• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สองนครสิบห้าวัน ครั้งที่2

    บทที่ 2

     

    นี่มันจงใจสังหารกันชัดๆ!

    อู๋ติ้งหยวนแววตาเป็นประกาย เขาส่งบรรทัดเหล็กไปทางด้านหลังด้วยท่วงท่าปราดเปรียว เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้นคราหนึ่ง บรรทัดเหล็กขวางการโจมตีจากปลายดาบของอีกฝ่ายได้ทันกาล ก่อนจะเบี่ยงร่างไปทางด้านซ้ายแล้วฟาดฝ่ามือขวากระแทกใส่หน้าของคนที่โจมตีเข้ามาอย่างไม่มีชะงักลังเล นายทหารร่างสูงนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับดุดันรวดเร็วเช่นนี้ ทำเอาเลือดกำเดาไหลทะลักออกจมูก ร่างซวนเซล้มหงายหลัง

    หลังจัดการอีกฝ่ายได้ในคราเดียว อู๋ติ้งหยวนก็ฉวยจังหวะใช้ไหล่ขวาดันร่างของเด็กหนุ่มใส่ทหารร่างเตี้ยที่อยู่ตรงหน้า แขนของเด็กหนุ่มถูกมัดไว้ทั้งสองข้าง ร่างจึงเซตุปัดตุเป๋ไปทางด้านหน้า ถลาเข้าสู่อ้อมอกของทหารร่างเตี้ยคนนั้น

    อู๋ติ้งหยวนอาศัยช่องว่างขณะคนทั้งสองพัวพันกันอยู่ขยับเท้าขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว มือเขาชักดาบพกบนเอวของทหารร่างเตี้ยผู้นั้นออกมาแล้ว ‘ฟุ่บ’ เสียบดาบเข้าข้างอกของอีกฝ่าย ก่อนจะชักมันออกอย่างรวดเร็ว ร่างของเด็กหนุ่มกับทหารนายนั้นทรุดลงกับพื้นพร้อมกัน ทหารตัวสูงที่หกล้มไปก่อนหน้านี้ตั้งสติได้อีกครั้ง ก่อนคำรามเสียงดังแล้วเหวี่ยงดาบฟันลงมา ทว่าอู๋ติ้งหยวนหมุนร่างยกดาบขึ้นรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้ทันท่วงที

    ดาบทั้งสองเล่มปะทะกัน สะเก็ดไฟสาดกระเซ็น ทหารตัวสูงเดิมคิดว่าอู๋ติ้งหยวนเป็นพวกไม่เอาไหน สุรานารีครอบงำกายใจหมดสิ้น ยามนี้ถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายแท้แล้วเป็นพวกคมในฝัก เป็นยอดฝีมือที่ไม่ยอมแสดงตน

    ทว่าเพียงประมาทชั่วขณะ สำหรับอู๋ติ้งหยวนก็นับว่าพอแล้ว ที่เขาใช้ดาบเยี่ยนหลิงรับมืออีกฝ่ายก็แค่กระบวนท่าแรกเท่านั้น อู๋ติ้งหยวนขยับบรรทัดเหล็กในมือขวาแทงใส่เอวของอีกฝ่ายอย่างไม่ให้ตั้งตัว ทหารตัวสูงนายนั้นร้องอย่างเจ็บปวดออกมาคราหนึ่ง การเคลื่อนไหวชะงักฉับพลัน ตามติดมาด้วยเสียงร้องชวนเวทนา เพราะคมดาบของดาบเยี่ยนหลิงกรีดลำคอเขาเป็นแผลลึก เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดไกลหลายฉื่อ*

    นับแต่เริ่มลงมือจนสิ้นสุด การโจมตีตั้งรับแม้จะดำเนินไปเพียงไม่กี่จังหวะ ทว่าลมหายใจกลับราบรื่นไม่มีติดขัด อู๋ติ้งหยวนปักดาบเยี่ยนหลิงลงบนริมฝั่งและนั่งยองๆ ลงกับพื้น หายใจหอบถี่ เพราะด้วยติดสุรามาช้านาน ทำให้กำลังกายมีจำกัด ได้แต่ต้องอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังดูแคลนตนชิงโอกาสลงมือก่อน หากประจันหน้ากันนานๆ ตนหนึ่งศัตรูสองคงยากจะชนะได้

    พวกนี้ต้องเป็นคนที่ระเบิดเรือพระที่นั่งแน่ พวกเขาออกค้นหาไปตามแม่น้ำเพราะต้องการปิดปากคนที่โชคดีรอดตายจากเรือพระที่นั่ง ยามนี้ศัตรูตายหมดแล้ว ทว่าใบหน้าของอู๋ติ้งหยวนกลับไม่ได้ปลาบปลื้มดีใจ ตรงกันข้ามกลับนึกเสียใจ

    ทหารตัวสูงคนนั้นรู้จักอู๋ปู้ผิง นั่นก็แปลว่าคนที่ระเบิดเรือได้ซื้อตัวผู้คนในเมืองหนานจิงไว้ไม่น้อยแล้ว และนั่นก็หมายความว่านับแต่นี้ระหว่างทางไม่ว่าจะพบเจอผู้ใดก็ล้วนเป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นอาจเป็นเขี้ยวเล็บของคนที่ลงมือระเบิดเรือพระที่นั่ง ต่อให้เป็นคนคุ้นเคยก็ไม่แน่ว่าอาจชักดาบเล่นงานกันได้ทุกเมื่อ คนพวกนี้มีกันอยู่เท่าใด แล้วควรจัดการเช่นไร เขาคนเดียวลำพังมิอาจให้คำตอบอันใดได้

    พวกโจรถ่อยที่กำเริบเสิบสานกล้าระเบิดเรือพระที่นั่งขององค์รัชทายาทมีหรือจะยอมให้เขานำตัวพยานเพียงหนึ่งเดียวไปมอบให้ทางราชการง่ายๆ ตรงกันข้ามมีแต่จะหมายกำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้น

    อู๋ติ้งหยวนมองดูกำแพงเมืองสูงตระหง่านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หลังกำแพงเมืองยาวเหยียดราวกับทะลักท้นไปด้วยเจตนาชั่วช้าไร้สิ้นสุด เหมือนหนึ่งเมฆดำที่แผ่ขยายปกคลุมท้องนภาเหนือนครหลวงเดิมรวดเร็ว เขาตระหนักได้ว่าการที่ตนเองเผลอใจอ่อนช่วยชีวิตเด็กหนุ่มรายนี้ไว้กำลังทำให้ตนเองจมปลักอยู่ท่ามกลางบ่อเลนแห่งภยันตราย

    ทว่านึกเสียใจยามนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาลงมือสังหารคนไปแล้วสองคน ต่อให้ทิ้งเด็กหนุ่มนี่ไปเสียตอนนี้ก็รังแต่จะดึงดูดมือสังหารให้กรูกันมามากขึ้น อู๋ติ้งหยวนก้มหน้ามองดูเด็กหนุ่มด้วยสายตาเอือมระอา นักโทษคนนั้นยังคงหมอบอยู่ข้างศพของทหารรูปร่างเตี้ย ถึงศีรษะจะถูกคลุมปิดไว้ แต่กลิ่นคาวเลือดฉุนแสบจมูกนั้นกลับขวางไม่อยู่ เด็กหนุ่มดิ้นรนหวาดผวาไม่หยุด

    หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงปล่อยให้อีกฝ่ายจมน้ำตายอยู่ใต้แม่น้ำฉินไหวไปนานแล้ว อู๋ติ้งหยวนนึกเสียใจ

    น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง อู๋ติ้งหยวนถอนหายใจ ลงมือทิ้งร่างทหารสองนายลงแม่น้ำ หลังจากนั้นก็คว้าตัวนักโทษขึ้นจากพื้น ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เงินบำเหน็จอันใดยามนี้หามีความหมายไม่ คนผู้นี้มีแต่จะชักพามือสังหารมาอีกมากมายนับไม่ถ้วน ทางที่ดีเขาควรโยนเผือกร้อนนี้ให้พ้นตัวไปแต่โดยไว

    แต่ไม่ว่าเช่นไรสุดท้ายเขาก็ต้องหาผู้เป็นบิดาให้พบก่อน

    อู๋ปู้ผิงมีฐานะเป็นหัวหน้ามือปราบเขตอิ้งเทียน ยามนี้น่าจะกำลังลาดตระเวนอยู่บนถนนฉางอัน ซึ่งเป็นถนนต้องเดินทางผ่านหากต้องการเข้าสู่เขตวังหลวง จากลานซั่นกู่ไปถึงถนนฉางอัน เส้นทางที่สั้นที่สุดคือมุ่งหน้าขึ้นเหนือเดินทางผ่านเข้าเมืองทางประตูทงจี้ ประตูทงจี้ตั้งอยู่ข้างท่าเรือด่านตงสุ่ย เป็นหนึ่งในประตูเมืองทั้งสิบสามแห่ง หลังเข้าเมืองจะพบกับถนนใหญ่ทงจี้อันกว้างขวาง เดินทางขึ้นเหนือขนานไปกับแม่น้ำฉินไหวส่วนใน ครั้นเลี้ยวซ้ายก็จะพบกับถนนฉางอัน

    ทว่าตอนนี้ท่าเรือด่านตงสุ่ยเป็นอัมพาตไปแล้ว หน้าประตูทงจี้หรือก็โกลาหล อู๋ติ้งหยวนมองดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาเห็นอยู่ไกลๆ ว่ามีคนนับไม่ถ้วนวิ่งกันออกมากรูกันเข้าไป เสียงดังเอะอะไม่ต่างอันใดกับผึ้งแตกรัง อย่าว่าแต่จะผ่านเข้าไปเลย แม้แต่เข้าไปใกล้ก็ยังอันตราย ขนาดในเรือพระที่นั่งศัตรูยังนำดินระเบิดไปซุกซ่อนไว้ได้ ดีไม่ดีที่ท่าเรืออาจยังมีการเตรียมการอื่นอีก

    อู๋ติ้งหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตัดสินใจนำตัวนักโทษผู้นี้ไปทางทิศตะวันออก ห่างออกไปทางทิศตะวันออกสามหลี่ยังมีประตูเมืองอีกแห่งชื่อประตูเจิ้งหยาง เมื่อผ่านเข้าไปก็จะถึงทางตอนใต้ของวังหลวงซึ่งห่างจากถนนฉางอันไม่ไกลนัก อย่างไรที่นั่นก็เป็นประตูหน้าถนนหลวง อีกฝ่ายต่อให้มีอิทธิพลสักแค่ไหน ก็คงไม่ถึงขั้นซื้อทหารรักษาการณ์ทั้งหมดได้

    นักโทษผู้นี้คงถูกกลิ่นคาวเลือดการฆ่าล้างประหัตประหารเมื่อครู่ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อจึงไม่กระเสือกกระสนดิ้นรนอีก ยอมให้อู๋ติ้งหยวนคุมตัวเดินไปแต่โดยดี ทั้งคู่เดินลัดเลาะตามคูเมืองไปทางทิศตะวันออก เพียงไม่นานก็มาหยุดอยู่หน้าประตูเจิ้งหยาง

    แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก่อนหน้านี้ทำให้หอประตูหลังคาโค้งของประตูเจิ้งหยางส่วนหนึ่งพังทลาย ประตูเมืองไม่อาจปิดสนิทได้เหมือนดังเคย ยามนี้กำลังซ่อมแซมอยู่ หน้าประตูเมืองสีเทาดำเต็มไปด้วยนั่งร้านไม้ไผ่แน่นขนัด ใต้ระเบียงเต็มไปด้วยแอ่งโคลนแผ่นกระเบื้อง ประตูเหล็กขนาดใหญ่สองบานที่เพิ่งถูกถอดออกจากบานพับเอียงพิงอยู่ข้างๆ เผยให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่

    กองกำลังทหารรักษาการณ์กับคนงานช่างซ่อมกลุ่มใหญ่ต่างรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตู พวกเขาต่างตื่นตระหนกกระซิบกระซาบพูดคุยกัน แม้แต่หัวหน้าคนงานกับแม่ทัพประตูเมืองก็ยังอกสั่นขวัญแขวน ชะเง้อมองไปทางทิศตะวันตกอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเองก็คงได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องนั่นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์หนักหนาสาหัสแค่ไหนเท่านั้น

    อู๋ติ้งหยวนแสดงป้ายโลหะประจำตัว บอกว่าต้องการกุมตัวนักโทษเข้าเมือง ทหารเฒ่าที่รับผิดชอบตรวจสอบนายหนึ่งเอ่ยปากเตือน “เจ้าเปลี่ยนไปใช้ประตูเมืองอื่นดูเถอะ ที่นี่วันนี้ไม่สะดวก”

    “ไม่ได้ นักโทษผู้นี้ต้องรีบนำตัวส่งศาลว่าการด่วน มิอาจชักช้า!” อู๋ติ้งหยวนกุมบรรทัดเหล็กตามสัญชาตญาณเพราะเกรงว่านี่อาจเป็นมือสังหารของพวกศัตรูเช่นกัน ทหารเฒ่ายังคิดเอ่ยปากเตือนขึ้นอีกประโยค ทว่าอู๋ติ้งหยวนกลับพูดเสียงแข็ง “คดีนี้พัวพันถึงการลอบสังหารองค์รัชทายาท หากมอบตัวคนร้ายล่าช้า เจ้าแบกรับความผิดนี้ไหวหรือ”

    พอได้ยินว่าเรื่องนี้ถึงขั้นคอขาดบาดตาย ทหารเฒ่าก็มือไม้สั่นรีบคืนป้ายประจำตัวให้อู๋ติ้งหยวนแล้วเปิดเส้นทางคับแคบสายหนึ่งขึ้น “นี่เป็นเส้นทางที่เจ้าต้องการไปเอง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะโทษข้าไม่ได้เด็ดขาด”

    อู๋ติ้งหยวนคุมตัวนักโทษเดินเข้าไปยังอุโมงค์ดำมืดเหนือประตูเมืองท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของทหารยามและพวกคนงาน

    ก่อนย้ายนครหลวง ประตูเจิ้งหยางเป็นประตูใหญ่ออกสู่เมืองหลวงชั้นนอก มันจึงถูกสร้างขึ้นอย่างใหญ่โตโอ่อ่า ความกว้างของมันมากพอให้รถม้าสองคันวิ่งผ่านไปได้พร้อมกัน พื้นปูลาดไว้ด้วยแผ่นหิน ขอบประตูทั้งสองข้างก่อด้วยอิฐดำ ยอดบนเหนือซุ้มกำแพงใช้หินแผ่นดำตัดเจียนขอบอย่างดี ทว่ายามนี้กำลังซ่อมแซม ดังนั้นที่หน้าประตูจึงเต็มไปด้วยกองข้าวของวัสดุที่ต้องใช้ในการก่อสร้าง บดบังแสงสว่างไปกว่าครึ่ง

    อู๋ติ้งหยวนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในเจ็ดแปดก้าว รอบด้านมืดดำไม่ต่างอันใดกับโพรงลึก ยามนี้เดือนห้าอากาศด้านนอกอบอ้าว ทว่าในประตูเมืองกลับเย็นยะเยือก ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาตามร่องกระเบื้องตามรอยแยกบนพื้นลามเลียไต่ตามขาเขาขึ้นมา

    หลังจากพวกเขาเดินไปได้ครึ่งทาง อู๋ติ้งหยวนก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองและได้รู้ว่าเหตุใดทหารเฒ่าถึงได้มีท่าทีแปลกประหลาดเช่นนั้น

    ที่แท้เหนือหัวเขาก็มีแผ่นหินขนาดใหญ่ยาวสามจั้งกว้างหนึ่งจั้งแขวนอยู่ แผ่นหินยังไม่ถูกอัดเข้าไปในเพดานโค้ง ยามนี้มีแค่เชือกปอไม่กี่เส้นรั้งมันแขวนค้างส่ายไหวไปมาอยู่กลางอากาศ ทางด้านล่างของเพดานโค้งเต็มไปด้วยเศษซากนั่งร้าน เห็นได้ชัดว่าแรงระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้นั่งร้านที่รับน้ำหนักมันไว้สั่นสะเทือนจนพังทลายลงมาหมดสิ้น แผ่นหินที่ถูกยกขึ้นไปได้ครึ่งตกอยู่ในสภาพลอยคว้างอยู่กลางอากาศ และเพราะไม่รู้ว่าแผ่นดินจะไหวขึ้นอีกเมื่อไร ด้วยเกรงว่าหินจะตกลงมาทับคนตาย พวกคนงานจึงพากันอพยพหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองก่อน

    หินขนาดยักษ์สีเขียวครามขอบป้านเรียบหนาก้อนนี้ขุดมาจากเขามู่ฝู่ มันส่ายไหวไปมาช้าๆ อยู่ท่ามกลางความมืดเยี่ยงระฆังแขวน ความรู้สึกคุกคามบีบคั้นยิ่งยวดตลอดเวลาเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง ทว่าไม่รู้เหตุใดอู๋ติ้งหยวนถึงไม่ได้รีบหลบ ตรงกันข้ามเขากลับยิ้มขื่นแฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ

    ภายในอุโมงค์กำแพงเมืองมืดมิดไร้แสงตะวันนี้ ไม่ว่าจะทางมาหรือทางไปก็ต่างล้วนไม่อาจเห็นอันใดชัดแจ้ง ทว่าเหนือหัวขึ้นไป ความอยู่รอดของพวกเขากลับแขวนค้างอยู่ด้วยเชือกเพียงไม่กี่เส้น ทว่าลางสังหรณ์ไม่สู้ดีแฝงไว้ซึ่งอารมณ์เสียดสีถากถางนี้กลับทำให้อู๋ติ้งหยวนยิ่งจดจ่อ ว่ากันว่าคนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามใหญ่หลวง สายตากลับจะยิ่งมุ่งมั่น ภาพจินตนาการว่าร่างอาจถูกทับกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่งได้ตลอดเวลาทำให้เขาขนลุกตั้งชัน ยากจะบอกได้ว่าเพราะหวาดหวั่นหรือตื่นเต้นกันแน่

    ส่วนนักโทษที่อยู่ข้างตัวเขาเนื่องจากถูกคลุมหัวไว้ตลอดเวลาจึงไม่รู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายแค่ไหนและทำได้เพียงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงส่งเสียงกระวนกระวายออกมาคราหนึ่ง พาอู๋ติ้งหยวนที่อยู่ท่ามกลางจินตภาพแห่งความตายกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง อู๋ติ้งหยวนชำเลืองดูแผ่นหินขนาดยักษ์เหนือหัวอีกคราว ก่อนส่ายหน้าแล้วลากนักโทษเดินต่อไป

    เพียงไม่นานทั้งคู่ก็ผ่านพ้นอุโมงค์ประตูเมือง ภาพตรงหน้าพลันสว่างไสว ยามนี้พวกเขาเข้ามาถึงยังเขตเมืองชั้นในแล้ว ทางตอนเหนือของประตูเจิ้งหยางมีถนนค่อนข้างกว้างอยู่สายหนึ่งชื่อถนนฉงหลี่ ที่ปลายสุดฝั่งตะวันตกของมันเชื่อมติดอยู่กับถนนฉางอันพอดี

    ถนนฉงหลี่ยามนี้เองก็สับสนอลหม่านเช่นกัน ที่นี่เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่ง แรงระเบิดของเรือพระที่นั่งทำให้บริเวณนี้สับสนวุ่นวายสิ้น ทหารเดินเท้าทหารม้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าออกจากค่ายทหารรักษาการณ์มุ่งหน้าเร่งร้อนไปยังด่านตงสุ่ย เกือกม้ากับรองเท้าหุ้มข้อจำนวนนับไม่ถ้วนขุดดินเหลืองบนถนนให้ตลบฟุ้ง บรรดาเสมียนชั้นผู้น้อยจำนวนมากต่างชะโงกหน้าออกมาจากหน้าประตูศาลว่าการ ยืนงงอยู่ท่ามกลางฝุ่นธุลี

    อู๋ติ้งหยวนมองดูหน่วยกู้ภัยเหล่านั้น ก่อนตระหนักได้ว่าตนเองทำผิดไปเรื่องหนึ่ง

    เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้หัวหน้ามือปราบอย่างอู๋ปู้ผิงไหนเลยจะยังอยู่ที่ถนนฉางอันได้อีก ตรงกันข้ามมีแต่จะรีบตรงดิ่งไปด่านตงสุ่ยเป็นอันดับแรก

    ทว่าในเวลานี้ไหนเลยจะมีทางเข้าใกล้ท่าเรือด่านตงสุ่ยได้ อู๋ติ้งหยวนนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ เดิมเขาตั้งใจจะมอบตัวนักโทษให้ทางเขตอิ้งเทียนไปเลย ทว่าพอลองไตร่ตรองดูอีกที เขาก็พบว่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับสถานการณ์ในเวลานี้นัก ไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าศาลว่าการอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของเมือง ระหว่างทางอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นก็ได้ ต่อให้ไปถึงที่นั่นสำเร็จ ยามนี้ก็อาจไม่มีคนอยู่รับตัว เหล่าขุนนางชั้นสูงในเขตอิ้งเทียนเวลานี้ล้วนวิ่งไปประจบประแจงองค์รัชทายาทที่ด่านตงสุ่ยหมดสิ้นเป็นตายยากคาดเดา

    ส่วนที่ว่าการอื่นๆ ก็คงประสบปัญหาแบบเดียวกัน

    อำนาจกำกับดูแลความสงบในเมืองหนานจิงซับซ้อนยิ่งยวด สำนักห้ากำลังพลระวังเมืองคืนกลับให้กรมทหารหนานจิงดูแล สิบแปดกองกำลังองครักษ์หลวงขึ้นตรงต่อกองบัญชาการทหารสูงสุดห้าทัพ ศาลว่าการอิ้งเทียนกำกับการหมู่งานสามฝ่าย กองบัญชาการพิทักษ์เมืองควบคุมดูแลกุญแจประตูเมืองทั้งหมด เขตวังหลวงยังมีทหารราชองครักษ์ที่โยกย้ายจากนครหลวงเป่ยจิงมาเมื่อตอนต้นปีอีกหนึ่งกองพล

    หน่วยงานพิทักษ์ป้องกันเมืองเหล่านี้ล้วนมีผู้บัญชาการของตนเอง ไม่ก้าวก่ายกัน ทว่าเหตุระเบิดที่ท่าเรือด่านตงสุ่ยนี้ทำให้เถ้าถ่านกลุ่มควันพวยพุ่งสูง เจ้าหน้าที่จำนวนมากกลายเป็นฝูงมังกรไร้หัว เมืองหนานจิงเป็นอัมพาตสิ้น

    ที่อยู่ในมือเขายามนี้คือนักโทษของทางการ ทว่ากลับไม่รู้จะส่งตัวไปที่ใด

    อู๋ติ้งหยวนหันมองไปรอบๆ จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าทางตอนเหนือของถนนฉงหลี่ ระหว่างสำนักโหรหลวงกับสำนักข้าหลวงผู้แทนมีที่ว่าการประตูแดงผนังขาวอยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนไม่มีป้าย เสาประตูสองข้างทาสีดำ เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศบีบคั้นยิ่งยวดไม่เหมือนกับที่ว่าการทั่วไป ความคิดบางอย่างผุดขึ้นภายในใจเขา

    ที่นั่นคือหน่วยป้องปราบของกองกำลังจิ่นอีแห่งหนานจิง พวกเขาเป็นหน่วยงานอิสระไม่อยู่ใต้การควบคุมของที่ว่าการใดๆ ทำเพียงรับบัญชารวบรวมข้อมูลรายงานต่อกองกำลังจิ่นอีแห่งหนานจิงเท่านั้น ไม่แขวนป้าย ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใด ในแวดวงขุนนางของเมืองหนานจิงนับว่ามีฐานะไม่ธรรมดา

    อู๋ติ้งหยวนพ่นลมหายใจคราหนึ่ง ถึงจะนึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่การตัดสินใจโยนเผือกร้อนในมือนี้ให้องครักษ์จิ่นอีแทนอย่างไรก็ดีกว่าเก็บมันไว้กับตัว องครักษ์จิ่นอีไม่จำเป็นต้องตกรางวัลอันใดให้เขา เพราะอย่างน้อยนี่ก็ช่วยให้เขาสลัดเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงนี้พ้นตัวได้ ที่เขากลัวที่สุดก็คือเรื่องยุ่งยาก ในหัวคิดแต่เพียงรีบจบภารกิจเหนือความคาดหมายนี้ให้เร็วที่สุดแล้วกลับบ้าน ให้น้องสาวอุ่นสุราให้สักไห อยู่นิ่งๆ สงบจิตสงบใจสักพัก

    อู๋ติ้งหยวนลากเด็กหนุ่มเดินไปถึงที่นั่นแล้วเคาะประตูใหญ่ ก่อนจะพบว่าบานประตูถูกปิดงับไว้เฉยๆ แค่ผลักก็เปิดออกแล้ว เขาเดินเข้าไปด้านในสองสามก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตวาดโมโหดังลอยออกมา

    “บ้านเมืองมีภัย แต่พวกเจ้ากลับกล้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น?!”

    เสียงนี้ดังกังวานไม่ต่างอันใดกับระฆังใหญ่ แม้แต่กระเบื้องหลังคาก็ยังสั่นสะเทือน หลังพาเด็กหนุ่มเดินอ้อมกำแพงสะท้อน* อู๋ติ้งหยวนก็มองเห็นลานกลางสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ที่อยู่ด้านใน ขุนนางหนุ่มในอาภรณ์ขุนนางยาวสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน แขนทั้งสองข้างเหยียดตรงขวางองครักษ์จิ่นอีกลุ่มหนึ่งไว้

    ขุนนางหนุ่มคนนี้อายุน่าจะสักราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด รูปร่างไม่จัดว่าสูงใหญ่ สันจมูกโด่ง หางคิ้วชี้สูง คางสี่เหลี่ยม ยามเม้มปากใบหน้าแลดูดึงดันดื้อรั้นไม่ต่างอันใดกับศิลาแข็งแกร่ง

    หัวหน้ากองพันเฒ่าหนวดเคราสีดอกเลาคนหนึ่งตบดาบซิ่วชุน (ปักวสันต์) แล้วตวาด “พวกข้ากำลังจะไปท่าเรือช่วยเหลือพวกใต้เท้า เช่นนี้จะเรียกว่าไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร!”

    ขุนนางหนุ่มผู้นั้นเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว สายตาวับวาว “ด่านตงสุ่ยเกิดเรื่อง มีกองบัญชาการพิทักษ์เมืองดูแลอยู่แล้ว หน้าที่ขององครักษ์จิ่นอีเช่นพวกท่านมิใช่การกู้ภัย หากแต่เป็นการรีบดำเนินการตรวจสอบค้นหาตัวคนร้ายผู้ต้องสงสัย!”

    รองหัวหน้ากองพันอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อดส่งเสียงประชดหยันเย้ยคราหนึ่งมิได้ “เจ้ามันก็แค่ข้าหลวงผู้แทนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับวาจาโอหังบังอาจราวกับเป็นมหาราชบัณฑิต! แทนที่จะรออยู่ที่สำนักข้าหลวง กลับวิ่งมาชี้มือชี้ไม้อยู่ที่นี่” เขาเดินขึ้นหน้าหมายผลักอกข้าหลวงที่ยืนขวางทางออกไป

    เห็นอีกฝ่ายเดินมาคิดลงมือกับตน ข้าหลวงคนนั้นก็หน้าตาแดงก่ำ แอ่นอกพูดเสียงดัง “พวกเจ้ากรูกันไปที่ท่าเรือหมด คนร้ายย่อมฉวยโอกาสวุ่นวายนี้หลบหนี หากพลาดโอกาสนี้ตำหนักบูรพาย่อมตกอยู่ในอันตราย! พวกเจ้า…เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าใจ!”

    รองหัวหน้ากองพันเห็นเขาดื้อรั้นเช่นนั้นก็นึกลังเลไม่กล้าลงมือ ข้าหลวงผู้แทนแม้จะเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ลำดับหลักขั้นแปด ทว่าหากมิใช่บัณฑิตจิ้นซื่อ* ก็ใช่จะรับตำแหน่งนี้ได้ ขุนนางฝ่ายบู๊อย่างพวกเขามีหรือจะกล้าลงไม้ลงมือกับขุนนางฝ่ายบุ๋น ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงได้แต่ยืนประจันหน้ากันอยู่

    อู๋ติ้งหยวนพอฟังเข้าใจ ขุนนางผู้นี้น่าจะเป็นข้าหลวงของสำนักข้าหลวงผู้แทนหนานจิง หลังเรือพระที่นั่งระเบิด เขาจึงวิ่งมาหาองครักษ์จิ่นอีที่อยู่ข้างๆ ปรามคนพวกนี้ไม่ให้ไปกู้ภัยที่ท่าเรือ แต่ให้รีบดำเนินการตรวจสอบค้นหาตัวผู้ก่อการ

    หากมองจากมุมมองของเหล่าองครักษ์จิ่นอี เรื่องนี้นับว่าพิลึกพิลั่นยิ่งนัก งานประจำของสำนักข้าหลวงผู้แทนคือรับผิดชอบประกาศราชโองการ ออกเดินทางไปเป็นทูตยังต่างแดน วิ่งมาสั่งโน่นสั่งนี่อยู่ที่นี่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ทว่าผู้บัญชาการกองกำลังจิ่นอียามนี้เองก็อยู่ที่ท่าเรือ หัวหน้ากับรองหัวหน้ากองพันที่อยู่ที่นี่ไม่ต่างอันใดกับฝูงมังกรไร้หัว ต่างตะลึงนิ่งถูกขุนนางตัวเล็กๆ จากฝ่ายข้าหลวงผู้แทนขวางอยู่หน้าประตู

    พูดกันตามตรง อู๋ติ้งหยวนเองก็เห็นด้วยกับความคิดอ่านของข้าหลวงหนุ่มผู้นี้ หากองครักษ์จิ่นอีจะเดินทางไปเพิ่มความวุ่นวายที่ท่าเรือ มิสู้รีบใช้เวลานี้ไปตรวจสอบเบาะแส ทว่า…เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย

    ข้าหลวงผู้แทนก็แค่ตำแหน่งว่างๆ ลอยๆ เท่านั้น ถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่เท่ากับถูกกำหนดให้มาอยู่กินข้าวรอความตาย ไม่มีโอกาสได้เติบใหญ่อันใด ในเมืองหนานจิงมีขุนนางใหญ่มากมาย ไหนเลยต้องให้ขุนนางตัวเล็กๆ เช่นเจ้ามาร่วมวิตกกังวลเรื่องบ้านเมืองด้วย ข้าหลวงผู้แทนผู้นี้คงเป็นพวกกินข้าวเก่าค้างนานปีจนสมองเลอะเลือนหมดสิ้นแล้ว

    อู๋ติ้งหยวนคร้านเกินกว่าจะฟังพวกเขาทะเลาะกัน จึงกระแอมเสียงดังออกมาคราหนึ่ง

    ข้าหลวงผู้แทนกับเหล่าองครักษ์จิ่นอีต่างหันหน้ามาพร้อมกัน มองดูอู๋ติ้งหยวนด้วยแววตาประหลาดใจ เขาผลักนักโทษให้เดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง “ข้าน้อยมือปราบเขตอิ้งเทียน รับหน้าที่ยืนยามอยู่ที่ลานซั่นกู่ จับตัวผู้ต้องสงสัยระเบิดเรือพระที่นั่งได้คนหนึ่ง จึงนำตัวมามอบให้ใต้เท้า”

    ครั้นได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็ฮือฮากันขึ้นมาทันที อู๋ติ้งหยวนปลดผ้าคลุมศีรษะของผู้เป็นนักโทษออกแล้วเตะข้อพับขาอีกฝ่ายบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น องครักษ์จิ่นอีเหล่านั้นสองตาเบิกกว้าง มองดูใบหน้ามอมแมมสีหน้าเซื่องซึม เส้นผมเปียกแฉะกระเซอะกระเซิงลู่ตก บนหัวเต็มไปด้วยเศษเชือกเศษซากต่างๆ นานาของอีกฝ่าย

    อู๋ติ้งหยวนเล่าเรื่องที่เขาพบเจอที่ลานซั่นกู่ออกมาคร่าวๆ ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยาก จึงไม่เอ่ยถึงมือสังหารสองคนนั่น เหล่าองครักษ์จิ่นอีคุ้นเคยกับเรื่องสืบสวนจับกุมดี จึงเข้าใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีพฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ ขณะที่หัวหน้ากองพันเฒ่ากำลังขยับเข้ามาหมายซักถาม ข้าหลวงคนนั้นกลับชิงขยับขึ้นหน้าก่อน หลังจากพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ดึงเอาหมาเหอออกจากปากของนักโทษผู้นั้น

    ความโกรธที่สั่งสมมานานทะลักออกมาทันที “พวกบัดซบสมควรตาย! พวกเจ้ามันสุนัขตาไม่มีแวว! ข้าเป็นรัชทายาทของต้าหมิง! รัชทายาทของต้าหมิง! ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก! หาไม่แล้วข้าจะสั่งประหารพวกเจ้าสามชั่วโคตร! ไม่ เก้าชั่วโคตร! สิบชั่วโคตร!”

    ข้าหลวงผู้แทนสองตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขารีบปลดเชือกที่รัดอยู่บนมืออีกฝ่ายแล้วเลิกชายอาภรณ์คุกเข่าลงกับพื้น รีบเอ่ยปาก “องค์รัชทายาท!”

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำเอาเหล่าองครักษ์จิ่นอีที่อยู่รายรอบต่างงุนงงไม่เข้าใจ หัวหน้ากองพันเฒ่าเอ่ยปากสงสัย “ขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นเจ้าเหตุใดถึงรู้ได้ว่าองค์รัชทายาทรูปร่างหน้าตาเช่นไร”

    ข้าหลวงหนุ่มคนนั้นเชิดคางขึ้น “ข้าเป็นจิ้นซื่อรัชศกหย่งเล่อปีที่สิบเก้า ตอนเข้าสอบรอบสุดท้ายในพระราชวังเคยได้พบองค์จักรพรรดิไท่จงกับตา รูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้หามีอันใดผิดแผกแตกต่างจากพระองค์ไม่!”

    คนที่อยู่รอบๆ ยังคงไม่เชื่อ จูจันจีกระชากหยกประดับทรงก้อนเมฆสลักบัวเขียวบนคอออกแล้วชูขึ้นพลางตวาดโมโห “พวกเจ้าดู!”

    ยามนั้นเขาออกทัพไปพร้อมพระบิดา ตอนอยู่ในค่ายจักรพรรดิหย่งเล่อพระราชทานหยกชิ้นนี้ให้เขา ด้านบนมีอักษร ‘ใฝ่ใจเพียงหนึ่ง’ สี่คำสลักไว้ หยกนี้ไม่เคยอยู่ห่างกายเขา ผู้คนทั่วหล้าต่างรู้ดีว่านี่เป็นขององค์รัชทายาท เหล่าองครักษ์จิ่นอีครั้นได้เห็นก็ต่างพากันสิ้นข้อสงสัย ทรุดตัวหมอบอยู่กับพื้น เหลือก็แต่อู๋ติ้งหยวนคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนเนื้อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

    ผู้ต้องสงสัยคดีระเบิดเรือกลับกลายเป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิง

    นี่…นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเรือพระที่นั่งใกล้ถึงด่านตงสุ่ยแล้ว องค์รัชทายาทก็น่าจะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าขุนนางตำหนักบูรพาเพื่อเตรียมเสด็จลงจากเรือถึงจะถูก แล้วเหตุใดถึงวิ่งไปที่ท้ายเรือคนเดียวลำพังเช่นนั้น

    กระทั่งสองแขนของอู๋ติ้งหยวนถูกคนจับกุม เขาที่กำลังเหม่อลอยถึงได้รู้สึกตัว ที่แท้หัวหมู่ธงเล็กสองสามนายก็พุ่งตรงเข้ามาจับโจรกบฏอย่างเขาที่คุมตัวบีบบังคับองค์รัชทายาทไว้กับพื้นจนไม่อาจขยับเขยื้อน อู๋ติ้งหยวนร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาคราหนึ่งคล้ายเย้ยหยันตนเอง เขาไม่ดิ้นรนขัดขืน ทำเพียงก้มหน้าลงช้าๆ

    หัวหน้ากองพันเฒ่ารู้ว่าหากคนผู้นี้อยู่ที่นี่ก็รังแต่จะทำให้องค์รัชทายาทโมโหยิ่งขึ้น จึงตวาดสั่ง “เอาคนผู้นี้ไปขังไว้ในคุกก่อน ไว้ค่อยสอบสวนกันภายหลัง!”

    พวกหัวหมู่ธงเล็กเหล่านั้นขานรับออกมาคำหนึ่งแล้วกึ่งดึงกึ่งลากตัวอู๋ติ้งหยวนไปที่ลานด้านหลัง ครั้นเห็นเงาร่างของชายหนุ่มที่บุ่มบ่ามดุดันลับไปจากสายตา หัวหน้ากองพันเฒ่าก็ลงมือย้ายเก้าอี้ทรงกลมในลานออกมาตัวหนึ่งด้วยตนเอง เอ่ยปากประจบประแจงเชิญองค์รัชทายาทประทับพักผ่อนชั่วคราวก่อน

    ครั้นหย่อนก้นลงนั่งเป็นที่เรียบร้อย จูจันจีก็เหม่อมองดูกำแพงสะท้อน อกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ในหัวของเขาตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงเวลานี้ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เริ่มจากการระเบิดใหญ่ที่ทำให้คนเนื้อตัวแหลกเหลว ตามด้วยเกือบจมน้ำตายอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเย็นเยียบ หลังจากนั้นก็ถูกคนเอาผ้าคลุมหัว เตะๆ ต่อยๆ ไหนจะยังกลิ่นคาวเลือดฉุนแสบจมูกอีก หากนี่เป็นฝันร้ายตอนนี้เขาก็ควรตื่นได้แล้ว

    ข้าหลวงผู้แทนหยิบเอาหยกประดับบนพื้นขึ้นมา หลังตรวจสอบดูพบว่าไม่มีอันใดบุบสลาย เขาก็ประคองส่งให้จูจันจีอย่างนอบน้อมระมัดระวัง

    จูจันจีช้อนตาขึ้นมองก่อนพึมพำถาม “ตกลง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

    ทุกคนมองหน้ากันไปมา เรื่องราวทั้งหมดเป็นมาเช่นไร พวกเขาเองก็ไม่อาจบอกได้ชัดแจ้ง สุดท้ายข้าหลวงผู้แทนก็พูดเสียงดัง “เรือพระที่นั่งถูกคนร้ายวางระเบิด ส่งผลกระทบถึงร้อยขุนนางที่รอรับเสด็จอยู่ที่ท่าเรือด่านตงสุ่ยพ่ะย่ะค่ะ”

    หัวหน้ากองพันกับบรรดารองหัวหน้าต่างสะท้าน ช่างกล้าดีแท้ สถานการณ์แท้จริงเป็นเช่นไรยังไม่รู้ชัด กลับกล้าเอ่ยปากคาดเดาหนักแน่น หรือเขาคิดว่าตัวเองจะพูดอันใดก็ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง

    จูจันจีมองหน้าข้าหลวงผู้แทนปราดหนึ่ง เมื่อครู่ตอนถูกคลุมหัว เขาได้ยินคนพูด ‘ตำหนักบูรพาย่อมตกอยู่ในอันตราย’ จึงรู้สึกประทับใจยิ่ง “เจ้าชื่ออันใด”

    ขุนนางชั้นผู้น้อยรายนั้นรีบตอบ “กระหม่อมเป็นข้าหลวงของสำนักข้าหลวงผู้แทน นามอวี๋เชียน”

    ยามพูดจาน้ำเสียงของเขากระจ่างชัด แววตาเป็นประกาย หัวหน้ากองพันเฒ่านึกค่อนแคะอยู่ในใจ ยังไม่ทันถึงสามสิบก็ถูกส่งตัวมาอยู่ที่ทำการร้างเช่นนี้ยังจะมีอันใดให้ภูมิใจนักหนา

    จูจันจีพยักหน้า ก่อนกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าทำได้ดีมาก” หลังจากนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก

    อวี๋เชียนรีบฉวยโอกาสนี้พูดขึ้น “ยามนี้สถานการณ์ในเมืองสับสนวุ่นวาย ขอองค์รัชทายาทประทับอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน ไว้ได้รับรายงานจากเซียงเฉิงป๋อกับขันทีซานเป่าก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเคลื่อนไหวก็ยังไม่สาย”

    หัวคิ้วของจูจันจีขมวดเข้าหากันน้อยๆ “พวกเขายามนี้อยู่ที่ใด”

    อวี๋เชียนตอบ “ทั้งสองล้วนไปรับเสด็จองค์รัชทายาทอยู่ที่ท่าเรือด่านตงสุ่ย สถานการณ์ในยามนี้…เอ่อ ยังไม่รู้ชัด พระวรกายของพระองค์สำคัญใหญ่หลวง ทรงเป็นผู้ได้รับเมตตาจากสวรรค์ ควรส่งคนเดินทางไปสอบถาม รอท่านผู้บังคับการทหารหนานจิงทั้งสองเดินทางมาให้การสนับสนุนก่อน”

    อวี๋เชียนหน้าตาเรียบร้อยสง่างาม ยามพูดจาชอบสบตาอีกฝ่าย โน้มน้าวใจคนเก่ง จูจันจีตัดสินใจรับฟังคำพูดของเขาและเลือกที่จะรอดูสถานการณ์อยู่ยังที่ว่าการขององครักษ์จิ่นอีก่อน หัวหน้ากองพันเฒ่าไม่พอใจที่อวี๋เชียนแย่งเสนอหน้าจึงเดินขึ้นหน้ารายงานตนเองต่อองค์รัชทายาทเช่นกัน

    ทว่าตาเฒ่าผู้นี้เมื่อครู่คิดขัดขวางอวี๋เชียน จูจันจีจึงชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย หัวหน้ากองพันเฒ่าเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบขันอาสาเดินทางไปสืบข่าวที่ท่าเรือด้วยตนเอง ก่อนจะลนลานวิ่งออกไป

    หลังหัวหน้ากองพันเฒ่าจากไป คนที่อยู่ในลานก็รีบตักน้ำมาให้จูจันจี เชิญให้เขาล้างหน้าสางผมก่อน เหล่าองครักษ์จิ่นอีปกติคุ้นเคยกับการจัดการนักโทษ พอต้องปรนนิบัติรับใช้ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จึงเงอะงะงุ่มง่ามยิ่งยวด หลังฝืนล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่หนึ่ง จูจันจีก็ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างอ่อนล้าหมดแรงวางพาดอยู่บนที่เท้าแขนทั้งสองข้าง

    ปกติจะมีบ่าวรับใช้คอยจัดการเรื่องพวกนี้ให้อยู่เสมอ ทว่ายามนี้คนทั้งหนึ่งพันรวมทั้งไซ่จื่อหลงต่างเนื้อตัวแหลกละเอียด เหลือทิ้งไว้ก็แต่ผู้โดดเดี่ยวอย่างเขาเพียงลำพัง พอคิดถึงตรงนี้ใจของจูจันจีก็รู้สึกรันทดเหลือประมาณ ที่ตามมาติดๆ คืออารมณ์หวาดผวา ราวกับมีแส้หนังหวดลงบนเส้นประสาทในสมอง ทำให้ภาพเหตุระเบิดชวนประหวั่นนั้นถูกปลุกตื่น หวนคืนกลับสู่ความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่า

    อวี๋เชียนไม่กล้ารบกวนองค์รัชทายาท คนผู้หนึ่งจู่ๆ ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเช่นนี้ จำต้องใช้เวลาสงบจิตสงบใจสักระยะ เขาเดินไปหยุดอยู่หน้ารองหัวหน้ากองพันนายหนึ่ง บอกให้อีกฝ่ายนำชาร้อนมาให้องค์รัชทายาท ดีที่สุดคือใส่พุทราเปรี้ยวหรือเมล็ดสนที่มีคุณสมบัติช่วยกล่อมจิตใจให้สงบลงไปด้วย รองหัวหน้ากองพันสองตาเบิกโพลง ในใจคิดเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้าสั่งองครักษ์จิ่นอีทำนั่นทำนี่ ทว่าครั้นพอคิดดูอีกที องค์รัชทายาทเพิ่งชื่นชมคนผู้นี้ว่า ‘เจ้าทำได้ดีมาก’ ดังนั้นเขาจึงหันมาตวาดสั่งคนที่อยู่ข้างๆ อย่างโมโหให้ไปชงชามาแทน

    อวี๋เชียนถามหาที่ตั้งของคุก บอกว่าตนต้องการไปพบคนที่จับกุมตัวองค์รัชทายาทสักหน่อย รองหัวหน้ากองพันคิดจะปฏิเสธ ทว่าเขาต้านสายตาหนาวสะท้านเยี่ยงดาบคมกริบของอวี๋เชียนไม่ไหว จึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์เอ่ยตอบรับ แล้วเรียกหัวหมู่ธงเล็กนายหนึ่งให้นำทางไป พร้อมสั่งให้คอยจับตาดูอีกฝ่ายให้ดี อย่าให้คนผู้นี้ทำสิ่งใดนอกเหนือไปกว่านั้น

    อวี๋เชียนตามหัวหมู่ธงเล็กเข้าไปยังโถงสองที่อยู่เรือนด้านหลัง หลังประตูบุปผาย้อย* คือระเบียงทางเดินที่แกะสลักขื่อคานเป็นลายประแจขด ที่อยู่รายรอบล้วนเป็นห้องปีกข้างชายคาซ้อน ทางฝั่งเหนือคือโถงรับรอง ส่วนที่อยู่ลดหลั่นไปตลอดสองข้างทางคือห้องลงนามหัวหน้างาน ห้องบันทึกความ ห้องผลัดเวร คลังเก็บสำนวน ส่วนคุกก็ตั้งอยู่ปลายสุดของทางเดินที่อยู่ทางทิศใต้พอดี

    ที่นี่มีไว้กักขังนักโทษชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นห้องขังส่วนใหญ่จึงว่างเปล่า แม้จะสกปรกไปบ้าง แต่บรรยากาศก็ไม่ถึงขนาดชวนให้รู้สึกย่ำแย่ พอเห็นว่าใกล้ถึง หัวหมู่นายนั้นก็เอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี

    “ตอนซักถามอยู่ให้ห่างสักหน่อย จะได้ไม่ติดโรคจากเจ้าไม้ถ่อปวกเปียกนั่น”

    “เอ๋? เจ้ารู้จักเขา?”

    ปากยื่นปากยาวเป็นวิสัยของมนุษย์ หัวหมู่ธงเล็กนายนี้นับว่าคุ้นเคยกับเรื่องราวในเขตอิ้งเทียนอยู่ไม่น้อย จึงเล่าที่มาที่ไปของสมญานามของอู๋ติ้งหยวนออกมาให้เขาฟังคร่าวๆ หลังฟังจบอวี๋เชียนก็ไม่พูดไม่จาอันใดอีก ทำเพียงเดินไปจนถึงห้องสุดท้าย มองดูลูกล้างลูกผลาญผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือผ่านรั้วกั้น

    อู๋ติ้งหยวนยามนี้ถูกจับตรึงอยู่บนเสาไม้ ร่างกายตั้งตรงแนบติดอยู่กับท่อนไม้แนวตั้ง มือทั้งสองข้างแยกขนานไปกับท่อนไม้แนวนอน ไม่อาจดิ้นรนขัดขืน มีแต่นักโทษคนสำคัญของทางการเท่านั้นที่จะใช้วิธีการเช่นนี้ ผนังหินที่อยู่ทางด้านหลังของเขานั้นหนาเป็นพิเศษ ด้านบนมีเพียงช่องอากาศขนาดเท่าฝ่ามือช่องหนึ่งเท่านั้น บนหน้าต่างคือแท่งเหล็กสองแท่ง แบ่งแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาออกเป็นสามสาย คล้ายดาบยาวสีเหลืองทองสามเล่มจ่ออยู่บนแผ่นหลังของนักโทษ อู๋ติ้งหยวนก้มหน้าไม่ขยับ ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย

    ทว่าเพราะเรื่องราวฉุกละหุก องครักษ์จิ่นอีจึงแค่มัดเขาไว้ง่ายๆ เท่านั้น เสื้อผ้าบนตัวยังไม่ปลดออก หมาเหอก็ไม่ได้ยัดใส่ปาก แต่จะว่าไปถูกคุมขังอยู่ในคุกภายในที่ทำการขององครักษ์จิ่นอีเช่นนี้ ตะโกนไปไหนเลยจะมีผู้ใดได้ยิน

    อวี๋เชียนสั่งเปิดประตูคุกและเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าอู๋ติ้งหยวน เพราะตัวไม่สูงนักจึงจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้น ถึงจะมองเห็นใบหน้าของอู๋ติ้งหยวนได้ถนัด

    “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความดีความชอบฐานช่วยเหลือองค์รัชทายาท ทว่าเพราะสถานการณ์บีบบังคับจึงจำต้องจัดการไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไว้ทุกอย่างสงบข้าจะกราบทูลต่อองค์รัชทายาท ชำระล้างความอยุติธรรมให้เจ้า” อวี๋เชียนพูดแผ่วเบา

    “ข้าลากตัวเขาจากในแม่น้ำขึ้นมาทรมานโดยไม่มีเหตุผล สมควรที่ต้องได้รับโทษแล้ว ไม่ยุติธรรมที่ใด”

    อู๋ติ้งหยวนยังคงก้มหน้าตอบด้วยเสียงแหบพร่า ท่าทางไม่ยินดียินร้ายของเขาทำอวี๋เชียนหัวคิ้วขมวดและขยับเข้าใกล้อู๋ติ้งหยวนอีกก้าว “องค์รัชทายาทประสบเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สติสัมปชัญญะยังคงไม่ฟื้นคืนเป็นปกติ หาได้มีเจตนาจะจงใจเล่นงานเจ้าไม่ เจ้ารีบเล่าเรื่องก่อนหลังรัชทายาทตกน้ำให้ข้าฟังโดยละเอียด จะขาดตกบกพร่องอันใดไม่ได้เด็ดขาด”

    อู๋ติ้งหยวนเงยหน้าอย่างเกียจคร้าน “หน้าที่นี้มิใช่หน้าที่ขององครักษ์จิ่นอีหรือไร เจ้ามันซิ่งเหรินน้อยไม่สนจืดเค็ม ไยจึงมายุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่ของเจ้า” เขาจงใจล้อตำแหน่ง ‘ข้าหลวงผู้แทน’ เรียกอีกฝ่ายเป็น ‘ซิ่งเหรินน้อย’*

    เส้นเลือดบนหน้าผากของอวี๋เชียนปูดโปนขึ้นมาทันที เขาโมโหตวาดเสียงใส่อย่างยั้งไม่อยู่ “ตอนนี้บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต นครหลวงสั่นคลอน ขอเพียงเป็นขุนนางกินข้าวหลวง ทุกคนล้วนมีหน้าที่ช่วยกันปกป้องแผ่นดินให้รอดพ้นจากภยันตราย ยังจะแบ่งแยกเป็นเรื่องผู้อื่นเพื่ออันใด!”

    อู๋ติ้งหยวนยิ้ม “ดีๆ ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทชอบฟังคำพูดเช่นนี้ที่สุด เจ้าคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี จะได้ก้าวหน้าในชั่วพริบตา ไม่ต้องเป็นซิ่งเหรินน้อยอีกต่อไป”

    อวี๋เชียนเหมือนถูกหยามเหยียด เขาคว้าคอเสื้อของอู๋ติ้งหยวนแล้วตวาดเสียงดัง “เลิกคิดว่าทุกคนจะสกปรกโสมมเช่นเจ้าได้แล้ว! ข้าอวี๋เชียนแม้จะเป็นเพียงขุนนางต่ำต้อย แต่ก็ไม่พึ่งพาโชคลาภวาสนา!”

    อวี๋เชียนเป็นคนเฉียนถัง ที่รับไม่ได้ที่สุดคือถูกคนปรามาสว่าเป็นพวกชอบประจบประแจงผู้มีอำนาจ น้ำเสียงของเขากระจ่างชัดมาแต่ไหนแต่ไร ผนวกกับนิสัยขี้โมโห ฝุ่นบนเพดานจึงถูกเสียงของเขาสั่นสะเทือนหล่นร่วง อู๋ติ้งหยวนหลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่งและชำเลืองมองดูอีกฝ่าย ไม่พูดอันใดอีก

    ครั้นตระหนักได้ว่าตนเองยั้งอารมณ์ไม่อยู่ อวี๋เชียนก็คลายมือออกจากอกเสื้อของอีกฝ่าย แต่ปากกล่าวหยันเย้ย “เจ้าเองก็เลิกแสร้งทำเป็นเลอะเลือนได้แล้ว มือปราบเขตอิ้งเทียนจับตัวผู้ต้องสงสัยระเบิดเรือพระที่นั่งได้ แทนที่จะนำตัวกลับหน่วยงานของตนเองเพื่อรับบำเหน็จรางวัล แต่กลับนำมาส่งให้องครักษ์จิ่นอีเปล่าๆ ถึงหน้าประตู เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้สึกว่าชีวิตของตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายหมายเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ นั่นแปลว่าเจ้าต้องพบเบาะแสบางอย่างแน่ เมื่อครู่แค่ไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น ถูกต้องหรือไม่”

    อู๋ติ้งหยวนยกมุมปาก ‘ซิ่งเหรินน้อย’ ผู้นี้อ่อนไหวง่ายโดยแท้ แค่คำพูดประโยคเดียวก็แทงใจดำได้แล้ว

    อวี๋เชียนถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความโมโห “ข้าไม่เคยเจอใครที่ไหนโง่เง่าเช่นเจ้า ตอนรัชทายาทตกน้ำทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครแต่เจ้ากลับยอมลำบากลำบนช่วยพระองค์ขึ้นมา ทว่ายามนี้พอรู้ถึงฐานะชาติกำเนิดที่แท้จริงของพระองค์ เจ้ากลับยกข้ออ้างต่างๆ นานาขึ้นมาปฏิเสธ ไอ้เจ้าหัวเถาวัลย์!**”

    เขาในยามนี้อารมณ์เดือดพล่าน ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเยี่ยงขุนน้ำขุนนางอยู่เลย ทว่าเวลานี้กลับพ่นภาษาถิ่นของชาวเฉียนถังออกมา อู๋ติ้งหยวนพอฟังเข้าใจได้เล็กน้อย รู้ว่ามันหมายถึงไม่รู้ดีชั่ว เป็นพวกหัวรั้นดื้อด้าน

    วิธีการด่าเช่นนี้ทำให้อู๋ติ้งหยวนอดนึกถึงผู้เป็นบิดาไม่ได้ ทุกครั้งหลังพวกเขาพ่อลูกร่วมมือกันคลี่คลายคดีใหญ่สำเร็จ อู๋ติ้งหยวนก็มักยืนกรานไม่ขอเสนอหน้ารับความดีความชอบ จะเอาก็แต่เงินไปดื่มสุราเที่ยวหอนางโลม ตอนอู๋ปู้ผิงบิดาเขาให้เงินมักสบถว่า ‘ไอ้หน่อฝ่อ’ ออกมาอยู่เสมอ นี่ก็เป็นคำด่าของคนทางเหนือ ความหมายไม่ต่างอันใดกับ ‘หัวเถาวัลย์’

    นึกถึงตรงนี้อู๋ติ้งหยวนก็ถอนหายใจ “เอาล่ะๆ ข้าเล่าก็ได้”

    หลังจากนั้นอู๋ติ้งหยวนก็เล่าเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอตั้งแต่ต้นจนจบให้อวี๋เชียนฟังว่าตนเฝ้าลานซั่นกู่เช่นไร เห็นเงาร่างคนบนเรือพระที่นั่งได้อย่างไร ช่วยองค์รัชทายาทด้วยวิธีใด พบเจอกับทหารรักษาธงที่มีประสงค์ร้ายสองนายได้เช่นไร แล้วเหตุใดตนถึงเปลี่ยนความตั้งใจนำตัวนักโทษมาหาองครักษ์จิ่นอีแทน

    หลังได้ฟังจบมุมมองที่อวี๋เชียนมีต่อมือปราบเกียจคร้านผู้นี้ก็เปลี่ยนไป คนผู้นี้แม้จะพูดจาไม่เข้าหู แต่กลับวิเคราะห์บอกเล่าเรื่องราวได้กระชับแม่นยำ แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ต่อให้เจ้าหน้าที่อาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มาช้านานก็ใช่ว่าจะมีความสามารถเช่นนี้ได้ ‘ไม้ถ่อปวกเปียก’ ที่หัวหมู่ธงเล็กผู้นั้นพูดถึงแท้แล้วกลับเป็นคนคมในฝักอย่างยิ่ง

    เขาอาจดูแคลนอู๋ติ้งหยวนที่เจออันตรายเข้าหน่อยก็รีบผลักภาระหน้าที่อย่างรวดเร็ว ทว่ากลับเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการวินิจฉัยของอีกฝ่าย คนที่อยู่เบื้องหลังแผนการนี้ย่อมหมายสังหารองค์รัชทายาทและขุนนางหนานจิงให้สิ้นภายในคราเดียว คนผู้นี้ไม่เพียงทะเยอทะยาน แต่ยังวางแผนการรอบคอบ วิธีการหรือก็โหดเหี้ยมอำมหิตชวนตะลึง

    ความโชคดีใหญ่หลวงท่ามกลางความโชคร้ายคือองค์รัชทายาทรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังถูกพาตัวมามอบให้องครักษ์จิ่นอี เรื่องนอกเหนือความคาดหมายต่างๆ นานาเหล่านี้แม้แต่เทพเจ้าเองก็ยากจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ฉะนั้นพวกโจรกบฏจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    นั่นหมายความว่าองค์รัชทายาทในเวลานี้ปลอดภัยอย่างที่สุด

    เห็นอวี๋เชียนหางคิ้วผ่อนคลายลงเช่นนั้น อู๋ติ้งหยวนก็ทายความคิดอ่านของอีกฝ่ายได้ทันที เขาหัวเราะหึๆ ออกมาคราหนึ่ง “เจ้าคิดว่าพวกนั้นทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายระเบิดเรือพระที่นั่งเพียงเพราะต้องการฟังเสียงแค่นั้นหรือ”

    “ว่าอันใดนะ”

    “วันนี้…ยังไม่จบสิ้น” อู๋ติ้งหยวนลืมตา พูดเสริมอย่างไม่อนาทร

    อวี๋เชียนหนังตากระตุก

    แย่แล้ว หัวหน้ากองพันผู้นั้นวิ่งไปสืบข่าวที่ท่าเรือด่านตงสุ่ย หากเขาโอ้อวดความดีความชอบประกาศไปทั่วว่าองค์รัชทายาทอยู่กับตน ไม่แคล้วเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปถึงหูของพวกโจรกบฏแน่ พอคิดถึงจุดนี้อวี๋เชียนก็ไม่สนใจจะอธิบายอันใดต่ออู๋ติ้งหยวนอีก เขารีบหันหลังตรงดิ่งออกจากคุก มุ่งหน้าไปยังลานด้านหน้า ไม่ว่าความเป็นไปได้นี้จะมีสักกี่มากน้อย อย่างไรก็ต้องให้องครักษ์จิ่นอีเตรียมการป้องกันไว้ก่อน

    ทว่าตอนที่อวี๋เชียนไปถึงลานด้านหน้า เขาก็พบว่าบนเก้าอี้ทรงกลมนั้นว่างเปล่า องค์รัชทายาทหายตัวไปเสียแล้ว รอบๆ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพวกรองหัวหน้ากองพัน อวี๋เชียนตกตะลึง คว้าตัวหัวหมู่ธงเล็กที่ยืนรักษาการณ์อยู่ข้างๆ นายหนึ่งมาสอบถามว่าเกิดอันใดขึ้น

    หัวหมู่ธงนายนั้นเป็นคนซื่อๆ จึงตอบตามตรงออกมาทั้งหมด ที่แท้หลังอวี๋เชียนจากไปได้ไม่นาน หัวหน้ากองพันก็ส่งข่าวกลับมาจากท่าเรือ หนึ่งดีหนึ่งร้าย ข่าวร้ายคือเซียงเฉิงป๋อเพราะอยู่ด้านหน้าสุดของท่าเรือจึงถูกแรงระเบิดอัดกระแทกเล่นงานหนักหน่วงที่สุด ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสยังคงนอนหมดสติอยู่ ส่วนข่าวดีคือขันทีซานเป่าโชคดีไม่เป็นอะไร เพราะก่อนที่จะเกิดการระเบิดเสื้อคลุมของเขาหลุดออกจากร่างพอดี บ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนอยู่ด้านหน้าช่วยเขาติดกลับมันเข้าไปใหม่ จึงกลายเป็นช่วยลดแรงกระแทกไปกว่าครึ่ง

    เพราะพบเจอพายุมรสุมมาจนชิน ขันทีซานเป่าจึงไม่ออกอาการเสียขวัญ ซ้ำยังนั่งบัญชาการอยู่ที่ท่าเรือ ภายใต้การจัดการของเขาเหล่าขุนนางทั้งจากศาลว่าการหนานจิงกับด่านตงสุ่ยจึงค่อยๆ กลับเป็นระเบียบเรียบร้อย ดำเนินการกู้ภัยอย่างเป็นระเบียบแบบแผน บังเอิญหัวหน้ากองพันเฒ่าวิ่งมารายงานถึงที่อยู่ขององค์รัชทายาทพอดี ขันทีซานเป่าพอได้ยินก็รีบเดินทางมารับเสด็จและเพิ่งพาองค์รัชทายาทไปได้ไม่นาน

    เจ้าหัวหน้ากองพันเฒ่าผู้นั้นเล่นลูกไม้ ตอนมีคนรับองค์รัชทายาทไป เขาจงใจไม่บอกอวี๋เชียนที่อยู่ในคุกให้รับรู้

    ครั้นได้ยินว่าคนที่มาพาตัวองค์รัชทายาทไปคือเจิ้งเหอ อวี๋เชียนก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง เจิ้งเหอเป็นขุนนางเก่าของจักรพรรดิหย่งเล่อ ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา อีกทั้งยังเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม เดินทางไปยังทะเลตะวันตกสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เกรียงไกรไว้หลายต่อหลายครั้ง ขอเพียงขุนเขาตระหง่านอย่างเจิ้งเหอยังอยู่ นครหลวงหนานจิงไม่มีทางเกิดเหตุโกลาหลอันใดได้

    ทว่ายามนี้มิใช่ช่วงเวลาที่จะมาสบายใจ อวี๋เชียนคิด เบาะแสเรื่องอู๋ติ้งหยวนถูกทหารรักษาธงโจมตีเล่นงานนั้นสำคัญใหญ่หลวง ต้องรีบแจ้งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่รู้ เขารีบคว้ากระดาษพู่กันขึ้นมาทันที

    อวี๋เชียนตวัดพู่กันลากเส้นอย่างแคล่วคล่อง เพียงไม่นานลายอักษรไถเก๋องดงามเป็นระเบียบหน้าหนึ่งก็เขียนเสร็จ เนื้อความในจดหมายบอกเตือนองค์รัชทายาทกับขันทีซานเป่าว่าในเมืองหนานจิงยังมีศัตรูซ่อนแฝง ต้องรีบตรวจสอบโดยด่วน จะประมาทมิได้ ท้ายจดหมายยังไม่ลืมเขียนเรียกร้องความยุติธรรมให้อู๋ติ้งหยวนอีกประโยค ด้วยเพราะเกรงว่าทันทีที่งานยุ่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายจะลืมเรื่องนี้หมดสิ้น

    หลังเขียนเสร็จ อวี๋เชียนก็เป่าน้ำหมึกจนแห้ง ก่อนจะพับมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเก็บไว้ในอกเสื้อและเร่งร้อนเดินออกนอกประตูไป

     

    ยามนี้บนถนนฉงหลี่ยังคงสับสนอลหม่าน ใต้ธงทิวสองข้างทางถนน ข้างคูน้ำ ใต้ร่มไม้ล้วนแออัดไปด้วยผู้คน แต่ละคนสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ทุกคนได้ยินก็แต่เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ทว่าเมื่อข่าวเรื่องเรือพระที่นั่งระเบิดแพร่สะพัดมาจากท่าเรือด่านตงสุ่ย คลื่นความตกประหวั่นก็ซัดโถมเข้าใส่จิตใจของชาวเมืองหนานจิง ชาวบ้านบางคนถึงขนาดหอบผ้าหอบผ่อน จูงเด็กพยุงคนชรา เตรียมลี้ภัยอพยพหนีออกจากเมือง

    อวี๋เชียนไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทกับขันทีซานเป่ายามนี้อยู่ที่ใด ทว่าหากให้เดาจากสถานการณ์ พวกเขาต้องเดินทางกลับกองบัญชาการพิทักษ์หนานจิงก่อนแน่ เพราะทั่วทั้งนครหลวงที่นั่นนับเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

    กองบัญชาการพิทักษ์หนานจิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขตวังหลวง ไม่ว่ากองกำลังทหารจะมาจากทางทิศใด ประตูซีอันที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองก็เป็นเส้นทางที่ต้องเดินทางผ่าน แค่เลี้ยวจากถนนฉงหลี่ไปยังถนนต้าทง เดินทางขึ้นเหนือผ่านถนนหวงเฉิงเกินหนานที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขตวังหลวง ต่อไปยังสะพานเสวียนจินที่อยู่ทางด้านนอกของประตูซีอัน เพียงเท่านี้ก็สกัดขวางกองกำลังทหารได้แล้ว

    อวี๋เชียนจัดหมวกและขยับเข็มขัดขุนนางให้เข้าที่ ก้าวเท้าผ่านชาวบ้านที่กำลังหวาดกลัวตื่นตระหนกไปอย่างรวดเร็วแล้วมุดเข้าไปภายในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง เขามาหนานจิงนานหลายปีแล้วจึงคุ้นเคยกับถนนหนทางในเมืองเป็นอย่างดี รู้ดีว่าที่ใดมีทางลัดให้เดินได้ เวลาไม่เกินสองก้านธูป อวี๋เชียนก็มาถึงกลางถนนหวงเฉิงเกินหนาน

    ทันทีที่ย่างเท้าไปบนถนนและชะเง้อคอมองไปทางทิศเหนือ เขาก็เห็นฝุ่นควันตลบฟุ้ง ด้านหน้าห่างออกไปร้อยกว่าก้าวกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนพลอย่างเร่งรีบ

    คนของกองกำลังนี้ผสมปนเป มีทั้งองครักษ์จากกองบัญชาการพิทักษ์เมืองที่สวมหมวกเหล็กและเกราะครบครัน มีข้ารับใช้ของเหล่าขุนนางใหญ่ที่สวมเพียงเสื้อผ้าเรียบง่าย บ้างก็มีธนูลูกดอกแขวนอยู่บนเอว บ้างก็ถือกระบองค้อนหัวแตงทอง ดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่ต้องเป็นขบวนคุ้มกันองค์รัชทายาทแน่ ด่านตงสุ่ยระเบิดส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก ยามนี้จึงทำได้แค่สุ่มสี่สุ่มห้ารวมพลเช่นนี้เท่านั้น

    สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในกองกำลังก็คือม้าชิงไห่สีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง นักรบบนหลังของมันสวมหมวกสูง ร่างห่มคลุมด้วยผ้าสีแดงสด ไม่ว่าท่วงท่าบนหลังม้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร สองไหล่นั้นก็คงมั่นไม่คลอนไหวแม้แต่น้อย ด้านข้างคนผู้นั้นยังมีเกี้ยวหามประทุนไหมเหลืองทองหลังหนึ่ง ผู้แบกหามกลับไม่ใช่พลหาม แต่เป็นมือเป่าแตรที่สวมชุดปักลายบนบ่า

    เงาร่างสูงใหญ่บนหลังม้านั่นน่าจะเป็นเจิ้งเหอขันทีซานเป่า ส่วนผู้ที่อยู่ภายในเกี้ยวหลังใหญ่นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรัชทายาทองค์ปัจจุบันจูจันจีเท่านั้น

    กองกำลังกลุ่มนั้นเคลื่อนที่รวดเร็ว หัวขบวนผ่านสิงโตหินเฝ้าสะพานที่ตั้งอยู่บนหัวสะพาน กำลังจะก้าวไปบนสะพานเสวียนจิน อวี๋เชียนหอบหายใจเบาๆ เร่งฝีเท้าไล่ตามไป

    เสวียนจินเป็นสะพานหินขาวโค้งสามตอน ปลายทั้งสองข้างเป็นเนินเฉียง ตรงกลางโค้งสูงเหมือนภูเขา พาดผ่านแม่น้ำฉินไหวส่วนใน อีกฟากคือประตูเมืองซีอัน สมัยหนานจิงยังเป็นนครหลวง ทุกวันยามเหล่าร้อยขุนนางเข้าเขตวังหลวงล้วนต้องข้ามสะพานเสวียนจินผ่านประตูซีอันเข้าไป ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นถนนที่คึกคักที่สุดของเมืองหนานจิง

    ที่เด่นที่สุดของสะพานเสวียนจินคือบริเวณปลายสะพานของแต่ละด้านจะมีสิงโตหินสองตัวตั้งอยู่ ว่ากันว่ามีไว้เพื่อสะกดสิ่งอัปมงคล แต่แท้ที่จริงมันมีไว้เพื่อบรรเทาการจราจรแออัดต่างหาก พวกมันแบ่งสะพานหินออกเป็นเส้นทางคับแคบสามเส้น ป้องกันไม่ให้มีรถม้าขึ้นไปบนสะพานคราเดียวมากเกินไป

    ด้วยเหตุนี้ยามกองกำลังกลุ่มนี้เดินไปถึงหัวสะพาน พวกเขาจึงจำต้องแปรรูปขบวน โดยให้กองกำลังทหารคุ้มกันที่อยู่ด้านหน้าทำการเปิดทางให้ขันทีซานเป่ากับเกี้ยวหลังใหญ่นั้นผ่านช่องแคบระหว่างสิงโตหินทั้งสองตัวไปก่อน หลังจากนั้นพวกเขาค่อยตามติดอยู่สองข้างทาง

    ทว่ากองกำลังทหารที่รวมตัวกันขึ้นชั่วคราวนี้ไม่มีสัญญาณลับ ขณะแยกย้ายเคลื่อนขบวนจึงสับสนอลหม่านเบียดเสียดกระทบกระทั่งกันไปมา ทำให้เกิดระยะห่างจากคนสำคัญทั้งสองที่อยู่ทางด้านหน้าประมาณหนึ่ง อวี๋เชียนไล่ตามมาจนถึงท้ายขบวน เพราะรูปร่างไม่สูงใหญ่ จึงมองเห็นแต่หมวกสูงกับหลังคาเกี้ยวผ้าไหมเหลืองทองที่กำลังขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของสะพานเสวียนจิน

    ทันใดนั้นเขาก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี คล้ายเขี้ยวงูพิษฝังลงกลางใจ น้ำเสียงราบเรียบของอู๋ติ้งหยวนก่อนหน้านี้ดังขึ้นที่ข้างหู ‘วันนี้…ยังไม่จบสิ้น’

    อวี๋เชียนกัดฟัน ยกชายอาภรณ์ยาวขึ้นแล้วรีบชักฝีเท้า เพียงไม่นานเขาก็พุ่งผ่านทหารองครักษ์สามสี่นายที่คุ้มกันอยู่ทางด้านหลัง ปากยังร้องตะโกน “ถอยๆ!”

    ทหารองครักษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดพอเห็นมีคนบุกเข้ามาก็ปรี่กันเข้าไปคว้าตัวขวางอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว หลังตะลุมบอนกันอยู่สองสามทีสุดท้ายก็กดขุนนางฝ่ายบุ๋นร่างเล็กไว้กับพื้นได้สำเร็จ

    อวี๋เชียนแม้ไม่อาจขยับ แต่ก็ไม่มีใครขวางเสียงตะโกนดังลั่นของเขาได้ คำว่า “รีบถอย!” สองคำดังจากข้างสิงโตหินลอยไปถึงยอดสะพาน ขันทีซานเป่าได้ยินเสียง แต่ก็เพียงหันหน้ามาดูครู่หนึ่งก่อนจะเดินหน้าต่อ ทว่าม่านของเกี้ยวหลังคาผ้าไหมเหลืองทองที่อยู่ข้างๆ เขานั้นกลับมีมือข้างหนึ่งเลิกเปิดขึ้น

    จูจันจียื่นหน้าออกมาและมองไปทางด้านหลัง เขาจำเสียงนั้นได้ นั่นเป็นเสียงของข้าหลวงผู้แทนที่เจอกันในกองกำลังจิ่นอีผู้นั้น เหตุใดอีกฝ่ายถึงไล่ตามมาถึงที่นี่

    เมื่อองค์รัชทายาทเลิกม่าน เจ้าหน้าที่หามเกี้ยวจึงรีบหยุดฝีเท้า เกี้ยวหยุดลงห่างกับเจิ้งเหอเกือบครึ่งม้า เจิ้งเหอดึงบังเหียนหยุด ขณะจะเร่งให้เจ้าหน้าที่หามเกี้ยวเดินต่อ จู่ๆ จมูกเขาก็จับกลิ่นแปลกๆ ในอากาศได้

    การใช้ชีวิตกลางทะเลเนิ่นนานทำให้เขามักได้กลิ่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับการศึกอย่างแนบแน่น ตอนอยู่ที่ท่าเรือด่านตงสุ่ยเมื่อครู่ เขาก็ได้กลิ่นแบบเดียวกันนี้

    ปฏิกิริยาของขันทีซานเป่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขากระตุกบังเหียน ม้าที่ขี่อยู่ยกขาหลังสูงเตะใส่เกี้ยวขององค์รัชทายาท ม้าชิงไห่ห้าวหาญปราดเปรียว กีบเท้าม้าสีดำขนาดใหญ่ที่มีเกือกเหล็กตอกติดไว้ไม่ต่างอันใดกับค้อนทำลายกำแพงเมือง มันกระแทกใส่รูปค้างคาวสำริดบนหลังคาเกี้ยวเต็มแรง เจ้าหน้าที่หามเกี้ยวแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง การกระแทกอย่างรุนแรงนี้ดันเกี้ยวให้ไถลไปตามเนินหิน

    ในเวลาเดียวกันเสียงระเบิดทึบๆ ก็ดังมาจากใต้สะพาน สะพานหินสะท้านสะเทือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ตรงกลางและแผ่กว้างออกไปเป็นช่องอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นร่องลึก เพียงไม่นานสะพานทั้งหมดก็พังพินาศ ก้อนหินแยกออกจากกันกลายเป็นช่องขนาดใหญ่จำนวนมาก ร่างของขันทีซานเป่ากับม้าของเขาหล่นร่วงลงสู่แม่น้ำฉินไหว ผิวน้ำแตกฉานซ่านเซ็น

     

     

    * ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนสมัยโบราณ เทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

    * กำแพงสะท้อน (จ้าวปี้) คือผนังฉากกั้นที่ตั้งอยู่หน้าประตูเรือนประจันกับประตูใหญ่ของบ้าน ใช้เพื่อบังอำพรางการเคลื่อนไหวในเรือน และใช้ประดับตกแต่ง หากตั้งอยู่หน้าประตูใหญ่เลยจะเรียกว่ากำแพงเงา (อิ่งปี้)

    * การสอบขุนนางในสมัยโบราณ หรือเคอจวี่ แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ จึงจะได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา นอกจากนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าสอบในระดับถงซื่อและผู้ที่เคยสอบระดับถงซื่อแต่ยังไม่ผ่านเรียกว่า ‘ถงเซิง’)

    * ประตูบุปผาย้อย เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่งเสาสั้นที่ทิ้งเชิงลงมาจากมุมชายคาของประตูชั้นในหรือประตูซุ้ม มักแกะสลักส่วนปลายเสาที่ย้อยลงมาเป็นรูปดอกบัว จึงเป็นที่มาของชื่อ

    * ซิ่งเหริน หมายถึงเมล็ดในผลซิ่ง หรือเมล็ดแอปปริคอต ออกเสียงคล้ายกับคำว่าสิงเหรินที่แปลว่าข้าหลวงผู้แทน

    ** หัวเถาวัลย์ เป็นสำนวนที่ใช้ด่าคนที่ดื้อด้าน ดื้อดึง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook