• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน วิหคชาดพิฆาตกล ภาค 1 พายุเพลิงผลาญ บทที่ 6-7

     

    บทที่ 6

    ลักขื่อเปลี่ยนเสา

     

    วันต่อมา สำนักศึกษาหยางหมิง

    แสงแดดเจิดจ้า ต้นไผ่สีเขียวพลิ้วโบกตามสายลม เป็นทิวทัศน์ฤดูร้อนที่งดงาม

    สำนักศึกษาหยางหมิงในเมืองหนานจิงสร้างขึ้นในรัชศกหงอู่ปีที่สาม แม้จะโด่งดังไม่เท่าเหมาซาน หมิงเต้า หนานเซวียน เจียงตง และสำนักศึกษาอื่นๆ แต่กลับมีเรื่องเล่าแปลกประหลาดอยู่

    ว่ากันว่าหลังจากจูหยวนจางบุกยึดหนานจิง ได้ออกคำสั่งให้พวกหลิวป๋อเวินสร้างวังใหม่ทางทิศตะวันออกของเมืองเก่า ขยายเมืองหลวงแห่งราชวงศ์หมิงออกไป ทุกคนต่างรู้ว่าการสร้างวังหลวงมีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดเรื่องหนึ่ง นั่นคือการตรวจสอบตำแหน่งของเส้นปราณมังกร กำหนดจุดรวมชีพจรให้แน่ชัด เพื่อขยายพลังปราณของราชวงศ์ออกไป ผู้คนไม่เคยเห็นเส้นปราณมังกรมักคิดว่านี่เป็นเรื่องอัศจรรย์เกินไป ความจริงแล้วในสายตาของผู้มีวิชา เส้นปราณมังกรที่ว่าก็แค่ช่องทางหนึ่งหรือหลายช่องทางที่สายลม สายน้ำ พลัง และโชคลาภเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคเท่านั้น เมืองหลวงทั้งหมดเป็นเหมือนค่ายกลขนาดใหญ่ การเลือกจุดรวมชีพจรมังกรก็เหมือนการหาใจกลางของค่ายกลแห่งนี้ พูดในแง่ของหลักภูมิลักษณ์ สถานที่เหล่านี้จะเก็บลมรวมพลังทำให้หยินหยางและห้าธาตุสงบได้ หากรุกก็เปลี่ยนแปลงเส้นทางโคจรของค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว หากถอยก็รับรองได้ว่าพื้นฐานของค่ายกลจะไม่ถูกทำลาย ขอเพียงป้องกันรักษาไว้ให้ดี รับรองว่าไอมังกรย่อมต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

    การหาใจกลางค่ายกลนี้แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ศาสตร์ภูมิลักษณ์ที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ สังเกตภูมิประเทศของภูเขา สำรวจสายน้ำ มองการโคจรของดวงดาว กระจ่างแจ้งในปรากฏการณ์ทางท้องฟ้า แต่วิธีการนี้ทำได้เพียงกำหนดบริเวณคร่าวๆ เท่านั้น เหมือนการคำนวณหยาบๆ อย่างหนึ่ง คำนวณระยะโดยประมาณได้ ส่วนตำแหน่งที่แม่นยำตำแหน่งสุดท้ายอยู่ที่ใดยังคงต้องใช้ศาสตร์ลับอีกอย่างที่ไม่เป็นที่รู้จัก นั่นคือวิชาแต้มตา

    ทุกคนต่างรู้จักศาสตร์ภูมิลักษณ์ แต่น้อยคนที่จะรู้จักการแต้มตา

    พึงรู้ว่าการหาจุดชีพจรของมังกรอยู่ตรงนี้เอง สิ่งนี้เหมือนการวาดมังกรแต้มตา ขาดเพียงจุดสุดท้าย มังกรก็จะผงาดฟื้นคืนชีพได้ เพียงแต่วิชาแต้มตานี้หาใช่วิธีการคำนวณเพียงเท่านั้น แต่ต้องนำหยินหยางและห้าธาตุมาใช้อย่างละเอียด ต้องใช้เครื่องมือบางอย่างที่พิเศษมาก หากมิใช่ผู้ที่มีประสบการณ์มากย่อมมิอาจทำได้

    หลิวป๋อเวินอาศัยลักษณะ รูปร่าง และไอพลังของภูมิลักษณ์กำหนดหกจุดชีพจรของเมืองหลวง ตั้งชื่อว่าเส้นปราณทั้งหก หนึ่งในนั้นอยู่ในสำนักศึกษาหยางหมิง ในอดีตสถานที่แห่งนี้ยังไม่ได้สร้างเป็นสำนักศึกษา เป็นเพียงภูเขาหินเท่านั้น กันดารอย่างยิ่ง หลิวป๋อเวินกำหนดพื้นที่คร่าวๆ แล้ว สั่งให้คนขนย้ายก้อนหินออกไป ปรับพื้นให้เรียบ จากนั้นหว่านเมล็ดหญ้าอย่างหนาแน่น เมล็ดหญ้าชนิดนี้มีชื่อว่าหญ้ากลับหยินคืนหยาง หาใช่หญ้าธรรมดาทั่วไป จะขึ้นในพื้นที่หยางเท่านั้น แต่กลับสกัดออกมาด้วยวิธีหยิน เป็นเมล็ดพันธุ์ครึ่งเป็นครึ่งตาย หากเจอแหล่งที่ไอหยินหยางมารวมตัวกันย่อมอาศัยไอดังกล่าวเจริญเติบโตได้ แบ่งเป็นสองสีคือสีเขียวเข้มกับสีเหลืองขนห่าน ใช้ของสิ่งนี้ในการสังเกตไอหยินหยาง

    หลังหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปแล้ว หลิวป๋อเวินสั่งให้คนเฝ้าสถานที่แห่งนี้ให้ดี ไม่ให้คนนอกเข้ามาอีก สิบวันให้หลัง เขามาสำรวจดูอีกครั้ง พื้นที่ราบแห่งนี้มีหน่ออ่อนของต้นหญ้าโผล่ขึ้นมาอย่างไม่สม่ำเสมอ สีเขียวขจี อ่อนนุ่ม ในบริเวณนั้นมีจุดหนึ่งที่หญ้าสีเขียวเจริญงอกงามที่สุดสูงชุ่น* กว่า สังเกตดูให้ดียังมองเห็นเป็นรูปร่างของปากว้าอย่างเลือนรางด้วย หลิวป๋อเวินตระหนักทันทีว่าที่แห่งนี้คือใจกลางค่ายกล เนื่องจากบริเวณนี้หญ้าเจริญงอกงามดี จึงตั้งชื่อที่แห่งนี้ว่าหยางหมิง กำหนดจุดนี้ให้เป็นชีพจรหยางหมิง

    หกจุดชีพจรหลักนี้เกี่ยวพันถึงแผ่นดินและเส้นปราณมังกรของราชวงศ์หมิง ย่อมต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด แต่จุดชีพจรพวกนี้กระจัดกระจายเกินไป หากตั้งใจส่งกำลังทหารไปเฝ้าดูย่อมเป็นการชี้โพรงให้กระรอก หลิวป๋อเวินจึงสร้างสิ่งก่อสร้างหกแห่งที่แตกต่างกันไปตรงหกจุดชีพจรนี้ การใช้งานแตกต่างกันไป มีอำนาจที่เกี่ยวข้องคอยคุ้มกันอยู่อย่างลับๆ สำนักศึกษาหยางหมิงซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งแรก ว่ากันว่าเสนาบดีกรมพิธีการชุยเลี่ยงเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ

    โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ราชวงศ์หมิงเริ่มจากรัชศกหงอู่จนถึงเจี้ยนเหวิน ก่อนจะมาถึงหย่งเล่อ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงสามสี่สิบปี แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปนับว่าเข้าสู่ยุคสันติแล้ว คำว่าเส้นปราณมังกรฟังดูห่างไกลเหมือนตำนานในสมัยโบราณ คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มี จริงๆ เท็จๆ สุดท้ายกลายเป็นเรื่องเล่าหลังมื้ออาหารและน้ำชาไป ทว่าสำนักศึกษาหยางหมิงแห่งนี้ตั้งแต่จูตี้ขึ้นครองราชย์มาก็ไม่เคยรับบัณฑิตและไม่เปิดให้คนนอกเข้าไปอีกเลย แต่ถูกเปลี่ยนเป็นสนามสอบของกองพลทหารรักษาพระองค์กองกำลังต่างๆ และขุนนางในราชสำนัก แน่นอน ลานด้านหลังของสำนักศึกษาหยางหมิงมีพื้นที่หวงห้ามที่ถูกปิดอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เพียงแต่ตรงนั้นจะใช่จุดชีพจรมังกรหรือไม่ ย่อมมิอาจรู้ได้

    ตอนนี้ภายในสำนักศึกษาหยางหมิง ใต้ระเบียงวนที่หลังคากระเบื้องเป็นสีดำเสาเป็นสีแดง โต๊ะยาวสีแดงเข้มตัวแล้วตัวเล่าถูกตั้งเป็นแถวๆ พู่กันหมึกกระดาษและแท่นฝนบนโต๊ะถูกวางไว้ด้านซ้ายอย่างเป็นระเบียบ ดูเรียบร้อยไปหมด กลิ่นหอมของหมึกอบอวลไปทั่ว

    ผู้เข้าสอบหกสิบกว่าคนที่ผ่านการทดสอบร่างกายในรอบแรกอย่างราบรื่นจึงจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าสอบข้อเขียนในรอบนี้

    ฉินหมิงกับไป๋ฉีเข้าไปในสำนักศึกษาหยางหมิงเป็นคนแรกๆ เดิมทีสองคนคิดจะเลือกโต๊ะใกล้ๆ กันเพื่อให้ลอกข้อสอบได้สะดวก แต่คิดไม่ถึงว่าที่นั่งจะถูกสลับ แผนการนี้ล้มเหลว

    เดิมทีกล่าวได้ว่าฉินหมิงไม่มีความคิดใดๆ เกี่ยวกับอาชีพองครักษ์จินอู๋เลย แต่หลังผ่านการทดสอบเมื่อวานเขาก็เริ่มสนใจตำแหน่งนี้เป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรองครักษ์จินอู๋ก็ได้รับเบี้ยหวัดห้าตั้น* ทุกเดือน รายได้มั่นคง ออกไปไหนมีหน้ามีตา โดยเฉพาะสถานที่ที่เปิดยามค่ำคืนอย่างบ่อนพนัน หอโคมเขียว หอสุรา ที่ใดบ้างที่ไม่ให้หน้าองครักษ์จินอู๋สามส่วน เรื่องดีเช่นนี้จะไปหาที่ใดได้อีก

    เพียงแต่การสอบข้อเขียนตรงหน้าดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่

    ไป๋ฉีกับตนอยู่ห่างกันแทบจะตรงกันข้าม ตรงกลางมีห้าหกที่นั่งขวางอยู่ ระยะห่างไกลเช่นนี้ ต่อให้ตนสายตาดีเพียงใดก็มองเห็นไม่ชัด!

    ผู้เข้าสอบนั่งประจำที่ ผู้คุมสอบแจกข้อสอบ แต่ที่ได้กลับเป็นกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง บนนั้นไม่มีหัวข้ออันใดเลย ไม่รู้ว่าจะสอบเรื่องใด

    ผู้เข้าสอบทั้งหลายมองหน้ากัน ต่างประหลาดใจเล็กน้อย

    ไม่นานผู้คุมสอบก็มายืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งกลางระเบียงวน ตำแหน่งนี้ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน เขาหยิบกระดาษหลายแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ บนนั้นเป็นภาพประหลาดสีสันฉูดฉาด “นี่คือหัวข้อแรก ผู้เข้าสอบทุกคนดูให้ดี!”

    พูดจบผู้คุมสอบก็สะบัดกระดาษ กระดาษหลากสีพลันลุกไหม้ขึ้นเอง ประกายไฟพุ่งออกมา จากสีแดงเลือดกลายเป็นสีเหลืองส้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวฟ้า หลังจากนั้นยังมีสีม่วงคราม สีเหลืองสว่างปรากฏตามมา สีสันหลากหลายเจิดจรัส

    ผู้เข้าสอบแต่ละคนกำลังจะอุทาน ผู้คุมสอบพลันตบฝ่ามือเข้าด้วยกันและเอ่ยว่า “ข้อนี้ขอให้ผู้เข้าสอบดูสีของเปลวไฟ แล้วเขียนประเภทของแร่ที่ทำให้เกิดสีเหล่านี้ลงบนกระดาษ”

    สิ้นเสียงเขา ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ถ้าให้มองเปลวไฟแล้วแยกแยะสิ่งที่ถูกเผาก็ไม่นับว่ายาก ขอเพียงเป็นองครักษ์จินอู๋ที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่ล้วนแยกแยะได้ แต่ผงแร่บนกระดาษแผ่นนี้มีปริมาณน้อย แร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่ฟันม้า ชาด กำมะถัน แร่ห้าชนิดถูกเผาพร้อมกับกระดาษ เปลวไฟผสมปนเปกัน เผาไหม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เช่นนี้ย่อมยากจะแยกแยะ

    นี่เรียกว่าดวงตาแยกแยะเพลิงทั้งห้า

    หลังจากนั้นผู้คุมสอบได้บอกโจทย์ข้อที่สอง เป็นหัวข้อปิดตาฟังเสียงแยกแยะทิศทาง ผู้คุมสอบเอ่ยว่า “องครักษ์จินอู๋ต้องอยู่ในที่มืดไร้แสงอยู่บ่อยครั้ง หากดวงตามิอาจแยกแยะทิศทางได้ ย่อมต้องใช้สองหูกำหนดตำแหน่ง หัวข้อนี้วัดความสามารถการได้ยินของผู้เข้าสอบทุกท่าน คนที่หูไม่ไวย่อมต้องถูกคัดออก”

    หลังจากปิดตาทุกคนแล้ว ผู้คุมสอบให้คนห้าสิบกว่าคนเข้ามาเดินวนในสนามสอบไม่หยุด สุดท้ายถอยออกไปทางประตูทั้งแปด ผู้เข้าสอบต้องฟังเสียงฝีเท้าและแยกแยะจำนวนคน ตลอดจนตำแหน่งที่ถอยออกไปอย่างแม่นยำ

    นี่เรียกว่าหูแยกแยะเสียงทั้งแปดทิศ

    ข้อที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายต้าหมิงกรณีไฟไหม้ วางเพลิง เจอเพลิงไหม้แล้วไม่ช่วยสมควรลงโทษอย่างไร ข้อนี้เป็นการวัดความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าสอบที่มีต่อตัวบทกฎหมาย มีความจำเป็นมากเช่นกัน

    สุดท้ายยังมีกลยุทธ์เกี่ยวกับการปกป้องดูแลบ้านเมืองให้สงบ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว

    ในสี่ข้อนี้ ข้อหนึ่งกับข้อสองยังพอเดาได้ แต่อีกสองข้อสำหรับฉินหมิงแล้วยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์! เขาร้อนใจจนเกาหัวเกาหู ตาทั้งสองกลอกมองไปรอบด้าน คิดไม่ถึงว่าไม้ลงทัณฑ์ของผู้คุมสอบจะตีลงมาพร้อมตวาดเสียงดังกังวาน “ห้ามมองซ้ายมองขวา! ห้ามกระซิบกระซาบกัน! หากพบว่าลอกข้อสอบ จะไล่ออกจากสนามสอบทั้งหมด!”

    พูดจบผู้คุมสอบผู้นั้นยังจงใจยืนอยู่ข้างหลังเขา ความรู้สึกนี้ช่างทรมานเหมือนมีหนามปักอยู่ข้างหลัง

    ในใจฉินหมิงด่าโคตรเหง้าของผู้คุมสอบไปสิบแปดชั่วโคตรแล้ว เขาฉวยโอกาสแอบมองอีกครั้ง ยังคงไม่เป็นผล สี่ด้านแปดทิศล้วนอยู่ห่างไกลเกินไป เขาทำเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง ก่อนจะห่อเหี่ยวเหมือนลูกหนังที่ถูกปล่อยลม ฟุบอยู่บนข้อสอบ ได้แต่เฝ้ามองไป๋ฉีก้มหน้าตวัดพู่กันอย่างรวดเร็วตาปริบๆ ความสิ้นหวังผุดขึ้นในใจ

    “เกรงว่าไป๋ฉีคงไม่มีเวลามาสนใจข้าแล้ว เห็นทีข้าฉินหมิงคงไม่มีวาสนา…ทำอย่างไรดีนะ”

    เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งและมองดูรอบด้านอีกครั้ง พบว่ารอบๆ มีคนที่เป็นเช่นเขามากมาย คนพวกนี้บ้างก็ทำตาหลุกหลิก มองปราดเดียวก็ดูออกว่ากำลังทุจริต บ้างก็เหม่อลอย นั่งนิ่งแข็งทื่อเหมือนคนโง่งม บ้างก็ล้มเลิกความพยายาม ตวัดพู่กันส่งเดช ผลงานเทียบชั้นได้กับจางซวี่และไหวซู่* บนกระดาษที่มีพื้นที่ไม่มาก อักษรเฉ่าซูยืดยาวต่อเนื่องสะท้อนความโมโหไม่สิ้นสุด ยังมีบางคนที่ร่างกายไม่สบาย ตัดสินใจฟุบหลับบนโต๊ะ สอดคล้องกับวลีที่ว่า ‘ฟ้าสูงดินกว้างให้นกบิน วสันต์อุ่นคิมหันต์ร้อนเหมาะนิทรา’

    ผู้เข้าสอบแต่ละคนมีท่าทีแตกต่างกันไป ด้วยความจนใจฉินหมิงได้แต่จ้องไป๋ฉีเขม็ง หวังว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงสายตาร้อนแรงที่ตนส่งไป แต่มองไปมองมาเขาก็พบความแปลกประหลาด ร่างกายพลันเหยียดตรงทันใด

    ไป๋ฉีผู้นี้ดูเหมือนกำลังตวัดพู่กันเขียนหนังสืออย่างรวดเร็ว แต่ท่วงท่ากลับประหลาดเล็กน้อย เริ่มจากสองมือวางทาบกับกระดาษข้อสอบด้วยท่าทางแปลกๆ ดูเหมือนระมัดระวังมาก หลังจากนั้นเหมือนกำลังพับกระดาษข้อสอบ ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังทำอันใดกันแน่

    ฉินหมิงมองดูอีกพักหนึ่ง พบว่าไป๋ฉีไม่ได้ทำข้อสอบเลย เพียงแต่ไม่รู้กำลังทำสิ่งใดอยู่ กำลังเตรียมตัวช่วยตนหรือไม่

    ฮ่า! ฉินหมิงเหมือนมองเห็นแสงแห่งความหวัง กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด!

    ในที่สุดไป๋ฉีก็เคลื่อนไหวแล้ว เขายกมือขึ้นช้าๆ พูดเสียงเบาหวิว “ใต้เท้า ข้าปวดท้อง…ข้า…อยากเข้าห้องน้ำ”

    กึก…ฉินหมิงเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้

    สนามสอบเกิดเสียงหัวเราะครืน ผู้คุมสอบตีไม้ลงทัณฑ์อย่างเย็นชา ตวาดว่า “อยู่ในความสงบ! อยู่ในความสงบ! ก่อนสอบบอกกฎกติกาไปแล้วมิใช่หรือ ระหว่างการสอบห้ามลุกจากโต๊ะ!”

    “แต่ข้า…กลั้นไม่อยู่แล้ว!”

    “อดทนไว้! อีกไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็หมดเวลาสอบแล้ว”

    “ใต้เท้า ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าใต้หล้านี้มีสามสิ่งที่มิอาจทนได้ หนึ่งคือความแค้นที่บิดาถูกสังหาร ไม่ขออยู่ร่วมโลกกับศัตรู สองคือสตรีจะคลอดบุตร มิอาจสกัดไว้ได้ สามคือปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ต่อให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าก็กลั้นไม่อยู่…”

    สนามสอบเกิดเสียงหัวเราะอีกระลอก บรรยากาศเคร่งขรึมในการสอบหายไปสิ้น

    ผู้คุมสอบมีสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้ ส่งข้อสอบก่อนเวลาแล้วกัน”

    ไป๋ฉีส่งเสียงอ้อ พูดอย่างห่อเหี่ยว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอดทนอีกหน่อยแล้วกัน” เขาเงยหน้ามองฉินหมิงที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาของไป๋ฉีเหมือนกวางที่เฉลียวฉลาด เปล่งประกายใสกระจ่าง กลอกไปมาเหมือนแทนคำพูดได้อย่างไรอย่างนั้น เขากลอกตาไปมาหลายครั้ง ฉินหมิงพลันเข้าใจสิ่งที่เขาจะพูด

    ไป๋ฉีต้องการให้ออกไปก่อน!

    ฉินหมิงไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงอ่านความคิดของไป๋ฉีได้เร็วเช่นนี้ ทั้งที่เป็นเพียงแววตาเท่านั้น แต่เขากลับมั่นใจมาก ไป๋ฉีต้องการให้เขารีบออกไป ส่วนเขาไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อว่าไป๋ฉีต้องมีกลวิธีช่วยให้เขาผ่านด่านนี้ไปได้แน่ บางทีนี่คงเป็นความรู้ใจของเด็กหนุ่มทั้งสองคน

    ฉินหมิงลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าทำเสร็จแล้ว!”

    ผู้คุมสอบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นกระดาษข้อสอบว่างเปล่าจึงยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เจ้าเปิดเผยเด็ดขาดทีเดียว คว่ำกระดาษไว้บนโต๊ะแล้วออกไปได้”

    ฉินหมิงคว่ำกระดาษ หันหลังเดินออกจากประตูใหญ่ของสำนักศึกษาหยางหมิง พลันรู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว

    เขาคิดในใจ การสอบบัดซบอันใด สนามสอบนี้น่าโมโหยิ่งกว่าสนามประลองยุทธ์ชี้เป็นชี้ตายเสียอีก ชั่วชีวิตนี้บิดา* ไม่คิดจะมาเยือนสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว การเล่าเรียนทำให้ทะลุปรุโปร่งหมื่นตำราอันใดกัน การเล่าเรียนทำให้สมองพรุนน่ะสิไม่ว่า เขาออกจากประตูใหญ่และเห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้นไป รอบด้านแดดร้อนมาก จึงหาม้านั่งหินใต้ต้นไหวเก่าแก่ต้นหนึ่งและนั่งไขว่ห้างรอ เป็นเช่นที่คิด ไม่ถึงหนึ่งเค่อ* ให้หลังไป๋ฉีส่งข้อสอบและออกมา

    เพียงแต่สีหน้าดูหนักอึ้งและกลัดกลุ้มเล็กน้อย

    ฉินหมิงเห็นไป๋ฉีออกมาก็เดินเข้าไปหาพลางยิ้มพูด “เจ้าว่าข้าฉลาดหรือไม่ แค่เห็นแววตาเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดอันใดอยู่ เจ้าต้องการให้ข้ารีบส่งข้อสอบแล้วออกมา ใช่หรือไม่”

    ฉินหมิงท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง

    ไป๋ฉีไม่เงยหน้าและหลุบตาตอบว่า “ความจริง…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงรีบออกไปก่อน…”

    “หา…” ฉินหมิงรู้สึกเหมือนมีแสงขาวโพลนวาบขึ้นในหัว ปากอ้าค้าง “เจ้า…หมายความว่าอันใด เห็นชัดว่าสายตาของเจ้า…”

    ไป๋ฉีพูดด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง “ความหมายของข้าคือให้เจ้าดูการเคลื่อนไหวนิ้วมือของข้าแล้วทำข้อสอบ หลังจากนั้นข้าก็เห็นเจ้าก้าวฉับๆ ออกไป ไฉนเจ้าจึงใจร้อนถึงเพียงนี้…เจ้าคงไม่ได้ส่งกระดาษเปล่ากระมัง”

    ฉินหมิงหน้าซีดเผือดทันใด เขานั่งลงบนพื้นพลางร้องว่า “แย่แล้ว! แม้แต่ชื่อข้ายังไม่ได้เขียนลงไปด้วยซ้ำ อย่างนั้นข้าก็หมดสิทธิ์สอบรอบต่อไปแล้วสิ”

    ไป๋ฉีถอนหายใจ “แม้แต่ชื่อยังไม่เขียน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

    นั่นสิ แม้แต่ชื่อยังไม่ได้เขียน ต่อให้เป็นเทวดาก็คงช่วยตนไม่ได้ ฉินหมิงพลันรู้สึกว่าไฉนตนจึงโง่งมเช่นนี้ ไฉนจึงวู่วามเช่นนี้ เมื่อครู่นี้สายตาที่ผู้คุมสอบมองตนเต็มไปด้วยแววเยาะหยันไม่สิ้นสุด! เพียงแต่อึดใจต่อมา เขาก็รู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้จงใจหลอกตนหรือไม่ ในเมื่อจะใช้นิ้วมือบอกใบ้คำตอบให้ตนแล้วเหตุใดไม่บอกแต่แรก เขายังอุตส่าห์คิดว่าบัณฑิตผู้นี้จะมีวิธีโกงข้อสอบที่ร้ายกาจอันใด สุดท้ายกลับมาทำไขสือกับเขา

    ฉินหมิงยิ่งคิดยิ่งโมโห เข้าคว้าคอเสื้อไป๋ฉี “เรื่องนี้…เรื่องนี้ล้วนต้องโทษเจ้า! ใครจะไปดูออกว่าสายตาของเจ้าหมายความว่าอย่างไร! เจ้าบอกว่าเจ้ามีหนทาง แล้วเมื่อวานเหตุใดไม่บอกข้าให้ชัดเจน ตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ เมื่อวานข้าอุตส่าห์ช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่!”

    ไป๋ฉีถูกคว้าคอเสื้อจนเจ็บเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าลืมว่าพวกเราแค่ตกลงการค้ากันเท่านั้น เจ้ารับเงินข้าไปแล้วก็ต้องช่วยให้ข้าผ่านด่าน เรื่องการสอบข้อเขียนข้าแค่บอกว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่านั้น ไม่ได้ให้สัญญาอื่นใดกับเจ้า ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”

    “เจ้า…กล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้รึ!” ฉินหมิงพูดไม่ออกชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าไป๋ฉีจะพูดเช่นนี้ แต่คิดดูอีกทีไป๋ฉีไม่ได้พูดผิด พวกเขาสองคนเดิมทีความสัมพันธ์เป็นเรื่องเงินทองอยู่แล้ว คนหนึ่งออกเงินคนหนึ่งออกแรงเท่านั้น คนโง่คือเขาฉินหมิงที่คิดว่าจะได้รับคัดเลือกเป็นองครักษ์จินอู๋ ซ้ำยังคิดว่าจะคบหาบัณฑิตผู้นี้เป็นสหาย ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก! บัดนี้ย้อนคิดดูแล้ว ใช่แค่ควรตบหน้าตัวเองที่ไหน ควรถูกลากออกไปประจานเลยต่างหาก!

    “ดี! นับว่าเจ้าร้ายกาจ เงินเหม็นๆ ของเจ้าข้าไม่เอาแล้ว ข้าคืนให้!” ฉินหมิงเขวี้ยงเงินคืนไป๋ฉีก่อนจะสะบัดหน้าจากไป ไป๋ฉีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่คนผู้นี้เหมือนวัวดื้อตัวหนึ่ง เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมหันกลับมา ไม่นานก็หายลับไปตรงสุดปลายถนนเหอฟาง

     

    นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

    ฉินหมิงโมโหจนนอนไม่หลับเลยจริงๆ

    เขาพลิกตัวไปมาเหมือนเล่าปิ่ง* พอคิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เหมือนลิงถูกไฟลน กินก็กินไม่อร่อย นอนก็นอนไม่หลับ ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ!

    ท่านย่าเคาะประตูอยู่ข้างนอกเรียกไปกินข้าว ฉินหมิงคลุมโปงบอกว่าไม่กิน ผ่านไปครู่หนึ่งท่านย่ามาถามว่าการสอบเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง ไฉนวันนี้จึงไม่ออกไป ฉินหมิงยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิดตัดสินใจเอาผ้าคลุมโปงแกล้งหลับ

    “องครักษ์จินอู๋? หมูเท่านั้นล่ะที่จะไปเป็นองครักษ์จินอู๋ มีทั้งน้ำมีทั้งไฟ อันตรายเช่นนี้ น้ำเข้าหัวข้าหรือว่ากินอึเข้าไปกันแน่ ถึงได้อยากเป็นนัก! เบี้ยหวัดเดือนละห้าตั้น ข้าไปหลอกคนรอบเดียวก็ได้มาแล้ว ยังต้องลำบากถึงเพียงนั้นด้วยหรือ” ฉินหมิงซุกหัวอยู่ในผ้าห่ม เท้ากลับเตะไปมาอยู่ข้างนอก เตะจนชิ้นส่วนหุ่นไม้กองหนึ่งล้มระเนระนาด จากนั้นเตะกล่องเครื่องมือจนคว่ำ ปกติของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ฉินหมิงรักมากที่สุด บัดนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือระบายโทสะ

    “นี่ เจ้าหาว่าใครเป็นหมู” เสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าต่าง

    ฉินหมิงเลิกผ้าห่มทันที พร้อมตวาดว่า “ใครน่ะ! มาเกาะหน้าต่างบ้านข้า!” เขาตั้งใจเพ่งมอง พบว่าไป๋ฉีปากยิ้มร่ากำลังเกาะหน้าต่างบ้านตนอยู่

    “อา…ขอบตาเจ้าดำคล้ำ ใบหน้าไร้ประกาย ซ้ำยังมีไออัปมงคลวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ เมื่อวานคงไปเล่นพนันมาสินะ แล้วยังแพ้ราบคาบ”

    ฉินหมิงพอเห็นไป๋ฉี โทสะพลันพุ่งขึ้นมาทันใด เขาตวาดกลับ “เกี่ยวอันใดกับเจ้า! เจ้าไปเป็นองครักษ์จินอู๋ของเจ้าเถอะ อย่ามากวนใจข้า!”

    ไป๋ฉีตอบ “แค่นี้ก็โมโหแล้ว อย่าลืมว่าเจ้ารับปากจะช่วยให้ข้าผ่านการทดสอบทั้งสามรอบ การทดสอบรอบที่สามยังไม่เริ่ม ข้าย่อมต้องมาหาเจ้า”

    ฉินหมิงถ่มน้ำลาย หันกลับไปตอบว่า “เงินคืนให้เจ้าไปแล้ว ข้อตกลงของเรายกเลิกไปนานแล้ว นี่คุณชาย ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว รีบไสหัวไปซะ!”

    ไป๋ฉีส่ายหน้า พูดเนิบช้าว่า “ข้อตกลงในตอนนี้หาใช่ข้อตกลงในตอนนั้น เจ้าจะคืนเงินข้าหรือไม่นั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า แต่เรื่องที่เจ้ารับปากข้าว่าจะช่วยให้ข้าผ่านการสอบทั้งสามรอบเป็นข้อตกลงระหว่างเรา เจ้าผิดสัญญาก่อนถือว่าไร้สัจจะ ฉินหมิง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนพาลที่พูดจาไร้สัจจะ ช่างเป็นความอัปยศของบุรุษชาวต้าหมิงโดยแท้!”

    ฉินหมิงฟังแล้วโทสะปะทุขึ้นทันที เขาพลิกตัวลุกจากเตียงพร้อมตวาดเสียงดัง “บัณฑิตน่ารังเกียจ เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าข้าไร้สัจจะ! เจ้าทำตัวหน้าไม่อายยิ่งกว่าข้าเสียอีก!”

    ไป๋ฉีส่งเสียง “อืม” พูดอย่างไม่รีบร้อน “ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่ยกเลิกข้อตกลง ข้ามีหลักฐานมีเหตุผล หาใช่คนไร้สัจจะ”

    ฉินหมิงโมโหจนอกแทบระเบิดเหมือนมีโทสะขุมหนึ่งที่ไร้ที่ระบาย รู้สึกว่าตัวเองหลอกลวงคนมาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกบัณฑิตคนหนึ่งปั่นหัวจนมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ เขาพูดอย่างขุ่นแค้น “ได้! ข้าจะเดินไปกับเจ้าให้ครบสามด่าน นับแต่นี้ไปเจ้าข้าไม่ติดค้างกัน! ข้าฉินหมิงตีให้ตายก็จะไม่ยอมร่วมมือกับเจ้าอีกแล้ว!”

    ไป๋ฉีหัวเราะเจ้าเล่ห์ “บุรุษเมื่อเอ่ยคำพูดออกมาแล้ว ม้าสี่ตัวยากจะตามทัน* เจ้าจะรักษาคำพูดของตัวเองหรือไม่”

    ฉินหมิงตะโกนเสียงดัง “คำพูดของข้าฉินหมิงต่อให้ม้าสิบแปดตัวก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง! ใครร่วมมือกับเจ้าจะต้องอับโชคไปแปดชั่วโคตรแน่!”

    ไป๋ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้ว…ถ้าเจ้าผ่านการสอบข้อเขียน เจ้ายังจะเต็มใจร่วมมือกับข้าหรือไม่”

    ฉินหมิงตะลึงงันไป คิดๆ ดูแล้วเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นิสัยโผงผางทำให้เขาโพล่งออกไปด้วยความโมโหทันที “เจ้ามาหลอกข้าอีกแล้วรึ เห็นข้าโง่ถึงเพียงนั้นหรือไร! ไป๋ฉี เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว!”

    ไป๋ฉีไม่พูดอันใดมาก เพียงโยนรายชื่อแผ่นหนึ่งให้ “เจ้าดูเอาเองเถอะ”

    รายชื่อนี้ใช้ชาดและหมึกสีดำวาดรูปวิหคชาดและมัจฉามังกร ด้านล่างประทับตราขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยม เป็นประกาศจากกองกำลังจินอู๋ บนนั้นมีรายชื่อยาวเป็นพืด ไป๋ฉีกับฉินหมิงสอบข้อเขียนได้เป็นที่หนึ่งกับที่สอง ชื่อของทั้งสองโดดเด่นเป็นพิเศษ ครั้งนี้จริงแท้แน่นอน

    “…” ฉินหมิงทำหน้าฉงน เขาขบคิดไปมา แต่คิดไม่ออกว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จึงพูดอย่างประหลาดใจ “เจ้า…เมื่อวานเจ้าใช้ลูกไม้ในสนามสอบหรือ”

    ไป๋ฉียิ้มตอบ “ใช่ กระดาษข้อสอบเมื่อวานทำจากกระดาษชื่อถิง กระดาษชนิดนี้แม้จะบางแต่กลับเหนียวมาก ข้าจึงดึงผมออกมาเส้นหนึ่งและแบ่งกระดาษจากหนึ่งเป็นสอง แผ่นหนึ่งข้าทำเอง อีกแผ่นหนึ่งลอกเลียนลายมือเจ้าและเขียนคำตอบลงไป ดังนั้นข้าจึงใช้สายตาบอกให้เจ้าออกไปก่อน ไหวพริบเจ้าไม่เลว อ่านสายตาข้าได้”

    ฉินหมิงพูดไม่ออก เขาพลันนึกถึงวันนั้นที่ไป๋ฉีให้เขาเขียนประวัติในใบสมัคร ความจริงการกรอกข้อมูลเป็นเหตุผลหนึ่ง การทำความคุ้นเคยกับลายมือเขาเป็นจุดประสงค์อีกอย่าง หลังอึ้งไปพักหนึ่ง ฉินหมิงจึงเอ่ยว่า “แต่ผู้คุมสอบสั่งให้ทุกคนวางกระดาษข้อสอบไว้บนโต๊ะของตัวเอง โต๊ะเจ้ามีข้อสอบสองชุดไม่กลัวจะเผยพิรุธหรือ”

    “เรื่องนี้จะยากอันใด” ไป๋ฉีสะบัดแขนเสื้อหนึ่งทีก็รวบหุ่นไม้ตัวเล็กบนขอบหน้าต่างเข้ามาได้ “ข้าพับข้อสอบของเจ้าและซ่อนไว้ในแขนเสื้อ สับเปลี่ยนกับกระดาษเปล่าบนโต๊ะเจ้าตอนเดินผ่านเหมือนอย่างตอนนี้”

    มือเขาไวมาก แขนเสื้อก็กว้าง สะบัดอีกทีหุ่นไม้พลันกลับไปอยู่บนขอบหน้าต่างเหมือนเดิม

    ไป๋ฉียิ้มพูด “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นผู้เปลื้องผ้า ผู้เปลื้องผ้าหากไม่รู้จักกลมายา จะแก้กลของผู้อื่นได้อย่างไร”

    “แสดงว่าเมื่อวานเจ้าแค่หลอกข้าเล่นสนุกๆ เท่านั้นสินะ!” ฉินหมิงยังคงพูดอย่างขุ่นขึ้ง เพียงแต่ขุ่นใจก็ส่วนขุ่นใจ โทสะในใจเขาหายไปกว่าครึ่งแล้ว

    ไป๋ฉีจงใจทำเช่นนี้หาใช่เพื่อความสนุก แต่เป็นการทดสอบฉินหมิงเป็นครั้งสุดท้าย การเข้าไปในกองกำลังจินอู๋ เขาต้องการใครสักคนมายืนอยู่ข้างๆ มาก ฉินหมิงตรงหน้าเกิดและเติบโตในตลาด มีกลิ่นอายความเป็นนักเลงมากเกินไป ไม่รู้ว่าเวลาคับขันนิสัยจะเป็นอย่างไร เขาจึงได้แต่ทดสอบอีกฝ่ายในช่วงเวลาได้เสียผลประโยชน์ จึงจะเข้าใจคนผู้นี้อย่างถ่องแท้ที่สุด

    สุดท้ายผลลัพธ์ชัดเจนอยู่แล้ว

    ไป๋ฉีเบิกบานใจ ยื่นมือออกไป “เอาอย่างไร จะไปหรือไม่ไป”

    ฉินหมิงดูเหมือนจะจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อครู่นี้ตนยังด่าทอไป๋ฉีกับกองกำลังจินอู๋อยู่ วาจาเมื่อเอ่ยออกไปแล้วย่อมไม่คืนคำอันใดนั่นก็ดูเหมือนจะลืมไปสิ้น เขาปรบมือหนึ่งที พูดอย่างตื่นเต้น “ไป! เหตุใดจะไม่ไปเล่า! แต่เจ้ารอเดี๋ยว จะต่อสู้ข้าต้องหยิบอาวุธลับไปสักหน่อย”

    ไป๋ฉีตอบ “การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มต้นแล้ว ข้าจะรออยู่หน้าประตู ทางที่ดีเจ้าเร็วหน่อยแล้วกัน” เขาพูดพลางลูบแหวนรูปงูแปลกประหลาดบนนิ้วมือข้างขวา โบกมือไปมาสองที ก่อนจะทิ้งตัวลงจากหน้าต่างอย่างแผ่วเบา

    การคัดเลือกองครักษ์จินอู๋รอบสุดท้ายและเป็นรอบที่สำคัญที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว


    บทที่ 7

    ลงสนามอย่างโดดเด่น

     

    สนามหงอู่ ผู้คนล้นหลาม

    บนพื้นหินสีดำตั้งสังเวียนสีแดงสดไว้ มีธงแดงเป็นทิวแถวล้อมรอบ เสาธงสูงเสียดฟ้าเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างร้อนแรง

    วันนี้เป็นวันทดสอบทักษะการต่อสู้ขององครักษ์จินอู๋ ผู้คนแทบจะครึ่งเมืองต่างวิ่งมามุงดู องครักษ์จินอู๋ตำแหน่งใหญ่หลายคนต่างมาชมการทดสอบ ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายเว่ยตงโหว รองผู้บัญชาการอวี้ฉือตุน หัวหน้ากองพันหน่วยรักษาเมืองเหวยเหยี่ยน หัวหน้ากองพันหน่วยกลไกหลิวไท่อัน หัวหน้ากองพันหน่วยระวังเพลิงเซวียเหรินเต๋อ หัวหน้ากองพันหน่วยซุ่มบาดาลหวงฝู่หานซาน อาจารย์ภูมิลักษณ์หน่วยหกลักษณ์หนานไหวอัน รวมถึงจิงอีเฟยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากจูตี้และเลื่อนขั้นเป็นนายกองร้อยก็มาด้วย

    จิงอีเฟยผู้นี้แม้จะเป็นเพียงนายกองร้อย แต่นางเป็นคนที่เว่ยตงโหวพาเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ด้วยตัวเอง อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นคนโปรดในราชสำนัก เหวยเหยี่ยนไปไหนย่อมต้องพานางไปด้วย

    คนเหล่านี้ทั้งหมดนั่งอยู่บนหอชุ่ยเฟิงด้านข้างสนามหงอู่ แต่ละคนสีหน้าผ่อนคลาย พูดคุยยิ้มแย้ม

    เว่ยตงโหวที่เป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสามมานั่งเป็นเกียรติในสนามด้วยตัวเอง มิอาจกล่าวว่างานนี้ไม่ใหญ่ เถ้าแก่หอชุ่ยเฟิงยกน้ำชาและอาหารอย่างดีออกมาให้ เกรงว่าจะปรนนิบัติตกหล่นบกพร่องไป

    ผลไม้ตากแห้งจากหยางโจว ขนมจากหังโจว ผลไม้แห้งจากดินแดนตะวันตก เกาลัดจากหมิ่นหนานและรากบัวเชื่อมจากซูโจวเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ยังมีชาทั้งร้อนเย็นสองกาวางอยู่ด้วย

    เว่ยตงโหวท้องไส้ไม่ดี แต่ไรมาดื่มแต่ชาร้อน ดื่มชาหลงจิ่งที่เก็บก่อนเทศกาลชิงหมิง* เขาถามถึงผลการสอบทั้งสามรอบ อวี้ฉือตุนที่รับผิดชอบเรื่องนี้รายงานอย่างละเอียด

    หัวหน้ากองพันหน่วยรักษาเมืองเหวยเหยี่ยนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายพลันหัวเราะและเอ่ยว่า “การทดสอบรอบนี้เรียกว่าการประลองยุทธ์ ความจริงแล้วก็แค่ดูว่าคนพวกนี้ฝีมือเป็นอย่างไร ยังต้องรบกวนใต้เท้าเว่ยมาชมการทดสอบด้วยตัวเอง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่โดยแท้ แต่ในฐานะองครักษ์จินอู๋ย่อมต้องรับภาระหน้าที่สำคัญในการลาดตระเวน จำเป็นต้องมีวิชายุทธ์ติดตัวบ้าง หากทุกคนล้วนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่จะใช้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ อีเฟย?”

    จิงอีเฟยเป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว ย่อมต้องเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ หากฝีมืออ่อนด้อย เจอผู้ร้ายแล้วจะสกัดได้อย่างไร”

    กองกำลังจินอู๋แบ่งออกเป็นห้าหน่วย หน่วยรักษาเมืองสอดคล้องกับธาตุทอง แต่ละคนภูมิใจในวิชายุทธ์ของตัวเอง ห้าวหาญเชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่หน่วยอื่นๆ กลับมิได้เป็นเช่นนั้น

    เป็นดังที่คิด หลิวไท่อันจากหน่วยกลไกแค่นเสียงพูดอย่างเย็นชาทันที “หน่วยรักษาเมืองของเจ้าต้องสอดส่องโจรผู้ร้าย ย่อมต้องการคนที่เก่งการต่อสู้ แต่หน่วยกลไกของข้ากลับไม่ต้องใช้ยอดฝีมือ ฆ่าได้ฟันได้แต่กลับสกัดน้ำไม่ได้ดับไฟไม่ได้ ยิ่งมิอาจสร้างกลไกได้ สุดท้ายมาลำบากหน่วยข้าอีก หมู่นี้หน่วยกลไกขาดแคลนช่าง งานก่อสร้างหลายชิ้นที่เบื้องบนสั่งการลงมาตอนนี้ล่าช้ากว่ากำหนดไปมาก หวังว่าใต้เท้าเว่ยจะช่วยแบ่งคนมาให้หน่วยข้าบ้าง แก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน หาไม่แล้วเกรงว่าหากเจอเหตุการณ์ไฟไหม้ คงต้องเชิญยอดฝีมือในยุทธภพเหล่านี้เอาดาบกระบี่มาดับไฟจริงๆ”

    คำพูดเขาทำเอาคนข้างๆ อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปหัวเราะ

    หวงฝู่หานซานด้านข้างกระพือพัด ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “การเน้นถึงความสำคัญของวิชายุทธ์ของหัวหน้ากองพันเหวยข้าก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ห้าหน่วยของกองกำลังจินอู๋ต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเอง การต่อสู้มิใช่คำตอบเดียว แต่หัวหน้ากองพันหลิวบอกว่าหน่วยกลไกของตนขาดคน ข้ากลับมิกล้าฝืนใจเห็นด้วย ต่อให้หน่วยกลไกของเจ้าขาดแคลนคนเพียงใดแต่จะเทียบหน่วยซุ่มบาดาลของข้าได้หรือ”

    เขาหันไปพูดกับเว่ยตงโหว “ใต้เท้าเว่ย ท่านก็รู้ว่าหลายปีมานี้แถบหนานไห่ไม่สงบนัก จำนวนทหารเงือกลดน้อยลงทุกปี บัดนี้ในหน่วยมีคนไม่ถึงร้อยคน อาจารย์สังเกตน้ำแต่ละปียิ่งยากที่จะหาได้สักคน ข้าเองเป็นถึงหัวหน้ากองพัน แต่กลับมีกำลังคนในมือแค่ร้อยกว่าเท่านั้น ยังสู้นายกองร้อยของหน่วยรักษาเมืองและหน่วยระวังเพลิงไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่นนี้ไม่น่าอนาถหรอกหรือ”

    ทหารเงือกหน่วยซุ่มบาดาลส่วนใหญ่ล้วนมาจากแถบหนานไห่และอันหนาน คนพวกนี้ใช้ชีวิตในท้องทะเลตั้งแต่เล็ก แม้รูปร่างจะเล็กแต่ว่ายน้ำเก่งมาก สามารถดำน้ำลึกลงไปในระดับที่คนทั่วไปไม่อาจทำ แก้ไขปัญหาใต้น้ำได้มากมาย เพียงแต่ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้หายากยิ่งขึ้นทุกที

    หนานไหวอันที่นั่งอยู่ริมสุดหัวเราะกระอักกระอ่วน “หน่วยหกลักษณ์ของข้ามีทั้งหมดไม่ถึงหกคน ในจำนวนนั้นยังเป็นคนบ้าคนหนึ่ง พูดถึงปัญหาเรื่องกำลังคน ข้าคงไม่มีอันใดจะพูดแล้ว หึๆ”

    หน่วยหกลักษณ์เป็นหน่วยที่ดูแลเรื่องภูมิลักษณ์และเรื่องประหลาดโดยเฉพาะ แต่บัดนี้แผ่นดินสงบสุข บ้านเมืองสันติ จะมีผีปีศาจโผล่มาที่ไหนเล่า หลายครั้งล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือคน ไม่ว่าจะเป็นคนหลอกคน คนทำร้ายคน ปกติหน่วยหกลักษณ์จึงมักถูกละเลย เรื่องการรับคนเพิ่มถูกผัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

    ผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยทั้งห้าพอได้เจอเว่ยตงโหวหนึ่งระบายความทุกข์ สองแย่งความโปรดปราน สามขอกำลังคนงบประมาณและเสบียงอาหารเพิ่ม เห็นชัดว่าเว่ยตงโหวก็รำคาญเช่นกัน “พวกเจ้าอย่าพูดอีกเลย สถานการณ์ของกองกำลังจินอู๋ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้พวกเราเพิ่มกำลังคนเป็นกรณีพิเศษแล้วมิใช่หรือ เพียงแต่กองกำลังจินอู๋เป็นทหารรักษาพระองค์ที่ต้องปกป้องเมืองหลวง การรับคนเข้ามาต้องเข้มงวดอย่างยิ่ง จะรับคนเข้ามาส่งเดชเพื่อให้ได้จำนวนคนครบถ้วนได้อย่างไร พึงรู้ว่าจำนวนมิสู้ฝีมือ พวกเจ้าดูกองกำลังจิ่นอีสิ ทั้งหมดมีไม่ถึงร้อยคน ทว่าแต่ละคนเก่งกาจสามารถ ก็สร้างความน่าเกรงขามไปทั่วราชสำนักได้มิใช่หรือ”

    ทุกคนไม่พูดอันใดอีก เว่ยตงโหวพูดต่อ “การคัดเลือกสามรอบนี้เป็นเพียงการคัดเลือกเบื้องต้นเท่านั้น ทักษะการต่อสู้เป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง ข้าได้ยินว่าสองวันก่อนในการคัดเลือกรอบแรกมีหลายคนเป็นต้นกล้าที่ไม่เลว คนเหล่านี้ไม่ว่าวันหน้าจะเข้าไปในหน่วยใดล้วนต้องบ่มเพาะให้ดี ในอนาคตย่อมกลายเป็นเสาหลักของกองกำลังจินอู๋ของข้า จะสิ้นเปลืองทรัพยากรไม่ได้เด็ดขาด”

    ตึง! ตึง! ตึง!

    เสียงกลองหนังวัวดังขึ้นในสนาม การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

    ลำดับการแข่งขันเรียงตามคะแนนการสอบข้อเขียน ที่หนึ่งจับคู่กับคนที่ได้คะแนนน้อยสุด ที่สองจับคู่กับคนที่ได้คะแนนน้อยเป็นลำดับที่สอง ไป๋ฉีเนื่องจากสอบข้อเขียนได้ที่หนึ่ง ย่อมลงสนามเป็นคนแรก

    ผู้ดูแลการประลองในสนามคือนายกองร้อยหน่วยรักษาเมืองซ่งเฟิง คนผู้นี้อายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด รูปร่างองอาจสูงใหญ่ ลักษณะเหมือนนักรบ เขาแหงนหน้าตะโกนเสียงดัง “คู่แรก ขอเชิญไป๋ฉี ไช่เฮ่าขึ้นเวทีมาประลองกัน!”

    ไช่เฮ่ากระโดดขึ้นไปบนสังเวียนก่อนด้วยการตีลังกากลางอากาศ การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวปราดเปรียว พริบตาเดียวก็ได้รับเสียงโห่ร้องชื่นชมจากผู้คนทั้งสนาม

    คนผู้นี้รูปร่างผอมสูงกำยำ มือถือดาบเหล็กรูปใบหลิวคู่หนึ่ง ใบมีดทั้งสองไขว้กัน

    บนชั้นลอย เว่ยตงโหวเห็นดาบและกระบวนท่าเริ่มต้นของคนผู้นี้แล้วอดอุทานออกมาไม่ได้ “เป็นดาบใบหลิวของสกุลไช่ในจงหยวน คิดไม่ถึงว่าผู้สมัครสอบในปีนี้จะมียอดฝีมือจากตระกูลโด่งดังเช่นนี้ด้วย ไม่เลว”

    เว่ยตงโหวเองก็เป็นยอดฝีมือด้านการใช้ดาบคนหนึ่ง วิชาดาบของเขามาจากกูซู มีชื่อว่าสามสิบหกดาบเขากูซู มีต้นกำเนิดมาจากขุนเขา สายน้ำ นก ปลา ดอกไม้ และต้นหญ้า ทั้งหมดหกอย่าง แต่ละดาบล้วนสร้างเงาดาบได้หกสาย เงาดาบแต่ละสายยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหกชนิด เป็นวิชาดาบที่งดงามไม่มีสิ่งใดเทียบได้ สามสิบหกดาบเขากูซูและวิชาดาบใบหลิวแห่งสกุลไช่ที่โด่งดังล้วนจัดอยู่ในห้าวิชาดาบอันยิ่งใหญ่ในยุทธภพสมัยราชวงศ์หมิง

    ไช่เฮ่าตั้งท่าบนเวทีอยู่นาน แต่ไม่เห็นมีใครขึ้นมาบนเวทีเสียทีจึงอดร้องออกมาไม่ได้ “ขอถามว่าผู้กล้าไป๋ฉีอยู่ที่ใด เหตุใดป่านนี้จึงยังไม่ปรากฏตัว ดูถูกสกุลไช่ในจงหยวนของข้าหรือ”

    ร้องเรียกเช่นนี้อยู่สามครั้งก็ไม่มีใครตอบรับ

    ทุกคนกระซิบกระซาบกัน วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ไช่เฮ่าคิดว่าไป๋ฉีกลัววิชาดาบของตนจึงไม่กล้าขึ้นมาประลอง รอบด้านเกิดเสียงโห่ร้อง สถานการณ์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ซ่งเฟิงชำเลืองมองเหวยเหยี่ยนแวบหนึ่ง ขณะจะประกาศว่าไป๋ฉีสละสิทธิ์การประลอง ไม่ไกลออกไปเสียงร้องตะโกนของฉินหมิงกับไป๋ฉีก็ดังขึ้นพร้อมกัน

    สองคนวิ่งมาตลอดทาง เบียดฝ่าฝูงชนหนาแน่น ในที่สุดก็มาถึงด้านล่างสังเวียนต่อสู้

    แน่นอนว่าซ่งเฟิงไม่พอใจ เพียงแต่ทั้งสองขออภัยไม่หยุด ลักษณะท่าทีนอบน้อม เขาจึงไม่ถือสา เพียงโบกมือเอ่ยว่า “เอาล่ะ ผู้ใดคือไป๋ฉี รีบขึ้นไปประลองเถอะ”

    ฉินหมิงเหลือบมองไช่เฮ่าแวบหนึ่ง คนผู้นี้ขมับปูดนูน ดวงตาสะท้อนไอสังหาร สองมือเหมือนมีพลังโคจรไปมาอยู่รางๆ เห็นชัดว่าวิชายุทธ์ไม่ด้อยเลย เกรงว่าจะรับมือไม่ง่าย เขามองไป๋ฉีและเอ่ยว่า “ระวังหน่อย คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ”

    ไป๋ฉีตระหนักดีว่าอย่างไรวิชายุทธ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตนถนัด เพียงแต่มาถึงขั้นนี้แล้วย่อมไม่มีทางให้ถอยหนีอีก เขาสูดหายใจลึกสองที ก้าวขึ้นสังเวียนช้าๆ

    ไช่เฮ่ารออยู่นานแล้ว เห็นคู่ต่อสู้ที่ขึ้นมาเป็นบัณฑิตสุภาพคนหนึ่งก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าคิดว่าคนที่ได้ที่หนึ่งจะเป็นผู้เก่งกาจจากที่ใด นึกไม่ถึงว่าจะเป็น…” เดิมทีเขาอยากเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง แต่คิดดูอีกทีดีร้ายอย่างไรตนก็เป็นลูกศิษย์สำนักโด่งดังจึงรักษาท่าทีเอาไว้บ้าง เปลี่ยนคำพูดเป็น “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นบัณฑิตหน้าขาวคนหนึ่ง บัณฑิตสมควรเล่าเรียนหนังสือ มาทำอันใดที่นี่เล่า?!”

    น้ำเสียงเช่นนี้เห็นชัดว่าดูถูก!

    ไป๋ฉียิ้มน้อยๆ ลูบนิ้วกลางข้างขวาของตัวเองช้าๆ หรือควรกล่าวว่าลูบแหวนบนนิ้วกลางมากกว่า ก่อนจะเริ่มพูดยืดยาว “ผู้กล้าท่านนี้ ในอดีตแม้ผู้น้อยจะเป็นบัณฑิต แต่วันนี้ในเมื่อกล้าขึ้นมาบนสังเวียนย่อมไม่แตกต่างอันใดจากผู้กล้า ไยผู้กล้าต้องเอาคำว่าบัณฑิตมาดูแคลนผู้น้อยด้วย อีกอย่างใต้หล้านี้ปัญญาชนที่มีวิชายุทธ์เลิศล้ำมีไม่น้อย ท่านไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ปราชญ์เมธีเช่นท่านข่งจื่อยังเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดกวีสมัยถังหลี่ไป๋ที่ใช้กระบี่ฆ่าพยัคฆ์ และกวีแห่งซ่งใต้ซินชี่จี๋ที่แม้เตรียมเข้านอนยังจุดตะเกียงดูกระบี่ ผู้กล้าจะตัดสินคนจากลักษณะภายนอก จะรังแกข้าและพูดจาเสียดสีเหน็บแนมเพราะเห็นว่าข้าเป็นบัณฑิตหน้าขาวได้อย่างไร”

    ไป๋ฉีพูดจาอ้างอิงตำราและคัมภีร์ เอ่ยมากมายยาวเหยียด ไช่เฮ่าฟังจนหัวสมองพองโต โมโหจนไม่คิดรักษาท่าทีอันใดอีกแล้ว เขาตวาดว่า “ใครอยากฟังคำพูดพวกนี้ของเจ้า! มีฝีมือก็งัดออกมาเถอะ เจ้ากับข้ารีบประลองให้รู้ผลแพ้ชนะดีกว่า!”

    เขาเห็นไป๋ฉีไม่ออกกระบวนท่าซ้ำยังคงพูดพล่ามไม่หยุด โทสะในใจพลันพุ่งขึ้นมา ไม่เกรงใจอีกแล้ว!

    ดาบคู่ในมือกระทบกันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้ามา บนสังเวียนเกิดลมจากดาบ ฝุ่นปลิวฟุ้งกลางอากาศ แม้แต่ธงด้านข้างยังสะบัดพึ่บพั่บ

    “ลมพัดใบหลิว!”

    ดาบใบหลิวราวกับใบไม้นับร้อยปลิวว่อนกลางสายลม เคลื่อนไหวดั่งลมพายุขณะฟาดฟันมาที่ไป๋ฉี

    “ฝีมือดี!” เว่ยตงโหวบนชั้นลอยอดชมไม่ได้

    วิชาของไช่เฮ่าผู้นี้แม้ไม่นับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพ แต่นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ด้วยกระบวนท่าลมพัดใบหลิวของเขา เกรงว่าองครักษ์จินอู๋จำนวนไม่น้อยในหน่วยรักษาเมืองก็รับมือไม่ไหว

    ดาบพุ่งเข้ามาพร้อมลมแรง ไป๋ฉีเพียงหลับตาลง มือยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว

    ดาบนี้พลังรุนแรงมาก คนไม่น้อยกังวลว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้จะโลหิตสาดกระเซ็นกลางสนาม แม้แต่ซ่งเฟิงเองยังเกิดความตระหนกในใจ ถึงอย่างไรการทดสอบทักษะการต่อสู้ขององครักษ์จินอู๋ก็มิได้มุ่งหวังให้มีใครตาย เพียงต่อสู้ให้พอรู้ผลเท่านั้น จะปล่อยให้สนามทดสอบกลายเป็นสนามประลองจนถึงแก่ชีวิตไม่ได้เด็ดขาด นี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา

    มือขวาของซ่งเฟิงจับดาบพกของตัวเองแน่น

    หากไป๋ฉีผู้นี้ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก ซ่งเฟิงจะลงมือสกัดดาบนี้แทน จากนั้นประกาศว่าไช่เฮ่าเป็นผู้ชนะ

    “สังหาร!” ไช่เฮ่าตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเจือแววกระหยิ่มใจอยู่หลายส่วน

    คมดาบอยู่ห่างจากไป๋ฉีไม่ถึงหนึ่งฉื่อแล้ว ทุกคนต่างเกร็งไปทั้งตัว บางคนถึงขั้นยกมือขึ้นปิดตา เกรงว่าบัณฑิตผู้นี้จะถูกผ่าครึ่งกลางสนาม แต่เวลานี้เอง ไป๋ฉีสะบัดมือทั้งสองข้าง มือขวาชูขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำท่าประหลาดกลางอากาศ

    นั่นเป็นท่วงท่าที่แปลกประหลาดและพิเศษ ไม่เคยมีใครพบเห็น!

    ทุกคนต่างดูไม่ออกว่าไป๋ฉีทำท่านี้ด้วยเหตุใด เหมือนเขากำลังตั้งค่ายกลประหลาด หรืออาจเป็นการร่ายรำแบบโบราณชนิดหนึ่ง ท่วงท่าพลิ้วไหว เหมือนนกพิราบขาวโบยบินอยู่กลางท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็เหมือนกวางปราดเปรียวที่กระโดดอยู่ในป่า

    เป็นการล่อลวงศัตรู?

    หรือเป็นการสังหาร?!

    ทว่าไช่เฮ่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ หรืออาจบอกว่าเขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว เพราะพอออกกระบวนท่า ดาบในมือก็หยุดยั้งไม่ได้อีกต่อไป!

    ดาบใบหลิวฟาดฟันลงมา รวดเร็วจนน่าตกใจ!

    ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงเคร้งดังกังวาน ดาบคู่แตกเป็นหกเจ็ดชิ้นทันที ใบดาบขาดออกอย่างเรียบเนียนเหมือนกระดาษที่ถูกตัดด้วยใบมีด!

    “หา!” ทุกคนอุทานออกมา ฉินหมิงยิ่งตกตะลึงจนอ้าปากคางแทบหลุด เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะพุ่งเข้าไปช่วยไป๋ฉีแล้ว แต่เพียงในชั่วพริบตาไป๋ฉีผู้นี้กลับทำลายดาบเหล็กของคู่ต่อสู้ได้

    การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไปแล้ว!

    ดูเหมือนจะเป็นไอกระบี่เฉียบคมที่กรีดทำลายดาบเหล็ก ตัดใบมีดด้วยมือเปล่า!

    บนสังเวียน ไป๋ฉีพลันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แววตาเขายังคงประหม่าเล็กน้อย แต่มือเท้ากลับปราศจากความลังเล เขาวาดมือทั้งสองข้างอีกครั้ง เดินวนรอบตัวไช่เฮ่าหลายก้าว ตอนนี้บางคนจากหน่วยหกลักษณ์มองเห็นชัดเจนแล้ว แต่ละก้าวของไป๋ฉีล้วนสอดคล้องกับภาวะลักษณ์ สี่ก้าวเป็นสี่ภาวะลักษณ์ เมื่อรวมเข้าด้วยกันย่อมเป็นกระดานกับดักน้ำวน

    ชื่อน้ำวนคือกระแสวนในแอ่งอ่าว กลายเป็นวังวน หากศัตรูเข้าสู่ค่ายกลย่อมเหมือนเรือเล็กลอยวนในวังน้ำ เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ นี่ล่ะกระดานกับดัก!

    ไป๋ฉีถูมือเข้าด้วยกัน ได้ยินเสียงกรีดเฉือนเลือนรางกลางอากาศ

    “เจ้าแพ้แล้ว” ไป๋ฉีพูด

    “ฝันไปเถอะ!”

    ไช่เฮ่ามีหรือจะยอมแพ้ง่ายดายเช่นนี้ ขณะจะปราดไปข้างหน้า คิดไม่ถึงว่าพอยกต้นขาขึ้นกางเกงจะขาดทันที โลหิตพลันพุ่งออกมาจากต้นขา เขาตกใจรีบหดขากลับมา เพียงแต่ถอยหลังมากเกินไป ข้อศอกยื่นไปข้างหลัง แขนจึงถูกใบมีดที่มองไม่เห็นบาดเข้าอีก ความเจ็บปวดรวดร้าวจู่โจมเข้ามา เป็นเช่นนี้หลายครั้ง ร่างกายของไช่เฮ่าเต็มไปด้วยบาดแผล

    ไป๋ฉีไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพียงพูดอย่างจริงใจ “เจ้าทำลายค่ายกลน้ำวนของข้าไม่ได้ ยอมแพ้เสียเถอะ”

    ไช่เฮ่าตื่นตระหนก เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกใบมีดที่มองไม่เห็นโอบล้อมกักขังอยู่บนสังเวียน ไม่ว่าซ้ายขวาหน้าหลังล้วนมีอาวุธคมกริบอยู่ แค่ขยับนิดเดียวก็บาดเขาจนเลือดออก จนทั้งตกใจทั้งโมโห แต่ไม่กล้าขยับตัวส่งเดช ได้แต่ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าหนุ่มน่ารังเกียจ เจ้า…เจ้าใช้วิชามารอันใด!”

    มือขวาของไป๋ฉีกระตุกเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนเจ้านั่นล่ะ วิชาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ” การเคลื่อนไหวมือของเขาทำให้ไช่เฮ่าถูกกรีดเป็นแผลนับไม่ถ้วนทั้งตัว โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นอีกครั้ง บนสังเวียนเต็มไปด้วยสีแดงฉานจนคนทนดูแทบไม่ได้!

    ไช่เฮ่าทั้งเจ็บทั้งกลัว ตระหนักว่าครั้งนี้ตนเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้แล้ว ความหยิ่งยโสหายไป รีบร้องเสียงดัง “แพ้แล้ว! แพ้แล้ว! ข้ายอมแพ้ก็ได้! รีบถอนวิชามารนี้ออกไปซะ!”

    ไป๋ฉีกระตุกนิ้วมือ กลางอากาศเกิดเสียงดังฟิ้วเหมือนมีบางอย่างถูกเก็บกลับเข้าไปในแหวน เขากลับคืนสู่ท่าทางอ่อนแอเหมือนเดิม กุมกำปั้นเอ่ยว่า “ผู้กล้าอ่อนข้อให้ข้าแล้ว!”

    สองคนต่อสู้เพียงครู่เดียวก็รู้ผลแพ้ชนะ ไป๋ฉีแขนเสื้อไม่ยับด้วยซ้ำ ไช่เฮ่ากลับเต็มไปด้วยคราบเลือดทั้งตัว ผลลัพธ์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของหลายคน ซ่งเฟิงเองก็ตะลึงงันเล็กน้อย มือของเขาจับอยู่บนดาบเนิ่นนานจึงคลายออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงก้าวขึ้นไปบนสังเวียนและประกาศ “คู่แรก ไป๋ฉีจากซานตงเป็นฝ่ายชนะ”

    การต่อสู้ประลองของสองคนล้วนอยู่ในสายตาของทุกคนในหอชุ่ยเฟิง

    ดวงตาของเว่ยตงโหวสาดประกายจ้าวูบหนึ่ง ก่อนถามว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเห็นชัดหรือไม่”

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘วิหคชาดพิฆาตกล 1-2 ภาคพายุเพลิงผลาญ’ วางขาย 30 กันยายน 2020)

     

    * ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)

    * ตั้น เป็นหน่วยชั่งของจีนสมัยโบราณ นิยมใช้กับธัญพืช 1 ตั้นเท่ากับ 10 โต่ว หรือ 100 ลิตร ขุนนางจีนสมัยโบราณไม่ได้รับเบี้ยหวัดเป็นเงิน แต่จะได้เป็นข้าวสาร ธัญพืช หรือแป้งหมี่

    * จางซวี่และไหวซู่เป็นนักเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถัง มีชื่อเสียงด้านการเขียนอักษรเฉ่าซู (อักษรแบบหวัด)

    * มาจากคำว่า ‘เหล่าจื่อ’ ซึ่งแปลว่าพ่อ ใช้เป็นคำเรียกแทนตัวเองอย่างโอ้อวดถือตัวว่าเก่ง

    * เค่อ หน่วยนับเวลาของจีน เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

    * เล่าปิ่ง เป็นขนมพื้นเมืองของจีนที่ทำจากแป้ง ลักษณะคล้ายแพนเค้ก ในบางท้องถิ่นอาจเพิ่มไข่ ต้นหอม และงาเข้าไปด้วย อาจมีไส้หรือไม่มีก็ได้ วิธีการทำคือปิ้งให้สุกบนเตาโดยพลิกกลับไปมา

    * มาจากสุภาษิตว่า ‘วาจาของวิญญูชน ม้าสี่ตัวยากจะตามทัน’ หมายถึงคำพูดที่พูดออกมายากจะเอากลับคืน

    * ชิงหมิง (สว่างใส) หรือเทศกาลเช็งเม้ง เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของชาวจีน หมายถึงวันที่อากาศสดใสปลอดโปร่ง คือช่วงประมาณวันที่ 4-6 เมษายน โดยมีประเพณีย่ำขจี และปัดกวาดทำความสะอาดสุสานบรรพบุรุษ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook