• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง 5 ตอนที่ 2

    2 of 2หน้าถัดไป

    “ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ”

    เรเชลมาหาที่บ้าน เธอนำถุงใส่วัตถุดิบในการทำอาหารมาให้ มินจุนรีบรับถุงแล้ววางลงบนโต๊ะ

    “ฉันเป็นเชฟนะ วันหนึ่งต้องทำอาหารเพื่อคนเป็นสิบเป็นร้อยคน แต่พอลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ป่วยฉันกลับไม่ได้ทำอาหารให้กินเลย”

    “ขอบคุณครับ แต่ตอนนี้ผมไม่ป่วยแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรก แค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้นเอง”

    “ควรจะคิดได้ก่อนหมดสติไปนะ”

    “ถ้าอาจารย์พูดแบบนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวครับ”

    มินจุนพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด เรเชลจึงหันไปหยิบวัตถุดิบออกมา

    “ได้พักผ่อนบ้างรึเปล่า”

    “ผมพักผ่อนอย่างเต็มที่เลยครับ”

    “แล้วอาหารล่ะ ยังทำอยู่ตลอดรึเปล่า”

    มินจุนเลือกไม่ได้ว่าจะต้องตอบว่าอะไร ถ้าบอกว่ายังทำอาหารอยู่ก็คงโดนดุว่าทำไมไม่พักผ่อนให้เต็มที่ ถ้าบอกว่าไม่ได้ทำก็คงโดนดุว่าถึงจะป่วยแต่ถ้าไม่ทำอาหารเลยก็ไม่สมกับเป็นเชฟ

    “…มีทำอาหารให้คนในบ้านกิน หรือบางครั้งก็เป็นลูกมือบ้าง แต่ไม่ได้หักโหมอะไร”

    เรเชลหันมามองเงียบๆ แต่มินจุนรู้สึกลำบากใจกับสายตาคู่นั้น

    “ทำไมเธอถึงเริ่มทำอาหารเหรอ มินจุน”

    “เพราะความปรารถนาที่มีต่อของอร่อยๆ และผมเห็นว่าเชฟที่อยู่ในทีวีช่างเท่มาก”

    “รู้มั้ยว่าช่วงเวลาไหนที่ทำให้เราเกลียดงานที่เราชอบขึ้นมาได้ทันที”

    “ไม่ทราบครับ”

    เรเชลหยิบมีดขึ้นมาแทนคำตอบ ภาพที่แครอตถูกหั่นอย่างง่ายดายราวกับเต้าหู้ช่างงดงามมาก เสียงของมีดและเขียงที่สัมผัสกัน เสียงแครอตที่ฉีกและแยกออกจากกัน ขณะที่กำลังฟังเสียงพวกนั้นเรเชลก็พูดออกมาเบาๆ

    “ตอนที่ความทรงจำที่เจ็บปวดมันมาแทนที่งานที่เราชอบยังไงล่ะ”

    เห็นได้ชัดเจนว่าความทรงจำที่เจ็บปวดที่เรเชลว่านั่นหมายถึงอะไร มินจุนจึงไม่สามารถตอบอะไรได้

    “คาย่าอยู่ไหนล่ะ”

    “ออกไปรับครอบครัวของเธออยู่ครับ ไม่นานก็คงจะถึงแล้ว”

    “โอเค ฉันรู้ว่าพูดเยอะไปก็มีแต่จะกลายเป็นยายแก่น่าเบื่อ แต่บางครั้งโลกก็ต้องการคนแก่น่าเบื่อนะ และวันนี้ฉันน่าจะต้องเป็นคนแก่น่าเบื่อนั่นสักหน่อย อย่าทำให้คาย่าต้องเป็นเหมือนฉันเลย ถ้าเธอเป็นอะไรไปในครัว คาย่าจะรู้สึกว่าครัวเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองมาก เข้าใจใช่มั้ยว่าหมายความว่าอะไร”

    ความจริงมันคือคำเตือนว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นเรื่องที่สำคัญแค่ไหน มินจุนลองนึกถึงภาพของคาย่าตอนที่ไม่มีเขาว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ยังไง เขารู้จักคาย่าก่อนที่เขาจะได้ย้อนเวลากลับมา แต่คาย่าคนนั้นไม่ใช่คาย่าที่สูญเสียโชมินจุนไป เธอคนนั้นเป็นคาย่าที่ไม่รู้จักโชมินจุน ถ้าคาย่าต้องเก็บตัวเป็นสิบปีเหมือนอย่างเรเชลเพราะเขาล่ะก็…

    “เป็นคำแนะนำที่ผมจะจำไปตลอดชีวิตเลยครับ”

    น้ำเสียงที่จริงจังของมินจุนทำให้เรเชลพยักหน้า อย่างน้อยมินจุนที่เธอรู้จักก็เป็นคนที่รักษาคำพูด เขาคงจะพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงตามที่ตัวเองพูดเอาไว้

    “ช่วยมั้ย”

    “ได้เหรอครับ”

    “เปอร์เซ็นต์ที่ฉันทำคนเดียวแล้วจะเป็นลมไปมีสูงกว่าที่เธอช่วยฉันแล้วจะเป็นลมไปนะ เพิ่งบอกให้คนอื่นดูแลสุขภาพดีๆ แต่ถ้าฉันหักโหมซะเอง มันจะไม่น่าตลกหรอกเหรอ”

    “เริ่มจากอะไรดีครับ ไม่สิ อาจารย์กำลังจะทำอะไรเหรอครับ”

    “ซุปซุกินี ซัลซ่า*ซัลโมริกลิโอ้**แล้วก็คาโปนาต้า***ส่วนของหวานไม่ต้องกินหรอก ไม่ดีต่อสุขภาพ”

    “ง่ายกว่าที่คิดอีกนะครับ”

    คำพูดของมินจุนทำให้เรเชลหันไปมอง มินจุนจึงรีบส่ายหน้า

    “อ๋อ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น ตอนแรกผมคิดว่าอาจารย์จะทำอาหารแบบอลังการ อย่างพวกเนื้ออบหรือบุยยาเบส****อะไรแบบนั้นครับ”

    “ถ้าทำให้กินทันทีหลังจากที่เพิ่งฟื้นก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องบำรุงอะไรมากนี่ กินเยอะไปอาจจะไม่ดีก็ได้ กินแบบเรียบง่ายดีกว่า”

    “แล้วให้ผมทำอะไรดีครับ”

    “เตรียมของสำหรับทำซุปซุกินีก็แล้วกัน”

    “ครับ เชฟ”

    มินจุนหยิบมีดขึ้นมาอย่างใจเย็น ขณะที่เขากำลังหั่นหัวหอมและกระเทียมคาย่าและครอบครัวก็มาถึง พอเห็นเรเชลทุกคนก็ทำหน้าตกใจ มินจุนจึงยิ้มแล้วอธิบายว่า

    “อาจารย์เรเชลอยากจะทำอาหารให้พวกเรากินก่อนไปน่ะครับ”

    “ขอบคุณนะคะคุณเรเชล ให้ฉันช่วยทำอะไรดีคะ”

    “ไม่ต้องเลย แม่ อย่าไปทำร้ายวัตถุดิบจะดีกว่า นั่งอยู่เฉยๆ เถอะ”

    “ลูกไม่เชื่อมือแม่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เชื่อสิ ก็เลยบอกให้นั่งเฉยๆ ไงล่ะ”

    คาย่าตอบออกไปแบบเด็ดขาดแล้วยกหม้อขึ้นตั้งไฟ เกรซจึงหันไปชวนเรเชลคุยแทน

    “ตอนสมัยสาวๆ ฉันเคยซื้อนิตยสารที่มีข่าวของคุณเรเชลมาอ่านเยอะเลยค่ะ คิดเสมอว่าสักวันต้องทำอาหารให้ลูกๆ กิน แต่เอาเข้าจริงก็รำคาญบ้าง งานยุ่งบ้าง ก็เลยไม่เคยได้ทำให้กินแบบจริงจังสักที”

    “ไม่ว่าใครครั้งแรกมันก็ยากทั้งนั้นแหละ แต่ยังไม่สายไปหรอก ถ้าสนใจเรื่องทำอาหารขึ้นมาเมื่อไหร่ก็บอกนะคะ เพราะแม้จะไม่ถึงขนาดช่วยสอนตัวต่อตัวได้ แต่ก็ช่วยบอกเคล็ดลับสักสองสามอย่างให้ได้ค่ะ”

    “จริงเหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ”

    หลังจากที่มองภาพการทำอาหารของคนสามคนอยู่เงียบๆ เจมม่าก็เดินเข้ามาใกล้

    “มิงจุง ถามด้ายม้ายว่าทำอาไรอยู่”

    “อ๋อ ซุปซุกินี ซัลซ่าซัลโมริกลิโอ้ แล้วก็คาโปนาต้าน่ะ”

    “รู้จากแต่ซุปซุกินี แต่ว่าหนั่งอื่นม่ายรู้เลย”

    “ทุกอย่างเป็นอาหารเมดิเตอร์เรเนียนน่ะ คาโปนาต้าก็เอาผักไปย่างแล้วใส่ปลาหรือหมึกลงไป กินกับซอสที่เคี่ยวด้วยไวน์แดงและน้ำตาล ซัลซ่าซัลโมริกลิโอ้ก็ย่างปลาบนตะแกรงเหล็ก แล้วกินคู่กับซอสซัลโมริกลิโอ้…ดูนี่สิ”

    มินจุนยื่นชามให้เจมม่าดู เขาใช้เครื่องตีโฟมตีน้ำมันมะกอกประมาณหนึ่งแก้ว แล้วค่อยๆ ใส่น้ำเลมอนลงไปทีละนิด

    “ทำให้เป็นโฟมแบบนี้ แล้วก็ค่อยๆ ผสมน้ำเลมอนลงไป ใส่ลงไปครั้งเดียวเยอะๆ ไม่ได้”

    “ทามไมม่ายได้ล่ะ”

    “เพราะมันจะแตกตัวออกจากกันน่ะ น้ำกับน้ำมันปกติจะไม่เข้ากัน เวลาทำมายองเนสหรือมัสตาร์ดก็ต้องทำแบบนี้ ลองทำดูมั้ย ลองใส่ออริกาโนกับพาร์สลีย์ลงไปในนี้สิ”

    “เอ่อ แค่นี้พอม้าย”

    “พอแล้ว โอเคเลย ออริกาโนสองใบกับพาร์สลีย์สองต้นก็พอ แล้วก็ช่วยใส่น้ำต้มประมาณหนึ่งช้อนให้ทีนะ”

    เมื่อมินจุนพูดแบบนั้น เจมม่าจึงหยิบช้อนจุ่มลงไปในหม้อน้ำที่กำลังเดือดด้วยสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นก็ตักน้ำใส่ลงไปในซอส มินจุนโรยเกลือและพริกไทยลงไปเพื่อปรุงรส แล้วก็ยิ้มกว้าง

    “ยินดีด้วยนะ เธอก็มีส่วนทำอาหารจานนี้ด้วย”

    “ฉานน่ะเหรอ”

    “ใช่ ก็เธอช่วยด้วยนี่”

    เมื่อได้ยินแบบนั้นเจมม่าก็มองไปที่ชามแล้วยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ก็สวยงามและน่ารัก พอได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปก็ไม่ต่างกับการทำลายรอยยิ้มนี้ เขาไม่อยากให้ครอบครัวของคาย่าต้องพบเจอความเจ็บปวดแบบที่เรเชลต้องเจอตลอดช่วงเวลาสิบปี

    หน้าที่ย่างปลาเป็นของเรเชล มินจุนสามารถทำได้ แต่เรเชลไม่ยอมให้เขาทำ

    “ฉันต้องเป็นคนจบงานเองถึงจะรู้สึกว่าเป็นคนทำอาหารให้เธอกินจริงๆ แล้วก็…”

    เรเชลพูดไว้แค่นั้น แต่คาย่าและมินจุนก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่เรเชลตั้งใจจะพูดต่อคืออะไร

    “เขาใช้ไฟกันแบบนี้นี่เอง”

    ฝีมือการย่างของเรเชลไม่ธรรมดาเลย ตอนแข่งแกรนด์เชฟคาย่าก็ได้รับคำชมมากมายว่าย่างอาหารได้ดี แต่เรเชลเหมือนเป็นคาย่าในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบขึ้น เหมือนเรเชลสามารถอ่านทุกอย่างออกหมด แม้กระทั่งน้ำมันที่ออกจากตัวปลาแล้วไหลไปตามตะแกรงย่าง เรเชลยกตะแกรงย่างขึ้นเพื่อหลบไฟได้ทันก่อนที่น้ำมันจะหยดลงไปจนทำให้ไฟลุกโชนขึ้นมา ทำให้หนังปลาสุกเหลืองแบบไม่ไหม้เลยสักนิด อาหารที่เรเชลทำเหมือนเวทมนตร์ที่สามารถทำให้คนที่อิ่มแล้วหิวโหยขึ้นมาได้ ตอนนั้นเองคาย่าก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า

    “แล้วทำไมมีหกจานล่ะ อ๋อ ของแอนเดอร์สันเหรอ”

    “ไม่ใช่ของแอนเดอร์สันหรอก เขาไปร้านแต่เช้าแล้ว”

    “ถ้างั้นของใครล่ะ”

    มินจุนกระแอมออกมาเบาๆ ตอนนั้นเองก็มีเสียงรถยนต์ดังขึ้นนอกบ้าน พอหันไปมองที่หน้าต่างคาย่าก็ทำหน้ามุ่ย ไม่เพียงคาย่าเท่านั้น ทั้งเจมม่าและเกรซต่างก็พากันมองมินจุน

    “ผมเป็นคนเชิญเองครับ”

    “น่าจะบอกกันก่อน”

    “ถ้าทำแบบนั้นก็มีแต่จะสับสนกันเปล่าๆ”

    พวกเขาไม่ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับบรูซเป็นเหมือนการบ้านที่ต้องทำ แต่พอจะแตะก็กลัวและรู้สึกมืดแปดด้านจนต้องเลื่อนออกไปก่อน และการบ้านนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแบบไม่คาดคิด มินจุนเดินไปเปิดประตูอย่างใจเย็น

    “เชิญเลยครับคุณบรูซ สบายดีใช่มั้ยครับ”

    “นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ตอบคำถามว่าสบายดีมั้ยได้ยากมาก ฉันเข้าไปได้มั้ย”

    “แน่นอนครับ เชิญทางนี้เลย”

    บรูซตามมินจุนเข้ามานั่ง ในระหว่างที่ความเงียบเข้าครอบงำเรเชลก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณบรูซก็ไปเที่ยวเกาหลีด้วยใช่มั้ยคะ”

    “อ๋อครับ”

    “คุณบรูซอยากไปกับพวกเราจริงๆ ครับ เลื่อนตารางงานออกไปหมดเพื่อที่จะไปกับพวกเราเลย”

    คำพูดของมินจุนทำให้บรูซเกาหัวอย่างขัดเขิน ระหว่างนั้นมินจุนก็หั่นปลาอย่างใจเย็น ปลาที่เรเชลใช้ทำซัลซ่าซัลโมริกลิโอ้คือปลากะพง ตอนที่รสชาติกลมกล่อมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปลากะพงรวมเข้ากับกลิ่นของน้ำมันมะกอกและเลมอนก็รู้สึกเหมือนได้ฟังบทกลอนที่งดงาม

    “ทำไมไม่ทานกันล่ะครับ ลองชิมปลาดูสิครับ อร่อยมากเลย”

    เมื่อมินจุนพูดทุกคนจึงเริ่มกินอาหาร พอตักซุปเข้าปากไปคำหนึ่งเกรซก็ถึงกับลืมบรรยากาศตึงเครียดแล้วเบิกตาโตอย่างชื่นชม ไม่ได้ใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคพิเศษเหมือนในร้านอาหาร สูตรอาหารก็ไม่ได้แตกต่าง แต่มันอร่อยมากจนทำให้คิดว่าเป็นเพราะพลังของการที่ผู้ทำมีพื้นฐานแน่นหรือเปล่า รสหวานๆ เค็มๆ ของชีสและฟักทองที่อยู่ในปากมันช่างมีเสน่ห์ดึงดูดมาก

    “อร่อยมากค่ะ คุณเรเชล”

    “ขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรจะสุขใจไปกว่าการที่คนกินชมว่าอาหารที่เราทำให้มันอร่อยแล้ว”

    “คุณว่าไง อร่อยมั้ย”

    เกรซพยายามทำตัวปกติแล้วหันไปถาม บรูซจึงทำตาโตราวกับตกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วไม่นานก็ตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย

    “อะ…อ้อ ใช่ อร่อย…อร่อยสิ อร่อยมากเลย”

    “ฉันคงทำอาหารแบบนี้ให้ใครกินไม่ได้หรอก เพราะชีวิตของฉันไม่ได้มีเวลามากพอที่จะทำอาหารที่ละเอียดอ่อนแบบนี้”

    “ผมขอโทษนะ”

    “แต่ก็เพราะแบบนี้ลูกสาวของเราถึงได้กลายเป็นเชฟที่เก่ง ครอบครัวของเราแม้ไม่ได้สุขสบาย แต่ก็ได้กินของอร่อยกัน แล้วคุณล่ะเป็นยังไง ได้กินข้าวครบทุกมื้อรึเปล่า”

    “ไม่ค่อยได้กินหรอก”

    “แปลกดีนะ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคำนั้นช่วยปลอบใจได้ก็ไม่รู้”

    เกรซยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ระหว่างนั้นคาย่าก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า

    “ไปเกาหลีเรากินของอร่อยๆ กันเยอะๆ นะ อย่างน้อยความค้างคาใจเรื่องอาหารจะได้ลดลงบ้าง”

    “เอาสิ”

    เป็นการสนทนาที่ดูน่าอึดอัดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าในบทสนทนาแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ความอยากรู้ และความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันและกันอยู่ มินจุนแอบยิ้มอยู่ในใจแล้วตักเนื้อปลากะพงเข้าปาก สิ่งที่ร้านอาหารไม่สามารถทำเลียนแบบได้อยู่ตรงนี้แล้ว ครอบครัวอยู่ตรงนี้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขากำลังแบ่งปันกันอยู่ก็คือมื้ออาหารที่งดงาม

     

    2 of 2หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook