• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สองนครสิบห้าวัน ครั้งที่3

    บทที่ 3

     

    อุบัติภัยที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้คนที่อยู่ทางด้านล่างของสะพานเสวียนจินต่างพากันตกตะลึง

    ในกองกำลังกลุ่มนี้มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่เป็นทหารองครักษ์กองบัญชาการพิทักษ์เมืองซึ่งเคยได้รับการฝึกฝน ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือรีบวิ่งขึ้นไปบนสะพานพยายามช่วยเหลือขุนนางคนสำคัญ ส่วนอีกสองในสามที่เหลือล้วนเป็นพวกนักดนตรีคีตศิลป์ เจ้าหน้าที่เชิญขบวนเกียรติยศ เจ้าพนักงานถือพระกลดกับบ่าวไพร่ตัวเล็กๆ คนเหล่านี้ต่างพากันกรีดร้องวิ่งหนีกันให้วุ่น ต้องการไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แต่ละคนต่างวิ่งกันไปคนละทิศละทาง เพียงชั่วพริบตาเส้นทางทั้งสามระหว่างสิงโตหินทั้งสองตัวก็ตกอยู่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงวุ่นวาย

    อวี๋เชียนดิ้นรนสุดกำลัง เขาสะบัดทหารที่กำลังตกใจนายนั้นออกไปแล้วพุ่งตรงไปหยุดอยู่หน้าเกี้ยวที่ล้มคว่ำ ทว่ายังไม่ทันจะลงมือลากดึงคนที่อยู่ในเกี้ยว จูจันจีก็ดิ้นรนคลานออกมาเอง อีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวด สองตาดุดัน แววตาคุกรุ่นไปด้วยไอสังหาร

    จูจันจีไม่ใช่องค์ชายอ่อนแอที่เติบโตอยู่แต่ในวังหลวงนับแต่ยังน้อย เขาเคยติดตามพระอัยกากรีธาทัพบุกเป่ยหยวน* ในกระดูกแฝงไว้ซึ่งความองอาจห้าวหาญ เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเขาพบกับการลอบโจมตีถึงสองครั้งสองครา อีกทั้งยังเกิดเรื่องขึ้นในดินแดนศูนย์กลางของต้าหมิง เหตุการณ์จาบจ้วงล่วงละเมิดเกินขอบเขตเช่นนี้บีบบังคับให้อารมณ์เดือดดาลของจูจันจีปะทุ

    เขาถีบเจ้าหน้าที่ถือธงที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นไม่หยุดคนหนึ่ง ก่อนจะตวาดเสียงดัง “ลงน้ำไปช่วยคนก่อน!”

    พวกทหารองครักษ์ราวกับถูกปลุกจากฝัน แต่ละคนต่างทยอยกันถอดชุดเกราะปลดอาวุธ กระโดดลงน้ำไปช่วยเจิ้งเหอดังตูมๆ

    อวี๋เชียนที่อยู่ข้างๆ เองก็รีบตะโกน อาศัยพระนามขององค์รัชทายาทร้องสั่งพวกที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ให้ประจำตำแหน่งของตนเอง น้ำเสียงของเขาดังกว่าจูจันจีหลายเท่า กังวานไม่ต่างอันใดกับเสียงระฆังใหญ่ สะท้านสะเทือนก้องหู บัญชาการฝูงคนที่ตื่นตระหนกพวกนั้นให้ถอยหลังเปิดพื้นที่ว่างขึ้น สถานการณ์บนหัวสะพานที่ยามนี้ควรเปลี่ยนไปเรียกว่าสะพานขาดค่อยๆ กลับเข้ารูปเข้ารอย

    เพียงไม่นานการช่วยเหลือในแม่น้ำฉินไหวก็ประสบผล เจิ้งเหอที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีแดงถูกทหารองครักษ์พาตัวขึ้นมาจากน้ำ ในกองขบวนมีหมอหลวงอยู่คนหนึ่ง หลังได้รับการตรวจดูอาการก็พบว่าเจิ้งเหอยังมีลมหายใจอยู่ ร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บชัดแจ้ง ทว่าคงเพราะได้รับความกระทบกระเทือนกะทันหัน สองตาจึงยังปิดสนิท ไม่อาจตอบรับคำเรียกขานใดๆ

    แม้เจิ้งเหอจะถูกช่วยเหลือแล้ว แต่อวี๋เชียนก็ยังคงไม่อาจเบาใจ เขาวิตกกังวลยืนคุ้มครองอยู่หน้าจูจันจี สองตาจับจ้องอยู่บนซากปรักหักพังของสะพานเสวียนจินคล้ายกำลังมองหาเบาะแสบางอย่าง

    ตอนองค์หงอู่เข้ายึดครองจินหลิง ด้วยเพราะยังคงมีข้าศึกรุกราน ดังนั้นทุกประตูเมือง ป้อมปราการ และกำแพงสูงทั้งนอกและใน รวมถึงสะพานที่ต้องข้ามผ่านจึงล้วนต้องขุดถ้ำไว้ซ่อนกองกำลังให้ได้จำนวนมาก ที่ใต้สะพานสามตอน พวกช่างทั้งหลายต่างคิดวิธีการแปลกใหม่แยบยล อาศัยโครงสร้างโค้งงอของสะพานสร้างถ้ำลับเอาไว้ ต่อมาครั้นสถาปนาราชวงศ์ต้าหมิง ถ้ำซ่อนกองกำลังนี้ก็สิ้นประโยชน์และค่อยๆ ถูกปิดตายเลิกใช้

    เห็นได้ชัดว่าดินระเบิดต้องถูกกองไว้ในถ้ำซ่อนกองกำลังใต้สะพาน โชคดีที่จุดที่ซ่อนมีละอองน้ำอยู่หนาแน่น ทำให้ดินระเบิดชื้นจนแสดงอานุภาพได้ไม่เต็มที่ ทำได้เพียงเขย่าทำลายโครงของสะพานหิน หากมันระเบิดออกมาด้วยแรงทั้งหมดจริง เกรงว่าขันทีซานเป่ากับผู้คนที่อยู่รอบๆ ยามนี้คงไม่เหลือแม้แต่กระดูก

    ทว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่อวี๋เชียนคิดไม่ตก

    เส้นทางกับเวลาของเรือพระที่นั่งถูกกำหนดไว้แน่ชัด โจรกบฏย่อมเตรียมการล่วงหน้าได้ ทว่าองค์รัชทายาทจะเดินทางข้ามสะพานเสวียนจินเมื่อใดนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แล้วคนพวกนั้นเตรียมดินระเบิดมากมายล่วงหน้าไว้ได้อย่างไร

    นอกเสียจาก…

    นอกเสียจากว่านี่จะเป็นแผนรับช่วงต่อที่เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้ว ขอเพียงหนานจิงมีขุนนางชั้นสูงรอดตายจากการระเบิดเรือก็ต้องรีบเดินทางเข้าเขตวังหลวงมาแน่ๆ อีกทั้งยังต้องข้ามสะพานเสวียนจินด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะเล่นงานปลาที่เล็ดลอดจากแหได้ พวกคนร้ายจึงได้เตรียมแผนสำรองนี้ไว้ก่อนแล้ว

    นึกไม่ถึงว่าแผนการของคนร้ายจะละเอียดรอบคอบถึงขั้นนี้ ช่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!

    อวี๋เชียนพยายามระงับความรู้สึกตื่นตระหนก เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาอีกข้อ แผนสำรองนี้แม้จะยอดเยี่ยม แต่ก็ยากจะคาดเดาเวลาก่อการได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำซ่อนกองกำลังใต้สะพาน พร้อมจุดระเบิดทันทีที่เป้าหมายมาถึง นั่นก็แปลว่าระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นต้องมีคนเห็นกำลังพลกำลังเคลื่อนผ่านถึงได้รีบร้อนจุดระเบิด และคนผู้นั้นต้องยังอยู่ละแวกนี้แน่!

    อวี๋เชียนเงยหน้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ผิวน้ำ เพียงไม่นานเขาก็ค้นพบ เหนือแม่น้ำฉินไหวห่างจากสะพานเสวียนจินไปทางขวาห้าหกสิบก้าว คล้ายมีเงาดำบางอย่างผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ อวี๋เชียนหรี่ตาพิจารณาดู เงาดำนั่นน่าจะเป็นคนผู้หนึ่งกำลังว่ายตามน้ำห่างออกไปทุกขณะ

    “คนร้ายอยู่ที่นั่น! เร็วเข้า!”

    อวี๋เชียนรีบเรียกทหารราชองครักษ์สองสามนายให้ลัดเลาะตามชายฝั่งแม่น้ำฉินไหวไป จูจันจีเองก็หันมองไปตามเสียงตะโกนของอวี๋เชียน เขาหน้าตาถมึงทึง ยกนิ้วโป้งขึ้นเทียบระยะทางก่อนจะค้อมเอวหยิบเอาธนูไคหยวนที่ไม่รู้ว่าใครทำหล่นไว้ขึ้นมา พร้อมหยิบเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งจากถุงของทหารองครักษ์ ทาบเข้ากับคันธนูพร้อมขึ้นสาย

    ท่วงท่าของเขาเป็นไปตามมาตรฐานกองทัพ สายธนูลั่นดัง เกาทัณฑ์พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าใส่จุดดำนั่นรวดเร็วราวกับดาวตก น่าเสียดายที่คลาดเป้าห่างจากหัวของอีกฝ่ายไปเพียงคืบ จมหายลงไปในแม่น้ำ แววตาของจูจันจีเปี่ยมล้นไปด้วยไอสังหาร เขาหยิบเกาทัณฑ์อีกดอกขึ้นมาเล็ง

    อวี๋เชียนรีบเอ่ยปากเตือนจูจันจีให้จับเป็นอีกฝ่าย น่าเสียดายที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไปได้ไม่ทันไร สายธนูก็ดังขึ้นเสียก่อน เกาทัณฑ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งระคนความน้อยเนื้อต่ำใจแหวกอากาศข้ามผ่านแม่น้ำฉินไหว ปักลงบนแผ่นหลังของจุดดำนั่น อกของคนผู้นั้นสะท้อนขึ้นคราหนึ่ง มือทั้งสองข้างขยับไหวอีกเพียงครู่ ก่อนร่างจะจมลงสู่ผืนน้ำช้าๆ เหล่าทหารองครักษ์ที่วิ่งไปริมฝั่งรีบยื่นท่อนไม้คราดยาวๆ ออกไป ทั้งเกี่ยวทั้งลากเอาร่างของคนผู้นั้นกลับขึ้นฝั่ง

    อวี๋เชียนรีบเดินเข้าไป เห็นเพียงธนูดอกนั้นเสียบจากแผ่นหลังทะลุอกขวาจนอีกฝ่ายขาดใจตายแทบทันที ฝีมือยิงธนูนี้แม้จะยอดเยี่ยมยิ่งนักแต่ก็น่าเสียดายยิ่งยวด เพราะนี่อาจเป็นเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามี

    ผู้ตายเป็นชายอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ เกล้ามวยเล็กไว้บนศีรษะ มีตาข่ายกว้างคลุมทับ สวมใส่อาภรณ์สีครามรองเท้าแตะ ไม่มีอันใดต่างจากชาวบ้านทั่วไปในหนานจิง อวี๋เชียนค้นทั่วร่างของอีกฝ่าย แต่นอกจากอุปกรณ์จุดไฟชุดหนึ่งแล้วก็ไม่พบอื่นใดอีก เขาเลิกอกเสื้อของอีกฝ่ายออกดูอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะตกตะลึงเมื่อพบว่าบนรักแร้ขวาของศพมีรอยสักรูปบัวขาวอยู่ดอกหนึ่ง กลีบของมันแยกออกเป็นสาม รูปร่างดูคล้ายกองไฟรวมอยู่ด้วยกัน

    “ลัทธิบัวขาว?” อวี๋เชียนสองตาเบิกโพลง

    อักษรสามคำนี้เป็นฝันร้ายที่ไม่อาจขจัดของราชสำนัก ลัทธิบัวขาวรุ่งเรืองยิ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประกาศคำสอนเรื่องพระศรีอริยเมตไตรยจะกลับมากู้โลก ใช้บัวขาวเป็นเพลิงชำระล้างโลกมนุษย์ โหมกระพือสร้างความวุ่นวายไปทั่วเป็นเวลายาวนานนับหลายร้อยปี จากซ่งถึงหยวนลามไปจนถึงต้าหมิง ทุกราชสำนักต่างพยายามกำราบปราบปรามอย่างหนัก ทว่าลัทธิบัวขาวกลับรุ่งเรืองแพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวประชาไม่เคยเสื่อมคลาย

    เมื่อครั้งล่าสุด ในรัชศกหย่งเล่อปีที่สิบแปด ลัทธิบัวขาวได้ก่อกบฏครั้งใหญ่ขึ้นที่ซานตง กว่าจะสยบพวกเขาได้จักรพรรดิไท่จงก็ต้องทุ่มเทกำลังเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งและรับมือด้วยได้ยากมากขนาดไหน

    ระหว่างลัทธิบัวขาวกับราชสำนักเรียกได้ว่ามีความแค้นลึกล้ำต่อกันเยี่ยงมหาสมุทร หากนี่เป็นการกระทำของพวกเขา ความบ้าคลั่งหมายให้องค์รัชทายาทกับเหล่าร้อยขุนนางถึงแก่ความตายเช่นนี้ย่อมหาคำอธิบายได้ไม่ยาก

    จูจันจีเดินมาหยุดอยู่ข้างร่างไร้ลมหายใจนั่นเช่นกัน เขาถามเสียงขรึม “คนผู้นี้เป็นใคร พอดูเส้นสนกลในออกหรือไม่”

    อวี๋เชียนชี้ไปยังรอยสักบนตัว อธิบายคร่าวๆ แผ่วเบาคราหนึ่ง จูจันจีหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เขาได้ยินชื่อลัทธิชั่วช้านี้มานานแล้ว จูจันจีในเวลานี้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ “เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือพวกเขา?”

    “สถานการณ์ในยามนี้ยังไม่รู้ชัด ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปได้” อวี๋เชียนมองซ้ายมองขวาคล้ายเป็นกังวล ยามนี้ไม่รู้ว่ายังมีสาวกคลุ้มคลั่งของลัทธิบัวขาวซ่อนตัวอยู่ที่ใดอีก ยิ่งหยุดอยู่ข้างนอกนานเท่าใด อันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เขาเอ่ยปากเร่ง “แผนการของคนถ่อยพวกนี้ไม่ใช่เล็กๆ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมอื่นอีกแน่ ขอองค์รัชทายาทรีบเสด็จกลับเข้าเขตวังหลวง เป็นศูนย์รวมจิตใจให้พสกนิกรและเหล่าขุนนางใหม่อีกครั้งก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

    จูจันจีหัวเราะขื่นออกมาคราหนึ่ง เป็นศูนย์รวมจิตใจ? ขุนนางตำหนักบูรพาของเขากลายเป็นเถ้าธุลีหมดสิ้น ขุนเขาใหญ่ในนครหลวงเดิมที่พอจะเชื่อถือไว้วางใจได้ทั้งสองไม่ว่าจะหลี่หลงหรือเจิ้งเหอ ยามนี้ล้วนบาดเจ็บสาหัสไม่อาจปฏิบัติภารกิจ แค่ชั่วพริบตาเมืองหนานจิงอันใหญ่โตก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ส่วนจูจันจีกลับหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีคนรู้จักมักคุ้นให้เรียกใช้ รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าหมิงยามนี้ได้แต่ยืนงุนงงทำอันใดไม่ถูกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉินไหวไหลเอื่อย

    เรื่องนี้อวี๋เชียนมิอาจช่วยได้ เขาทำได้เพียงสั่งทหารองครักษ์ให้เก็บศพสาวกลัทธิบัวขาวผู้นั้นส่งไปโรงทานที่ใกล้ที่สุดเพื่อเตรียมตรวจสอบ ก่อนจะลากจูจันจีกลับไปที่หัวสะพานเสวียนจิน

    สะพานในเวลานี้เหลือก็แค่ตอม่อ ซากสะพานทั้งสองฝั่งยกขึ้นน้อยๆ คล้ายกระดูกนิ้วมือหักสองท่อน ไม่อาจเดินทางได้อีก สะพานเสวียนจินเป็นเส้นทางเข้าเขตวังหลวงที่จำเป็นต้องเดินทางผ่าน เมื่อมันขาดลง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือไปทางสะพานจู๋เฉียวหรือย้อนลงใต้ไปใช้สะพานไป๋หู่ก็ล้วนแต่ต้องเดินทางอ้อมเมืองรอบใหญ่

    ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครเล่าจะรับรองได้ว่าสะพานทั้งสองแห่งจะไม่มีแผนลอบสังหารซ่อนอยู่ ต่อให้สะพานทั้งสองไม่มีอันใด แล้วระหว่างทางเล่า ละแวกนี้เต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยหอสุราบ้านเรือนผู้คน คิดจะซ่อนมือสังหารสิบกว่าคนหาใช่เรื่องยากไม่

    อวี๋เชียนครุ่นคิดพิจารณาซ้ำไปซ้ำมา ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเฝ้าอยู่ที่เดิมก่อน รอให้ขุนนางมีอำนาจคนอื่นเดินทางมาช่วยเหลือ เพียงแต่ยามนี้ขุนนางที่มีฐานะสูงส่งทั่วทั้งเมืองหนานจิงล้วนถูกระเบิดที่ด่านตงสุ่ยเป็นตายไม่รู้แจ้ง จะหาคนมาช่วยจำต้องไตร่ตรองให้ถ้วนถี่

    ในเวลานั้นเองทหารราชองครักษ์ของเจิ้งเหอนายหนึ่งก็เอ่ยปากบอกว่าตอนเกิดเรื่องขึ้นใหม่ๆ ขันทีซานเป่ารีบแจ้งข่าวบอกเขตวังหลวง สั่งผู้รักษาการณ์เขตวังหลวงจูปู้ฮวาให้ปิดประตูเมือง ป้องกันมิให้คนร้ายลอบโจมตี ยามนี้ฝ่ายนั้นน่าจะปลอดภัยดีอยู่

    พอได้ยินเช่นนั้นจูจันจีก็สองตาเป็นประกาย จูปู้ฮวาผู้นี้เขารู้จัก อีกฝ่ายเป็นขันทีผู้บัญชาการฝ่ายทหารม้าส่วนพระองค์ประจำนครหลวง เพิ่งย้ายจากเป่ยจิงมายังหนานจิงเมื่อตอนต้นปี อีกทั้งยังนำกำลังทหารราชองครักษ์ที่ชื่อว่ากองพลหย่งซื่อ (นักรบผู้กล้า) มาด้วย มีหน้าที่รับผิดชอบพิทักษ์เขตวังหลวงเมืองหนานจิง

    กองพลนี้ไม่เหมือนกับกองกำลังประจำนครหลวงอื่นๆ ก่อตั้งขึ้นในรัชศกหย่งเล่อ คนในกองกำลังส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มชาวฮั่นรูปร่างกำยำล่ำสันที่อพยพมาจากเขตทุ่งหญ้า ดังนั้นแต่ละคนจึงเชี่ยวชาญทักษะขี่ม้า จักรพรรดิหงซีจัดเตรียมกองกำลังกลุ่มนี้ให้ทำหน้าที่เป็นทหารคนสนิทขององค์รัชทายาทเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทรงทุ่มเทมิใช่น้อย

    ตอนเรือพระที่นั่งระเบิด จูปู้ฮวาทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์เขตวังหลวง เลยมิได้รับผลกระทบอันใด ดังนั้นจูจันจีจึงมีจดหมายออกไปฉบับหนึ่ง ให้คนรีบนำส่งไปยังเขตวังหลวง บอกให้จูปู้ฮวารีบนำทหารราชองครักษ์เดินทางมารับตน

    ทหารราชองครักษ์รับคำสั่งและเร่งเดินทางไป ทว่าอวี๋เชียนยังคงไม่วางใจ เขาสั่งให้คนอื่นๆ ที่เหลือกระจายตัวกัน ใช้หัวสะพานเป็นใจกลาง ขยายแนวเขตป้องกันออกไปถึงแผงลอยริมถนนที่อยู่นอกรัศมีร้อยก้าว อีกทั้งยังสั่งให้พวกมือเท้าแข็งแรงปราดเปรียวอีกกลุ่มหนึ่งปีนขึ้นไปอยู่ตามหลังคาและบนที่สูงในละแวกใกล้เคียง ป้องกันมิให้อีกฝ่ายใช้ธนูลอบโจมตีเล่นงานได้

    อวี๋เชียนแม้จะเป็นเพียงข้าหลวงผู้แทนต่ำต้อย ทว่ากลับสั่งการได้อย่างเป็นระบบ มีหนังพยัคฆ์อย่างองค์รัชทายาทคอยหนุน ไม่ว่าจะทหารองครักษ์ องครักษ์จิ่นอี รวมถึงเจ้าหน้าที่หามเกี้ยวประโคมแตรล้วนรับฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพียงไม่นานกองขบวนคุ้มกันแน่นหนาที่แม้แต่ลมก็ยังมิอาจแทรกผ่านก็ถูกจัดตั้งขึ้นที่หัวสะพาน ตอนนี้นอกจากลัทธิบัวขาวจะส่งทัพม้าเหล็กมา หาไม่แล้วไหนเลยจะคุกคามถึงตัวองค์รัชทายาทได้

    เสียงเอะอะมะเทิ่งเริ่มสงบลง ชาวบ้านที่อยู่ในร้านค้าละแวกใกล้เคียงต่างชะเง้อคอมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น จูจันจีไม่อยากให้คนพวกนั้นเห็นตนเองในสภาพกระเซอะกระเซิงจึงเดินโซซัดโซเซไปนั่งอยู่บนบันไดสะพานระหว่างสิงโตหินสองตัว แววตาไม่ต่างอันใดกับลูกสุนัขถูกทิ้ง

    ครั้นจัดการเสร็จสิ้น อวี๋เชียนก็เดินไปหยุดอยู่หน้าองค์รัชทายาท ยังไม่ทันได้ถวายรายงาน จูจันจีก็เงยหน้าขึ้นถาม “เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าลัทธิบัวขาวซุ่มซ่อนอยู่ใต้สะพานเสวียนจิน” เขายังจำเสียงตะโกนของขุนนางชั้นผู้น้อยผู้นี้ที่ทำให้เขาชะงักงันไปชั่วขณะก่อนจะขึ้นสะพานได้ ไม่เช่นนั้นผู้ที่ตกลงไปในแม่น้ำอาจไม่ได้มีเพียงขันทีซานเป่า

    อวี๋เชียนหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกเสื้อถวายให้องค์รัชทายาทด้วยท่าทีนอบน้อม “หลังพระองค์เสด็จออกจากที่ทำการขององครักษ์จิ่นอี กระหม่อมก็ได้รับข่าว ทราบว่าในเมืองอาจมีคนร้ายซุ่มซ่อนอยู่และอาจเป็นภัยต่อพระองค์ จึงรีบเร่งเดินทางมาเตือนให้ทรงทราบ ขณะเดียวกันเพราะเกรงว่าในวังมีการคุ้มกันแน่นหนาจึงเตรียมจดหมายฉบับหนึ่งหมายฝากให้คนนำเข้าไปถวาย นึกไม่ถึง…”

    หลังคลี่จดหมายออกดู ใจจูจันจีก็ร้อนผ่าว แม้สิ่งที่ร้อยขุนนางพึงกระทำคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างขะมักเขม้น ทว่าการที่ข้าหลวงผู้แทนชั้นผู้น้อยคนหนึ่งทุ่มเททำถึงเพียงนี้ นับได้ว่าเป็นขุนนางผู้ภักดีอย่างแท้จริง

    “แล้วเจ้าคิดว่าต่อจากนี้ข้าควรทำเช่นไร” องค์รัชทายาทเผลอเห็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นแปดเป็นขุนนางที่ปรึกษา

    อวี๋เชียนตอบ “เภทภัยครานี้ใหญ่หลวงนัก กิ่งหักลำต้นโค่น นับแต่สถาปนาแผ่นดินมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือองค์รัชทายาทควรหาผู้มีความสามารถที่ไว้วางพระทัยได้และเริ่มทำการสืบสวน จำต้องรู้ให้ได้ถึงรายละเอียดของแผนการของพวกคนร้าย หากชักช้าแม้เพียงน้อย เกรงว่าจะไม่มีโอกาสสืบรู้ความจริงได้อีก”

    ที่อวี๋เชียนเร่งเร้าให้องครักษ์จิ่นอีทำคดีในเวลานั้นก็เพราะเกรงว่าหากช้าไปเพียงก้าว เบาะแสมากมายอาจถูกทำลายไม่เหลือร่องรอย

    จูจันจีส่ายหน้า เรื่องแรกคือเขายังไม่มั่นใจนัก ให้คนที่ไว้วางใจได้ไปสืบสวนสอบสวนเช่นนั้นหรือ ตนเองยามนี้หัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วจะไปเอาคนที่ไว้วางใจได้มาจากที่ใด

    อวี๋เชียนรับรู้ถึงความยากลำบากของอีกฝ่าย จึงรีบเอ่ยปากอธิบาย “ขอองค์รัชทายาทอย่าได้ทรงกลัดกลุ้ม กองบัญชาการห้าทัพ กองบัญชาการพิทักษ์เมือง สำนักห้ากำลังพลระวังเมือง ศาลว่าการอิ้งเทียน กองกำลังจิ่นอี ล้วนแต่คุ้นเคยกับการสืบสวนจับกุม องค์รัชทายาททรงเรียกใช้พวกเขาได้ตามพระทัย”

    จูจันจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันกล่าวออกมาสี่คำ “ข้าไม่วางใจ”

    อวี๋เชียนตกตะลึงเป็นอันดับแรก ก่อนจะเข้าใจได้ทันที

    ไม่แปลกที่องค์รัชทายาทจะเหมือนนกตื่นธนู ในเมื่อลัทธิบัวขาวลอบนำดินระเบิดเข้าไปในเรือพระที่นั่ง ซื้อตัวทหารรักษาธงกองกำลังหลิ่วโส่วฝ่ายซ้ายให้ตระเวนไปตามแม่น้ำสังหารคนปิดปาก วางกำลังดักซุ่มอยู่ที่สะพานเสวียนจินซึ่งอยู่ห่างจากเขตวังหลวงแค่คืบได้ แล้วใครเล่าจะรับรองว่าพวกนั้นจะไม่มีคนคอยเชื่อมประสานอยู่ในกลุ่มขุนนาง อันที่จริงหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลัทธิบัวขาวก่อเรื่องซ้ำๆ ได้ไม่จบไม่สิ้น ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะมีเหล่าขุนนางเป็นสาวก หนำซ้ำยังเป็นพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกด้วย

    ภายในเมืองหนานจิงยามนี้เกรงว่าจะไม่มีแม้สักคนเดียวที่กล้ายืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลัทธิบัวขาว

    ด้านหนึ่งนี่เป็นคดีใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จำต้องสืบสวนเร่งด่วน อีกด้านเมืองทั้งเมืองยามนี้เต็มไปด้วยข้อสงสัยไม่อาจเชื่อถือไว้วางใจผู้ใด พวกเขาสองคนต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกัน มองดูเขตวังหลวงที่มีแม่น้ำฉินไหวไหลเอื่อยกั้นขวาง

    แม้จะผ่านยามอู่* ไปแล้ว ทว่าแสงตะวันกลับยังคงแผดเผาไม่เลิก กระเบื้องซ้อนเหนือผนังด้านข้างสีแดงสะท้อนแสงวับวาว แลดูสุขุมเยือกเย็นไม่ธรรมดา เพียงแต่แสงสว่างยิ่งกระจ่าง การเปรียบเทียบยิ่งชัดแจ้ง ท่ามกลางช่องถนนหอสะพานที่ซ้อนกันอยู่แน่นขนัด เงามืดที่แสงตะวันยากจะส่องถึงก็ยิ่งแลดูสะดุดตาเป็นพิเศษ พวกมันถูกฝังลึกอยู่กลางพื้นผิวของนครหลวงเดิมแห่งนี้ ก่อเกิดเป็นเค้าโครงชั่วร้ายยากบรรยาย

    ทว่าขอบกำแพงตำหนักยังคงเห็นเป็นสีเทาเส้นหนึ่ง บังเอิญเป็นจุดข้ามผ่านระหว่างสว่างไปมืดพอดิบพอดี ไม่มืดไม่สว่าง แลดูคลุมเครือยิ่ง อวี๋เชียนเพ่งตามอง จู่ๆ ในหัวก็ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่ง “กระหม่อมขอเสนอคนผู้หนึ่ง เชื่อว่าเหมาะสมกับหน้าที่นี้อย่างยิ่ง”

    “หือ?” จูจันจีเลิกคิ้วประหลาดใจ

    “มือปราบเขตอิ้งเทียนที่ช่วยพระองค์ไว้ที่ลานซั่นกู่ผู้นั้น เขาแซ่อู๋ นามอู๋ติ้งหยวน”

    ทันทีที่ได้ยินชื่ออีกฝ่าย จูจันจีก็มือสั่น ทั้งอับอายทั้งเดือดดาล ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ถูกแล้ว คนผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ ทว่าขณะเดียวกันคนผู้นี้ก็ลบหลู่องค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงด้วยเช่นกัน เติบใหญ่มาจนถึงป่านนี้จูจันจียังไม่เคยพบเจอการปฏิบัติอย่างโหดร้ายเช่นนั้นมาก่อน ที่ไม่เอาชีวิตคนผู้นั้นอันที่จริงนับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว ในหัวของอวี๋เชียนกำลังคิดอันใดอยู่

    ทั้งๆ ที่เห็นองค์รัชทายาทกำลังจะบันดาลโทสะ อวี๋เชียนกลับไม่ลนลาน “ขอทรงตรองดู ทั่วทั้งนครหลวงเดิมในเวลานี้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิบัวขาวอย่างแท้จริงจะมีสักกี่คน“

    จูจันจีร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาคราหนึ่ง หากจะบอกว่าทั่วทั้งหนานจิงคนที่ไม่น่าสงสัยที่สุดคือผู้ใด คำตอบย่อมไม่แคล้วเป็นอู๋ติ้งหยวนผู้นั้น เพราะหากเขาเป็นคนของลัทธิบัวขาวจริงก็คงนั่งดูองค์รัชทายาทจมแม่น้ำฉินไหวตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเหนื่อยยากเช่นนั้น

    เห็นจูจันจีนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา อวี๋เชียนก็ฉวยจังหวะพูดขึ้นอีก “กระหม่อมเคยเข้าไปในคุกพูดคุยกับเขา คนผู้นี้เป็นพวกไร้เหตุผลก็จริง ทว่าสายตากลับยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา ที่กระหม่อมมาสะพานเสวียนจินได้ทันเวลา ก็ด้วยเพราะเขาเตือนกระหม่อมว่าเภทภัยยังไม่หมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีความสามารถ”

    “หากมีความสามารถจริง แล้วเหตุใดถึงเป็นแค่มือปราบตัวเล็กๆ มิใช่หัวหน้ามือปราบ”

    “องค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว บิดาของอู๋ติ้งหยวนผู้นี้คืออู๋ปู้ผิงหัวหน้ามือปราบเขตอิ้งเทียน มีวิชาความรู้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาลึกซึ้ง บิดาเป็นพยัคฆ์ไหนเลยจะมีบุตรเป็นสุนัขได้” อวี๋เชียนจงใจเก็บงำ ‘ชื่อเสียง’ ของอู๋ติ้งหยวนไว้ เลี่ยงมิให้องค์รัชทายาทต้องเป็นกังวลเพิ่ม

    “ต่อให้มีวิธีการ เขาก็แค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ จะสืบสวนอันใดได้” จูจันจีเบ้ปาก ในใจยังคงรู้สึกติดขัดไม่อาจข้ามผ่าน

    อวี๋เชียนกล่าวต่อ “ลัทธิบัวขาวหูตามากมาย หากส่งองครักษ์จิ่นอีออกไปสืบค้นเบาะแส เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กับพวกจิ้งจอกเหนือกำแพงเมืองหนูในอาราม ให้พวกไก่ขันหมาขโมย* ไปจัดการย่อมเหมาะสมกว่า”

    จูจันจียังไม่ทันได้ยกข้ออ้างอันใด อวี๋เชียนก็ชิงพูดต่อด้วยสีหน้าเด็ดขาด “ในอดีตก่วนจ้ง** เคยง้างธนูเพื่อสังหารฉีหวนกง*** ทว่าฉีหวนกงไม่ถือสาหาความเรื่องราวในกาลก่อน ซ้ำยังให้เขารับผิดชอบปฏิบัติภารกิจสำคัญ จนช่วยให้ฉีหวนกงขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินจงหยวนได้สำเร็จ องค์รัชทายาททรงเด็ดเดี่ยวฉลาดปราดเปรื่อง ควรนำบทเรียนจากประวัติศาสตร์มาปรับใช้”

    จูจันจีจ้องอวี๋เชียน ขุนนางชั้นผู้น้อยตรงหน้าผู้นี้จมูกโด่งเป็นสัน กรามกว้าง เห็นชัดว่าอายุอานามไล่เลี่ยกับตน ทว่าคำพูดคำจากลับไม่ผิดแผกแตกต่างอันใดกับคณาจารย์ในสำนักการกิจ จูจันจีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจ “ได้ วันนี้ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ช่วยสืบสวนฝ่ายขวา กองการฎีกาวสันต์ขวาชั่วคราว อนุญาตให้ดำเนินการตามแต่เห็นสมควร”

     

     

    (ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม สองนครสิบห้าวัน 1)

     

     

    * เป่ยหยวน เป็นราชวงศ์ของชาวมองโกลที่สถาปนาขึ้นหลังจากถูกราชวงศ์หมิงขับไล่ออกจากดินแดนจีน

    * ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 12.59 น.

    * ไก่ขันหมาขโมย เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มักใช้วิธีการง่ายๆ ลูกไม้ตื้นๆ แต่กลับได้ผลดีเพราะไม่มีใครคาดคิด

    ** ก่วนจ้ง รัฐบุรุษยอดนักปกครองยุคชุนชิว เป็นผู้วางรากฐานให้รัฐฉี และทำให้รัชสมัยของฉีหวนกงเข้มแข็งเรืองอำนาจ

    *** ฉีหวนกง (? – 643 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เจ้าครองแคว้นฉีลำดับที่ 15 ในสมัยชุนชิว ซึ่งเป็นยุคสมัยที่แผ่นดินแบ่งแยกอำนาจเป็นหลายแคว้นและทำสงครามขัดแย้งกันอยู่เสมอ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook