ในวิหารเทพแสงสว่าง
ซังซังยกมือขวาขึ้นจับลูกธนูลงมาคล้ายลูกธนูดอกนี้ลอยนิ่งรอให้นางจับอยู่นานแล้ว มือของนางสามารถบังจันทราคว้าดวงดาว สำมะหาอะไรกับลูกธนู
ลูกธนูหม่นหมองไร้แสงอยู่หว่างนิ้วมือขาวนวลของนาง
นางโยนมันลงพื้นอย่างไม่แยแสแล้วมองหลิ่วไป๋
หลิ่วไป๋กุมด้ามกระบี่มองนางมาตลอด
พอสบตา ฟ้ากับคนก็เชื่อมถึงกัน มีข้อมูลมากมายถ่ายทอดไปมาระหว่างนางกับหลิ่วไป๋
นางรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลก ถ้าให้มันมีชีวิตยาวนานพอ บางทีมันอาจแข็งแกร่งเหมือนเจ้าบ้าคนนั้นจริงๆ ก็ได้ ทว่าบัดนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น ในการคำนวณของเฮ่าเทียน อย่างน้อยบัดนี้มันน่าจะยังเดินไม่ถึงจุดนั้น ที่แท้ในตัวมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกอย่างหนึ่งมันเดินล่วงหน้ามาถึงก้าวนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่รอต่อไปอีกสักหลายร้อยปี รอจนถึงวันที่มันแข็งแกร่งที่สุด
นางถามคำถามของตนต่อหลิ่วไป๋
หลิ่วไป๋ก็ตอบอย่างจริงจัง
“หน้าหุบเขาชิงสยาข้าได้เห็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมของจวินโม่และเยี่ยซู จวินโม่ไม่มองจึงไม่เห็นหวงเหอของข้า ทำให้ข้าเข้าใจ หลี่มั่นมั่นใช้คนส่งปราณสายหนึ่งมาให้ข้า นั่นคือความคิดเห็นของสถานศึกษาที่มีต่อโลกมนุษย์ ทำให้ข้าเข้าใจ ไปเมืองหลินคังแล้วเห็นเยี่ยซูเผยแผ่มรรคในย่านคนจน ทำให้ข้าเข้าใจ สุดท้ายโลหิตร้อนระอุของสาวน้อยที่เปื้อนกระบี่เหมือนเป็นสิ่งชี้ทางสว่างแก่ข้า ทำให้ข้ารู้แจ้ง”
“มดปลวกเขย่าต้นไม้หาใช่ง่ายดาย”
“กระบี่ข้าไม่เหนือด่านทั้งห้า หากเหนือด่านทั้งห้ามีธรณีประตูก็ฟันทิ้งให้หมด แม้แต่ความไร้ขอบเขตก็ฟันให้ขาดสะบั้นได้”
“ตอนฟันกระบี่ สุดท้ายสิ่งที่ถูกฟันคือตัวเจ้าเอง”
“ทอดตาไปทั่วหล้า เจ้าอารามพิการ หลี่มั่นมั่นสู้ไม่เก่ง ปีศาจสุราและคนขายเนื้อด่านฌานสูงแต่ไร้ใจ เป็นแค่เนื้อเน่าๆ สองชิ้น มรรคากระบี่ของข้ามีความสำเร็จขั้นสูงไร้เทียมทานในปฐพี จึงคับแค้นใจ”
“คับแค้นสิ่งใด”
“คับแค้นใจที่ไม่อาจประลองกระบี่กับเคอเฮ่าหราน คับแค้นใจที่ไม่อาจดื่มสุรากับเหลียนเซิง คับแค้นใจที่ไม่อาจเกิดเมื่อพันปีก่อน ไม่ได้สู้กับแสงสว่างในทุ่งร้าง ไม่ได้มีชีวิตร่วมยุคกับจอมปราชญ์ ปราชญ์รุ่นก่อนจากลา ปราชญ์รุ่นหลังยังไม่มา ข้าอยากชักกระบี่ขึ้นถามฟ้า น่าเสียดายประตูสู่ฟ้าถูกทำลาย ไร้หนทางขึ้นฟ้าแล้ว ข้าจึงรู้สึกเดียวดายนัก”
หลิ่วไป๋มองนางที่อยู่เบื้องหน้ากระบี่ เอ่ยอย่างถอนใจว่า
“ข้าไม่สนใจโลกที่กว้างใหญ่ เศร้าเสียใจกับความไม่จีรัง แล้วจู่ๆ เจ้าก็มายังโลกมนุษย์ เช่นนี้ข้าจะไม่มาหาเจ้าได้อย่างไร”
มดปลวกเขย่าต้นไม้หาใช่ง่ายดาย เหตุใดเจ้าจึงกล้ามาเขาเถาซาน…นี่คือคำถามของเฮ่าเทียน
ข้าไร้เทียมทานในโลก ไม่สู้กับฟ้าจะสู้กับใคร…นี่คือคำตอบของกระบี่แห่งโลกมนุษย์
เป้าหมายการฝึกฌานของมนุษย์คืออะไรกันแน่ ตามแนวคิดของนิกายเต๋า นี่คือของขวัญที่เฮ่าเทียนประทานให้ แต่สำหรับสถานศึกษาและคนอย่างหลิ่วไป๋ การฝึกฌานไม่เกี่ยวข้องกับเฮ่าเทียน แต่เป็นวิธีการทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น เมื่อฝึกฌานจนถึงที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรต้องเงยหน้ามองฟ้าแล้วชี้กระบี่ไป
สมัยก่อนเคอเฮ่าหรานทำเช่นนี้ พันปีที่ผ่านมาจอมปราชญ์ก็ทำเช่นนี้ ปัจจุบันสถานศึกษาก็กำลังทำเช่นนี้ บัดนี้ถึงคราวกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเล่มนี้แล้ว
ตัวหลิ่วไป๋คือกระบี่เล่มหนึ่ง
เมื่อก่อนกระบี่ในมือมันคือกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก บัดนี้ตัวมันกลายเป็นกระบี่แล้ว รวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่แห่งโลกมนุษย์เล่มที่จอมปราชญ์เคยใช้ อย่างนี้แล้วต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการฝึกฌาน
เป็นจริงดังวาจาของมัน มันไม่ได้ก้าวข้ามด่านทั้งห้า เมื่อก่อนมันไม่กล้าข้าม ต่อมาไม่จำเป็นต้องข้าม ส่วนบัดนี้มันไม่สนใจแล้วว่าจะข้ามหรือไม่ข้าม เพราะในเมื่อมันคือกระบี่ หากมีธรณีประตูขวางหน้า ทำลายซะก็สิ้นเรื่อง สุดท้ายแล้วกระบี่เล่มนี้จะฟันใส่ตัวเองอย่างที่นางพูดหรือไม่ มันไม่สนใจ เพราะสำหรับมันเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนุกเพียงหนึ่งเดียวแล้ว
หน้าศาลากระบี่ที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ ศิษย์หลายร้อยคนคุกเข่าอยู่ ยอดเขาที่รูปร่างคล้ายกระบี่สีดำจู่ๆ ก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งขึ้นแทงฟ้า
ตอนที่ศิษย์ทั้งหลายจะแหงนหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึงกลับพบว่ายอดเขารูปกระบี่ยังอยู่ที่เดิม
วิหารเทพแสงสว่างสะเทือนเลื่อนลั่น เจตนารมณ์กระบี่อันเที่ยงตรงน่าเกรงขามทำให้กำแพงศิลาอันแข็งแรงปรากฏรอยกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน ตะเกียงหมื่นปีที่มอดดับมาแล้วหลายเดือนพลันขาดเป็นสามท่อน
สายลมฤดูสารทที่พัดขึ้นมาจากหน้าผาพอมาถึงลานระเบียงก็ถูกซอยจนถี่ยิบ เหมือนลมวสันต์ที่เย้ายวนใจผู้คน ความเย้ายวนใจนี้ยากจะทนไหว ไม่ใช่ยากจะทนไหวราวยินดีที่ได้พบเหยื่อ แต่เป็นความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้พบมหามรรค
ซังซังอยู่ที่ลานระเบียง นิ่งมองหลิ่วไป๋ที่อยู่เบื้องหน้า
หลิ่วไป๋ใช้มือขวาเสือกแทงกระบี่ไปเบื้องหน้าด้วยความปรีดาที่เต็มหัวใจ