• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 35 บทที่ 3

    บทที่ 3 ฟ้าคนรวมเป็นหนึ่ง ใครต้านได้

     

    หนึ่งยันต์

    สองดาบ

    หลายร้อยลี้

    สามพันพุทธะ

    นี่ถึงขั้นไม่อาจเรียกว่ายันต์เทวะแล้ว เพราะอานุภาพของมันปานประหนึ่งฟ้า คือยันต์แห่งฟ้า

    โลกมนุษย์ไม่เคยปรากฏยันต์ที่ร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน เหยียนเซ่อต้าซือไม่เคยเขียน หวังซูเซิ่งไม่เคยเขียน หลายหมื่นปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปรากฏ

    ตอนนี้หนิงเชวียอยู่ด่านรู้ชะตาขั้นปลาย เป็นจอมยันต์เทวะที่แข็งแกร่ง แต่ตามหลักแล้วมันยังไม่ก้าวข้ามห้าด่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเขียนยันต์เช่นนี้ออกมาได้

    ทว่าเวลานี้ซังซังอยู่ในร่างมัน แม้ว่านางอ่อนแอใกล้ตายเต็มที แต่สำหรับโลกมนุษย์ พลังเทพหนึ่งหยดก็คือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะนางคือฟ้า

    สิ่งที่หนิงเชวียใช้คือมหาสมุทรนั้น มันใช้ฟ้าสั่งฟ้าดินบริเวณนี้จึงเขียนยันต์แห่งฟ้าออกมาได้ นี่ก็คือฟ้าดินรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง ผู้ใดหรือจะต้านทานได้

    ต้นสนมากมายล้มลง ป่าทึบถูกทำลาย ในอาณาบริเวณหลายร้อยลี้เห็นแต่ฝุ่นควันไม่เห็นพุทธะ ได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่าร้อง ไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์ พุทธรัศมียังคงเจิดจ้า ทว่าเหล่าพุทธะม้วยมรณาแล้ว

    หนิงเชวียทอดสายตามองไกลออกไป ที่ขอบฟ้ามีแสงสีทอง มันรู้ว่าโลกนี้ยังมีพุทธะอีกมาก พุทธะพวกนั้นกำลังรีบรุดมาที่นี่ ไม่รู้ว่าเวลาใดจะมาถึง

    มันหันกายกลับมามองแม่น้ำสายใหญ่เบื้องหน้า

    แม่น้ำกว้างประมาณพันจั้ง กระแสน้ำไหลเชื่องช้า น้ำใสสะอาด นอกจากริมฝั่งมีคลื่นน้ำเล็กน้อยแล้วผิวน้ำบริเวณอื่นก็สงบนิ่งเหมือนกระจก ถึงขั้นมองเห็นก้อนหินและปลาที่ก้นแม่น้ำ

    แม่น้ำสายนี้ไหลจากเหนือจรดใต้ของโลกกระดานหมาก มองไม่เห็นว่ามาจากไหนและมองไม่เห็นว่าสิ้นสุดที่ใด ถ้าจะไปทางทิศตะวันออกถึงอย่างไรก็ต้องข้ามแม่น้ำสายนี้

    หนิงเชวียมองข้ามแม่น้ำไกลไปยังจุดหนึ่งทางทิศตะวันออกแล้วพลันขมวดคิ้ว

    มันเดินไปยังต้นสนที่ล้มอยู่ริมแม่น้ำ ใช้ดาบผ่าลำต้นที่มีขนาดใหญ่ จากนั้นคว้านด้านในให้กลวง แล้วตัดแต่งด้านหนึ่งให้เรียบ

    ใช้เวลาเพียงไม่นานเรือไม้ลำหนึ่งก็ทำสำเร็จ แต่มันไม่หยุดแค่นั้น ยังคงใช้ดาบผ่าตอไม้ส่วนที่เหลืออย่างประณีตและอดทน ราวกับไม่สนใจเลยว่าพุทธะจำนวนมากมายในโลกกระดานหมากกำลังมุ่งหน้ามาทางแม่น้ำ

    ดาบที่มีน้ำหนักมากกลายเป็นมีดแกะสลักในมือมัน ราวกับว่าบนลำต้นของต้นสนสลักดอกไม้ไว้ ไม่มีรายละเอียดใดที่ขาดตกบกพร่อง จนสุดท้ายมันก็แกะสลักดอกไม้ดอกหนึ่งไว้ที่ขอบเรือจริงๆ

    มันรู้ว่าตนกำลังทำอะไร มันกำลังฝึกฝีมือ

    เรือไม้ที่สวยงามในที่สุดก็ทำสำเร็จ มันยังใช้ดาบเหลาไม้พายสองอันด้วย ผิวไม้พายเรียบเนียนไม่มีเสี้ยนแม้สักนิด ถึงตอนนี้มันจึงรู้สึกพอใจ

    มันเก็บดาบเข้าฝักด้วยมือที่สั่นนิดๆ ผลักเรือลงแม่น้ำ จากนั้นปีนขึ้นเรือแล้วพายไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงหนึ่งในสามของระยะทางข้ามแม่น้ำจึงหยุดเรือ

    โลกกระดานหมากของปฐมพุทธะเต็มไปด้วยพุทธรัศมี และเต็มไปด้วยเจตนาร้าย พอมาถึงกลางแม่น้ำที่ใสสะอาดนี้มันจึงรู้สึกถึงความปลอดภัยได้บ้าง และจึงกล้าแก้มัดซังซังลงจากหลัง

    มันกอดซังซังไว้แล้วยื่นมือไปอังที่จมูกนาง พบว่าไม่มีลมหายใจ แต่มันรู้ว่านางยังไม่ตาย เพราะร่างนี้ไม่ต้องหายใจได้เป็นเวลานาน

    ร่างในอ้อมกอดมันสูงใหญ่ อ้วนเล็กน้อย กอดไม่ค่อยถนัด แต่มันยังคงกอดไว้อย่างนั้น มองใบหน้านางนิ่งแล้วยิ้ม จากนั้นก็หยิกจมูกนาง

    มันรู้ว่าซังซังยังไม่ตาย ความรู้สึกนึกคิดหรืออาจเรียกว่าดวงวิญญาณของนางอยู่ในร่างมันในสภาวะที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนหลับลึกอย่างไม่รู้ว่าจะตื่นเมื่อใด

    วิธีการที่น่าอัศจรรย์ของเฮ่าเทียนเป็นสิ่งที่มันไม่อาจเข้าใจ มันค่อนข้างกังวลแต่ก็ไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีแก่ใจหยิกจมูกนาง

    การกระทำเช่นนี้เป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่พบได้บ่อยครั้งในคู่สามีภรรยา เพียงแต่คู่ของมันกับซังซังค่อนข้างแตกต่างจากคนทั่วไป ปกติเวลาที่ซังซังไม่ได้หลับ มันไม่กล้าทำเช่นนี้หรอก

    มันอยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว มันยังอยากหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยของนาง อยากดึงหูนาง อยากล้วงมือเข้าไปในเสื้อผ้านางเพื่อหาความอบอุ่นและนุ่มนวล และอยากทำเรื่องที่ต้องใกล้ชิดสนิทแนบหรือถึงขั้นลามก

    ตอนนี้แม้เรื่องลามกไม่อาจทำ แต่เรื่องอื่นพอทำได้ คิดดังนี้แล้วมันก็หยิกใบหน้าซังซังเล่น จากนั้นก็ดึงหู เสร็จแล้วก็ถึงกับเชิดจมูกนางขึ้น ทำให้หน้านางดูตลกคล้ายหมูน้อยน่ารัก

    หนิงเชวียมองหน้านางแล้วครวญเพลงอย่างอารมณ์ดี

    “เฮ้ จูด…”

    “ข้าบอกแล้วว่าไม่ชอบถูกเจ้าเรียกว่าสุกรดำ”

    จู่ๆ เสียงของซังซังก็ดังขึ้นในใจมัน

    “อีกอย่างหนึ่งถ้าเจ้ากล้าทำเรื่องพวกนี้กับร่างกายข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า”

    หนิงเชวียสะดุ้งโหยง มองใบหน้านางในอ้อมอกพลางถามอย่างเป็นกังวลว่า

    “เจ้าตื่นแล้ว?”

    “ข้าไม่ได้หลับมาตั้งแต่แรก…เจ้าคงอยากให้ข้าไม่ตื่นไปตลอดกาลใช่หรือไม่ เจ้าจะได้ข่มเหงร่างกายข้าได้ตามใจชอบแล้วไปแต่งนางเข้าบ้าน”

    ซังซังที่นอนอยู่ในอ้อมกอดหนิงเชวียหลับตา ปากไม่ขยับ ดูเหมือนเทพที่หลับสนิท แต่นางกลับเอ่ยวาจา เรื่องนี้ทำให้มันประหลาดใจและปรับตัวไม่ทัน

    พอได้ยินคำพูดนาง มันก็โมโห

    “นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังคิดแต่เรื่องหึงหวง เจ้ายิ่งเป็นเช่นนี้พิษก็ยิ่งกำเริบหนักขึ้น ถึงเวลานั้นถ้าเจ้าตายจริงๆ ข้าก็จะไปหานางจริงๆ!”

    “ก็ไปสิ ถ้าไม่ไปถือว่าตาขาว”

    หนิงเชวียรู้สึกว่านางในตอนนี้เหมือนเด็กน้อยอันธพาล ขี้เกียจเถียงด้วย จึงถามว่า

    “สภาพของเจ้าในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าอยู่ที่ใด”

    “ข้าอยู่ในตัวเจ้า”

    “ส่วนไหนของตัวข้า ในห้วงแห่งความนึกคิดหรือ”

    “เจ้าคิดว่าข้าอยู่ตรงไหน ข้าก็อยู่ตรงนั้น”

    หนิงเชวียครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง

    “ข้ามีเจ้าอยู่ในใจเสมอ เช่นนั้นเจ้าต้องอยู่ในใจข้าแน่นอน”

    ซังซังนิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ข้าอยู่ในใจเจ้า”

    หนิงเชวียหัวเราะ

    “ฟังแล้วเหมือนเจ้ากำลังเขินอาย”

    “ข้าไม่ใช่มนุษย์ จะมีความรู้สึกชั้นต่ำพรรค์นั้นได้อย่างไร”

    “ข้าบอกเจ้าอยู่นี่อย่างไรว่าเมื่อครู่เจ้าเขินอาย”

    “น่าเบื่อ”

    เมื่อไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่านางจะถูกพุทธรัศมีฆ่าตาย หนิงเชวียก็รู้สึกสบายตัว โล่งใจ และมีความสุข กำลังจะต่อปากต่อคำกับนางอีกสักหน่อย พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงกล่าวอย่างคับข้องใจว่า

    “ในเมื่อเจ้าออกจากร่างเทพได้ เหตุใดจึงไม่ทำตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกพุทธรัศมีทำร้ายสาหัสขนาดนี้”

    ซังซังกับมันเป็นแก่นฐานชีวิตซึ่งกันและกันจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็คือเฮ่าเทียน ตอนแรกในเทศกาลบูชาแสงสว่างที่เขาเถาซาน หนิงเชวียชิงพลังเทพเบิกนภาจากเจ้านิกาย นางเพียงให้พลังเทพแก่มันเล็กน้อย มันก็เลือดไหลทั่วร่างแล้ว ถ้านางในสภาพสมบูรณ์เข้าไปในร่างมัน มันมีแต่ตายสถานเดียว ทว่ายามนี้นางอ่อนแอมากจึงใช้วิธีนี้ได้

    ซังซังไม่ได้ตอบมันเพราะนางขี้เกียจอธิบาย และการที่นางร่ำไรไม่ยอมเข้าไปในร่างมันก็ยังมีสาเหตุอื่นที่สำคัญกว่าด้วย

    นางเข้าไปในร่างมันเท่ากับกายใจรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง ความผูกพันระหว่างนางกับมันจะเหนียวแน่นจนเกินอธิบาย ต่อไปหากนางจะจากไปก็ยากลำบากยิ่งนัก

    การเงียบของนางทำให้หนิงเชวียไม่เข้าใจ ทั้งไม่สบายใจนิดๆ ด้วย มันใคร่ครวญดูแล้วเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเวลานี้จึงหัวเราะแล้วตบๆ หน้านางเบาๆ จากนั้นก็จับไม้พายมาพายเรือต่อไป

    เรือไม้ค่อยๆ เคลื่อนไปทางอีกฟากของแม่น้ำ ขณะที่หัวเรือเพิ่งข้ามพ้นเส้นกึ่งกลางลำน้ำ บนที่ราบทางทิศตะวันออกก็มีเมฆดำผืนใหญ่ลอยมา

    พอเมฆดำลอยมาถึงแม่น้ำก็ไม่ลอยต่อไป ความชื้นในเมฆกลายเป็นฝนตกซู่ลงมา เพียงชั่วประกายไฟแลบก็เกิดลมฝนพัดกระหน่ำ

    ฝนตกหนักลงมาปะทะใบหน้าและร่างกายมัน ทั้งเจ็บทั้งแสบ ร่างซังซังที่นอนอยู่ในเรือถูกฝนตกใส่ดังเปาะแปะ มันรู้ว่าร่างเทพคงไม่เป็นอันตราย แต่เห็นภาพนี้แล้วยังคงรู้สึกปวดใจ จึงกางร่มดำให้ซังซังพลางคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ต้องรักษาใบหน้าที่งามเหมือนบุปผาของนางไว้

    …อันที่จริงใบหน้าซังซังธรรมดาอย่างนี้ ที่จริงแล้วไม่อาจกล่าวว่างามเหมือนบุปผา หนิงเชวียยิ้มพลางคิดในใจ ขณะเดียวกันก็ออกแรงพายเรือให้เรือไม้ฝ่าลมฝนไปเหมือนลูกธนู

    ลำต้นสนหนามาก เรือไม้กว้างใหญ่และแข็งแรง ต่อให้ฝนตกหนักเท่าไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะท่วมเรือทั้งลำในเวลาอันสั้น มันจึงไม่กังวล ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาทำให้มันต้องขมวดคิ้ว สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมและตื่นตัว

    ฝนตกหนักลงในแม่น้ำที่ใสสะอาด ทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นมามากมาย น้ำในแม่น้ำเริ่มขุ่น อาจเป็นเพราะน้ำจากบนภูเขาไหลลงมาในแม่น้ำ หรืออาจเป็นเพราะฝนตกหนักเกินไปจึงทำให้ดินก้นแม่น้ำลอยขึ้นมา นี่คงเป็นเรื่องปกติ แต่น้ำในแม่น้ำขุ่นเร็วขนาดนี้และสีของมันก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำหมึกในชั่วพริบตานั้นเป็นเรื่องไม่ปกติ

    เมฆบนฟ้าดำมาก น้ำฝนที่ตกลงมาก็ดำมาก ดำเหมือนน้ำหมึก น้ำในแม่น้ำก็กลายเป็นน้ำหมึกไปด้วย ก่อนเริ่มส่งกลิ่นน้ำหมึกจางๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นนานาชนิด แปลกประหลาดยิ่งนัก

    หนิงเชวียเก็บร่มดำโดยไม่ลังเลแล้วแบกซังซังขึ้นหลังอีกครั้ง ใช้เชือกมัดจนแน่น จากนั้นก็ใช้มือสั่นๆ ชักดาบออกมา จ้องผิวน้ำเขม็ง

    ก่อนหน้านี้ที่บนฝั่งพอมันสร้างเรือเสร็จ ตอนเก็บดาบมือก็เริ่มสั่นแล้ว เวลานี้ชักดาบก็ยังสั่นอยู่เพราะมันเหนื่อยมาก ตั้งแต่ซังซังฝันร้ายมันก็ไม่ได้นอนเลย

    แล้วจู่ๆ เรือไม้ก็จมลงช้าๆ

    หนิงเชวียมองสำรวจในเรือ ไม่เห็นรูรั่ว เช่นนั้นศัตรูต้องอยู่ในแม่น้ำเป็นแน่

    เดิมทีน้ำในแม่น้ำใสสะอาด อยู่ริมฝั่งยังมองเห็นก้อนหินที่ก้นแม่น้ำได้ แต่เวลานี้น้ำในแม่น้ำดำสนิท มันมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวในแม่น้ำที่ลึกมากกว่าหนึ่งฉื่อ

    น้ำในแม่น้ำแปลกประหลาดมากถึงขั้นที่ปิดกั้นพลังจิตของมันได้ เรือไม้ยังจมต่อไป แม้แต่ศัตรูมันก็ยังหาไม่เจอ แล้วจะรับมืออย่างไร

    หนิงเชวียรู้ว่าจำเป็นต้องหนีแล้ว

    มันกระทืบพื้นเรือ เรือไม้ยิ่งจมเร็วขึ้น ส่วนตัวมันกระโจนขึ้นมากลางอากาศ จากนั้นก็เตรียมพุ่งทะยานไปข้างหน้า

    ที่นี่ยังห่างจากฝั่งราวสี่ร้อยจั้ง ด้วยด่านฌานของมันในตอนนี้ยากเหลือเกินที่จะพุ่งฝ่าลมฝนที่รุนแรงไปได้ไกลขนาดนั้น แต่มันก็อยากลอง

    แม้ว่าสุดท้ายต้องจมน้ำ แต่ขอเพียงอยู่ใกล้ฝั่งอีกหน่อยก็จะรอดพ้นจากแม่น้ำประหลาดสายนี้ได้ง่ายขึ้น หนำซ้ำมันตอบสนองเร็วขนาดนี้ น่าจะเหนือความคาดหมายของศัตรู ศัตรูคงรับมือไม่ทัน ทว่าการตอบสนองของศัตรูกลับอยู่เหนือความคาดหมายของมัน

    ผิวน้ำถูกฝนกระหน่ำจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว พริบตาที่หนิงเชวียกระโจนขึ้นมา น้ำพลันกระเซ็นขึ้นตาม เงาขาวสายหนึ่งพุ่งฝ่าลมฝนมารัดข้อเท้ามัน

    พลังที่กล้าแกร่งสายหนึ่งถ่ายทอดมาที่ข้อเท้า หนิงเชวียตวัดดาบโดยไม่ได้ก้มลงมอง ข้อมือสั่นเล็กน้อย ท่ามกลางลมฝนปรากฏประกายดาบสว่างดุจสายฟ้าแลบ

    เงาขาวสายนั้นขาดในทันที ทว่าหลังจากนั้นก็มีเงาขาวอีกหลายสิบสายผุดขึ้นมาจากแม่น้ำดุจภูตพรายพันมันไว้ทั้งตัว พลังที่น่ากลัวหลายสิบสายลากมันลงเบื้องล่าง!

    ประกายดาบดุจสายฟ้าส่องผิวน้ำอันดำมืดให้สว่าง เงาขาวหลายสิบสายทยอยขาดไปตามๆ กัน ทว่าสภาวะการพุ่งทะยานไปข้างหน้าของมันก็ถูกยับยั้งด้วย มันจึงไม่อาจไม่กลับลงเรือ

    แม้ดูเหมือนว่ารับมือได้อย่างง่ายดาย แต่หนิงเชวียกลับรู้สึกหนักใจ มันคิดไม่ออกว่าเงาขาวพวกนั้นคืออะไร เหตุใดจึงมีพลังมหาศาลเหนี่ยวรั้งให้มันต้องกลับลงมาอย่างนี้

    เพียะๆ

    เสียงนั้นดังขึ้นข้างเท้ามัน มันก้มลงมองจึงพบว่าเงาขาวพวกนั้นล้วนเป็นแส้ แส้ที่ทำจากกระดูกขาว เรื่องที่น่าหวั่นใจกว่านั้นคือกระดูกขาวพวกนี้ล้วนเป็นกระดูกมนุษย์

    แส้กระดูกขาวคล้ายมีชีวิต แม้ถูกตัดขาดแล้วยังดิ้นไปมาฟาดใส่ตัวเรือไม่หยุด ฟาดไม้สนที่แข็งแรงจนเป็นรอยลึกแล้วตัวมันก็แหลกเป็นชิ้นๆ

    เวลานี้เองที่เรือไม้จมลงต่ำกว่าผิวน้ำแล้ว

    ขณะที่น้ำในแม่น้ำถูกแหวกออก คลื่นน้ำม้วนตัวเข้ามา น้ำในแม่น้ำที่สีดำสนิทใสขึ้นเล็กน้อย หนิงเชวียจึงมองเห็นได้ในที่สุดว่ารอบเรือมีมืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน

    มือเหล่านั้นจับท้องเรือแล้วออกแรงดึง เรือไม้จึงจมลง เรือไม้ลำนี้ทำจากไม้สนที่เรียบและแข็งแรง มือเหล่านั้นเหตุใดจึงจับผนังเรือไว้แน่นอย่างนั้นได้

    มือเหล่านั้นขาวราวหยกงาม แต่ไม่งดงามเลย เพราะพวกมันไม่มีเลือดเนื้อ มีแต่กระดูกขาวเหมือนแส้กระดูกขาวก่อนหน้านี้ นิ้วกระดูกที่แหลมคมฝังในผนังด้านนอกเรือ

    มือกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนลากเรือไม้ ลากหนิงเชวียที่อยู่ในเรือ และลากซังซังที่อยู่บนหลังหนิงเชวียให้ตกลงมา คล้ายต้องการลากพวกมันลงขุมนรก

    น้ำในแม่น้ำดำมืด นอกจากมือกระดูกขาวแล้วมันก็มองไม่เห็นสิ่งใด ทั้งไม่ได้ยินสิ่งใดด้วย รอบด้านมืดมิดและเงียบสนิท แปลกประหลาดและน่ากลัวสุดขีด

    “ช่วยข้า”

    หนิงเชวียเอ่ย

    ซังซังได้ยินเสียงมัน ชั่วครู่หนึ่งดวงตามันก็สว่างไสวขึ้น ภายในคล้ายมีดวงดาวกำลังระเบิด เต็มไปด้วยแสงสว่าง แสงเหล่านั้นคือแสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียน

    บัดนี้นางคือดวงตาของมัน ในดวงตามันมีฤทธานุภาพแห่งเทพ เบื้องหน้าสายตา น้ำที่ดำมืดพลันจางลงจนใสสะอาด ทัศนวิสัยคืนสู่สภาพปกติ

    หนิงเชวียมองเห็นเจ้าของมือกระดูก พวกมันคือโครงกระดูกขาว

    รอบเรือมีโครงกระดูกนับหมื่นลอยอยู่ ล้อมรอบอย่างแน่นขนัด

    โครงกระดูกเหล่านี้ไม่รู้ว่าอาศัยอยู่ที่ก้นแม่น้ำมานานเท่าใดแล้ว ศีรษะของโครงกระดูกบางโครงเป็นสีเหลืองไปแล้ว ลอยอยู่ในน้ำก็ถูกกระแสน้ำพัดหลุดอยู่เป็นระยะ ศีรษะของโครงกระดูกบางโครงแตกเป็นช่องใหญ่ มีมัจฉาสีดำแหวกว่ายอยู่ภายใน โครงกระดูกเหล่านี้มองเรือที่จมลงด้วยเบ้าตาที่ฉายแววหิวกระหาย

    โสตประสาทของหนิงเชวียก็เป็นปกติแล้ว มันได้ยินเสียงกระแสน้ำเบื้องล่างที่ไหลแรง ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของภูตผีที่ดังมาจากเบื้องล่าง และได้ยินเสียงโครงกระดูกนับหมื่นหัวเราะอย่างมีความสุข

    เสียงหัวเราะมีความสุขเช่นนี้เหตุใดกลับฟังดูสิ้นหวัง

    ในแม่น้ำที่มืดมนมีโครงกระดูกสิ้นหวังอยู่นับหมื่น มีโครงกระดูกที่หัวเราะหึๆ ไม่ว่าใครถ้าเห็นภาพนี้คงรู้สึกกลัว แต่หนิงเชวียสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

    น้ำรอบๆ เรือใสขึ้นเรื่อยๆ แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนส่องออกจากตามันทำให้บริเวณรอบๆ สว่างขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใดโครงกระดูกนับหมื่นเมื่อเห็นแสงสว่างนี้แล้วจึงดูเฉื่อยชา

    โครงกระดูกเหล่านี้ไม่ได้เห็นแสงสว่างมาหลายหมื่นปีจึงรู้สึกไม่คุ้น แต่ก็เคารพเทิดทูน จากนั้นจิตใต้สำนึกก็เกิดความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    มือกระดูกรอบเรือจู่ๆ ก็หลุดร่วงลงดุจเศษก้อนหินที่ถูกลมพัดจนกะเทาะออก แล้วถูกน้ำชะล้างจนสะอาด ส่วนนิ้วกระดูกที่ยังติดอยู่กับเรือก็กลายเป็นควันเขียวสลายไปในพริบตา

    ในที่สุดพวกโครงกระดูกก็ได้สติ ตกใจกรีดร้องแตกหนีกระเจิดกระเจิงออกไปรอบทิศ บางโครงเอามือปิดหูเพราะไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อน บางโครงกุมศีรษะเพราะทำแบบนี้แล้วรู้สึกปลอดภัย ทว่าไม่ว่าจะเป็นโลกของเฮ่าเทียนหรือโลกของปฐมพุทธะ มีใครหรือที่วิ่งเร็วกว่าแสง

    หนิงเชวียยืนมองบริเวณรอบๆ อยู่บนเรือที่กำลังจม แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนส่องสว่างเจิดจ้าที่ก้นแม่น้ำอันดำมืด โครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วนถูกชำระล้างกลายเป็นควันดำท่ามกลางเสียงกรีดร้อง

    ควันดำเหล่านั้นยังไม่สลายไป แต่ไหลเข้ามาในเรือ ย้อมน้ำในแม่น้ำให้ดำขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น คล้ายวัตถุมีรูปร่างที่ล้อมหนิงเชวียไว้ภายในอย่างแน่นหนา

    หนิงเชวียฟันดาบออกไปแต่ไม่อาจฟันควันดำให้ขาดได้ ความรู้สึกที่คมดาบสัมผัสได้แปลกประหลาดยิ่ง ค่อนข้างนุ่มลื่นแต่แข็งแรงสุดขีด ทั้งคล้ายแผ่นหนังชนิดหนึ่ง ทั้งเหมือนอวัยวะภายใน

    สิ่งที่ถ่ายทอดกลับมาสู่ร่างมันผ่านตัวดาบพร้อมความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ยังมีความปรารถนาอันแรงกล้าด้วย ความปรารถนานี้บริสุทธิ์ยิ่งนัก นอกจากความหิวกระหายแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน

    หนิงเชวียแน่นหน้าอก เมื่อนึกถึงแววตาที่หิวกระหายของโครงกระดูกนับหมื่นที่ได้เห็นก่อนหน้านี้แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น จึงเคลื่อนพลังจิตคิดไล่ความปรารถนาพวกนี้ออกไปให้ห่าง

    การคิดก็เป็นความปรารถนา ความปรารถนาเหล่านั้นเมื่อพบกับพลังจิตอันเข้มแข็งของมันก็เหมือนไฟเจอน้ำมัน ชั่วพริบตาพลันขยายขนาดขึ้นหลายเท่า ลุกโชนเผาไหม้เข้าโจมตีห้วงแห่งความนึกคิดของหนิงเชวีย

    หัวใจหนิงเชวียพลันเป็นอัมพาต ใบหน้าซีดเผือด มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ไม่อาจไล่ความปรารถนาพวกนั้นไป แต่ก็ไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

    “ควันดำพวกนี้คือมาร”

    ซังซังบอกมันในใจ

    หนิงเชวียยังคงไม่เข้าใจ มารพวกนี้เหตุใดจึงไร้รูป จับต้องไม่ได้

    “มารของนิกายพุทธคือมารในใจ…โลภโกรธหลงสามพิษก็จัดเป็นหนึ่งในนั้น เพียงบริสุทธิ์ยิ่งกว่า อยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ข้าอยู่ในใจเจ้า ใจเจ้าจึงถูกพิษด้วย”

    ซังซังเอ่ย

    “มารในใจและความปรารถนาเข้าสู่ร่างกายทำให้พิษกำเริบ”

    ความปรารถนาที่มาจากควันดำค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา หัวใจหนิงเชวียพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ ในที่สุดสามพิษที่อยู่ในซังซังก็กำเริบอย่างหนัก

    พรวด!

    หนิงเชวียเจ็บปวดจนสุดพรรณนา กระอักเลือดถูกควันดำเบื้องหน้า

    ได้ยินเสียงฉ่าๆ ควันดำถูกเปลวเพลิงที่มองไม่เห็นเผาไหม้ ดูป่วนปั่นเหมือนเมฆดำที่หมุนวนไม่หยุดกลางสายลม ลึกเข้าไปภายในมีกระแสจิตที่ทุกข์ทรมานถ่ายทอดมารางๆ

    ยามนี้ซังซังกำลังช่วยมัน ในร่างมันเต็มไปด้วยแสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียน ในโลหิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อโลหิตเข้าไปในควันดำย่อมเกิดการชำระล้าง

    หนิงเชวียรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร มันใช้ดาบเฉือนฝ่ามือ ลมปราณสุดไพศาลของมันมีความสำเร็จขั้นสูง ร่างกายแข็งแกร่งดั่งหินผา แต่นี่คือความตั้งใจของมัน ดาบของมัน คมดาบที่เย็นชาไร้ไมตรียังคงเฉือนฝ่ามือมันจนเกิดแผล เลือดค่อยๆ ไหลออกมาฉาบทาตัวดาบ

    มันเงยหน้าขึ้น มือซ้ายจับด้ามดาบมั่น แทงอย่างดุดันเข้าหาควันดำที่หนาแน่น ความรู้สึกที่คมดาบสัมผัสได้ยังคงเป็นความแข็งและเหนียว แต่เมื่อเลือดบนคมดาบถูกควันดำ ความแข็งและเหนียวค่อยๆ คลายไป คมดาบก็ค่อยๆ แทงเข้าไปในควันดำจนลึกหนึ่งฉื่อ

    หนิงเชวียใช้ลมปราณสุดไพศาลให้มือขวาเป็นเหมือนค้อนกระแทกด้ามดาบ พลังที่แข็งแกร่งสองสายผสานกันทั้งหน้าหลังดั่งคลื่นบนผิวแม่น้ำที่โหมซัด ดาบจมเข้าไปในควันดำจนมิด

    แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนพวยพุ่งออกจากดาบ ควันดำดิ้นรนไม่หยุดเหมือนอวัยวะภายในที่กำลังบิดตัวไปมา ดูน่าขยะแขยงและน่ากลัว

    ในควันดำเกิดกลิ่นไหม้เข้มข้น แสงสว่างปล่อยออกจากตัวดาบแล้วแผ่ขยายไปโดยรอบทันตาเห็น ส่องก้นแม่น้ำให้สว่าง ทั้งส่องให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมารในใจ

    มารในใจเป็นสิ่งมายา ไร้รูปไร้ร่าง แต่ในควันดำก้นแม่น้ำที่เหมือนม่านนี้มีวิญญาณอาฆาตและความปรารถนาจำนวนนับไม่ถ้วน หนิงเชวียถึงกับเห็นใบหน้าตนเองในนั้น

    มันรู้ดีว่าหากต่อสู้ต้านทานกับมารในใจเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายต้องนำไปสู่การต่อสู้ในชั้นความรู้สึกนึกคิดแน่นอน ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันย่อมไม่หวั่นเกรง แต่เวลานี้ซังซังอยู่ในใจมัน หนำซ้ำมันก็ถูกสามพิษด้วยเช่นกัน จึงไม่อาจปล่อยให้มารในใจเข้ามาในร่างอย่างเด็ดขาด เพราะอันตรายเกินไป

    แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนเผาไหม้ต่อไปคล้ายไม่มีวันจบสิ้น ดาบที่เสียบอยู่ในควันดำเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น หนิงเชวียขึ้นยืนบนหัวเรือที่จม ถ่ายเทลมปราณสุดไพศาลเข้าไปในสองแขนแล้วออกแรงลาก!

    เสียงตูมดังสนั่น ไม่ใช่เสียงน้ำ ที่นี่คือก้นแม่น้ำ ไม่ใช่ผิวแม่น้ำ แม้เป็นคลื่นขนาดใหญ่ก็ทำให้เกิดเสียงนี้ไม่ได้ นี่คือเสียงควันดำถูกตัดทำลาย วิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนและของเหนียวหนืดที่เกิดจากความปรารถนาทะลักเข้ามาจากรอยตัด

    หนิงเชวียทำเหมือนมองไม่เห็นภาพอันน่าขยะแขยงนี้ ก้มหน้าวิ่งตวัดดาบต่อไป ชั่วพริบตาก็ตัดควันดำเป็นชิ้นๆ

    ม่านดำฉีกขาด ร่างจริงของมารในใจถูกทำลาย วิญญาณอาฆาตมากมายและของเหนียวหนืดที่เกิดจากความปรารถนาทะลักเข้ามาในเรือเหมือนน้ำที่ทะลักออกมาจากรอยแตกของอ่างปลา

    ของเหนียวหนืดแห่งความปรารถนาเหล่านั้นหลังสูญเสียร่างมารแล้วก็ไม่อาจไปไหนได้ไกล จมลงก้นแม่น้ำช้าๆ ส่วนวิญญาณอาฆาตไม่มีน้ำหนักจึงลอยตามกระแสน้ำเข้ามาในเรือ

    วิญญาณอาฆาตมากมายหลบดาบแห่งแสงเจิดจรัสคลานขึ้นมาบนเสื้อผ้าหนิงเชวีย พยายามไชเข้าร่างมันอย่างสุดกำลังพลางส่งเสียงร้องอย่างเริงร่า เสียงของพวกมันแหลมเล็กแผ่วเบาราวเสียงยุง

    วิญญาณอาฆาตอีกจำนวนหนึ่งพอเข้ามาในเรือแล้วก็คิดปีนขึ้นร่างเทพของซังซัง เพราะพวกมันสัมผัสได้ว่าร่างนี้สดใหม่และแข็งแกร่งยิ่งกว่า จึงร้องอย่างเริงร่ายิ่งกว่า ทว่าเมื่อพวกมันปีนขึ้นไปบนร่างเทพของซังซังได้ เสียงอันเริงร่าพลันกลายเป็นเสียงกรีดร้องหวาดกลัวในทันที และครู่ต่อมาพวกมันก็ถูกชำระล้างกลายเป็นความว่างเปล่า

    สองตาของหนิงเชวียที่คล้ายดวงดาวมองเห็นภาพเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน การสัมผัสรับรู้ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเกิดขึ้นที่ผิวหนัง มันสัมผัสรับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บสุดขีดที่พวกวิญญาณอาฆาตนำมา รวมถึงความโกรธแค้นอย่างรุนแรง เหมือนกับที่มันสัมผัสได้จากค่ายกลศาลามืดตรงผนังผาของเขาเถาซาน

    เพราะมีซังซังช่วยเหลือ ร่างกายมันจึงมีแสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนที่ไม่มีวันหมด แต่ก็ไม่อาจทำเหมือนร่างเทพของซังซังที่เพียงอาศัยอานุภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิดก็ทำให้วิญญาณอาฆาตเหล่านี้สลายไปได้

    ตามหลักแล้วตอนนี้มันควรเค้นแสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนออกมาเผาวิญญาณอาฆาตพวกนี้เสียให้ราบ แต่เมื่อนึกถึงว่าซังซังถูกพิษอย่างหนัก และการต่อสู้หลังพบปฐมพุทธะต่างหากที่สำคัญที่สุด มันจึงคิดอดออมไว้และปล่อยให้วิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนปีนอยู่บนร่างตนโดยไม่ทำอะไร

    ในช่วงเวลาอันสั้นเรือไม้ที่จมอยู่ก็ถูกวิญญาณอาฆาตเข้ายึดครอง ส่วนของเรือที่มีร่างซังซังอยู่สะอาดสะอ้าน ส่วนหัวเรือนั้นวุ่นวายและน่ากลัว วิญญาณอาฆาตหลายพันตนเบียดเสียดกันจนกลายเป็นลูกกลมสีดำลูกใหญ่ เหมือนฝูงปลาในมหาสมุทรลึกที่มีหนิงเชวียอยู่ข้างในสุด

    สายตามันมองทะลุวิญญาณพวกนี้ไปจนเห็นวิญญาณตนหนึ่งกำลังพยายามชอนไชจะเข้ารองเท้ามัน มันจึงยกเท้ากระทืบวิญญาณตนนั้นจนกลายเป็นเศษวิญญาณ

    ขณะที่มันเคลื่อนไหว วิญญาณอาฆาตที่เกาะร่างมันอยู่ประหนึ่งสาหร่ายลอยล่องกลับไม่ร่วงหล่น วิญญาณเหล่านี้ฉีกเสื้อผ้ามันอย่างกระเหี้ยนกระหาย กัดแทะผิวหนัง ส่งความเคียดแค้นชิงชังมากมายมหาศาลเข้าไปในร่างมัน ทั้งอยากชอนไชเข้าไปกัดกินเลือดเนื้อและดวงวิญญาณ

    สำหรับผู้ฝึกฌานสถานการณ์เช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก แต่หนิงเชวียกลับสงบนิ่ง เพราะมันเคยรับรู้ความรู้สึกหรืออาจเรียกว่าความทุกข์ทรมานทำนองนี้มาแล้ว มันรู้ว่าขอเพียงจิตใจสงบตั้งมั่นก็จะไม่มีอันตรายใดๆ

    มันเดินอยู่บนเส้นทางระหว่างความเป็นความตายมาตั้งแต่เด็ก รับการเคี่ยวกรำจากความทุกข์ยากต่างๆ นานาบนโลก ต่อมาเข้าสถานศึกษาได้ฝึกสุดยอดวิชา ได้หันหน้าเข้าผนังที่วัดเสวียนคง ทั้งยังได้ฝึกวิถีพุทธในโลกกระดานหมากแห่งนี้มานานปี หากเอ่ยถึงเรื่องจิตใจสงบตั้งมั่น โลกนี้มีสักกี่คนที่เหนือกว่ามัน

    หนิงเชวียไม่เคลื่อนไหว วิญญาณอาฆาตในแม่น้ำถาโถมกันเข้ามาในเรือ กลุ่มก้อนของวิญญาณผีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นใกล้สัมผัสผิวแม่น้ำแล้ว หนิงเชวียหลับตารอโอกาสอยู่ในกลุ่มก้อนวิญญาณผี

    ครู่ต่อมาวิญญาณอาฆาตในแม่น้ำส่วนใหญ่ก็ขึ้นมาบนเรือแล้วล้อมรอบมันพลางส่งเสียงเริงร่าเบาๆ บางขณะก็มีวิญญาณบางตนลอยอยู่ภายนอกด้วยท่าทางร้อนรน

    “ภูตผีทั้งหลายจงอย่าหลงลำพองให้มากไป”

    หนิงเชวียกล่าวเช่นนี้

    ด้วยการเคลื่อนพลังจิตของมัน สีแดงชาดปรากฏขึ้นที่ก้นแม่น้ำอันมืดมนพร้อมกับเสียงกรีดร้องก้องกังวาน จูเชวี่ยออกจากดาบมาบินฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็วรอบกายมัน

    บริเวณที่สองปีกของจูเชวี่ยพาดผ่าน น้ำในแม่น้ำจะเดือดจนเกิดฟอง ด้วยอัคคีที่พ่นออกมาอย่างบ้าคลั่ง พวกวิญญาณอาฆาตที่ล้อมรอบหนิงเชวียอยู่มีหรือจะหนีทัน พวกมันทยอยกลายเป็นควันไปพร้อมเสียงร้องโหยหวน

    ในพริบตาหัวเรือพลันสดใส รอบกายหนิงเชวียเหลือเพียงน้ำในแม่น้ำที่ใสสะอาด ไหนเลยยังมีวิญญาณอาฆาต ไหนเลยยังมีความหนาวเย็นและความอาฆาตแค้น

    มีวิญญาณอาฆาตสิบกว่าตนที่ไม่ได้ขึ้นเรือมา เดิมทีพวกมันมีความไม่ยินยอม แต่เห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้จึงหนีสุดชีวิตไปสู่ที่มืดพลางส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

    จูเชวี่ยมีหรือจะยอมให้สิ่งโสโครกพวกนี้หนีรอด มันจึงกรีดร้องกระพือปีกบินไล่ตาม ปีกอัคคีเพียงโฉบเบาๆ วิญญาณอาฆาตพวกนั้นก็กลายเป็นควันไป

    ทว่าขณะที่จูเชวี่ยได้ใจเตรียมจะบินกลับเรือ ในแม่น้ำอันดำมืดพลันปรากฏเงาขาวโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ มัดจูเชวี่ยไว้!

    จูเชวี่ยกรีดร้องอย่างเดือดดาล ขยับปีกดิ้นรนไม่หยุดแต่กลับขยับไม่ได้แม้แต่น้อย

    พอเห็นดังนี้หนิงเชวียพลันสีหน้าเคร่งขรึม

    มันรู้ดีว่าพลังของจูเชวี่ยที่เป็นยันต์พิฆาตของค่ายกลสยบเทวะใกล้เคียงกับการโจมตีสุดกำลังของด่านรู้ชะตาขั้นปลาย เงาขาวปราบมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ต้องมีพลังที่เหนือกว่าด่านทั้งห้าอย่างแน่นอน

    เงาขาวนั่นคืออะไร หนิงเชวียรู้สึกคุ้นตา พอมองอย่างละเอียดจึงรู้ว่าที่แท้เป็นแส้กระดูกขาว เพียงแต่หนากว่าแส้กระดูกขาวที่เจอก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า

    ตอนนี้แส้กระดูกขาวนั่นกำลังเคลื่อนออกมาจากที่มืดช้าๆ

    จูเชวี่ยถูกกระดูกขาวมัดอยู่ ไร้เรี่ยวแรงหลบหนี ช่างน่าสงสารจริงๆ

    หนิงเชวียมองแส้กระดูกขาวที่ค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากที่มืดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันเห็นร่างขนาดใหญ่มหึมาด้านหลังแส้กระดูกขาวแล้วก็แตกตื่นตะลึงลานจนพูดไม่ออก

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘สยบฟ้า พิชิตปฐพี 35’ วางขาย 9 มิถุนายน 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook