• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน วาสนาจักรพรรดิมังกร ครั้งที่3

    บทที่ 2

     

    หลังฟ้าสาง เล่อเยวี่ยพาเจาหยวนไปพบอาจารย์

    เจาหยวนแปลงกายเป็นมนุษย์และเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าของเล่อเยวี่ย เล่อเยวี่ยพามันเดินผ่านลานสำนัก มุ่งไปยังตำหนักหลัก

    เหล่าศิษย์น้องของเล่อเยวี่ยเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน ต่างจับกลุ่มประปรายรีบไปยังห้องครัวเพื่อกินมื้อเช้า เห็นเล่อเยวี่ยดึงเจาหยวนผ่านไปอย่างรีบเร่งก็อดสรรเสริญเสียมิได้ “สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ช่างรวดเร็วและเฉียบขาด บอกว่าจะจับคนก็จับได้ในทันที!”

    เฮ่อจีจื่อกำลังนั่งสมาธิในตำหนักหลักกับผู้อาวุโสทั้งสาม เล่อเยวี่ยพาเจาหยวนก้าวเท้าก้าวใหญ่ข้ามผ่านธรณีประตู “อาจารย์ อาจารย์…”

    เฮ่อจีจื่อลืมตาทั้งสองข้าง เล่อเยวี่ยลากเจาหยวนที่อยู่ด้านหลังออกมา ดันไปทางเบื้องหน้าของเฮ่อจีจื่อ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างยินดีปรีดา “อาจารย์ ใจศิษย์กังวลเกี่ยวกับสำนักจนมิอาจข่มตานอนได้ จึงถือโอกาสนี้ลงเขาตลอดทั้งคืน ทำให้ได้พบกับน้องชายผู้นี้เข้าพอดี ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาเลื่อมใสพวกเราสำนักชิงซานมานาน จึงขึ้นเขามาตลอดคืนด้วยต้องการจะเข้าร่วมสำนักของพวกเรา ข้าจึงพาเขามาพบอาจารย์เจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อาเพื่อเติมเต็มความปรารถนา รับเขาเป็นศิษย์”

    เป็นครั้งแรกที่เจาหยวนได้พูดคุยกับมนุษย์มากมายถึงเพียงนี้ จึงทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เฮ่อจีจื่อและอาจารย์อาทั้งสามของเล่อเยวี่ยฟังเล่อเยวี่ยไปพลางคอยสังเกตมันไปด้วย มันรู้สึกราวกับทั้งร่างปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ ไม่รู้ว่ามือเท้าควรวางไว้ที่ใด ทำได้เพียงฝืนยิ้ม

    อาจารย์อาใหญ่ของเล่อเยวี่ยเอ่ย “เจ้า…แน่ใจหรือว่าอยากเข้าร่วมสำนักชิงซานของพวกเรา” เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสงสัยในคำกล่าวของเล่อเยวี่ย

    เล่อเยวี่ยรีบเอ่ยขึ้นในทันที “อาจารย์อาใหญ่ อย่าได้ถือว่าเมื่อวานข้าประกาศว่าจะจับคนก็นับว่าเขาคือผู้ที่ข้าจับมา แม้ยามปกติศิษย์หลานชอบพูดดี ทว่าเคยลักไก่ขโมยสุนัข* จริงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาตั้งใจอยากเข้าร่วมสำนักชิงซานจริงแท้แน่นอน ไม่เชื่อท่านก็ให้เขาพูดเอง” ก่อนใช้ข้อศอกกระแทกเจาหยวน

    เจาหยวนหวนนึกถึงความเท็จที่เล่อเยวี่ยสอนเขาและเอ่ยขึ้นอย่างระวัง “มิ…มิผิด ข้า…ข้าอยากเข้าร่วมสำนักชิงซานมาก…”

    เล่อเยวี่ยกระแอมกระไอเสียงหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา “เสียงดังหน่อย”

    มือของมันเปียกชุ่มด้วยความประหม่าและพูดเสียงให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อย “สำนักชิงซานเป็นสำนักที่ข้าอยากเข้าร่วมมาโดยตลอด หวังว่า…หวังว่าเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสจะเติมเต็มความปรารถนานี้ของข้าได้”

    เฮ่อจีจื่อมิเปล่งวาจา อาจารย์อาใหญ่ของเล่อเยวี่ยเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณชายน้อย ไยเจ้าจึงอยากเข้าร่วมสำนักชิงซานของพวกเรา”

    เจาหยวนเอ่ยตอบตามคำสำทับของเล่อเยวี่ยด้วยเสียงเบา “เป็นเพราะ…สูญเสียบิดามารดาตั้งแต่ข้ายังเล็ก ฐานะยากจนข้นแค้น กินไม่อิ่มท้องเป็นประจำ ได้ยินมาว่าศิษย์สำนักฝึกตนอย่างสำนักชิงซานทั้งมีข้าวกิน อนาคตยังกลายเป็นเซียนได้ มีชีวิตเป็นอมตะ ข้าอิจฉายิ่งนัก…”

    อาจารย์อาสามของเล่อเยวี่ยกล่าว “ทว่าอยู่ที่สำนักของพวกเรา การกินก็ไม่ได้ดีมาก เสื้อผ้าเองก็ไม่ได้ดีมากนักเช่นกัน”

    ในคำกำชับของเล่อเยวี่ย ไม่มีคำใดที่ตอบคำถามนี้ได้ เจาหยวนหวั่นวิตกเล็กน้อย เล่อเยวี่ยรับการสนทนาได้ทันกาล “มิเป็นอันใด เขาบอกว่ามีข้าวกินก็เพียงพอแล้ว”

    เจาหยวนรีบผงกศีรษะโดยเร็ว

    อาจารย์อาใหญ่ของเล่อเยวี่ยยิ้มเอ่ย “ทว่าข้าเห็นคุณชายผู้นี้ผิวเนื้อนวลงาม ทั้งร่างมีไอความสูงศักดิ์ ไม่เหมือนฐานะยากจนข้นแค้น”

    เจาหยวนหวั่นวิตกอีกครั้ง เล่อเยวี่ยกระทุ้งมันอย่างเงียบเชียบ พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสลด “โธ่เอ๋ย น้องเจา อาจารย์ข้าและเหล่าอาจารย์อาล้วนสายตาเฉียบคม เกรงว่าความเท็จมิอาจปิดบังพวกเขาได้ พูดความจริงเถิด”

    เจาหยวนกำหมัดแน่น คอค่อยๆ ตกลงมาอย่างเชื่องช้า

    ก่อนหน้านี้ขณะเล่อเยวี่ยกำลังกำชับมันให้พูดเท็จอย่างไรนั้น ก็เอ่ยถามเช่นนี้ ‘เจ้าเคยพูดปดหรือไม่’

    มันผงกศีรษะ

    เล่อเยวี่ยถามขึ้นอีก ‘เช่นนั้นเจ้าถูกเปิดโปงอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่’

    มันครุ่นคิดพลางผงกศีรษะอีกครา

    เล่อเยวี่ยลูบคางพลางเอ่ย ‘นี่คือการที่เจ้าไม่เข้าใจศิลปะการพูดความเท็จ หากเจ้าคิดโกหกผู้ใดสักคน ต้องเริ่มจากพูดคำเท็จขั้นต่ำที่ต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนออกมาเสียก่อน รอให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนเองเปิดโปงได้อย่างยอดเยี่ยมและคลายความระวังตัวลงแล้ว เจ้าค่อยพูดเรื่องเท็จขั้นกว่าอีกเรื่องออกมา ไม่สิบก็แปดเก้าส่วน เขาจะเชื่อเรื่องที่เจ้าพูดทั้งหมด’

    ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายคนโตพี่สาวคนโตพูดไว้ไม่มีผิด มนุษย์ช่างเจ้าเล่ห์กลับกลอกมากเสียจริง เจาหยวนเกิดเลื่อมใสเล่อเยวี่ยอย่างมาก มันคิดว่าหากเรียนรู้สิ่งนี้ ตนก็จะกลายเป็นมังกรสับปลับได้แล้วใช่หรือไม่

    เจาหยวนก้มหัวอยู่เบื้องหน้าอาจารย์และอาจารย์อาของเล่อเยวี่ย ท่องเนื้อหาความเท็จขั้นสูงออกมาตามคำกำชับของเล่อเยวี่ย “ความจริงแล้วข้ามิใช่บุตรของผู้ยากไร้ ข้า…ข้า…ข้าถูกสำนักชิงเสวียนข่มเหง จึงได้หลบหนีมายังที่แห่งนี้ หวังว่าเจ้าสำนักจะให้ที่หลบภัยแก่ข้า ให้ข้าได้มีวันหนึ่งที่จะได้ล้างแค้น”

    คำนี้เอ่ยออกมา ตำหนักหลักเกิดความเงียบสงัดขึ้นในทันใด เหล่าอาจารย์อาของเล่อเยวี่ยต่างมุ่นคิ้วเล็กน้อย ท่าทางของเฮ่อจีจื่อแสดงการใคร่ครวญ

    หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เฮ่อจีจื่อจึงเอ่ยถาม “เจ้าและสำนักชิงเสวียนมีเรื่องขุ่นเคืองอันใดกันแน่”

    เล่อเยวี่ยเคยบอกมันว่าคำถามนี้มิจำเป็นต้องตอบก็ได้ เจาหยวนจึงยืนอยู่เงียบๆ

    เฮ่อจีจื่อใคร่ครวญชั่วขณะอีกครั้งก่อนใช้นิ้วลูบหนวดพลางเอ่ย “ได้ เจ้าก็อยู่ชั่วคราวไปก่อนเถิด”

    เล่อเยวี่ยยินดีปรีดา “ขอบคุณท่านอาจารย์” ก่อนใช้มือดึงแขนเสื้อของเจาหยวน

    เจาหยวนเอ่ยตามเสียงเบา “ขอบคุณ”

    เหล่าอาจารย์อาของเล่อเยวี่ยยังคงมีความคลางแคลงใจบนใบหน้า อาจารย์อาใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ศิษย์พี่…”

    เฮ่อจีจื่อกลับลุกขึ้นพลางกล่าว “ตัดสินเช่นนี้ไปก่อนเถิด ศิษย์น้องรองเจ้าให้คนมาพาเด็กหนุ่มผู้นี้ไปหาข้าวกินก่อนแล้วจัดเตรียมห้องนอนให้ดี ไม่มีห้องว่างก็จัดให้อยู่กับเล่อเยวี่ยไปก่อน” ก่อนหันมาปราดมองไปทางเล่อเยวี่ยแวบหนึ่ง “เจ้าตามข้ามา”

    เล่อเยวี่ยแอบส่งสายตาไปยังเจาหยวนครั้งหนึ่ง ก่อนเดินจ้ำตามหลังเฮ่อจีจื่อไป

    มาถึงภายในห้องหนังสือ เล่อเยวี่ยปิดประตูห้องก่อนยิ้มระรื่นเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าอาจารย์ให้ข้ามาที่นี่มีสิ่งใดชี้แนะอย่างนั้นหรือ”

    เฮ่อจีจื่อนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยถามขึ้นอย่างเชื่องช้า “มังกรตัวนั้นแอบเข้ามาเมื่อคืนวานใช่หรือไม่”

    เล่อเยวี่ยตกตะลึงก่อนกะพริบตาเอ่ย “มังกรหรือ อาจารย์ ท่านพูดถึงมังกรอันใดกัน”

    เฮ่อจีจื่อยิ้มตาหยีกล่าว “มังกรที่ข้าเพิ่งรับเข้าสำนักของตัวเองนั่นแหละ”

    เล่อเยวี่ยตกตะลึงอีกครั้ง ยิ้มแห้งเอ่ยอย่างประหม่า “อาจารย์ ท่านยิ่งชรายิ่งแข็งแกร่งโดยแท้ สิ่งใดก็มิอาจตบดวงตาเห็นธรรมของท่านได้!”

    เฮ่อจีจื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ครึ่งหนึ่ง “ทำอวดฉลาดต่อหน้าข้าให้น้อยๆ หน่อย ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเจ้าคิดอยากเอามังกรตัวนี้ไปงานประลองยุทธ์แทนเล่อเว่ยล่ะก็ ย่อมเข้าร่วมมิได้อย่างแน่นอน พลังเวทของมังกรน้อยตัวนี้ต่ำต้อย ข้ามองปราดเดียวก็เห็นร่างที่แท้จริงของมันได้ เจ้าคิดว่าในงานประลองยุทธ์เจ้าสำนักผู้อาวุโสแต่ละสำนักจะมิอาจมองออกได้อย่างนั้นรึ”

    เล่อเยวี่ยเกาหลังหัว “อาจารย์ ศิษย์วางแผนใดก็ไม่อาจตบตาท่านได้อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงภูตมังกรน้อยธรรมดา พลังเวทต่ำต้อย หวังว่าอาจารย์จะไม่ถือโทษ อย่าเพิ่งจับกุมมัน”

    เฮ่อจีจื่อหลับตาลงครึ่งหนึ่ง “หากว่าข้าต้องการจับมันก็คงจับมันยามที่เจ้าพามันเข้ามาในตำหนักแล้ว พลังเวทของมันแม้จะอ่อนแอ แต่พลังบนร่างกลับผิดปกติ มิใช่มังกรธรรมดาหรอก”

    ในใจของเล่อเยวี่ยสั่นไหว เอ่ยด้วยใบหน้าผู้บริสุทธิ์ “ข้าเห็นมันเป็นเพียงภูตมังกรธรรมดาเท่านั้น อาจารย์ บัดนี้ทั่วทั้งแผ่นดินทำลายมังกรไปจนหมดสิ้น มันวิ่งหลบหัวซุกหัวซุนไปทั่วทุกหนแห่งก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ให้มันพักอยู่ชั่วคราวสักสองสามวันได้หรือไม่ ศิษย์รับปากคำร้องขอของมันไปแล้ว สุภาพชนจำต้องรักษาคำพูด รอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น มันก็จะไปเอง”

    เฮ่อจีจื่อหลับตาทั้งสองข้างพลางฟั่นปลายเครา “เป็นเพียงภูตมังกรธรรมดาอย่างนั้นหรือ อนิจจา ในเมื่อเจ้าพบมันก็นับเป็นโชคชะตาวาสนา ยามนั้นสำนักพวกเราเคยเป็นหนี้บุญคุณเทพมังกร ครั้งนี้เป็นเพียงการตอบแทน เจ้าก็ให้มันอยู่ชั่วคราวไปก่อน แล้วจัดการเรื่องที่รับปากมันไว้เถิด”

     

    เล่อเยวี่ยออกมาจากห้องหนังสือของอาจารย์ แผนที่วางไว้เป็นอย่างดีนั้นพังทลาย เขาจึงเศร้าใจเล็กน้อย

    ดูเหมือนว่ายังต้องลงเขาไปลักพาตัวหนึ่งคนเพื่อมาเป็นศิษย์ให้แก่อาจารย์

    ทว่าต่อให้เจ้ามังกรน้อยผู้โง่เขลานี้ไม่อาจมาแทนที่ศิษย์น้องที่ขาดไปได้ บุรุษเมื่อพูดออกไปแล้วย่อมไม่คืนคำ เรื่องเอาเลือดของลั่วหลิงจือมานี้เขาจัดการได้อย่างแน่นอน

    เล่อเยวี่ยเองก็อยากจะเห็นว่าเจ้ามังกรโง่ตัวนี้เป็นเทพมังกรผู้พิทักษ์จริงหรือไม่ หากลั่วหลิงจือคือผู้ที่มันต้องการตามหาอย่างแท้จริง จากนั้นจะเกิดอันใดขึ้นต่อไปกัน

    เล่อเยวี่ยรีบเดินไปยังเรือนปีกข้าง ภายในห้องจัดวางเตียงอีกหนึ่งเตียงไว้เรียบร้อยแล้ว ผ้าห่มและที่นอนทั้งหมดเพียบพร้อม เจ้ามังกรโง่ตัวนั้นกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงใหม่พลางดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างกังวลใจ

    เมื่อมันเห็นเล่อเยวี่ยก็เผยสีหน้าดีใจราวกับเห็นญาติพี่น้อง รีบลุกขึ้นยืน

    เล่อเยวี่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “จะบอกข่าวร้ายและข่าวดีแก่เจ้า ข่าวร้ายคืออาจารย์ข้ามิได้ถูกความเท็จอันยอดเยี่ยมนั่นหลอก เขามองออกแล้วว่าเจ้าคือมังกร”

    สีหน้าของเจาหยวนพลันเปลี่ยนในทันที ในแววตาฉายความหวาดกลัวออกมา

    เล่อเยวี่ยพูดต่อว่า “ข่าวดีคือให้เจ้าวางใจ อาจารย์ข้าและอาจารย์อาล้วนเป็นคนดี เมื่อหลายปีก่อนสำนักของพวกเราเคยเป็นหนี้บุญคุณมังกร ดังนั้นพวกเราไม่หักหลังเจ้าหรอก เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอาเลือดของลั่วหลิงจือมาให้ได้อย่างแน่นอน” เล่อเยวี่ยเกาศีรษะ “ทว่าสำหรับข้าแล้ว ยังมีข่าวร้ายอีกหนึ่งเรื่อง ข้าจำต้องเดินทางลงเขาในทันที รีบหาศิษย์คนใหม่กลับมาโดยด่วน”

     

    ยามอู่* เล่อเยวี่ยเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนถนนสายหลักของตำบลเฟิ่งเจ๋อ สายตาพินิจไปยังผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน อากาศของต้นเดือนสามไม่หนาวไม่ร้อน ท้องฟ้าดุจหยกสีคราม เมฆาประหนึ่งผ้าโปร่งขาว ต้นหลิวแตกใบอ่อนเขียว ต้นท้อออกดอกสดสวย ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิอุดมสมบูรณ์ปานจะหมายให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา

    เล่อเยวี่ยวางแผนหาคนที่เหมาะสมผู้หนึ่งและ ‘โน้มน้าว’ อย่าง ‘อ่อนโยน’ ให้เข้าร่วมสำนักชิงซานชั่วคราว เขาเดิมทีไม่คิดแพร่งพรายมากเกินไป จับผู้ที่ผ่านถนนสายเล็กมาสักคนสองคนให้รู้แล้วรู้รอด ไหนเลยจะรู้ตั้งแต่รุ่งสางจนใกล้เที่ยงวันยังหาผู้ที่เหมาะสมไม่พบ จำต้องมายังตำบลเมืองที่มีผู้คนค่อนข้างมาก

    เมืองเล็กๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาเซ่าชิงแต่เดิมมีชื่อว่าตำบลหลงเจ๋อ (บึงมังกร) เล่าลือกันว่าในอดีตเคยมีเทพมังกรแอบมาทำให้ฝนตกลงมาเพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากภัยแล้ง ผู้คนในเมืองซาบซึ้งบุญคุณของเทพมังกรจึงสร้างศาลถวาย ชื่อของเมืองก็ให้มีชื่อว่าตำบลหลงเจ๋อ ต่อมาราชสำนักไม่ให้บูชาเทพมังกรแล้ว ศาลเทพมังกรถูกทุบทำลายจนแหลกละเอียดกลายเป็นศาลเจ้าที่ ตำบลหลงเจ๋อจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นตำบลเฟิ่งเจ๋อ (บึงหงส์)

    ตำบลเฟิ่งเจ๋อคึกคักยิ่งยวดด้วยอีกไม่กี่วันก็จะเป็นงานประลองยุทธ์แล้ว ผู้คนที่รีบมาจากแต่ละพื้นที่ล้วนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของตำบล บุรุษใจเพชรผู้ถือดาบ คุณชายผู้หรูหราฟุ่มเฟือยผู้สวมชุดคลุมทอไหมรัดเข็มขัดหยก เด็กหนุ่มผู้องอาจผึ่งผาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเด็กสาวชาวยุทธ์ผู้งดงามแช่มช้อย มากมายหลากหลาย กำลังเดินผ่านไปผ่านมาบนถนน

    เล่อเยวี่ยพิจารณาอย่างสงบเยือกเย็น ท้ายที่สุดสายตาจับจ้องไปยังหน้าร้านแผงลอยขายซาลาเปาที่อยู่ไม่ไกล เห็นบัณฑิตใบหน้าเปื้อนฝุ่นผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างแผง ชวนเจ้าของแผงคุยอย่างสุภาพเรียบร้อย “ข้าผ่านมายังตำบลนี้พอดี เห็นผู้คนเดินบนถนนล้วนดูแตกต่างกันและได้ข่าวว่าเร็วๆ นี้จะมีการจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ขึ้นในละแวกนี้ จึงขอถามไถ่เล็กน้อยว่าเป็นการชุมนุมอันใดหรือ”

    บัณฑิตผู้นี้สวมเสื้อผ้าไม่เก่าไม่ใหม่ มือข้างหนึ่งหอบตำรา ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายยากจนคร่ำครึ หน้าแผงมีแขกเหรื่อผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก เจ้าของแผงเห็นว่าแม้แต่ซาลาเปาเขาก็ไม่ซื้อสักลูกจึงคร้านจะสนใจ ไม่ว่าบัณฑิตผู้นี้จะยืนอยู่ข้างๆ ถามไถ่ไม่หยุดก็เพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น

    ในใต้หล้าต่างรู้จักงานประลองยุทธ์ คนผู้นี้กลับไถ่ถามด้วยใบหน้าสับสน เห็นได้ว่าเขาไม่เคยประสบกับสภาพต่างๆ ในสังคม อีกทั้งบัณฑิตผู้นี้ดูเหมือนไม่เพียงยากจน ทั้งยังซื่อเซ่อเล็กน้อย เล่อเยวี่ยเอ่ยในใจ เขานี่แหละ

    เล่อเยวี่ยแสร้งทำเป็นเดินโซซัดโซเซไปยังหน้าแผงซาลาเปา จงใจยืนข้างบัณฑิตและตะโกนบอกเจ้าของแผงว่า “ซาลาเปาไส้ผักสองลูก” ขณะที่รับซาลาเปาก็แกล้งพลั้งมือออกแรงกระแทกร่างของบัณฑิต

    เล่อเยวี่ยรีบเอียงกาย เอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจ “คุณชาย ขออภัยๆ”

    บัณฑิตโบกมือเอ่ยอย่างรีบร้อน “มิเป็นอันใด”

    เล่อเยวี่ยยิ้มเอ่ยอย่างคนรู้สึกผิด “คุณชายช่างจิตใจดีเสียจริง เอาเช่นนี้เถิด…” เขาหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งออกมาจากถุงกระดาษน้ำมัน และเอาลูกที่อยู่ในถุงกระดาษส่งให้บัณฑิต “ซาลาเปาลูกนี้คือการขอขมาจากข้า คุณชายอย่าได้ถือสาคนยากไร้”

    บัณฑิตรีบโบกมือเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเพิ่งจะกินมื้อกลางวันไป จอมยุทธ์น้อยมิต้องเกรงใจ”

    เล่อเยวี่ยร้องอ้อและนำซาลาเปากลับมาพลางกล่าวทักทายบัณฑิตต่อ “ฟังน้ำเสียงของคุณชายแล้วไม่เหมือนคนในพื้นที่ ทั้งยังแบกข้าวของมาอีก คงมาดูงานประลองยุทธ์ด้วยกระมัง”

    สองตาบัณฑิตทอประกาย “ที่แท้การชุมนุมครั้งใหญ่ของที่นี่ก็คืองานประลองยุทธ์ ข้าเลื่อมใสมานานแล้ว เดิมข้าคิดรีบเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบขุนนาง* ไม่เคยคิดเลยว่าจะจับพลัดจับผลูได้พบการชุมนุมครั้งใหญ่เช่นนี้ ช่างประจวบเหมาะโดยแท้”

    เล่อเยวี่ยรีบเอ่ยชมอย่างนอบน้อมในทันที “ที่แท้คุณชายรีบเข้าเมืองไปสอบ มิน่าเล่าทั่วร่างถึงได้เผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งปัญญาชน แตกต่างจากพวกเราชาวยุทธ์คนเถื่อนยิ่งนัก”

    บัณฑิตเองก็ยิ้มเอ่ยอย่างนอบน้อมเช่นกัน “ที่ไหนกัน สำนวนกล่าวไว้ว่า ‘ผู้ไร้ประโยชน์แม้แต่น้อยก็คือบัณฑิต’ ข้าอ่านแต่ตำรามาเพียงไม่กี่เล่ม เทียบกับเด็กหนุ่มวีรบุรุษผู้ยึดมั่นคุณธรรมในยุทธภพอันรื่นรมย์เช่นจอมยุทธ์น้อยแล้ว ช่างละอายใจอย่างสุดซึ้งโดยแท้”

    เล่อเยวี่ยเอ่ยขึ้นในใจ บัณฑิตผู้นี้ดูแล้วทั้งน่าสังเวชทั้งดูปัญญาทึบ แต่ฝีปากกับไหวพริบดียิ่งนัก ก่อนเอ่ยอย่างถ่อมตนเช่นกัน “คุณชายชมเกินไปแล้ว”

    พูดวกไปวนมาอีกไม่กี่ประโยค ก็ล้วงเอาความจริงจากบัณฑิตแซ่ตู้ว่าเขาเป็นคนจากเขตเจียงเจ้อ เล่อเยวี่ยคิดว่านี่คือโอกาสเข้าประเด็นสำคัญแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ “โอ้ สายมากแล้ว ข้ายังต้องรีบกลับไปยังสำนัก คุณชายตู้ ต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่วันประลองยุทธ์เถิด” ก่อนแสร้งทำเป็นหมุนกายจากไป

    เดินออกไปไม่ถึงสี่ห้าก้าว ก็ได้ยินเสียงของบัณฑิตตู้เอ่ยจากด้านหลังดังคาด “จอมยุทธ์น้อยเล่อ ได้โปรดหยุดก่อน ข้ายังมีเรื่องอยากสอบถาม”

    เล่อเยวี่ยหยุดเดินพร้อมหมุนตัวกลับมา รอยยิ้มฉายบนใบหน้าพลางเอ่ย “เชิญคุณชายตู้กล่าว”

    บัณฑิตตู้เอ่ยถามอย่างลังเลใจ “ไม่ทราบว่างานประลองยุทธ์นั้นเริ่มขึ้นเมื่อไร จัดขึ้นที่ใด”

    เล่อเยวี่ยเอ่ยตอบ “หลังจากนี้สองวัน วันที่สิบห้าเดือนสาม จัดขึ้นบนยอดผาเฟิ่งหยาที่ห่างออกไปสิบกว่าหลี่* จากทางใต้ของเมือง ว่าแต่คุณชายตู้ ข้าขอถามหนึ่งประโยค ท่านมีที่พักและเทียบเชิญเข้างานชุมนุมแล้วหรือยัง โรงเตี๊ยมในเมืองนั้นเต็มหมดแล้ว ทั้งยังต้องมีเทียบเชิญเข้างานชุมนุมจึงจะเข้าไปได้”

    บัณฑิตตู้ตระหนกและปรากฏสีหน้าเสียดายออกมา “เช่นนั้นทำอย่างไรดี มิน่าเล่า ข้าหาโรงเตี๊ยมมาหลายแห่ง ล้วนบอกว่าไม่มีห้องว่าง ไม่ต้องพูดถึงว่าชมการประลองครั้งใหญ่ได้หรือไม่ ขณะนี้กระทั่งที่พักก็หายากแล้ว จอมยุทธ์น้อยเล่อ ไม่ทราบว่าละแวกนี้มีวัดร้างเรือนว่างหรือไม่ ขอเพียงมีแผ่นกระเบื้องคุ้มหัวได้ก็เป็นพอ”

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “อนิจจา เวลานี้กระทั่งที่นั่นก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนอย่างแน่นอน เพื่อนพ้องเช่นพรรคกระยาจกคงยึดครองไปแล้ว” ก่อนมุ่นคิ้วตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเอ่ย “อืม…สำนักของข้าอยู่แถวละแวกนี้ คุณชายตู้ไปพักที่สำนักข้าได้ อ้อ ใช่แล้ว สำนักของพวกเราเองก็จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์เช่นกัน หากท่านแสร้งเป็นลูกศิษย์ในสำนักของพวกเรา ก็อาจชมงานประลองยุทธ์ทุกรอบได้”

    เขาจ้องมองบัณฑิตแซ่ตู้ด้วยแววตาเป็นประกาย สีหน้าของบัณฑิตตู้ลังเลใจเล็กน้อย “ทว่า…เช่นนี้จะเป็นการรบกวนจอมยุทธ์น้อยเล่อและสำนักได้”

    เล่อเยวี่ยรีบร้อนเอ่ย “มิรบกวน มิรบกวน”

    ด้วยดีอกดีใจเล่อเยวี่ยจึงรีบเกินไป บัณฑิตตู้มองเข้าไปในแววตาของเขาและพลันเกิดความเคลือบแคลงเล็กน้อย “จอมยุทธ์น้อยเล่อ ท่าน…”

    เล่อเยวี่ยกำลังพิจารณาว่าไปทำให้อีกฝ่ายเคลือบแคลงได้อย่างไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้ามาจากด้านหลังไม่ไกล “กลางวันแสกๆ กลับปลิ้นปลอกสุ่มสี่สุ่มห้า ละเมิดต่อคุณธรรมยุทธภพเช่นนั้นหรือ”

    น้ำเสียงนั้นแม้ว่าจะอ่อนโยนเรียบง่าย แต่กลับแฝงไปด้วยพลังที่ดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีขุมหนึ่ง ขนบนหลังของเล่อเยวี่ยตั้งชัน เขาตื่นตระหนกโดยพลัน เสียงนี้คุ้นหูอย่างแท้จริง

    สำนักชิงเสวียนมุ่งเลือกช่วงเวลาสำคัญมาหาเรื่องดังคาด เล่อเยวี่ยหมุนกายกลับไปหมายยิ้มเย็นย้อนถามว่าไฉนพี่ลั่วพูดให้ร้ายคำพูดของข้าจอมยุทธ์น้อยกลางวันแสกๆ เช่นนี้

    ทว่าหลังจากเล่อเยวี่ยหมุนกาย กลับพบว่าประโยคก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่ได้พูดกับเขา

    เห็นเพียงกลางถนนด้านหลังของเขามีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ มองผ่านช่องว่างระหว่างฝูงคน เห็นเพียงบุรุษวัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์สองสามคนยืนอยู่ตรงกลางชักอาวุธออกมา ชี้ไปยังบุคคลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

    คนผู้นั้นคือลั่วหลิงจือคู่ปรับของเล่อเยวี่ย เขามือหนึ่งกำข้อมือของผู้นำร่างสูงใหญ่ หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย ทว่าท่าทางกลับอ่อนโยน สายลมอ่อนพัดผ่านไป แขนเสื้อสีครามอ่อนของเขาสะบัดไหว ดวงตาทั้งสองของเขาเองก็เหมือนดั่งลำธารที่ใสที่สุดในสายลมฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน

    สายตาของเล่อเยวี่ยจับจ้องไปบนร่างที่อยู่ด้านหลังลั่วหลิงจือ สองตาอดเปล่งประกายมิได้

    คนผู้นั้นสวมเสื้อโปร่ง ใส่รองเท้าผ้าไหม โบกพัดเล็กเล่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะแต่งกายเป็นคุณชายร่ำรวย ทว่าเล่อเยวี่ยมองแวบหนึ่งก็มองออกแล้วว่า ‘เขา’ คือเด็กสาวที่ปลอมเป็นบุรุษ

    เล่อเยวี่ยมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เขาเคยคิดมาโดยตลอดว่าซือซือบุปผางามอันดับหนึ่งของหอซิ่งฮวาในตำบลเฟิ่งเจ๋อคือสตรีที่งดงามที่สุดในโลกหล้า ทว่าขณะเห็นเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาพลันค้นพบว่าตนเองเมื่อก่อนเป็นเพียงคางคกในบ่อน้ำแห้งขอดตัวหนึ่งเท่านั้น และยามนี้ได้ปีนป่ายมาถึงขอบบ่อน้ำ มองเห็นท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาล

    ดอกท้อ ดอกสาลี่ ดอกหลี่* ดอกซิ่ง** ดอกอิ๋งชุน*** และดอกผักกาด ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะบานหมดแล้ว ท่ามกลางหมู่ดอกไม้อันสวยสดงดงาม ใบหน้าคิ้วตาของเด็กสาวผู้นั้นสุกสกาวสว่างไสว เหนือกว่าสีสันอื่นใด

    เล่อเยวี่ยมองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ครั้นแล้วก็รู้แจ้ง

    คิดๆ ดูแล้วชายร่างสูงใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ทั้งหลายนี้ก็มองออกว่าเด็กสาวผู้นั้นคือสตรีปลอมเป็นบุรุษเช่นกัน จึงเจตนาลวงหลอกหยอกเย้า ลั่วหลิงจือก็อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีและยืดอกออกหน้าอย่างอาจหาญ วีรบุรุษช่วยผู้คนด้วยจิตสำนึกแห่งความเป็นธรรมนั้นช่างงดงาม

    จุ๊ๆ เขามักจะค้นพบเรื่องดีงามประเภทนี้ได้ทันกาล

    เล่อเยวี่ยพินิจมองชายร่างสูงใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ทั้งหลายนั่นอีกปราดหนึ่ง ในใจทราบดีว่าคนเหล่านั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของลั่วหลิงจืออย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าละครฉากนี้ตนเองไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ เล่อเยวี่ยเสียใจอย่างยิ่งหมายจากไปและจัดการเรื่องของตนเองต่อ

    เด็กสาวที่ปลอมเป็นบุรุษกลับเบนสายตามองมายังเล่อเยวี่ยพลางกะพริบดวงตาที่สดใส ท่ามกลางกลุ่มคนมีเสียงตะโกนดังขึ้น บุรุษสองสามคนพุ่งกระโจนไปทางลั่วหลิงจือแล้ว ลั่วหลิงจือมือหนึ่งยังคงจับข้อมือของผู้นำร่างสูงใหญ่ไว้ อีกมือหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ ช่างสุขุมและสง่างามเหลือล้น

    เล่อเยวี่ยคร้านจะดูต่อ จึงหมุนกายกลับมาหาบัณฑิตตู้เมื่อครู่ แต่เขากลับหาไม่พบ ทว่าด้านหลังมีคนผู้หนึ่งประชิดเข้ามา ไหล่ของเขาถูกของบางอย่างตีหนึ่งครั้ง

    “นี่!”

    เล่อเยวี่ยหันหลับมาและผงะ เด็กสาวที่ปลอมเป็นบุรุษเมื่อครู่ยังอยู่ด้านหลังลั่วหลิงจือ แต่ยามนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ส่วนทางนั้นลั่วหลิงจือยังคงต่อสู้กับบุรุษทั้งหลายอยู่

    เด็กสาวโบกพัดในมือ “ตรงนั้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอันใดกับข้าแล้ว ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายจึงหลบออกมา”

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “ผู้ที่ผ่านมาเห็นความไม่เป็นธรรมทั้งยังช่วยเหลือเจ้า หากได้ฟังประโยคนี้ของเจ้าแล้วจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”

    เด็กสาวรวบพัดก่อนโบกไปมา “จอมยุทธ์น้อย เจ้าแต่งกายเป็นชาวยุทธ์ผู้ชอบธรรม พบผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากแต่กลับอยู่อีกด้านหนึ่งซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อยืนดูบรรยากาศครึกครื้น ปล่อยให้เขาใช้คนน้อยสู้คนมาก ดูเหมือนนี่มิใช่หนทางแห่งจอมยุทธ์กระมัง”

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “เพราะข้ารู้ว่าคนผู้นั้นเอาชนะได้อย่างแน่นอน จะไปแย่งความโดดเด่นของเขาได้อย่างไรกัน อีกประการคือข้าเห็นสายตาแม่นางนั้นล้ำลึก ท่วงท่าบุคลิกล้วนไม่ธรรมดา จอมยุทธ์น้อยผู้เห็นความไม่เป็นธรรมคนนั้นไม่ต้องก้าวไปข้างหน้าเลยสักนิด บุรุษทั้งหลายนั่นเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียแรงก็ขับไล่ไปได้”

    ในดวงตาของเด็กสาวเปล่งประกายสุกใส ก่อนหัวเราะพรวดออกมา “ฮ่ะ เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ มีทัศนะ มีความคิดความอ่าน ข้าชื่นชมยิ่งนัก นี่ เจ้ามีนามว่าอันใด”

    เล่อเยวี่ยยิ้มระรื่นเอ่ย “ยกย่องเกินไปแล้ว ข้านามเล่อเยวี่ย เป็นศิษย์เอกของสำนักชิงซาน”

    เด็กสาวเอ่ยท่องอยู่ในปาก “เล่อเยวี่ย เล่อเยวี่ย…ชื่อนี้ช่างวิเศษยิ่งนัก อืม ข้านามว่าหลินชิ่ง ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกข้าว่าแม่นาง เจ้าก็เรียกชื่อของข้าก็พอ”

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “ได้ เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าเล่อเยวี่ยก็พอ” เขาเสริมประโยคหนึ่งอย่างเสแสร้ง “ข้าเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยการที่ผู้อื่นเรียกข้าว่าจอมยุทธ์น้อยเช่นกัน”

    เขาพูดคุยกับหลินชิ่งไปพลาง ตามหาร่องรอยของบัณฑิตตู้ทั่วทุกหนแห่งไปพลาง บัณฑิตตู้กลับประหนึ่งระเหยกลายเป็นไอ ทุกแห่งหนล้วนมองหาไม่พบ หลินชิ่งเอ่ยถามอย่างพิศวง “เจ้ากำลังเหลียวซ้ายแลขวามองหาสิ่งใด”

    เล่อเยวี่ยตอบอย่างเรียบง่าย “หาคน”

    หลินชิ่งกะพริบตา ซ้ำยังถามอีก “หาผู้ใด”

    เล่อเยวี่ยตอบอย่างกำกวม “ผู้ที่ช่วยข้าได้”

    เขาตอบไปเดินไป จวนจะเดินจนถึงสุดทางของถนนแล้ว หลินชิ่งเดินตามอยู่ด้านหลังของเขา

    เล่อเยวี่ยหยุดตรงหัวมุมถนนแล้วเดินวนหนึ่งรอบ ก่อนถอนใจสายหนึ่งอย่างเสียดาย ดูเหมือนว่าบัณฑิตตู้จะกลายเป็นเข็มที่หล่นหายไปในมหาสมุทรเสียแล้ว ยากจะหาเจออย่างแท้จริง

    หลินชิ่งเอ่ยถาม “นี่ ผู้ที่เจ้ากำลังตามหา พบตัวยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

    เล่อเยวี่ยถอนหายใจอีกรอบ “ใช่แล้ว เฮ้อ ทำได้เพียงหาคนใหม่อีกครั้ง แม่นางหลินชิ่ง…อ้อไม่สิ หลินชิ่ง วันนี้ข้ายังมีเรื่องต้องทำ เช่นนั้นขอตัวก่อน”

    หลินชิ่งกลับดูเหมือนว่าจะเกิดความสนใจในตัวเขาอย่างยิ่ง ยังคงติดตามมา “ถึงอย่างไรก็ตามข้ามาดูงานประลองยุทธ์ บัดนี้ว่างมากทีเดียว ว่างก็คือว่าง ข้าช่วยเจ้าดีกว่า”

    เล่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “เจ้าช่วยข้าไม่ได้แน่” บัณฑิตตู้หายไปทำให้เขากระสับกระส่ายเล็กน้อย กระทั่งคำเท็จก็คร้านจะเอ่ย จึงถือโอกาสพูดความจริงออกมา “งานประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มอยู่รอมร่อ ศิษย์น้องของข้าถูกคนจากสำนักคู่ปรับโจมตีจนล้มหมอนนอนเสื่อ จำนวนคนไม่เพียงพอ สำนักพวกเราก็จะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมเอาได้”

    หลินชิ่งพลันเข้าใจ “ดังนั้นเจ้าจึงคิดหาคนผู้หนึ่งมาแทนที่ศิษย์น้องของเจ้าชั่วคราวใช่หรือไม่”

    เล่อเยวี่ยผงกศีรษะ

    “เช่นนั้นก็ไม่ยาก” หลินชิ่งก้าวเข้าไปใกล้เบื้องหน้าของเขา ยิ้มอย่างสดใสหนหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าเหมาะสมหรือไม่ล่ะ”

     

    เจาหยวนกระวนกระวายอยู่ในห้องนอนทั้งวัน

    มันถูกอาจารย์ของเล่อเยวี่ยรู้ร่างมังกรแล้ว แม้ว่าเล่อเยวี่ยจะเคยรับรองกับมันว่าอาจารย์เจ้าสำนักและอาจารย์อาล้วนเป็นคนดี ไม่ทราบเรื่องของเทพมังกรผู้พิทักษ์เลยสักนิดเดียว ทว่ามันยังคงกังวลเล็กน้อย

    ควรจะเชื่อเล่อเยวี่ยหรือไม่กันแน่ มันลังเลใจยิ่งยวด หากพวกเขาแอบรายงานข่าวต่อหงส์ผู้พิทักษ์ เผ่ามังกรผู้พิทักษ์จะต้องสูญเสียโอกาสและไม่อาจแก้ไขความผิดพลาดได้อย่างแน่แท้ ทว่าหากไม่เชื่อเล่อเยวี่ยแล้วควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ดูเหมือนว่ายามนี้ไม่ควรเข้าใกล้ลั่วหลิงจืออย่างแท้จริง

    มันยิ่งคิดยิ่งสับสน ศีรษะยิ่งวิงเวียนมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลับคืนร่างมังกรโดยไม่รู้ตัวและมุดเข้าไปในผ้าห่มอันอ่อนนุ่มและนอนหลับไป

    จนกระทั่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจด้านนอกหน้าต่างทำมันตกใจตื่นจากฝันหวาน

    มันมุดออกมาจากผ้าห่มพลางขยี้ตา ได้ยินเสียงคนพูดจากลานนอกหน้าต่าง

    “นี่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ยังพาคนผู้หนึ่งกลับมาอีกด้วย!”

    “จริงด้วยๆ ศิษย์พี่ใหญ่ช่างเก่งกาจโดยแท้ ยามเช้าหามาได้คนหนึ่ง ตกเย็นก็หามาได้อีกคนหนึ่ง”

    “อยู่ที่ตำหนักหลัก รีบไปดูเร็ว ข้าเพิ่งไปแอบดูมาแวบหนึ่ง คนที่ศิษย์พี่ใหญ่พากลับมานั้นเหมือนกับเป็น…”

    เจาหยวนเงี่ยหูฟังอย่างประหลาดใจยิ่งยวด จึงเสริมความกล้าหาญขึ้นด้วยการแปลงกายเป็นมนุษย์ ออกจากประตูห้องไปยืนอยู่ด้านหลังของเหล่าศิษย์น้องของเล่อเยวี่ยอย่างเงียบเชียบ และตามไปถึงด้านนอกตำหนักหลัก ก่อนเข้าใกล้ธรณีประตูอย่างระมัดระวังยิ่ง

    เล่อเยวี่ยกับคนที่มันไม่รู้จักผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่กลางตำหนักหลัก อาจารย์เจ้าสำนักของเล่อเยวี่ยและเหล่าอาจารย์อานั่งอยู่บนที่นั่งสูงส่ง สีหน้าเคร่งเครียด

    เล่อเยวี่ยเอ่ยเสียงดัง “อาจารย์ คุณชายผู้นี้อยากเข้าร่วมสำนักชิงซานของพวกเราด้วยความจริงใจ หวังว่าอาจารย์จะช่วยให้สมหวัง!”

    อาจารย์เจ้าสำนักของเล่อเยวี่ยมิเปล่งวาจาสักคำ ซงซุ่ยจื่ออาจารย์อาใหญ่จึงเป็นฝ่ายมุ่นคิ้วเอ่ย “มิได้ มิได้อย่างเด็ดขาด!”

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “อาจารย์เจ้าสำนัก อาจารย์อา ศิษย์ไม่เข้าใจ ไยจึงมิได้”

    ผู้ที่อยู่ข้างกายเล่อเยวี่ยกล่าวเสียงดัง “ใช่แล้ว ข้าเข้าร่วมสำนักชิงซานอย่างสุจริตใจ ขอถามท่านนักพรตทั้งหลายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ยอมรับข้า”

    ในตำหนักเงียบสนิท

    ครู่หนึ่งซงซุ่ยจื่อจึงได้เอ่ยขึ้น “แม่นาง ร้อยปีที่ผ่านมานับตั้งแต่พวกเราก่อตั้งสำนักชิงซาน ตลอดมาได้ถือศีลอย่างเคร่งครัด บรรลุหยางบริสุทธิ์ ไม่เคยรับศิษย์หญิง”

    เหล่าลูกศิษย์ที่มองดูบรรยากาศครึกครื้นอยู่นอกประตูพลันส่งเสียงดังเกรียวกราว

    “เด็กสาวล่ะ”

    “ที่แท้เป็นเด็กสาวจริงๆ”

    “ข้ายังคิดเลยว่าข้ามองผิดไป เป็นเด็กสาวจริงๆ ด้วย”

    เจาหยวนแอบใช้มือขยี้ตาอยู่ด้านหลัง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเด็กสาวชาวมนุษย์ ไม่รู้ว่านางรูปโฉมงดงามหรือไม่ เหมือนเช่นพี่สาวและน้องสาวในร่างมนุษย์หรือไม่

    เฮ่อจีจื่อกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง เล่อเยวี่ยหันกลับมองเขม็งเหล่าศิษย์น้องแวบหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นเจาหยวนที่หลบอยู่ด้านหลังสุด จึงขยิบตาขวาพลางส่งยิ้ม

    เจาหยวนเองก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน เด็กสาวชาวมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างกายเล่อเยวี่ยผู้นั้นพลันหมุนกายหันมาทางมันก่อนกวาดสายตามองแวบหนึ่ง

    เจาหยวนตระหนก เด็กสาวชาวมนุษย์ผู้นี้รูปโฉมงดงามยิ่ง เพียงแต่ด้อยกว่าพี่สาวเล็กน้อย ทว่าสายตาที่นางมองตนนั้นกลับดูเย็นเยียบบางส่วน ราวกับแฝงด้วย…จิตไม่เป็นมิตร

    ขณะที่เจาหยวนใคร่มองดูอย่างถี่ถ้วนนั้น เล่อเยวี่ยและเด็กสาวผู้นั้นก็ล้วนหันกลับไปแล้ว

    เล่อเยวี่ยยิ้มขอร้อง “อาจารย์ เมื่อแปดร้อยปีก่อนสำนักชิงเสวียนก็ได้รับศิษย์หญิงแล้ว บัดนี้สถานการณ์คับขัน ปล่อยวางระเบียบเดิมชั่วคราวได้หรือไม่”

    ซงซุ่ยจื่อเลิกคิ้วพลางตะโกนทันใด “เหลวไหล ระเบียบของสำนักนั้นบูรพาจารย์เป็นผู้กำหนดด้วยตนเอง จะบุ่มบ่ามเปลี่ยนแปลงเองอย่างนั้นรึ!”

    เล่อเยวี่ยยังคิดอยากอภิปรายต่อ หลินชิ่งที่อยู่ข้างกายเขาพลันหัวเราะก่อนเอ่ย “ฟ้าดินและเต๋านั้นไร้แง่ไร้เหลี่ยมกว้างใหญ่ไพศาล นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักชิงซานที่ฝึกฝนเต๋าจะจิตใจคับแคบจนไม่ยอมรับศิษย์หญิงผู้หนึ่งเลยหรือ”

    สีหน้าของเหล่าอาจารย์อาพลันเปลี่ยนไป เฮ่อจีจื่อสะบัดแส้ปัดเบาๆ พลางเอ่ย “คำพูดของแม่นางนับว่ามีเหตุผล เรารู้ตัวผยอง เอาเช่นนี้เถิด เล่อฉิน เล่อฉู่ เล่อฉี พวกเจ้าพาแม่นางผู้นี้ไปพักผ่อนยังห้องรับแขก ส่วนคนที่เหลือก็ออกไปก่อน เล่อเยวี่ย เจ้าอยู่ต่อสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

    เหล่าศิษย์น้องของเล่อเยวี่ยล้วนขานรับ เล่อฉิน เล่อฉู่ และเล่อฉีพาหลินชิ่งออกจากตำหนักหลักไปพักผ่อนยังห้องรับแขก ศิษย์คนที่เหลือต่างกระจัดกระจายตัวออกไป

    เจาหยวนเดินตามหลังทุกคนไป ขณะอยู่ในลานหมุนกายหนึ่งรอบ หมายกลับไปยังห้องนอนอีกครั้ง ทันใดนั้นด้านหลังได้มีเสียงหนึ่งร้องเรียก “นี่ เจ้าที่อยู่ด้านหน้านั่นน่ะ หยุดก่อน”

    เจาหยวนหันกลับไปอย่างประหลาดใจ พบเด็กสาวที่เล่อเยวี่ยพากลับมาผู้นั้นยืนอยู่ไม่ไกล ท่าทางดูไม่เป็นมิตรนัก มันกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ

    เด็กสาวหันไปส่งยิ้มอันสดใสให้เล่อฉินทีหนึ่ง “ข้ากับคุณชายผู้นี้ดูเหมือนว่าจะรู้จักกัน มีหลายประโยคที่อยากพูดกับเขาเพียงลำพัง ศิษย์พี่ช่วยเปิดทาง พาพวกเราไปยังสถานที่อันเงียบสงบได้หรือไม่”

    เล่อฉินถูกเรียกว่าศิษย์พี่ด้วยเสียงอ่อนหวานเสียจนกระดูกล้วนอ่อนปวกเปียกแล้ว จึงผงกศีรษะในทันที “ได้สิ”

    เจาหยวนเดินตามเด็กสาวและเล่อฉินไปยังที่รกร้างลับตาคนด้านหลังสวนอย่างเคลือบแคลง เล่อฉินจากไป เหลือเพียงเจาหยวนและเด็กสาวผู้นั้นหันหน้าเข้าหากันสองต่อสอง

    เจาหยวนกล่าวอย่างลังเลใจ “ข้า…ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักเจ้า…” มันมายังโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยติดต่อไปมาหาสู่กับเด็กสาวชาวมนุษย์

    เด็กสาวเชิดคางขึ้น แสงอันเยือกเย็นในดวงตาเปล่งออกมา “ถูกต้อง มิผิด ข้ากับเจ้าไม่รู้จักกันอย่างแท้จริง ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะอยากเตือนเจ้า เล่อเยวี่ยคือคนที่ข้าพอใจ เจ้าอย่าได้คิดที่จะแย่งเขากับข้า!”

    เจาหยวนหยุดชะงัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่หญิง ข้าเป็นบุรุษ”

    เด็กสาวเองก็หยุดชะงักเช่นกัน จากนั้นขึงตา “ผู้ใดเป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้ากัน! แน่นอนว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นตัวผู้!”

    นางกวาดสายตามองเจาหยวนขึ้นลง “เจ้าคงมองไม่ออกว่าข้าคือผู้ใดสินะ เผ่ามังกรช่างอ่อนด้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ มิน่าถึงสู้ใครเขามิได้”

    เจาหยวนตะลึงงัน ทั้งฉงนและสับสน ‘หญิงสาวชาวมนุษย์’ ตรงหน้าถกแขนเสื้อขึ้น บนแขนมีแสงอันโชติช่วงลอยขึ้นมาอย่างเลือนราง “เจ้ามังกรโง่ตัวนี้ มองดูให้ดีว่าข้าคือผู้ใด!”

    เจาหยวนมองลวดลายที่ลอยขึ้นมาบนแขนของนาง มือสั่นเทาเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าคือ…”

    หลินชิ่งยิ้มเล็กน้อย “มิผิด ข้าคือ…”

     

     

    (ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม วาสนาจักรพรรดิมังกร 1)

     

     

     

    * ลักไก่ขโมยสุนัข เป็นสำนวน หมายถึงการลักเล็กขโมยน้อย หรือกระทำเรื่องผิดศีลธรรม

    * ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 12.59 น.

    * ระบบการสอบขุนนางในสมัยโบราณของจีน (เคอจวี่) จัดสอบเป็นรอบเลื่อนขึ้นทีละขั้น รอบแรกเป็นระดับท้องถิ่น (อำเภอหรือจังหวัด) เรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบรอบต่อไปในระดับภูมิภาค (เขตหรือมณฑล) เรียกการสอบเซียงซื่อ หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน แล้วจึงสามารถเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ และจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามลำดับคะแนนจากมากที่สุด ได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา

    * หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 หลี่ เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

    * หลี่ หมายถึงต้นไม้ตระกูลพลัมหรือลูกไหน

    ** ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต

    *** อิ๋งชุน หรืออิ๋งชุนฮวา (Jasminum nudiflorum) แปลตรงตัวว่าดอกไม้รับวสันต์ ดอกเป็นสีเหลืองผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook