพราะเสียงเรียกของมายา เดโบร่าห์มองตามเขาแล้วยิ้มออกมา ตอนแรกเธอรู้สึกว่าการมีตัวตนของเขาเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ตอนนี้เธอรู้สึกขอบคุณและเอ็นดู เพราะเขาช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเรเชลผู้สูญเสียความตั้งใจในการทำร้านอาหารจนสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ตัวตนของเขามีอิทธิพลกับเรเชลมากกว่าที่คิด ดูอย่างโชเร็กจาโน่หรือคาสซูเลต์สิ เดโบร่าห์ยังคงจำคำพูดที่เรเชลเคยพูดได้อย่างชัดเจน

    ‘เด็กคนนั้นดีกว่าฉันซะอีก’

    ‘แหม ถึงเขาจะเก่ง แต่เขาจะดีกว่าอาจารย์ได้ยังไงกันคะ’

    ‘ฉันทำอาหารที่ยืมมาจากแดเนียล ถึงแม้ฉันจะทำอาหารของฉันเอง แต่ฉันก็ยังสงสัยว่ามันเป็นอาหารของฉันจริงหรือเปล่า แต่มินจุนไม่ใช่ เด็กคนนั้นไม่เคยเห็นอาหารของแดเนียล แต่สามารถทำอาหารที่คล้ายกับของแดเนียลออกมาได้ สองคนนั้นมีจิตวิญญาณและพรสวรรค์ที่คล้ายกัน’

    ‘ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดว่าเป็นอาหารที่ยืมมาเลยนี่คะ อาจารย์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเชฟแดเนียลต่างหาก จะเรียกว่ายืมมาก็ไม่ถูกนะคะ’

    ‘ฉันคอยช่วยเวลาเขาทำอาหาร ตลอดเวลาเขาคือพระเอก ส่วนฉันก็แค่เป็นตัวประกอบในครัว ไม่ใช่ตัวเอก แต่เด็กคนนั้น…’

    เรเชลพูดไว้แค่นั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาว่าประโยคต่อไปคืออะไร เดโบร่าห์จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและฟังดูทรมานใจเล็กน้อย

    ‘มินจุนคงจะมีความสุขที่ได้รับทั้งความเชื่อใจและความรักแบบนี้’

    หลังจากนั้นเรเชลพูดว่าอะไรต่อนะ เดโบร่าห์นั่งย้อนคิดอยู่บนโซฟาในห้องพัก แล้วตอนนั้นเองประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก จัสตินเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่ซีดเผือด เขาไปค้นหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักที่อยู่มุมห้อง เดโบร่าห์จึงถามด้วยความตกใจ

    “จัสติน มีอะไรเหรอ”

    “เอ่อ เชฟ”

    ตอนเดินเข้ามาจัสตินไม่ทันสังเกตว่าเดโบร่าห์กำลังนั่งอยู่ เหงื่อผุดเต็มหน้าผากของเขาจนเดโบร่าห์อดเป็นห่วงไม่ได้

    “เกิดอะไรขึ้น”

    “คือว่า…”

    สีหน้าของจัสตินเต็มไปด้วยความกังวลใจ ไม่ใช่ว่าเขาลำบากใจที่จะตอบ แต่ดูเหมือนเขากำลังช็อกจนพูดไม่ออกมากกว่า

    “เชฟมินจุนหมดสติไปครับ”

    “ว่าไงนะ”

    เดโบร่าห์ตกใจมาก เมื่อครู่ก่อนมินจุนยังพูดคุยกับเธอด้วยสีหน้าและท่าทางที่ปกติดีอยู่เลย แต่สีหน้าของจัสตินดูไม่เหมือนคนที่กำลังพูดเล่น

    “อยู่ๆ มายาก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา พอวิ่งไปดูก็เห็นเชฟมินจุนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นครับ แล้วก็…”

    เดโบร่าห์รีบวิ่งออกไปจากห้องพักก่อนที่จัสตินจะพูดจบ บรรยากาศที่ห้องอาหารดูแตกตื่นมาก

    “เชฟมินจุนหมดสติไปเหรอ”

    “น่าจะใช่นะ”

    เสียงพูดคุยด้วยความตกใจของลูกค้าดังขึ้นทั่วห้องอาหาร เหล่าพนักงานเสิร์ฟรวมถึงแอนี่จึงต้องรีบทำให้ลูกค้าสงบลง

    พอเดโบร่าห์วิ่งมาถึงครัวก็เป็นจังหวะเดียวกับที่แอนเดอร์สันกำลังแบกมินจุนที่หมดสติไว้บนหลัง โดยข้างๆ กันนั้นมีเรเชลยืนอยู่

    “อย่าห่วงเลยค่ะอาจารย์”

    เรเชลไม่ตอบ ใบหน้าของเธอซีดเผือด และเดโบร่าห์พอเดาได้ว่าดวงตาของเธอกำลังจ้องมองอะไรอยู่ เดโบร่าห์จึงดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้แน่น ร่างที่ผอมบางทำให้รู้สึกเหมือนกำลังกอดเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างนั้นทั้งเย็นและสั่นด้วยความหวาดกลัว พออาการสั่นบรรเทาลงเสียงของเรเชลก็ดังขึ้น

    “ตอนนี้โอเคแล้ว ปล่อยได้แล้วล่ะ”

    เป็นน้ำเสียงที่เด็ดขาดและหนักแน่น แต่ก็ไม่ยากที่จะรับรู้ถึงความกังวลใจที่ซ่อนอยู่ข้างใน เรเชลกำมือแน่นแล้วหันไปมองในครัว แอนเดอร์สันพามินจุนไปที่รถของจัสตินแล้วเดินกลับมาที่ครัวพร้อมกับเหงื่อที่ไหลเต็มหน้า เรเชลมองทุกคนแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

    “ทำงานที่ค้างอยู่กันต่อเถอะ ลูกค้ากำลังรออยู่!”

    “ครับ/ค่ะเชฟ!”

    เพื่อนร่วมงานหมดสติไปตรงหน้า ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกตกใจก็คงจะโกหก แต่ทุกคนพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการออกมา เพราะถ้าจะมีใครที่กำลังว้าวุ่นใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเรเชล ขนาดมายาเองยังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ส่วนเดมี่เชฟคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรเชลเหลือบมองในครัวแล้วถอนหายใจ

    “ยังโชคดีนะที่เอลล่าไม่อยู่ ถ้าเด็กตัวเล็กๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้ล่ะก็ คงจะติดตาแล้วกลายเป็นแผลในใจแน่ๆ”

    “แล้วอาจารย์ไม่เป็นอะไรเหรอคะ”

    “เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ รู้จักเป็นห่วงความรู้สึกฉันด้วย”

    “ก็ฉันเป็นห่วงอาจารย์นี่คะ”

    เดโบร่าห์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงสดชื่น เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามเปลี่ยนบรรยากาศที่หนักอึ้งให้ดีขึ้น

    “อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระอยู่เลย ไปช่วยดูส่วนอาหารโมเลกูลาร์หน่อย”

    “คิดจะใช้งานฟรีๆ เหรอคะ”

    “เดี๋ยวจะบอกคำตอบให้”

    “คำตอบอะไรเหรอคะ”

    ดวงตาของเดโบร่าห์เบิกกว้าง เรเชลจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่หันไปสบตาว่า

    “เดี๋ยวจะบอกให้ว่าต้องทำยังไงเธอถึงจะหลุดพ้นจากความตกต่ำ”

    “หืม? แบบนี้ฉันจะปฏิเสธข้อเสนอได้ยังไงล่ะคะ”

    เดโบร่าห์ยักไหล่ สีหน้าและท่าทางของเธอยังดูเกินจริงเหมือนเดิม เรเชลจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า

    “แล้วก็เลิกปลอบใจฉันได้แล้ว มันมากไปจนทำให้รู้สึกอึดอัดซะมากกว่า ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยเจ็บมามาก คนที่เขียวช้ำไปทั้งตัวน่ะ ถ้าโดนตีอีกสักทีก็คงไม่ล้มลงไปหรอก จริงมั้ย”

    เมื่อเรเชลพูดถึงขนาดนั้น เดโบร่าห์จึงเดินไปที่เคาน์เตอร์ของมินจุน แต่ก็อดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้

    ถ้าโดนตีที่เดิมซ้ำๆ มันจะไม่เจ็บมากกว่าเดิมหรอกเหรอ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook