• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์ 1 บทที่ 1 – 10

    บทที่ 1

    ชื่อของเขาคือไป๋เสี่ยวฉุน

     

    เขาเม่าเอ๋อร์ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาตงหลิน ตีนเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งตนโดดเดี่ยวตัดขาดจากโลกภายนอกอันแสนวุ่นวาย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ล้วนมีวิถีเรียบง่าย เลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ไถนา

    ช่วงเวลาเช้าตรู่ คนทั้งหมู่บ้านพากันมายืนอออยู่หน้าประตูทางเข้าเพื่อรอส่งหนุ่มน้อยอายุราวสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่ง เด็กหนุ่มผู้นี้แม้จะมีรูปร่างผอมบางอ่อนแอ แต่ผิวพรรณกลับขาวสะอาดสะอ้าน มองดูเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่ผู้กำลังศึกษาเล่าเรียนทั่วไปใส่กัน ทว่ากลับถูกซักเสียจนขาวซีด เมื่อมาอยู่บนตัวของหนุ่มน้อยผู้นี้ ประกอบกับดวงตาใสกระจ่างของเขาแล้วก็ยิ่งขับให้เขาดูปราดเปรียว

    ชื่อของเขาคือไป๋เสี่ยวฉุน

    “พี่ป้าน้าอา ปู่ย่าตายายทุกท่าน ข้าต้องไปบำเพ็ญตนเป็นเซียนแล้ว แต่ใจจริงข้าไม่อยากจากพวกท่านไปเลย” ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เดิมทีเขาก็มีท่าทางน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ในเวลานี้จึงยิ่งดูใสซื่อเข้าไปใหญ่

    คนในหมู่บ้านที่รายล้อมอยู่หันมองหน้ากัน แล้วจึงพากันทำสีหน้าห่วงหาอาลัยออกมา

    “เสี่ยวฉุน พ่อแม่เจ้าด่วนจากไปเร็วนัก เจ้าเองก็เป็น…เด็กดี! เจ้าไม่อยากเป็นอมตะแล้วหรือ พอเจ้าได้เป็นเซียนก็จะอายุยืนยาว อยู่ได้อีกนานแสนนานเลยนะ ไปเถอะ นกอินทรีเมื่อเติบใหญ่ก็ย่อมมีวันที่ต้องโบยบินออกจากรัง” ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาชะงักไปเล็กน้อยขณะกำลังจะพูดคำว่าเด็กดี “อยู่ข้างนอกไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไร เจ้าก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เมื่อก้าวออกจากหมู่บ้านไปแล้ว จงอย่ากลับมาอีก เพราะหนทางของเจ้ารออยู่เบื้องหน้า!” สายตาของผู้เฒ่าฉายให้เห็นถึงความเมตตา เขาพูดพร้อมกับตบไหล่เด็กหนุ่มไปด้วย

    “เป็นอมตะ…” ร่างไป๋เสี่ยวฉุนถึงกับสะท้านไหว นัยน์ตาค่อยๆ ส่อแววเด็ดเดี่ยว เมื่อมองเห็นสายตาให้กำลังใจจากท่านผู้เฒ่าและเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ ตัว เขาก็พยักหน้าแรงๆ ตอบรับ จดจ้องใบหน้าของทุกคนที่อยู่รายล้อม จากนั้นหมุนตัวย่างเท้า ค่อยๆ ก้าวเดินออกไปจากหมู่บ้าน

    ยิ่งแผ่นหลังของเด็กหนุ่มลับหายออกไปไกลเท่าไร ความตื่นเต้นของกลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันก็ยิ่งเพิ่มระดับขึ้นเท่านั้น สายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดีในพริบตา ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ใบหน้าเปี่ยมความเมตตา เวลานี้กลับตัวสั่นไหว หยาดน้ำตาไหลริน

    “สวรรค์มีตา ในที่สุดเจ้าเพียงพอนขาว*ตัวนี้มันก็…มันก็ไปได้สักที คนไหนที่ไปบอกมันว่าเห็นเซียนปรากฏตัวใกล้ๆ หมู่บ้านเรา เดี๋ยวจะตกรางวัลให้อย่างงามเลย!”

    “ในที่สุดเจ้าเพียงพอนขาวก็ยอมไปได้สักที สงสารก็แต่ไก่บ้านข้า เพราะเจ้าเพียงพอนขาวนั่นดันกลัวเสียงไก่ขัน ไม่รู้ว่ามันใช้วิธีไหนยุยงให้เด็กๆ ในหมู่บ้านพากันกินเนื้อไก่ เล่นเอาไก่ทั้งหมู่บ้านถูกจับกินเสียเกลี้ยง…”

    “อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้วพวกเรา!” เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีดังสนั่นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น บางคนถึงขนาดหยิบเอาฆ้องขึ้นมาตีด้วยความสำราญใจ

    ด้านนอกหมู่บ้าน ไป๋เสี่ยวฉุนยังไม่ทันเดินไปไกลก็ได้ยินเสียงตีฆ้องโห่ร้องเฮฮาดังมาจากหมู่บ้านเบื้องหลัง

    เท้าที่กำลังก้าวเดินถึงกับหยุดชะงัก สีหน้าของเขาปั้นยากเหยเก กระแอมไอแห้งๆ ออกมาทีหนึ่งแล้วย่างเท้าเดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาเม่าเอ๋อร์ต่อไป พร้อมกันนั้นหูก็ยังแว่วเสียงตีฆ้องร้องป่าวที่ดังมาไม่หยุด

    เขาเม่าเอ๋อร์ลูกนี้ถึงจะไม่สูงนักแต่ก็เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ ทำให้เห็นเพียงสีดำทึบทึมแม้แต่ในยามเช้าตรู่ ทั้งยังสงัดเงียบไร้สรรพเสียงใดๆ

    “เอ้อร์โก่วบอกว่าไม่กี่วันก่อนตอนโดนหมูป่าวิ่งไล่เห็นเซียนท่านหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าไป…” ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังเดินขึ้นเขาไปด้วยหัวใจที่เต้นตึกตักก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังออกมาจากพุ่มไม้ ฟังแล้วคล้ายเสียงของหมูป่า ด้วยความที่เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ไป๋เสี่ยวฉุนที่ตื่นเต้นเป็นกำลังอยู่แล้วจึงถึงกับเสียวสันหลังวาบ

    “ใคร…ใครอยู่ตรงนั้น!” มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนรีบเอื้อมไปหยิบขวานสี่เล่ม มีดผ่าฟืนอีกหกเล่มจากห่อผ้าออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงหยิบธูปสีดำอีกหนึ่งดอกออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก แล้วกำเอาไว้ในมือแน่น

    “อย่าออกมานะ ห้ามออกมาเด็ดขาด ข้ามีทั้งขวาน ทั้งมีดผ่าฟืน แถมธูปในมือข้าดอกนี้ยังเรียกฟ้าร้องฟ้าผ่าได้ เรียกให้เซียนปรากฏตัวได้ด้วย ถ้าเจ้ากล้าออกมาจะผ่าเจ้าให้เกรียมเลย!” ไป๋เสี่ยวฉุนตะโกนขู่ปากคอสั่น มือเท้าก็ตะเกียกตะกายปีนขึ้นเขาไปด้วยความรวดเร็ว สารพัดอาวุธที่หนีบติดกายไปด้วยส่งเสียงเคร้งคร้างร่วงกราวไปตามทาง

    บางทีอาจเพราะตกใจคำขู่ของเขา เสียงสวบสาบที่ได้ยินก่อนหน้านี้ถึงได้หายไปในทันที ไม่มีสัตว์ป่าโผล่ออกมาอย่างที่คิด ใบหน้าไป๋เสี่ยวฉุนยังคงซีดเผือด เมื่อเช็ดเหงื่อเย็นๆ ออกก็เริ่มอยากล้มเลิกความคิดที่จะเดินทางขึ้นเขาต่อ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าธูปในมือดอกนี้เป็นของที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย โดยเล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษเคยช่วยเหลือเซียนตกยากท่านหนึ่ง ก่อนที่เซียนท่านนั้นจะจากไปก็ได้ทิ้งธูปดอกนี้ไว้ให้เป็นของตอบแทนและเคยรับปากว่าจะรับคนตระกูลไป๋หนึ่งคนเป็นศิษย์ แค่เพียงจุดธูป ท่านเซียนก็จะมาปรากฏตัวให้เห็น

    เขาเคยจุดธูปดอกนี้มาสิบกว่าครั้งแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเซียนตนไหนโผล่มาให้เห็น จนไป๋เสี่ยวฉุนชักสงสัยว่าจะมีเซียนมาหาจริงหรือ ที่ครั้งนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่ หนึ่งเพราะธูปเหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งเห็นเซียนบินผ่านที่แห่งนี้

    ดังนั้นเขาถึงได้ออกเดินทางมา ใจนึกอยากเข้าใกล้ท่านเซียนอีกหน่อย บางทีอาจทำให้ท่านเซียนสังเกตเห็นเขาก็เป็นได้

    หลังจากลังเลใจอยู่พักใหญ่ ไป๋เสี่ยวฉุนก็กัดฟันเดินหน้าต่อไป ยังดีที่ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากนัก ใช้เวลาไม่นานเขาก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาด้วยอาการหอบฮักๆ ขณะที่ยืนอยู่บนนั้นก็ทอดสายตาลงไปยังหมู่บ้านตีนเขาพลางทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง จากนั้นจึงหลุบตาลงมองธูปสีดำที่ถูกจุดมาแล้วหลายครั้งจนเหลือแค่ขนาดเท่าเล็บมือ

    “สามปีแล้ว ท่านพ่อท่านแม่คุ้มครองข้าด้วย ครั้งนี้ต้องสำเร็จให้ได้!” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจุดธูปด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นลมก็พัดกระโชกขึ้นรอบทิศ ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆทะมึนในชั่วพริบตา สายฟ้าแลบแปลบปลาบพาดผ่านเส้นแล้วเส้นเล่า พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นระเบิดอยู่ข้างหูของไป๋เสี่ยวฉุน

    ทั้งเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งบรรยากาศน่าครั่นคร้าม ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนสั่นไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนจะถูกฟ้าผ่าตายได้ตลอดเวลา จิตสำนึกบอกให้ถ่มน้ำลายดับธูปไปซะ แต่สุดท้ายก็เลือกข่มกลั้นความหวาดกลัวไว้ต่อไป

    “สามปีมานี้ข้าจุดธูปดอกนี้ไปแล้วสิบสองครั้ง นี่เป็นครั้งที่สิบสาม คราวนี้ต้องอดทนเข้าไว้ เสี่ยวฉุนไม่ต้องกลัว อย่างไรก็คงไม่ถูกฟ้าผ่าตายหรอก…” ไป๋เสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา หากไม่นับครั้งนี้ สิบสองครั้งก่อนที่จุดธูปล้วนเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าเช่นในเวลานี้เสมอ แต่ก็ไม่เคยมีเซียนปรากฏกายออกมา เขาที่เดิมทีกลัวตายอยู่แล้วจึงตกใจถ่มน้ำลายดับธูปไปเองก่อนทุกที จะว่าไปแล้วก็แปลก ธูปดอกนี้ดูเหมือนไม่ธรรมดา แต่ความจริงกลับใช้น้ำดับได้ไม่ต่างจากธูปทั่วไป

    ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังอกสั่นขวัญหาย รอคอยด้วยความทรมานท่ามกลางเสียงฟ้าผ่านั้น บนท้องนภาห่างจากจุดนี้ไปไม่ไกลนักก็มีลำแสงสีรุ้งทอดยาวพุ่งตรงมายังเขาอย่างรวดเร็ว

    ในลำแสงสีรุ้งนั้นมีชายวัยกลางคนอยู่ผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหรางดงาม รัศมีเซียนแผ่กระจาย แต่กลับดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นได้ว่าสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

    “ข้าอยากจะเห็นนักว่าคนประเภทไหนกันจุดธูปดอกเดียวได้ตั้งสามปี!”

    เมื่อนึกถึงระยะเวลาตลอดสามปีที่ผ่านมาของตัวเอง ชายวัยกลางคนก็โกรธจัด สามปีก่อนเขาสัมผัสได้ว่ามีคนจุดธูปหอมที่ตัวเองเคยมอบไว้สมัยบำเพ็ญตน จึงนึกถึงบุญคุณช่วงหนึ่งในโลกมนุษย์ขึ้นมา ถึงได้บินมาหาตามคำสัญญา

    เดิมทีเขาคิดว่าใช้เวลาไม่นานคงเสร็จธุระ แต่นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะตามกลิ่นธูปไปได้ไม่ไกลเท่าไร กลิ่นธูปกลับหายไป ตัดการติดต่อกับเขาไปอย่างสิ้นเชิง หากแค่ครั้งเดียวยังพอว่า แต่สามปีมานี้เขาได้กลิ่นธูปมาสิบกว่าครั้งแล้ว

    เรียกหาเขาที่นี่ และหายไปกลางคันระหว่างที่กำลังตามหาเสียทุกครั้ง มาๆ หายๆ อยู่อย่างนี้ ทรมานเขามาตลอดสามปี

    ตอนนี้เขามองเห็นเขาเม่าเอ๋อร์ที่อยู่ไกลออกไป มองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่บนยอดเขา ความโมโหโกรธาปะทุขึ้นมา ส่งให้เขาบินพุ่งออกไปอย่างว่องไว พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนยอดเขา เขาสะบัดฝ่ามือ ธูปที่เหลือเพียงน้อยนิดดอกนั้นก็ดับแสงลงไปในทันที

    เสียงฟ้าผ่าหายไปอย่างปุบปับ ไป๋เสี่ยวฉุนตะลึงงัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นว่ามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายตัวเอง

    “ท่านเซียน?” ไป๋เสี่ยวฉุนเอ่ยออกมาอย่างระแวดระวัง เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ มือก็แอบเอื้อมไปหยิบขวานที่อยู่ด้านหลัง

    “ข้าคือหลี่ชิงโหว เจ้าคือลูกหลานตระกูลไป๋รึ” สายตาคมปลาบของเซียนวัยกลางคนสำรวจไป๋เสี่ยวฉุนตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ได้มองไปยังขวานที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้หน้าตางดงามหล่อเหลา คลับคล้ายคลับคลาสหายเก่าเมื่อปีนั้นของเขา หน่วยก้านก็ดูใช้ได้ เห็นอย่างนี้อารมณ์ร้อนระอุที่อยู่ในอกก็บรรเทาลงไปเล็กน้อย

    “ใช่แล้ว ข้าน้อยคือคนรุ่นหลังของตระกูลไป๋ ไป๋เสี่ยวฉุน” ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ตอบกลับเสียงเบา แม้จะยังหวาดกลัวอยู่ในใจแต่ก็ยืดอกตอบคำถาม

    “ไหนบอกข้ามาสิ แค่จุดธูปดอกเดียวใช้เวลาอย่างไรตั้งสามปี!” เซียนผู้บำเพ็ญตนเอ่ยปากเนิบนาบ ถามคำถามที่ต้องการได้ยินคำตอบมากที่สุดตลอดสามปีมานี้

    ไป๋เสี่ยวฉุนพอได้ยินคำถาม หัวสมองก็แล่นหาคำตอบเร็วจี๋ จากนั้นจึงเผยสีหน้ากลัดกลุ้ม ทอดสายตามองลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่ตีนเขา

    “ข้าน้อยเป็นคนรักพวกพ้อง จึงทำใจลำบากหากต้องจากพวกเขาไป ทุกครั้งที่ข้าจุดธูปพวกเขาก็ทำใจให้ข้าจากไปไม่ได้ วันนี้ที่ตีนเขาพวกเขาก็พากันเศร้าเสียใจยกใหญ่เพราะข้าจากมา”

    เซียนวัยกลางคนได้ฟังก็อึ้งไป เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องนี้ โทสะในดวงตาก็ยิ่งเบาบางลงไปอีก เพียงแค่ฟังคำพูดคำจาก็สัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้นิสัยไม่เลว

    แต่เมื่อตวัดสายตามองลงไปยังหมู่บ้านตีนเขา พลังจิตของเขาก็กวาดผ่านไปด้วย หูจึงได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าวและประโยคไชโยโห่ร้องที่ว่าเจ้าเพียงพอนขาวจากไปแล้วซ้ำไปซ้ำมา เขาถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดหัวแปล๊บ มองไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งภายนอกดูเป็นเด็กดีไร้พิษสงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วก็ให้แน่ใจว่าความจริงคือเจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้านี่แหละที่โกหกเขา

    “บอกความจริงมา!” เซียนวัยกลางคนถลึงตา เสียงดังก้องประดุจฟ้าผ่า ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจจนสั่นไปหมดทั้งตัว

    “เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ เพราะธูปประหลาดของท่านนั่นแหละ จุดทีไรฟ้าก็ผ่าทุกที เกือบจะผ่าข้าตายตั้งหลายครั้ง แค่ข้ารอดมาได้สิบสามครั้งนี่ก็ถือว่าโชคช่วยตั้งเท่าไรแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนตอบกลับเสียงหงอยน่าสงสาร

    เซียนวัยกลางคนมองไป๋เสี่ยวฉุนแล้วถึงกับพูดไม่ออก

    “ในเมื่อเจ้ากลัวขนาดนี้ แล้วจะยังดึงดันจุดอีกตั้งสิบกว่าครั้งเพื่ออันใด” เซียนวัยกลางคนปริปากถามออกมา

    “ข้ากลัวตายน่ะสิ บำเพ็ญตนเป็นเซียนจะเป็นอมตะไม่ใช่หรือ ข้าอยากเป็นอมตะ” ไป๋เสี่ยวฉุนตอบกลับด้วยความอัดอั้นตันใจ

    เป็นอีกครั้งที่เซียนวัยกลางคนไร้คำจะกล่าว แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้มีจิตใจมุ่งมั่นน่าชื่นชม หากเอาไปทิ้งไว้ในสำนัก ฝึกปรือขัดเกลาอีกสักหน่อย บางทีอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้

    คิดได้ดังนั้น เขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อม้วนเอาตัวไป๋เสี่ยวฉุนเข้าไปอยู่ในลำแสงสีรุ้งเส้นยาว พุ่งทะยานตรงไปยังเส้นขอบฟ้า

    “ไปกับข้า”

    “ไปที่ไหน นี่มันสูงเกินไปแล้ว…” ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นตัวเองลอยอยู่บนท้องฟ้า ด้านล่างคือพื้นดินเวิ้งว้างอันตรายก็หน้าถอดสีทันที ถึงกับโยนขวานทิ้ง เกาะกอดขาท่านเซียนแน่นหนึบ

    เซียนวัยกลางคนหลุบตามองขาของตัวเอง เอ่ยปากตอบอย่างหน่ายใจ

    “สำนักหลิงซี (ธารวิญญาณ)”

    บทที่ 2

    ฝ่ายครัวไฟ

     

    สำนักหลิงซีตั้งอยู่บนเกาะตงหลิน ถือเป็นจุดที่เทือกเขาแยกปลายแม่น้ำทงเทียนเป็นสองฝั่งเหนือใต้ จนถึงทุกวันนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหมื่นปี เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ

    เมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียวรอบยอดเขาอันน่าครั่นคร้ามของภูเขาทั้งแปดซึ่งทอดขวางแม่น้ำทงเทียน ทางฝั่งแม่น้ำทิศเหนือมียอดเขาสี่ยอด ฝั่งทิศใต้มีสามยอด ส่วนกลางแม่น้ำทงเทียนนั้นมีหนึ่งยอดเขายิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่สุดโผล่พ้นออกมา

    ภูเขาลูกนี้มีหิมะขาวเป็นเงินยวงปกคลุมตั้งแต่ช่วงกลางขึ้นไป มองไม่เห็นปลายยอด เห็นแค่เพียงภูเขาท่อนล่างที่ถูกคว้านเป็นช่องว่างทำให้ธารน้ำสีทองไหลทะลักผ่าน มองแล้วดุจดั่งสะพานภูเขา

    ในเวลานี้ ด้านนอกฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซี สายรุ้งยาวเส้นหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ข้างในนั้นเซียนวัยกลางคนหลี่ชิงโหวพาไป๋เสี่ยวฉุนจมหายเข้าไปในส่วนงานนักการใต้ยอดเขาที่สาม ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาของไป๋เสี่ยวฉุนดังแว่วๆ ลอดมาจากในสายรุ้ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองจะตกใจจนตายเสียแล้ว ตลอดทางที่บินมาเขาเห็นภูเขาลูกใหญ่นับไม่ถ้วน คิดว่าตัวเองกอดขาของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่อยู่แล้วตั้งหลายครั้ง

    เขาตาลายไปหมด พอมองเห็นชัดเจนอีกทีก็มาอยู่ด้านนอกของหอแห่งหนึ่งแล้ว หลังจากร่อนลงพื้นดิน ขาทั้งสองของเขาก็สั่นระริก มองบริเวณรอบๆ ก็เห็นโลกที่แตกต่างไปจากในหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง

    ด้านข้างของหอตรงหน้ามีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งวางตั้งอยู่ ด้านบนเขียนอักษรตัวใหญ่แลดูมีชีวิตชีวาอยู่สี่คำ

    ‘ส่วนงานนักการ’

    ด้านข้างหินก้อนใหญ่มีหญิงสาวใบหน้าตกกระคนหนึ่งนั่งอยู่ พอเห็นว่าหลี่ชิงโหวมาก็รีบลุกขึ้นยืนคารวะทันที

    “พาเด็กคนนี้ไปส่งที่ฝ่ายครัวไฟ” หลี่ชิงโหวสั่งความประโยคหนึ่งเสร็จก็หมุนตัวแปลงกายเป็นสายรุ้งจากไปไกลโดยไม่เหลียวแลไป๋เสี่ยวฉุน

    หญิงสาวหน้าตกกระหลังจากได้ยินคำว่าฝ่ายครัวไฟก็ตกตะลึง สายตากวาดมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ส่งมอบถุงผ้าของส่วนงานนักการให้ไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งใบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วจึงพาเขาเดินออกจากหอ ตลอดทางมีสวนดอกไม้ หอเรือนจำนวนนับไม่ถ้วน ทางเดินปูด้วยหินสีเขียว ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ดูราวกับเขตแดนของเซียน ไป๋เสี่ยวฉุนมองแล้วใจเต้นกระหน่ำ ความตื่นเต้นและกังวลลดหายไปหลายส่วน

    “สถานที่ดียิ่ง ดีกว่าในหมู่บ้านเยอะเลยนะเนี่ย” แววตาของไป๋เสี่ยวฉุนเผยความคาดหวัง ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทิวทัศน์อันงดงามโดยรอบก็ยิ่งเลิศล้ำ เขาได้เห็นแม้กระทั่งหญิงสาวงดงามกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนชื่นชอบที่นี่ขึ้นมาในทันที

    หลังจากผ่านไปชั่วครู่ไป๋เสี่ยวฉุนก็เบิกบานใจมากขึ้นอีกเมื่อเห็นหอเจ็ดชั้นแห่งหนึ่งที่ปลายทางด้านหน้า ตัวหอเปล่งแสงกระจ่างใสแวววาวไปทั้งหอ อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีนกกระสาบินผ่าน

    “ศิษย์พี่หญิง พวกเรามาถึงแล้วหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนพลันถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

    “อืม อยู่ตรงโน้นอย่างไรเล่า” หญิงหน้าตกกระยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม เอ่ยปากพูดเรียบๆ มือชี้ไปที่เส้นทางเล็กๆ ด้านข้าง

    ไป๋เสี่ยวฉุนหันไปตามทิศที่อีกฝ่ายชี้ ขณะที่มองไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมก็ต้องตัวแข็งทื่อ ขยี้ตามองให้ชัด เห็นแค่เพียงว่าบนเส้นทางเล็กๆ สายนั้นมีรอยแตกแยกบนพื้นอยู่หลายแห่ง สภาพโดยรอบก็ยิ่งกว่าทรุดโทรม กระท่อมสี่ห้าหลังดูเหมือนจะพังลงมาได้ตลอดเวลา แถมยังมีกลิ่นตุๆ ลอยมาจากที่นั่นด้วย…

    ไป๋เสี่ยวฉุนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ถามหญิงหน้าตกกระหนึ่งประโยคด้วยความหวังสุดท้าย

    “ศิษย์พี่หญิง ท่านชี้ผิดหรือเปล่า…”

    “ไม่ผิด” หญิงหน้าตกกระเอ่ยปากเรียบๆ เดินนำไปบนทางเส้นเล็กนั่นก่อน ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าภาพฝันงดงามได้พังทลายลงในชั่วพริบตา หน้าม่อยเดินตามไป

    ยังเดินไปได้ไม่เท่าไร เขาก็มองเห็นว่าปลายสุดของเส้นทางทรุดโทรมสายนี้มีหม้อสีดำใบใหญ่หลายใบเดินสวนกันไปมา เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าใต้หม้อสีดำใบใหญ่ทุกใบล้วนมีคนตัวอ้วนอยู่หนึ่งคน ร่างกายพวกเขาเต็มไปด้วยไขมัน ไม่ใช่เพียงอ้วนธรรมดา แต่เหมือนกับว่าถ้ารีดก็จะมีน้ำมันไหลออกมาได้ โดยเฉพาะเจ้าคนที่อ้วนที่สุดคนนั้นดูราวกับภูเขาเนื้อก็ไม่ปาน ขนาดไป๋เสี่ยวฉุนยังกังวลแทนว่าตัวเขาจะระเบิดออกหรือเปล่า

    รอบกายของคนอ้วนเหล่านี้มีหม้อใหญ่อยู่หลายร้อยใบ ซึ่งพวกเขากำลังเติมน้ำและเทข้าวลงไป

    เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหญิงหน้าตกกระ ใบหน้าของเจ้าภูเขาเนื้อก็ทั้งตกตะลึงและดีใจในคราวเดียวกัน คว้าทัพพีอันใหญ่แล้ววิ่งเข้ามาหา แม้แต่พื้นดินยังสะเทือน ไขมันบนตัวกระเพื่อมไหวเป็นลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ควานหาขวานข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว

    “เมื่อเช้านี้ข้าน้อยได้ยินเสียงนกกางเขนร้อง ที่แท้ก็พี่หญิงจะมานี่เอง หรือว่าพี่หญิงเปลี่ยนใจแล้ว คิดว่าข้าน้อยเองก็มีความสามารถอยู่บ้าง เลยถือโอกาสฤกษ์ดีในวันนี้มาผูกเป็นคู่บำเพ็ญตนร่วมกับข้าน้อย” สายตาของเจ้าเนื้อภูเขาเปล่งประกายวิบวับ วิ่งเข้ามาพลางตะโกนด้วยความตื่นเต้น

    “ข้าส่งเด็กคนนี้เข้ามาเพิ่มในฝ่ายครัวไฟของพวกเจ้า พาคนมาถึงแล้ว ขอตัว!” หลังจากที่หญิงหน้าตกกระเห็นเจ้าภูเขาเนื้อ สีหน้าก็ไม่น่าดูถึงขีดสุด ทั้งยังแฝงด้วยความโกรธ รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจหนึ่งที ตลอดทางที่เดินมากับหญิงหน้าตกกระคนนี้เขาก็ได้พิจารณาใบหน้านางแล้ว หน้าตาอย่างกับพญายมปั้นออกมาแบบนั้น เจ้าอ้วนยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีความชมชอบเช่นไรกันถึงได้ถูกอกถูกใจนางได้

    ยังไม่ทันที่ไป๋เสี่ยวฉุนจะคิดเสร็จ เจ้าภูเขาเนื้อนั่นร้องตะโกนหนึ่งทีก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขา บดบังแสงอาทิตย์ไว้มิด ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนถูกปกคลุมอยู่ใต้เงามืด

    ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้ามองเจ้าอ้วนตรงหน้าที่ร่างกายใหญ่โตหาใดเปรียบ เนื้อบนร่างกายยังคงสั่นกระเพื่อม เขาพยายามกลืนน้ำลาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอ้วนถึงเพียงนี้

    เจ้าภูเขาเนื้อเผยสีหน้าคับแค้นใจ ดึงสายตาจากทิศที่หญิงสาวหน้าตกกระเดินจากไปกลับมากวาดมองไป๋เสี่ยวฉุน

    “เอ๋ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาใหม่ เบียดสวี่เป่าไฉที่วางตัวไว้แต่เดิมลงไปได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

    “ศิษย์พี่ ข้าน้อย…ข้าน้อยไป๋เสี่ยวฉุน…” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่ารูปร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ตนเองกดดันอย่างมาก จึงถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

    “ไป๋เสี่ยวฉุน? อืม…ผิวพรรณขาว ตัวเล็กกะทัดรัด หน้าตาสะอาดสะอ้าน ไม่เลวๆ ชื่อของเจ้าตั้งได้เหมาะเจาะกับความชอบของข้าดีมาก” ตาของเจ้าภูเขาเนื้อเป็นประกาย ตบไหล่ของไป๋เสี่ยวฉุนจนเขาแทบจะล้มลงไปเลยทีเดียว

    “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่มีนามเรียกขานเช่นไร” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจพลางกลอกตา เหลือบมองเจ้าภูเขาเนื้อนั่นด้วยความดูแคลน ในใจก็ลองคาดเดาชื่ออีกฝ่ายดูเล่นๆ

    “ข้าชื่อจางต้าพั่ง คนนั้นหวงเอ้อร์พั่ง แล้วก็เฮยซานพั่ง*…” เจ้าภูเขาเนื้อหัวเราะคิกคัก

    ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินชื่อเหล่านี้ก็รู้สึกได้ว่าช่างเหมาะสมกับตัวคนยิ่งนัก ความคิดเล่นๆ พลันหายวับไป

    “ส่วนเจ้า ต่อไปก็เรียกว่าไป๋จิ่ว**…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าผอมเกินไปแล้ว! ออกไปสภาพแบบนี้จะขายหน้าฝ่ายครัวไฟของพวกเราได้ แต่ไม่เป็นไร วางใจได้เลย อย่างมากภายในหนึ่งปีเจ้าก็ต้องอ้วน ต่อไปก็เรียกเจ้าว่าไป๋จิ่วพั่ง” จางต้าพั่งตบอกหนึ่งที ชั้นไขมันกระเพื่อมไหว

    ได้ยินไป๋จิ่วพั่งสามคำนี้ ใบหน้าของไป๋เสี่ยวฉุนก็เหยเก

    “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์น้องเก้า ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันอีก แต่ไหนแต่ไรมาครัวไฟของเรามีธรรมเนียมแบกหม้อ เห็นหม้อใบนี้ที่ข้าแบกไว้ข้างหลังแล้วใช่ไหม นี่คือราชาแห่งหม้อ ตีขึ้นจากเหล็กชั้นดี สลักค่ายกลเพลิงพิภพเอาไว้ ข้าววิเศษที่หุงด้วยหม้อใบนี้รสชาติจะล้ำเลิศกว่าหม้อทั่วไปมากมาย เจ้าเองก็ไปเลือกมาสักใบ ต่อไปเอามาแบกไว้ข้างหลัง จะได้ดูน่าเกรงขามไงล่ะ” จางต้าพั่งตบหม้อสีดำใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพลางเอ่ยปากคุยโว

    “ศิษย์พี่ เรื่องแบกหม้อข้าไม่ทำได้หรือไม่…” ไป๋เสี่ยวฉุนหรี่ตามองหม้อที่อยู่ด้านหลังจางต้าพั่ง พลันรู้สึกว่าคนของครัวไฟต้องเป็นคนแบกหม้อดำ***ทุกคนแน่ ในสมองคิดภาพตัวเองต้องแบกหม้อใบใหญ่สีดำไว้ข้างหลัง จึงรีบพูดออกมา

    “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร การแบกหม้อคือธรรมเนียมของครัวไฟเรา ต่อไปเจ้าอยู่ในสำนัก คนอื่นแค่เห็นว่าเจ้าแบกหม้อ ก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นคนของครัวไฟ ไม่กล้ารังแกเจ้า ครัวไฟของเรามีบารมีมากนะ!” จางต้าพั่งขยิบตาใส่ไป๋เสี่ยวฉุน ไม่เปิดช่องให้คัดค้าน ลากไป๋เสี่ยวฉุนมายังด้านหลังของกระท่อม ที่นั่นมีหม้อใบใหญ่นับพันใบวางซ้อนกันแน่นขนัด ส่วนใหญ่ล้วนมีฝุ่นจับเป็นชั้นหนา เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่มีผู้มาเยือนนานแล้ว

    “ศิษย์น้องเก้า เจ้าเลือกมาหนึ่งใบ พวกเราไปหุงข้าวก่อนนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวข้าวเละขึ้นมา พวกลูกศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้นจะโวยวายเอาอีก” จางต้าพั่งตะโกนหนึ่งทีก็หมุนตัวจากไป เริ่มเดินสวนขวักไขว่กับเหล่าคนอ้วนที่แบกหม้อนับร้อยพวกนั้นอีกครั้ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม มองหม้อพวกนั้นทีละใบ ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะเลือกใบไหนดีนั้นสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นหม้อใบหนึ่งถูกทับอยู่ในมุมด้านล่างสุด

    หม้อใบนี้ค่อนข้างพิเศษ ไม่เป็นทรงกลมแต่เป็นทรงรี มองดูแล้วไม่เหมือนหม้อ กลับเหมือนกระดองเต่ามากกว่า ทั้งยังเหมือนจะมองเห็นรอยเส้นสีทึบจางๆ พาดผ่านบางส่วนด้วย

    “เอ๊ะ?” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเป็นประกาย รีบก้าวเร็วๆ เข้าไปหา หลังจากที่นั่งยองๆ พิจารณาอย่างละเอียดจึงดึงออกมา เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สายตาก็ปรากฏความพึงพอใจ

    เขาชอบเต่ามาตั้งแต่เด็ก เพราะเต่าเป็นตัวแทนของความอายุยืน และที่เขามาฝึกบำเพ็ญตนเป็นเซียนก็เพื่อเป็นอมตะ ตอนนี้พอเห็นว่าหม้อใบนี้เหมือนกระดองเต่าจึงคิดว่านี่เป็นเรื่องมงคลอย่างมาก เป็นลางดียิ่งนัก

    หลังจากย้ายหม้อใบนี้ออกมา จางต้าพั่งที่มองเห็นจากที่ไกลๆ ก็ถือกระบวยอันใหญ่วิ่งเข้ามาหา

    “ศิษย์น้องเก้า ทำไมเจ้าถึงเลือกใบนี้เล่า หม้อใบนี้ไม่รู้ว่าวางไว้ตรงนั้นมากี่ปีแล้ว ไม่เคยมีใครใช้ เพราะว่ามันเหมือนกระดองเต่าจึงไม่เคยมีใครเลือกมาแบกไว้บนหลัง แล้วนี่ศิษย์น้องเก้า…เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” จางต้าพั่งตบท้องของตัวเอง พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี

    “แน่ใจ ข้าเลือกหม้อใบนี้นี่แหละ” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งมองหม้อใบนี้ก็ยิ่งชอบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    จางต้าพั่งพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนยืนกรานถึงเพียงนี้ก็มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่พูดมากอีกต่อไป หลังจากจัดการที่พักในฝ่ายครัวไฟให้ไป๋เสี่ยวฉุนเรียบร้อยแล้วก็ไปทำธุระของตัวเองต่อ

    เวลานี้เป็นยามตะวันชิงพลบแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในกระท่อม พิจารณาดูหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้นอย่างละเอียด พบว่าด้านหลังของหม้อใบนี้มีลายเส้นอยู่หลายสิบเส้น เพียงแต่เป็นรอยจางๆ หากไม่ดูให้ถ้วนถี่ก็ยากจะสังเกตเห็น

    ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่าหม้อใบนี้พิเศษจึงวางลงบนเตาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มสำรวจห้องของตน ห้องนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง มีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุด บนผนังแขวนคันฉ่องทองแดงที่จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเอาไว้ ขณะที่เขามองไปรอบๆ ห้อง หม้อราบเรียบธรรมดาซึ่งอยู่ด้านหลังเขาใบนั้นพลันมีแสงสีม่วงเปล่งประกายวาบขึ้นและหายไป!

    สำหรับไป๋เสี่ยวฉุนแล้ว วันนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะได้มาเยือนดินแดนเซียนที่ตนเองใฝ่ฝันหาแม้ในยามหลับใหลแล้วก็ตาม แต่ในใจของเขาก็ยังคงมีความสับสนอยู่อีกเล็กน้อย

    หลังผ่านไปชั่วครู่ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความคาดหวัง

    “ข้าต้องเป็นอมตะให้ได้!” ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งลงด้านข้าง หยิบเอาถุงผ้าของส่วนงานนักการที่หญิงสาวใบหน้าตกกระมอบให้ขึ้นมา

    ข้างในมียาหนึ่งเม็ด กระบี่ไม้หนึ่งเล่ม ธูปหนึ่งดอก ต่อมาก็คือเสื้อผ้าและป้ายคำสั่งของส่วนงานนักการ สุดท้ายคือตำราไม้ไผ่หนึ่งม้วน ด้านบนมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่ไม่กี่ตัว

    “พลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง* บทหลอมปราณ”

    ยามสนธยาเป็นช่วงเวลาที่พวกจางต้าพั่งในฝ่ายครัวไฟยุ่งวุ่นวาย ไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่ในกระท่อมกำลังมองตำราไม้ไผ่ แววตาปรากฏความคาดหวัง เขามาที่นี่ก็เพื่อเป็นอมตะ และประตูสู่ความเป็นอมตะก็มาอยู่ในมือของเขาแล้วในเวลานี้ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สี่ห้าครั้ง ไป๋เสี่ยวฉุนก็เปิดตำราไม้ไผ่ออกอ่าน

    ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวฉุนปรากฏความตื่นเต้น ในตำราไม้ไผ่ม้วนนี้มีรูปภาพอยู่สามรูป จากคำอธิบายในนั้น การบำเพ็ญเพียรแบ่งออกเป็นสองขั้นคือขั้นหลอมปราณและขั้นสร้างฐาน ส่วนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนี้แบ่งออกเป็นสิบขั้น ซึ่งเป็นสิบขั้นที่ถูกแบ่งเพื่อให้สอดคล้องกับการหลอมปราณ

    และทุกขั้นที่ฝึกได้ก็จะทำให้สามารถควบคุมวัตถุนอกกายได้ หลังจากฝึกถึงขั้นที่สามจะสามารถควบคุมวัตถุที่มีน้ำหนักเกือบครึ่งหนึ่งของกระถาง ฝึกถึงขั้นที่หกจะควบคุมวัตถุน้ำหนักเกินครึ่งหนึ่งของกระถาง และเมื่อฝึกถึงขั้นที่เก้าจะควบคุมกระถางทั้งใบได้ ส่วนขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด จะสามารถควบคุมวัตถุที่มีน้ำหนักเท่ากระถางสองใบได้

    เพียงแต่วิชายุทธ์ที่อยู่ในตำราไม้ไผ่ม้วนนี้มีเพียงแค่สามขั้นแรก ขั้นอื่นๆ ที่เหลือไม่มีบันทึกเอาไว้ อีกทั้งหากคิดจะฝึกฝน ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามวิธีการกำหนดลมหายใจรวมไปถึงการทำท่าทางที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ ถึงจะสามารถฝึกฝนวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้

    ไป๋เสี่ยวฉุนรวบรวมสมาธิขึ้นมา ปรับลมหายใจ หลับตา ทำท่าตามภาพแรกในตำราไม้ไผ่ ทำไปได้เพียงสามลมหายใจก็ต้องร้องโหยหวนออกมาเพราะความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั้งกาย ไม่สามารถยืนหยัดทำต่อไปได้อีก อีกทั้งวิธีหายใจแบบนั้นยังทำให้เขารู้สึกว่ามีลมหายใจไม่พอใช้อีกด้วย

    “ยากชะมัด ในตำราบอกไว้ว่าหากฝึกฝนตามรูปที่หนึ่งจะรู้สึกได้ว่าในร่างกายมีปราณสายบางๆ ไหลเวียนผ่านไป แต่นอกเหนือจากความเจ็บปวดแล้ว ข้าก็ไม่เห็นรู้สึกถึงอะไรเลย” ไป๋เสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มเล็กน้อย แต่เพื่อความเป็นอมตะจึงกัดฟันลองทำดูอีกที ลำบากลำบนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งมืดค่ำ เขาก็ยังคงไม่รู้สึกถึงปราณในร่างกาย

    เขาไม่ล่วงรู้ว่าต่อให้เป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ หากคิดจะฝึกฝนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางขั้นแรกนี้เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีพลังภายนอกมาช่วยก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน และเขาเองก็เพิ่งจะฝึกไปได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม* จึงไม่มีทางที่จะรู้สึกถึงปราณใดๆ ได้

    ในเวลานี้ที่เจ็บปวดไปทั้งร่างกาย ไป๋เสี่ยวฉุนจึงยืดตัวบิดขี้เกียจ ขณะกำลังจะไปล้างหน้า ทันใดนั้นเสียงเอะอะโวยวายก็ดังมาจากด้านนอกประตู ไป๋เสี่ยวฉุนยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง พลันเห็นชายหนุ่มผิวเหลืองร่างกายผอมแห้งคนหนึ่งยืนหน้าเขียวปั้ดอยู่นอกประตูใหญ่ของลานครัวไฟ

    “ใครมันเข้ามาแทนที่ข้าสวี่เป่าไฉ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

    บทที่ 3

    ความจริงหกประการ

     

    เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนยื่นหน้าออกไป ชายหนุ่มหน้าเหลืองกายผอมแห้งก็มองเห็นเขาทันที เขาเลื่อนสายตามาตกบนใบหน้าของไป๋เสี่ยวฉุน ท่าทางโกรธขึ้งดุดัน

    “เจ้าเองเรอะที่มาแทนที่ชื่อข้า!”

    “ไม่ใช่ข้านะ!” ไป๋เสี่ยวฉุนจะหดหัวกลับเข้าไปก็ไม่ทันเสียแล้ว รีบแสร้งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

    “เหลวไหล! เจ้าผอมขนาดนี้ เห็นชัดๆ ว่าเพิ่งมาใหม่!” สวี่เป่าไฉกำหมัดแน่น มองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยความโกรธแค้น

    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ” ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นอีกฝ่ายเดือดดาลจนคล้ายจะระเบิดออกมาก็รู้สึกลำบากใจ พูดเสียงเบา

    “ข้าไม่สน สามวันให้หลังที่เนินเขาทิศใต้ของสำนัก เจ้ากับข้ามาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกัน หากเจ้าชนะ ความแค้นครั้งนี้ข้าจะทนกล้ำกลืนลงไป หากเจ้าแพ้ ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของข้า” สวี่เป่าไฉเอ่ยเสียงดัง ควักจดหมายเลือดแผ่นหนึ่งออกมาจากหน้าอก โยนมาบนหน้าต่างด้านหน้าไป๋เสี่ยวฉุน ด้านบนนั้นเขียนอักษรอาฆาตสีเลือดนับไม่ถ้วนแน่นขนัด

    ไป๋เสี่ยวฉุนมองจดหมายเลือดแผ่นนั้น เห็นอักษรอาฆาตที่เขียนด้วยเลือดมากมายอยู่บนนั้น สัมผัสได้เพียงไอสังหารที่พุ่งออกมาใส่หน้า ในใจหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าต้องการต่อสู้ตัดสินเป็นตายก็ยิ่งหวาดผวากว่าเดิม

    “ศิษย์พี่ นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ถึงกับต้องใช้เลือดของตัวเองเขียนอักษรมากมายขนาดนี้…ต้องเจ็บมากเป็นแน่”

    “เรื่องใหญ่แค่ไหนอย่างนั้นหรือ หลายปีมานี้ข้ากินอยู่จำกัดจำเขี่ย เก็บออมศิลาวิเศษมาเจ็ดปีเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ควบคุม เจ็ดปีเชียวนะ เจ็ดปีเต็ม! ถึงแลกเอาคุณสมบัติในการเข้าครัวไฟมาได้ แต่กลับมาถูกเจ้าเข้าแทรก เจ้าและข้ามิอาจอยู่ร่วมโลก สามวันหลังจากนี้ ไม่เจ้าก็ข้าที่ต้องตายกันไปข้าง!” สวี่เป่าไฉโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กัดฟันกล่าว

    “ข้าไม่ไปหรอก” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบใช้ปลายนิ้วคีบจดหมายเลือดขึ้นมาแล้วโยนออกไปนอกขอบหน้าต่าง

    “เจ้า!” ขณะที่สวี่เป่าไฉกำลังจะสาดอารมณ์ก็รู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนของพื้นดินเสียก่อน ข้างกายมีภูเขาเนื้อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก ไม่รู้ว่าจางต้าพั่งมายืนอยู่ตรงนั้นพลางมองประเมินสวี่เป่าไฉด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่เมื่อไร

    “จิ่วพั่ง ไปล้างถ้วยกับศิษย์พี่สองของเจ้า ส่วนเจ้า อย่ามาเอะอะโวยวายที่นี่อีก ไปเล่นที่อื่นไป๊!” เพียงจางต้าพั่งสะบัดมือ เสียงลมก็พัดวืดขึ้นมา

    สวี่เป่าไฉหน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังหลายก้าวติดๆ กัน เขาคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นจางต้าพั่งก็ข่มกลั้นเอาไว้ สุดท้ายจึงหันมองไป๋เสี่ยวฉุนอย่างอาฆาตแค้นหนึ่งที ก่อนจะยอมจากไปด้วยความคับแค้นใจ

    ไป๋เสี่ยวฉุนมาคิดๆ ดู รู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายตอนจากไปช่างอำมหิตยิ่งนัก เมื่อครุ่นคิดดีแล้วก็ตัดสินใจว่าตนเองไม่ออกไปนอกครัวไฟตามใจชอบจะดีกว่า อยู่ในนี้อีกฝ่ายไม่น่าจะกล้าเข้ามา

    แผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปหลายวัน ไป๋เสี่ยวฉุนค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับงานของฝ่ายครัวไฟได้ ตอนกลางคืนก็ฝึกฝนวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง น่าเสียดายที่พัฒนาการเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงลมหายใจที่สี่ ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

    คืนนี้ขณะที่เขากำลังฝึกฝนก็พลันได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจจากศิษย์พี่ตัวอ้วนทั้งหลายในฝ่ายครัวไฟลอยมาจากด้านนอก

    “ปิดประตู ปิดประตู หวงเอ้อร์พั่ง รีบไปปิดประตูเร็วเข้า!”

    “เฮยซานพั่ง รีบไปตรวจดูรอบๆ สิว่ามีใครแอบดูอยู่หรือเปล่า!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนอึ้งไป คราวนี้เขาฉลาดขึ้นมาแล้ว ไม่มองทางหน้าต่าง แต่แอบมองลอดช่องว่างตรงประตู เห็นแค่เพียงว่าเจ้าอ้วนหลายคนที่อยู่ด้านนอกเคลื่อนไหวปราดเปรียวเกินจะเปรียบ ก้าวเท้าประหนึ่งจะบินอยู่ในลานกว้าง ท่าทางมีลับลมคมใน วุ่นวายกันไปหมด

    ไม่นานประตูใหญ่ของครัวไฟก็ถูกปิดแน่นสนิท รอบทิศก็ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใครที่ใช้วิทยายุทธ์ทำให้เกิดหมอกควันบางๆ ขึ้นมาหนึ่งชั้น พาให้เงาร่างของเหล่าคนอ้วนดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม

    ไป๋เสี่ยวฉุนมองอยู่นาน จนกระทั่งมองเห็นว่าคนอ้วนเหล่านั้นไม่เดินสวนกันไปมาอีก แต่มายืนล้อมกันอยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่งด้วยท่าทางมีลับลมคมใน ต่อให้มีหมอกกั้นขวางเอาไว้ เขาก็ยังคงมองเห็นร่างกายอันมโหฬารของจางต้าพั่งได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรเสียงเบาอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกว่าในเมื่อเรื่องนี้เป็นความลับ ตนรู้ให้น้อยไว้จะดีกว่า ดังนั้นจึงก้าวถอยออกมา พยายามทำทีว่าไม่เห็นอะไร

    แต่เสียงจางต้าพั่งกลับดังมาในเวลานี้

    “จิ่วพั่ง เจ้าเห็นหมดแล้ว ยังไม่รีบมานี่อีก” เสียงไม่ถือว่าดังนัก เหมือนจงใจกดให้เบาลง

    ไป๋เสี่ยวฉุนกะพริบตา ใบหน้าเผยความไร้เดียงสาอย่างคนไร้พิษสงแล้วเดินออกมาข้างนอก

    เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ จางต้าพั่งก็เอื้อมมือออกมาคว้าเอาไป๋เสี่ยวฉุนไปยืนอยู่ข้างกาย ไป๋เสี่ยวฉุนที่ยืนล้อมเป็นวงอยู่กับเจ้าอ้วนทั้งหลายได้กลิ่นไม่ธรรมดาขึ้นมาในทันที เมื่อสูดดมเข้าไปในโพรงจมูกก็กลายเป็นกระแสอากาศอบอุ่นจำนวนนับไม่ถ้วน หลอมละลายไปทั่วร่างกาย

    พอมองไปรอบๆ ก็เห็นคนอื่นๆ ล้วนเผยสีหน้าสดชื่นเบิกบานออกมา ใจของไป๋เสี่ยวฉุนกระตุก เห็นในมือของจางต้าพั่งถือเห็ดหลิงจือขนาดใหญ่เท่าหัวเด็กทารกไว้หนึ่งชิ้น เห็ดหลิงจือชิ้นนี้โปร่งใสแวววาว เพียงมองก็รู้ได้ว่าไม่ใช่เห็ดหลิงจือธรรมดาทั่วไป

    “ศิษย์น้องเก้า มานี่ กัดคำหนึ่งสิ” จางต้าพั่งมองหน้าไป๋เสี่ยวฉุน ยื่นเห็ดหลิงจือที่อยู่ในมือให้ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “เอ๋?” ไป๋เสี่ยวฉุนมองเห็ดหลิงจือ จากนั้นก็มองศิษย์พี่ร่างอ้วนหลายคนที่อยู่ข้างกาย เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนมีท่าทีลังเล จางต้าพั่งก็โกรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำท่าทางว่าหากเจ้าไม่กินเป็นเรื่องแน่

    ไม่เพียงแต่เขาที่ทำท่าแบบนั้น หวงเอ้อร์พั่ง เฮยซานพั่งที่ประกบอยู่ข้างกายก็มีท่าทางเช่นเดียวกัน พวกเขาจ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย เขาเคยเจอเรื่องอย่างการเอาเห็ดหลิงจือล้ำค่ามอบให้กันง่ายๆ ราวกับเป็นแค่ขาไก่ ทั้งยังบีบบังคับให้ต้องกินให้ได้ หากไม่กินจะถึงขั้นมีเรื่องกันอย่างนี้มาก่อนแล้วในความฝัน นี่ในชีวิตจริงยังจะหนีไม่พ้นอีก

    หัวใจของไป๋เสี่ยวฉุนเต้นโครมๆ กัดฟันรับเอาเห็ดหลิงจือมากัดลงไปแรงๆ หนึ่งคำใหญ่ เนื้อเห็ดหลิงจือนั้นพอเข้าปากก็นุ่มละมุน หลังจากละลายไปทั่วร่างแล้ว ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายอันสุดประมาณก็เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของไป๋เสี่ยวฉุนแดงเห่อขึ้นมา

    “ดี กินหลิงจือร้อยปีที่ท่านผู้เฒ่าซุนคัดสรรมาสำหรับใส่ในน้ำแกงชิ้นนี้ พวกเราก็กลายเป็นคนกันเองจริงๆ แล้ว” จางต้าพั่งเผยสีหน้าพึงพอใจ กัดกร้วมหนึ่งคำเล็ก แล้วจึงโยนให้กับเจ้าอ้วนคนต่อไป ทุกคนกัดกันกร้วมๆ ไม่นานคนทั้งวงก็กินเห็ดหลิงจือชิ้นนั้นจนหมด เมื่อพวกเขามองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน ก็เห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มอย่างพวกเดียวกันออกมา

    ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะคิกคัก เข้าใจในทันทีว่านี่คือการคลุกคลีตีโมงทำชั่ว อีกอย่างศิษย์พี่เหล่านี้กินกันจนอ้วนก็ยังไม่เป็นอะไร คิดดูแล้ววิธีการกินแบบนี้คงปลอดภัย มิน่าล่ะสวี่เป่าไฉผู้นั้นถึงได้ส่งสารท้ารบ เขียนอักษรอาฆาตแค้นเขามากมายขนาดนั้น…

    “ศิษย์พี่ หลิงจือชิ้นนี้อร่อยจริงๆ ข้ากินแล้วร้อนไปทั้งตัวเลย” ไป๋เสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก มองจางต้าพั่งด้วยสายตาปรารถนา

    จางต้าพั่งได้ยินประโยคนี้ตาก็เป็นประกาย หัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะควักเอาหวงจิง*หนึ่งชิ้นออกมาจากหน้าอกส่งให้กับไป๋เสี่ยวฉุนอย่างคนกล้าได้กล้าเสีย

    “ทีนี้ศิษย์น้องก็รู้แล้วล่ะสิว่าที่นี่น่ะดีแค่ไหน เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ไม่ได้หลอกเจ้า เอ้ากิน! รับรองว่าต่อไปเจ้าจะไม่มีอดแน่!”

    นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกาย รับมากัดคำใหญ่ เพิ่งจะกินเสร็จ จางต้าพั่งก็หยิบธัญพืชวิเศษออกมาอีกชิ้นหนึ่ง ธัญพืชวิเศษชิ้นนี้มีสีทอง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว

    คราวนี้ไม่ต้องให้จางต้าพั่งบอก ไป๋เสี่ยวฉุนก็รีบกัดกลืนลงไป รสเปรี้ยวหวานคละคลุ้งเต็มปาก ขณะที่ความสดชื่นกระจายไปทั่วร่างเขาจางต้าพั่งก็หยิบผลไม้วิเศษสีแดงออกมาอีกหนึ่งชิ้น ผลไม้วิเศษชิ้นนี้รสหวานเลี่ยน ข้างในยังมีสายปราณบางๆ ไหลเวียนอยู่

    ดังนั้นในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นหลิงจือเอย สมุนไพร ผลไม้วิเศษ ธัญพืชวิเศษเอย ไป๋เสี่ยวฉุนล้วนกินหมดทุกอย่าง เจ้าอ้วนคนอื่นอีกหลายคนก็ล้วนทำเช่นเดียวกัน กินไปกินมาจนกระทั่งไป๋เสี่ยวฉุนเวียนศีรษะ ไม่ต่างจากคนเมา ร้อนรุ่มไปทั้งตัว ถึงขนาดที่ว่าบนศีรษะมีควันสีขาวลอยออกมา เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองอ้วนขึ้นมาอีกเท่าตัว

    เพราะเขากินไม่หยุด สายตาของพวกจางต้าพั่งที่มองมาจึงยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น จนสุดท้ายต่างก็พากันตบท้องและหัวเราะขึ้นมา ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกของการได้คลุกคลีตีโมงทำเรื่องชั่วร่วมกัน

    ไป๋เสี่ยวฉุนมึนเมา กางแขนขาอ้าซ่า มือข้างหนึ่งตบลงไปบนท้องของจางต้าพั่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่ด้านข้าง หัวเราะเสียงดังเหมือนคนอื่นๆ

    “ส่วนอื่นของงานนักการน่ะต้องตีกันหัวร้างข้างแตกเพื่อได้ตำแหน่งเป็นศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง ส่วนพวกเรา เพื่อทิ้งตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งก็ต้องตีกันหัวร้างข้างแตกเหมือนกัน ใครก็ไม่ยอมไป ใครจะอยากไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอกกันเล่า อยู่ที่นี่ดีจะตายไป” จางต้าพั่งยิ่งมองไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกถูกใจ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นก็หยิบโสมคนออกมาอีกหนึ่งชิ้น ส่วนหัวของโสมคนชิ้นนี้มีข้อต่อจำนวนนับไม่ถ้วน หนวดมากมายเบียดกันแน่น แค่มองก็รู้ได้ว่ามีอายุหลายปี

    “ศิษย์น้องเก้า พวกเราทุกคนบำเพ็ญเพียรจนสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้ตั้งนานแล้ว แต่พวกเราต้องซ่อนตัวเอาไว้ ดูนี่สิ นี่คือโสมคนอายุร้อยปี ศิษย์ฝ่ายนอกต้องตีกันหัวร้างข้างแตกถึงจะได้กินสักคำหนึ่ง แล้วเจ้าดูพวกเราสิ” จางต้าพั่งหักหนวดเส้นหนึ่งออกมา โยนเข้าไปในปาก หลังจากกลืนลงคอดังอึกๆ ไปแล้วก็ส่งโสมคนชิ้นนั้นให้กับไป๋เสี่ยวฉุน

    “ศิษย์พี่ ข้าอิ่มแล้ว…คราวนี้กินไม่ลงแล้วจริงๆ…” ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋เสี่ยวฉุนปรือปรอย เขายัดจนพุงกางแล้วจริงๆ ขณะที่กำลังเปิดปาก จางต้าพั่งก็ดึงหนวดอีกเส้นยัดเข้าไปในปากของเขาโดยตรง

    “ศิษย์น้องเก้าเจ้าผอมเกินไปแล้ว ออกไปแบบนี้ ศิษย์หญิงในสำนักคนใดจะมาชมชอบ คนในสำนักของเราชื่นชอบแต่คนที่ร่างกายสมบูรณ์น่าเกรงขามอย่างพวกศิษย์พี่ทั้งนั้น มา กินเข้า…ฝ่ายครัวไฟของเรามีกลอนคู่อยู่ท่อนหนึ่งบอกไว้ว่า ยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งเป็นศิษย์ฝ่ายนอก” จางต้าพั่งเรอออกมาหนึ่งที หยิบถ้วยเปล่าหนึ่งตั้งออกมาพลางชี้ไปที่กระท่อมด้านข้าง ที่นั่นแขวนกลอนคู่เอาไว้

    “ใช่ ใช่ พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่หิวกันจะตายอยู่แล้ว…อืม หิวกันจะตาย” มองที่กลอนผืนนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนตบพุงและก็เรอออกมาเหมือนกัน

    พวกจางต้าพั่งได้ยินแล้วก็พากันหัวเราะครื้นเครง รู้สึกว่าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้ยิ่งน่ารักขึ้นเรื่อยๆ

    “วันนี้ข้ามีความสุขยิ่งนัก เลยอยากจะบอกอะไรให้เป็นความรู้ศิษย์น้องเก้าสักหน่อย ของที่ฝ่ายครัวไฟของเรากินเข้าไปล้วนพิถีพิถัน มีสูตรอยู่หกประการ ศิษย์น้องเก้าเจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ไม้วิเศษกินริมขอบ ลำต้นห้ามแตะ หั่นเนื้อลงมีดแรง เลาะกระดูกเหลือสามส่วน โจ๊กวิเศษผสมน้ำให้มาก น้ำแกงหยกครึ่งถ้วยเล็ก

    ความจริงหกประการนี้คือข้อสรุปหลายปีของผู้อาวุโส ขอแค่เจ้ากินตามหลักนี้ รับรองว่าไม่เกิดเรื่องแน่นอน เอาล่ะ แยกย้ายกันเถอะ อาหารมื้อค่ำวันนี้จบแล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้นยังรอดื่มน้ำแกงอยู่นะ” จางต้าพั่งพูดพลางเทน้ำข้าวใส่แต่ละถ้วย

    ไป๋เสี่ยวฉุนสติเลอะๆ เลือนๆ ในสมองเต็มไปด้วยความจริงหกประการนั้น มองพวกจางต้าพั่งที่กำลังเทน้ำข้าวหนึ่งที แล้วก็มองไปที่ถ้วยแต่ละใบ หลังจากเรอออกมาหนึ่งครั้งก็นั่งยองๆ ลงไปหยิบถ้วยเปล่าใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อดูอย่างละเอียดแล้วก็แสยะปากยิ้ม

    “ศิษย์พี่ ถ้วยใบนี้ไม่ค่อยดีนะ” เมื่อพวกจางต้าพั่งได้ยินก็มองไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พวกท่านดูถ้วยนี่สิ ถ้วยใบนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่แต่ความจริงบรรจุได้เยอะมาก เหตุใดพวกเราไม่ทำให้มันดูเหมือนใหญ่มากแต่ความจริงบรรจุได้น้อยมากแทนเล่า ยกตัวอย่างเช่นทำให้ก้นถ้วยนี่…หนาขึ้นมาหน่อยเป็นอย่างไร” ไป๋เสี่ยวฉุนท่าทางไร้เดียงสา พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

    จางต้าพั่งอึ้งไป มีความรู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาแรงๆ ไขมันบนร่างกายค่อยๆ กระเพื่อมไหวขึ้นมา สายตาทั้งคู่เป็นประกาย เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็มีลมหายใจถี่รัว ชั้นเนื้อบนร่างของแต่ละคนล้วนสั่นไหว

    จางต้าพั่งตบต้นขาแรงๆ ดังป้าบหนึ่งที เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง

    “ดี ดี ดี ทีนี้ล่ะชื่อเสียงของเราจะได้ขจรขจายไปไกล เป็นความคิดดีที่จะนำพาความผาสุกมาให้กับคนรุ่นหลังของฝ่ายครัวไฟเราอีกนับไม่ถ้วน นึกไม่ถึงเลยว่าในสมองศิษย์น้องเก้าที่ดูเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทจะมีความคิดร้ายกาจแบบนี้ได้ ฮ่าๆ เจ้าเกิดมาเพื่อทำงานในฝ่ายครัวไฟโดยแท้!”

    บทที่ 4

    หลอมพลังจิต

     

    ทุกคนยินดีปรีดา ยามมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนก็ชื่นชอบอย่างถึงที่สุด รู้สึกว่าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้ไม่เพียงน่ารักแต่ยังมีเล่ห์เหลี่ยมอีกไม่น้อย ดังนั้นจางต้าพั่งจึงตัดสินใจมอบข้าววิเศษหนึ่งเม็ดเป็นของรางวัล ยัดใส่ลงไปในมือไป๋เสี่ยวฉุน

    ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะอย่างมีความสุข กลับเข้าห้องด้วยสติเลอะๆ เลือนๆ ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นไปบนเตียง พลังจากของวิเศษนับไม่ถ้วนที่สะสมอยู่ในร่างกายก็พากันระเบิดออกมา ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะและล้มพังพาบลงไปกองบนพื้น หลับสนิทแน่นิ่งไป

    การนอนหลับครั้งนี้หวานล้ำเป็นพิเศษ เช้าตรู่ของวันต่อมาไป๋เสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา เมื่อก้มลงมองก็พบว่าตัวเองอ้วนขึ้นมาอีกเท่าตัว ทั้งร่างเหนียวเหนอะหนะ มีคราบสกปรกสีดำเกาะอยู่เป็นชั้น จึงรีบออกไปล้างทำความสะอาด พวกจางต้าพั่งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหารเช้าให้พวกลูกศิษย์ฝ่ายใน เห็นท่าทางของไป๋เสี่ยวฉุนก็พากันหัวเราะขึ้นมา

    “ศิษย์น้องเก้า คราบสกปรกพวกนั้นเป็นสารเจือปนในร่างกายเจ้า หลังจากขจัดออกไปแล้ว เวลาเจ้าบำเพ็ญเพียรจะราบรื่นขึ้นเยอะ ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องมาช่วยหรอก ผ่านไปสี่ห้าวันแล้วค่อยมาทำงาน”

    “ข้าววิเศษเม็ดนั้นน่ะเป็นของดี จำไว้ว่าต้องรีบกิน ทิ้งไว้นานจะไม่ดี”

    ไป๋เสี่ยวฉุนคึกคักกระปรี้กระเปร่า หลังจากพยักหน้าตอบรับหนึ่งทีก็กลับเข้าไปในห้อง กวาดสายตามาตกอยู่บนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้น จึงถือโอกาสแบกออกไปล้างด้วย พอกลับมาในห้องก็เอามาวางไว้บนเตาไฟ หยิบข้าววิเศษเม็ดนั้นมาถือในมือแล้วพินิจดู ข้าวเม็ดนี้ขนาดเท่านิ้วก้อย สีใสเรียบลื่น ส่งกลิ่นหอมกำจาย

    “ของที่เซียนเขากินกันไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจ หยิบเอาฟืนสองสามท่อนในเตามาจุด เพิ่งจะเริ่มจุดไฟ ไอร้อนแผดเผาก็พุ่งเข้าปะทะหน้าทันที ทำให้ใบหน้าของไป๋เสี่ยวฉุนร้อนรุ่มจนต้องรีบถอยออกห่าง มองดูไฟในเตาปะทุก็จุปากชื่นชม

    “ไฟนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ติดเร็ว ระดับความร้อนยังสูงกว่าไฟในหมู่บ้านเยอะด้วย” ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปยังฟืนในเตาไฟอีกครั้ง รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะฟืนนี่แหละที่ไม่ธรรมดา

    และในเวลานี้ เมื่อเปลวไฟลุกไหม้ไป๋เสี่ยวฉุนก็มองเห็นสิ่งประหลาด ลายเส้นเส้นแรกบนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้นกลับเริ่มมีแสงสว่างจากช่วงล่างไล่ขึ้นไปด้านบน จากนั้นก็ส่องสว่างขึ้นทั้งเส้นอย่างรวดเร็ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนอึ้งงัน ตบเข้าที่ต้นขาหนึ่งฉาดทันที

    “ข้าว่าแล้วไง นี่คือของล้ำค่า จะต้องดีกว่าหม้อใบนั้นของศิษย์พี่อย่างแน่นอน” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกว่าหม้อใบนี้ไม่ธรรมดา รีบโยนข้าววิเศษลงไปในหม้อทันที

    เขานั่งรออยู่ด้านข้างไปด้วย หยิบตำราไม้ไผ่ที่ใช้ฝึกฝนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางออกมาด้วย และเริ่มฝึกฝนโดยทำท่าทางและกำหนดลมหายใจตามภาพแรกในตำรา

    แทบจะเวลาเดียวกับที่เพิ่งเริ่มฝึก ไป๋เสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้าง เขาพบว่าท่านี้ที่เมื่อวานทำได้แสนลำบากยากเย็น ในเวลานี้กลับราบรื่นอย่างถึงที่สุด ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อย ถึงขนาดที่ว่าหายใจตามวิธีการนั้นแล้วก็ไม่ติดขัดอีกต่อไป กลับกลายเป็นว่ารู้สึกสบายอย่างมาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ยืนหยัดทำต่อ เขาจำได้แม่นว่าก่อนหน้านี้อย่างมากที่สุดคือหายใจได้เพียงสามสี่ครั้ง แต่ตอนนี้ผ่านมาถึงลมหายใจที่เจ็ดที่แปดแล้วก็ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

    ไป๋เสี่ยวฉุนข่มกลั้นความตื่นเต้น สงบจิตใจลง ยืนหยัดทำไปได้จนกระทั่งถึงลมหายใจที่สามสิบ ขณะที่เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นลมปราณเล็กๆ สายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในร่างกาย ปราณที่ว่านี้เย็นเฉียบและไหลเวียนไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะหายไปเสียก่อนโดยที่ยังไม่ทันได้ไหวไปทั่วร่างก็ตาม ก็ยังคงทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนตื่นเต้นจนกระโดดตัวลอย

    “มีลมปราณแล้ว ฮ่าๆ มีลมปราณแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง และนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุต้องเป็นเพราะเมื่อวานกินของวิเศษพวกนั้น ในใจลึกๆ จึงรู้สึกว่าเมื่อวานกินน้อยไปหน่อย

    “มิน่าเล่าศิษย์พี่จางถึงบอกว่ายอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ของดีๆ แบบนี้ พวกศิษย์ฝ่ายนอกไม่มีทางมีแน่นอน” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบนั่งลง ฝึกวิชาต่ออีกครั้ง

    คราวนี้เขาทำตามวิธีหายใจของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางขั้นแรก และทำท่าตามภาพแรก ยืนหยัดมาได้ถึงลมหายใจที่หกสิบ ชั่วขณะที่มาถึงลมหายใจที่หกสิบนั้นภายในร่างกายของเขาก็ปรากฏลมปราณสายที่ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัวขึ้นมาฉับพลัน เหมือนดั่งน้ำที่รินไหล ไหลเวียนอย่างรวดเร็วอยู่ในร่างกายของเขา

    ไป๋เสี่ยวฉุนมีประสบการณ์แล้ว จึงรีบทำตามสัญลักษณ์ที่ระบุอยู่ในภาพที่หนึ่ง ครุ่นคิดเงียบๆ ถึงเส้นทางแต่ละจุดในร่างกาย

    ไม่นานลมปราณที่ไหลรินในร่างกายก็ไหลเวียนไปตามเส้นทางที่ไป๋เสี่ยวฉุนคิดไว้ จากการที่ไป๋เสี่ยวฉุนยังคงยืนหยัดตั้งท่าตามภาพที่หนึ่ง เขาจึงถึงขั้นสัมผัสได้ว่าในร่างกายยังมีลมเย็นๆ ผุดออกมาจากแต่ละตำแหน่งทั่วร่าง ราวกับหยดน้ำได้หลอมรวมเข้ากับลมปราณที่ไหลรินสายนั้น และไปขยายขนาดของเส้นทางการไหลเวียนให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเหมือนธารน้ำสายเล็กๆ เมื่อธารสายนั้นไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างครบหนึ่งรอบ กายของไป๋เสี่ยวฉุนก็สั่นไหว ในสมองประหนึ่งเมฆหมอกแหวกเปิด เสียงตูมดังก้อง

    ความรู้สึกโล่งเบาสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาในทันที คราบสกปรกแต่ละกลุ่มแต่ละก้อนก็ถูกระบายออกมาตามรูขุมขนอย่างไม่หยุดหย่อน

    และสายธารเส้นเล็กในร่างกายของเขาเส้นนั้นก็ไม่ได้กระจัดกระจายหายไปเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก แต่ยังคงอยู่ตลอดเวลา ไหลเวียนด้วยตัวเองไปทั่วร่างอย่างเชื่องช้า ไป๋เสี่ยวฉุนลืมตา ดวงตาก็ยิ่งใสกระจ่าง ความคล่องแคล่วปราดเปรียวเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน

    ถึงขนาดว่าร่างกายสามารถสัมผัสได้ถึงความเบาและคล่องตัวอย่างมาก

    “ลมปราณยังคงอยู่ ก็คือผลจากการฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่งของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง หมายความว่าฝึกได้ถึงขั้นที่หนึ่งของการหลอมปราณอะไรนั่นด้วย!” ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ วิ่งออกไปชำระล้างตัวอีกครั้ง

    พอพวกจางต้าพั่งเห็นก็เผยรอยยิ้มรู้กัน สำหรับไป๋เสี่ยวฉุนที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถึงแม้จะน่าตกตะลึง แต่ก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุได้ดี

    เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหลายที ไป๋เสี่ยวฉุนก็หยิบตำราไม้ไผ่ที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด

    “หลังจากที่ฝึกขั้นที่หนึ่งของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางสำเร็จแล้ว ก็จะสามารถควบคุมวัตถุบางอย่างได้ นี่คือคาถาของเซียน สามารถดูดวัตถุให้ลอยกลางอากาศได้” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ใช้มือทั้งสองข้างทำมุทราอย่างง่ายๆ ตามขั้นตอนที่ระบุเอาไว้ในตำรา หันนิ้วชี้ไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าลำธารเล็กสายนั้นในร่างกายได้ห้อทะยานตรงดิ่งไปที่นิ้วชี้ข้างขวาดุจดั่งม้าป่าที่ถูกปลดบังเหียน และพุ่งออกไปจากปลายนิ้ว

    ประหนึ่งธารสายนั้นได้ก่อรูปร่างเป็นเส้นไหมที่มองไม่เห็นหนึ่งเส้นและเชื่อมโยงเข้ากับโต๊ะตัวนั้น แต่น่าเสียดายที่เพิ่งจะเริ่มเชื่อมโยงถึงกัน ไหมเส้นนี้ก็เกิดไม่มั่นคงขึ้นมา จึงแตกกระจายเสียงดังเปรี๊ยะในฉับพลัน

    ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าเผือดสีเล็กน้อย นิ่งไปครู่ใหญ่ถึงได้ฟื้นคืนสติ หลังจากที่ครุ่นคิดถี่ถ้วนแล้วก็เลิกสนใจโต๊ะ หันไปหยิบเอากระบี่ไม้ออกมาจากถุงผ้า กระบี่ไม้เล่มนี้ไม่รู้ว่าทำจากไม้อะไร ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่มากเท่าโต๊ะแต่ก็ยังค่อนข้างหนัก จากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นชี้กระบี่ไม้

    ทันใดนั้นกระบี่ไม้ก็สั่นไหวและค่อยๆ ลอยขึ้นมา แต่ลอยขึ้นมาได้แค่หนึ่งชุ่น* ก็ร่วงลงไปอีก

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ไม่ย่อท้อ ทดลองทำด้วยความฮึกเหิมหลายครั้ง กระบี่ไม้จากที่แต่เดิมลอยขึ้นแค่หนึ่งชุ่นแล้วร่วงลงก็เปลี่ยนมาเป็นลอยขึ้นสิบชุ่น ยี่สิบชุ่น สามสิบชุ่น…จนกระทั่งถึงช่วงสนธยา กระบี่ไม้เล่มนั้นก็ลอยไปมาเป็นเส้นตรงอยู่ในห้องของเขาแล้ว ถึงแม้จะไม่เร็วนักและบังคับให้หักเลี้ยวได้ยาก แต่ก็ไม่ร่วงหล่นลงง่ายๆ อย่างช่วงแรกอีก

    “นับจากนี้ไปข้าไป๋เสี่ยวฉุนก็เป็นเซียนแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางทะนงองอาจ มือซ้ายไพล่ไว้ด้านหลัง มือขวาชี้โบกสะบัดไปข้างหน้า กระบี่ไม้เล่มนั้นแกว่งไกวบินไปบินมา

    จนเมื่อลมปราณในร่างกายเริ่มไม่มั่นคง ไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้เก็บกระบี่ไม้กลับมา ขณะกำลังจะฝึกต่อไปก็พลันได้กลิ่นหอมโชยมาจากหม้อที่อยู่ด้านข้าง เขาเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความอยากอาหารก็มาเยือนทันที วันนี้เขาง่วนอยู่กับการฝึกวิชาจนลืมไปเสียสนิทว่าต้มข้าววิเศษไว้ในหม้อ จึงเดินไปข้างหน้าเปิดฝาหม้อออก

    ช่วงเวลาที่เปิดฝาออกนั้น กลิ่นหอมเข้มข้นของข้าววิเศษก็กรุ่นกำจายออกมาจากในหม้อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบนข้าววิเศษถึงได้ปรากฏลายสีเงินบาดตาขึ้นมาหนึ่งเส้น!

    ลายเส้นนี้เห็นได้ชัดเจน เมื่อพิศดูก็ถึงขั้นให้ความรู้สึกดึงดูดจิตใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปลายเส้นก็ค่อยๆ กลายมาเป็นสีเงินเข้ม ไป๋เสี่ยวฉุนหรี่ตา หลังจากคิดดูแล้วจึงหยิบข้าววิเศษเม็ดนั้นออกมาวางบนฝ่ามือและตรวจดูหนึ่งรอบ

    “ลายนี่คุ้นตาจริงๆ…” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนฉายแววครุ่นคิด ก้มหน้าไปมองเตาไฟก็พบว่าไฟนั้นมอดดับไปนานแล้ว แม้แต่ฟืนก็กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว และลายเส้นที่เปล่งแสงบนหม้อใบนั้นก็กลับจางลงจนกลายเป็นสีทึบอย่างเดิมอีกครั้ง

    เขานึกขึ้นได้ในบัดดลว่าลายสีเงินบนข้าววิเศษเม็ดนี้เหมือนกับลายบนหลังหม้อไม่มีผิดเพี้ยน

    ไป๋เสี่ยวฉุนกดเก็บความสงสัยในใจลงไป เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยก็ไม่ได้กินข้าวเม็ดนี้ แต่เอาใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก็เดินออกจากห้องไปทำงานร่วมกับพวกจางต้าพั่ง

     

    เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน ตลอดครึ่งเดือนนี้ความก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญเพียรของไป๋เสี่ยวฉุนได้หยุดชะงักลงอีกครั้ง ความเพียรพยายามให้ผลอย่างเชื่องช้า แต่เขาเองก็ได้สืบข่าวจนรู้ว่าเวลาที่คนอื่นหุงข้าววิเศษ ไม่เคยมีลายเส้นเงินใดปรากฏ

    นอกจากความสงสัยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าข้าวเม็ดนั้นของตัวเองมีบางอย่างไม่ถูกต้อง และยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดโดยเฉพาะกับหม้อใบนั้น ในที่สุดหลายวันต่อมาระหว่างที่ติดตามเฮยซานพั่งออกไปนอกครัวไฟเพื่อซื้อข้าวของจำเป็นจึงได้ไปที่ฝ่ายสี่สมุทร ซึ่งเขาสืบรู้มาว่าในอดีตที่นั่นเป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าหาความรู้ทั่วไปในเรื่องการบำเพ็ญเพียรของพวกนักการ

    หลังกลับจากฝ่ายสี่สมุทร หัวใจของไป๋เสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เขาข่มกลั้นความตื่นตะลึงระคนดีใจ กระทั่งกลับไปถึงห้องจึงรีบหยิบข้าวเม็ดนั้นออกมาในทันที มองดูลายสีเงินที่อยู่บนนั้นอย่างละเอียด นัยน์ตาค่อยๆ เผยความรู้สึกเหนือคาด

    “การบำเพ็ญเพียรของเซียนมิอาจขาดการกลั่นหลอมสามประการ ซึ่งแบ่งออกเป็นการหลอมโอสถ การหลอมอาวุธ…และการหลอมพลังจิต!” ไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงรูปภาพที่บรรยายลักษณะของการหลอมพลังจิตเอาไว้ในตำราที่ค้นเจอในฝ่ายสี่สมุทร เมื่อลองเปรียบเทียบกับลายสีเงินบนข้าววิเศษเม็ดนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน

    “หลอมพลังจิต!” หลังเงียบไปครู่ใหญ่เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ หนึ่งที

    หลอมพลังจิตเป็นขั้นตอนของการใช้วิธีพิเศษอย่างหนึ่งมาบีบอัดพลังฟ้าดินเพิ่มเข้าไปในวัตถุ เสมือนแทรกแซงวิธีสร้างวัตถุตามกฎสวรรค์ด้วยการช่วงชิงเอาพลังฟ้าดินมาเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้วัตถุนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกกลอน เครื่องหอม หรือว่าของวิเศษล้วนสามารถหลอมพลังจิตได้ทั้งสิ้น ทว่าเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากฟ้าดินอัตราหลอมสำเร็จจึงน้อยยิ่งนัก หากทำสำเร็จจะสามารถเพิ่มพลานุภาพให้กับวัตถุได้อย่างมหาศาล แต่หากล้มเหลววัตถุนั้นก็จะกลายเป็นขยะภายใต้พลังของฟ้าดินไปในทันที

    และสิ่งที่น่าตื่นตะลึงที่สุดสำหรับการหลอมพลังจิตก็คือสามารถทำการหลอมซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นที่ว่าหากหลอมพลังจิตได้สำเร็จสิบครั้ง จะทำให้วัตถุนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินได้เลย

    ยิ่งเป็นของล้ำค่า เมื่อผ่านการหลอมพลังจิตซ้ำหลายครั้งก็ยิ่งน่ากลัว

    เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงหลังๆ อัตราการประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีน้อย แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตก็ล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามทดลองทำ เพราะหากล้มเหลวขึ้นมา ราคาที่ต้องจ่ายนั้นยากจะแบกรับได้ไหว

    “ในตำรากล่าวไว้ว่าสมบัติล้ำค่าที่ถูกปกป้องเอาไว้ของสำนักหลิงซีก็คือกระบี่เล่มหนึ่งที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาสิบครั้งภายใต้ฤกษ์ยามอันดีงามยิ่งอย่างกระบี่เทียนเจี่ยว (เขาสวรรค์)!” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงกลืนน้ำลายหนึ่งที แววตาฉายความตะลึงพรึงเพริด แต่ที่มากกว่าคือความฉงนสนเท่ห์ เขามองลายเส้นทึบจางนับสิบบนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้นโดยไม่รู้ตัว หัวใจกระหน่ำรัวราวกับจะทะลุออกจากอกก็ไม่ปาน

    ในเวลานี้เขาแน่ใจแล้วว่าที่ข้าววิเศษมีลายของการหลอมพลังจิตปรากฏขึ้น สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะหม้อใบนี้!

    ลังเลอยู่ชั่วครู่ไป๋เสี่ยวฉุนก็กัดฟัน หากไม่ไขปริศนานี้ให้ได้ เขาคงไม่มีทางหลับลง แต่ก็รู้เช่นกันว่าหากหม้อใบนี้ไม่ธรรมดาจริงก็ย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนี้ได้

    ดังนั้นเขาจึงรอจนถึงดึกดื่นค่อยมาอยู่ข้างๆ หม้ออย่างระมัดระวัง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก็หยิบเอากระบี่ไม้ที่ก่อนหน้านี้ตนใช้ฝึกพลังควบคุมออกมาด้วยใจพะวงถึงผลได้ผลเสีย ก่อนจะโยนลงไปในหม้อด้วยท่าทางเช่นเดียวกับที่โยนข้าววิเศษลงไปเมื่อวันนั้น

    บทที่ 5

    ถ้าต้องเอาชีวิตน้อยๆ นี่ไปทิ้งขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า

     

    กระบี่ไม้เล่มนั้นพอร่วงลงไปในหม้อก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดเป็นพิเศษ ไป๋เสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที เบิกตากว้างอย่างไม่ยอมแพ้ จ้องกระบี่ไม้เขม็ง

    แต่รออยู่พักใหญ่ก็ยังคงไม่เห็นเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี ไป๋เสี่ยวฉุนขบคิดเล็กน้อย มองลายเส้นบนหม้อรูปกระดองเต่า แล้วก็มองไปยังขี้เถ้าจากฟืนที่อยู่ในเตาไฟ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาจึงหมุนตัวเดินออกจากห้อง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็กลับเข้ามาพร้อมท่อนฟืนหน้าตาเหมือนกับฟืนในเตาไฟอีกสองสามท่อนในมือ

    ไม้ฟืนนี้ไม่ใช่ของธรรมดาที่หาได้ทั่วไปนักในครัวไฟ เขาต้องไปขอจากจางต้าพั่งถึงจะเอามาได้

    พอนำฟืนมาจุดไฟ ไป๋เสี่ยวฉุนจึงได้เห็นลายเส้นที่หนึ่งบนหม้อทรงกระดองเต่าส่องแสงสว่างขึ้นมาอีกหนึ่งครั้งในทันที และฟืนท่อนนั้นก็เผาไหม้อย่างรวดเร็วจนค่อยๆ มอดดับลง ขณะที่จิตใจของไป๋เสี่ยวฉุนกระสับกระส่าย กระบี่ไม้ในหม้อก็ส่องแสงสีเงินบาดตาขึ้นมาโดยพลัน

    ไป๋เสี่ยวฉุนถอยกรูดไปหลายก้าว ไม่นานแสงสว่างก็วาบหายไป ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความดุเดือดรุนแรงลอยออกมาจากในหม้อ

    เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง เห็นว่ากระบี่ไม้ที่อยู่ในหม้อปรากฏลายเส้นสีเงินบาดตาไม่ต่างไปจากที่ปรากฏบนข้าววิเศษ ลายเส้นนี้กำลังค่อยๆ หม่นแสงลงไป สุดท้ายก็กลายเป็นสีเงินทึบ!

    ลักษณะของกระบี่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย ถึงแม้ว่ายังคงเป็นเนื้อไม้ แต่กลับให้ความรู้สึกแหลมคมเหมือนโลหะ ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนเป็นประกาย เดินเข้าไปหยิบกระบี่ไม้เล่มนี้ออกมาอย่างระแวดระวัง รู้สึกว่ามันหนักขึ้นมาเล็กน้อย ตอนที่หยิบมาใกล้ตัวเขาถึงขนาดรู้สึกหนาวเยือกจนตัวสั่น

    “สำเร็จ! กระบี่ไม้เล่มนี้หลอมพลังจิตสำเร็จครั้งหนึ่งแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ถือกระบี่ไม้เอาไว้ไม่ยอมวาง หันมองหม้อใบนั้นอีกครั้ง ครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้าสิ่งนี้ดี สุดท้ายก็ตัดสินใจวางไว้ตรงนี้ ยิ่งทำเช่นนี้ก็ยิ่งไม่มีใครให้ความสนใจ

    ส่วนข้าววิเศษถ้ากินเข้าไปก็จบเรื่องแล้ว แต่กระบี่ไม้เล่มนี้จะให้ใครเห็นง่ายๆ ไม่ได้ ไป๋เสี่ยวฉุนคิดว่าจะใช้พวกสีย้อมมาทาทับเอาไว้ บางทีอาจจะลดแสงของลายเส้นพลังจิตลงได้บ้าง

    คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็จัดระเบียบข้าวของหนึ่งรอบ เดินออกไปจากห้องพัก แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่ผ่านไปหลายวัน เขาก็เอาสีย้อมแต่ละสีที่เก็บรวมรวบมาได้จากฝ่ายครัวไฟในช่วงก่อนหน้ามาทาลงบนกระบี่ไม้ ทำให้กระบี่ไม้เล่มนี้มีหลากสีดูคล้ายเก่าโทรม จากนั้นก็จัดการซ้ำอีกทีจนเห็นว่าลายพลังจิตถูกกลบไปไม่น้อย เห็นไม่ชัดเจนอีกแล้ว ถึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

     

    วันต่อๆ มา ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ในฝ่ายครัวไฟราวกับปลาได้น้ำ* เข้าขากันได้ดีกับพวกศิษย์พี่ทั้งหลาย สำหรับงานในฝ่ายครัวไฟเขาเองก็เริ่มคุ้นชินมากขึ้น ยิ่งกับเรื่องที่ว่าอาหารวิเศษไม่เหมือนกันจำเป็นต้องใช้ไฟต่างกัน ถึงขั้นมีการแบ่งไฟเป็นไฟหนึ่งสี ไฟสองสี และยังเข้าใจแล้วว่าท่อนฟืนที่ใช้กับหม้อทรงกระดองเต่าก่อนหน้านี้คือฟืนวิเศษที่ทำให้เกิดไฟหนึ่งสี

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางต้าพั่งเองก็ชอบไป๋เสี่ยวฉุนมากจึงให้การดูแลเป็นอย่างดี หลังจากผ่านไปหลายเดือนก็เป็นไปตามที่เขาเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิดว่าเมื่ออยู่ที่นี่ไป๋เสี่ยวฉุนจะค่อยๆ อ้วนขึ้น

    เขาในวันนี้ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนยามแรกเข้าสำนักอีกแล้ว ทั้งร่างมีเนื้อเพิ่มขึ้นมามาก ทั้งยังขาวสะอาดสะอ้านยิ่งขึ้น ยิ่งมองยิ่งเหมือนคนไร้พิษสง ใกล้เคียงชื่อไป๋จิ่วพั่งเข้าไปทุกที

    ส่วนเรื่องการเพิ่มมื้ออาหารก็ทำอยู่หลายครั้ง แต่ที่ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มก็คือน้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้นแต่การฝึกบำเพ็ญเพียรกลับก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า ท้ายที่สุดเขาก็เลิกคิดถึงมันเสียเลย วันวันหนึ่งกินๆ ดื่มๆ อยู่กับพวกศิษย์พี่อย่างอิสรเสรี พอมาอยู่ที่นี่ได้หลายเดือนจึงได้ยินเรื่องราวมากมายในสำนักจากจางต้าพั่งอยู่ไม่น้อย ทำให้เข้าใจเรื่องต่างๆ ในสำนักหลิงซีเป็นอย่างดี

    ไป๋เสี่ยวฉุนรู้ว่าในสำนักแบ่งศิษย์ออกเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก หากฝ่ายงานนักการสามารถบำเพ็ญตนได้ถึงขั้นหลอมปราณขั้นสามก็จะสามารถไปบุกเส้นทางทดสอบของแต่ละยอดเขาได้ หากทำสำเร็จก็จะสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของยอดเขาที่ไปทดสอบได้ และมีเพียงการได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้นถึงจะถือว่าได้ก้าวเข้าไปในธรณีประตูของสำนักหลิงซีอย่างแท้จริง

    แต่เรื่องนี้ยากดุจเดียวกับปลาหลี่ข้ามประตูมังกร* เส้นทางทดสอบของแต่ละยอดเขาทุกเดือนจะเปิดรับแค่สามคนแรกเท่านั้น เนื่องจากจำนวนศิษย์ฝ่ายนอกที่รับได้ในแต่ละปีนั้นมีการกำหนดไว้แน่นอนแล้ว

    วันนี้เดิมทีควรเป็นชีพั่ง**ที่ลงเขาไปซื้อของ แต่เนื่องจากฝ่ายนั้นมีธุระติดพัน จางต้าพั่งจึงโบกมือส่งสัญญาณให้ไป๋เสี่ยวฉุนลงเขาแทน ไป๋เสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย คิดว่านี่ก็หลายเดือนแล้วที่สวี่เป่าไฉไม่ได้มาหาเรื่องอีก รู้สึกว่าคงไม่มีอะไร แต่ก็ยังคงไม่วางใจ จึงกลับไปที่ห้องหยิบเอามีดหั่นผักออกมาเจ็ดแปดเล่ม แล้วสวมเสื้อหนังอีกห้าหกชั้น ตัวกลมดิกแทบจะกลายเป็นลูกหนัง

    ทว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงหาหม้อแข็งแรงใบหนึ่งมาแบกไว้บนหลัง ทำแบบนี้ถึงค่อยรู้สึกว่าปลอดภัย จากนั้นจึงเดินเซไปเซมาออกจากฝ่ายครัวไฟลงเขาไป

    ขณะเดินไปบนทางหินสีเขียวของสำนัก ไป๋เสี่ยวฉุนมองหอและลานกว้างที่งดงามเกินคำบรรยายรอบกาย ความรู้สึกยอดเยี่ยมลึกล้ำก็เอ่อท้นขึ้นมาในจิตใจ

    “เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ชีวิตดุจดั่งความฝัน ข้าไป๋เสี่ยวฉุนชีวิตนี้ได้ฝึกบำเพ็ญเพียรมาแล้วหลายเดือน ย้อนนึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่ในโลกมนุษย์ คิดถึงหมู่บ้านในปีนั้น มีแต่เสียงสะอึกสะอื้น” เขาพูดกับตัวเองอย่างปลงอนิจจัง เอามือไพล่หลัง บนเอวแขวนมีดหั่นผักไว้เจ็ดแปดเล่ม บนหลังแบกหม้อสีดำหนึ่งใบเอาไว้ บนร่างมีเสื้อหนังหนาเป็นชั้นๆ ดูเหมือนลูกหนังเก่าโทรม ระหว่างทางเดินเจอพวกนักการจำนวนไม่น้อย ทุกคนต่างพากันชำเลืองมองเมื่อเห็นเขา

    โดยเฉพาะศิษย์หญิงหลายคน เมื่อเห็นไป๋เสี่ยวฉุนแล้วก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ เพราะลักษณะน่าขบขันของเขา เสียงหัวเราะดั่งเสียงระฆังแก้ว ไพเราะน่าฟังยิ่งนัก

    หน้ากลมๆ ของไป๋เสี่ยวฉุนแดงเรื่อ รู้สึกว่าตัวเองยิ่งดูน่าเกรงขาม กระแอมแห้งๆ หนึ่งที เชิดหน้ายืดอกเดินไปข้างหน้า

    ผ่านไปไม่นานนัก เขายังไม่ทันเดินพ้นไปจากเขตงานนักการของยอดเขาที่สาม ทันใดนั้นก็มองเห็นจากที่ไกลๆ ว่าพวกนักการจำนวนไม่น้อยพากันวิ่งไปทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น ที่นั่นคือทางขึ้นเขาของยอดเขาที่สาม ซึ่งปกติแล้วเป็นทางเข้าออกของพวกลูกศิษย์ฝ่ายนอก

    และจำนวนของเหล่านักการท่าทางฮึกเหิมตื่นเต้นก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ทุกคนวิ่งตะบึงไปทางนั้น ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนงงงัน รีบคว้าจับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งผอมแห้งที่สุดจากกลุ่มคนที่วิ่งผ่านตัวไปเอาไว้

    “น้องชายท่านนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมถึงพากันวิ่งไปทางนั้นกันหมด” ไป๋เสี่ยวฉุนถามด้วยความสงสัย

    เด็กหนุ่มถูกจับตัวเอาไว้ก็มีสีหน้าไม่พอใจ แต่พอเห็นหม้อสีดำใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของไป๋เสี่ยวฉุน ดวงตาก็เผยความอิจฉาอย่างฉับพลัน สีหน้าค่อยผ่อนคลายลง

    “ที่แท้ก็ศิษย์พี่จากฝ่ายครัวไฟนี่เอง ท่านเองก็ไปดูด้วยกันสิ ได้ยินว่าศิษย์ฝ่ายนอกอย่างโจวหงกับจางอี้เต๋อกำลังประลองยุทธ์กันอยู่ที่สนามทดสอบ พวกเขาสองคนมีความแค้นส่วนตัวกัน ได้ยินว่าต่างก็ฝึกได้ถึงขั้นที่หกของการหลอมปราณแล้ว เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ต้องไปดูเสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ลักจำอะไรกลับมาบ้าง” อธิบายจบเด็กหนุ่มก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันทีด้วยกลัวว่าหากไปช้าจะไม่มีที่ว่างเหลือ

    ไป๋เสี่ยวฉุนสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง จึงก้าวยาวๆ วิ่งตามกลุ่มคนไป ไม่นานนักก็ออกจากเขตงานนักการ มาถึงตีนเขาของยอดเขาที่สาม มองเห็นว่าที่นั่นมีแท่นสูงขนาดใหญ่โตแท่นหนึ่ง

    แท่นสูงนี้ขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง* ในเวลานี้ทุกทิศล้อมรอบไปด้วยนักการจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัด แม้แต่บนภูเขาเองก็ยังเห็นเงาร่างคนจำนวนไม่น้อย เครื่องแต่งกายที่สวมใส่หรูหราอย่างเห็นได้ชัด ล้วนแต่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่พากันมาดู

    ส่วนบนแท่นสูงเวลานี้มีชายหนุ่มสองคนสวมเสื้อคลุมยาวหรูหราไม่ต่างกัน คนหนึ่งมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า อีกคนใบหน้าขาวดั่งหยก ขณะที่เงาร่างของคนทั้งคู่ตัดสลับกันไปมา เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังออกมา

    ร่างของทั้งสองล้วนมีแสงวูบวาบเปล่งประกาย ธงหน้าเดียวผืนเล็กที่อยู่หน้าชายหนุ่มหน้าบากโบกสะบัดด้วยตนเองโดยไร้ลมประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นจับโบกไปมา ธงนี้เปลี่ยนรูปร่างเป็นหัวเสือ ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่นจนหูแทบดับ

    ส่วนชายหนุ่มหน้าหยกคนนั้นก็ลอยตัวไปมาราวกับกระสวย ใช้กระบี่สีฟ้าเล่มเล็กตวัดสร้างเส้นอาคม แผดเสียงคำรามก้องโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้างมองภาพนี้ สูดลมหายใจเข้าลึก เขาเองก็สามารถควบคุมกระบี่ไม้ได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มหน้าหยกคนนั้นแล้วกลับยังห่างชั้นอีกมากนัก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่สองคนนี้ลงมือล้วนไม่มีใครออมแรง ไอสังหารปะทุดุเดือด แถมการโจมตีหลายครั้งหลายหนก็ดูอันตรายอย่างมาก ทำให้บนร่างมีบาดแผลเกิดขึ้นหลายแห่ง แม้จะไม่มีจุดไหนร้ายแรง แต่มองดูแล้วก็ยังน่าตกใจ

    นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เสี่ยวฉุนได้เห็นการประลองยุทธ์ของผู้บำเพ็ญตน ซึ่งต่างจากเซียนในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศดุดันและโหดร้ายนั้นทำให้เขาหวาดหวั่นพรั่นพรึง

    “บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน…ไม่ใช่เพื่อเป็นอมตะหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องรบราฆ่าฟันกัน ถ้าต้องเอาชีวิตน้อยๆ นั่นไปทิ้งขึ้นมาจะทำอย่างไร…” ไป๋เสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งที เมื่อมองเห็นว่าธงผืนเล็กที่แปลงกายเป็นเสือหันไปกลืนกินอีกฝ่ายอย่างโหดร้ายทารุณ ไป๋เสี่ยวฉุนก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รู้สึกว่าด้านนอกนี้อันตรายเกินไป ต้องกลับไปที่ฝ่ายครัวไฟเท่านั้นถึงจะปลอดภัย

    คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รีบก้าวถอยหลัง แต่ขณะเดียวกันกับที่กำลังจะถอยจากไป เสียงตะโกนก็ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก

    “ไป๋เสี่ยวฉุน!”

    พอไป๋เสี่ยวฉุนหันกลับไปมองก็เห็นสวี่เป่าไฉผู้เคยเขียนจดหมายเลือดให้เขาก่อนหน้านี้กำลังแสยะยิ้มพุ่งตรงมาทางตน ด้านหน้ามีกระบี่ไม้เล่มหนึ่งซึ่งส่องประกายแสงไม่เหมือนกระบี่ไม้ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งอยู่ขั้นหลอมปราณขั้นแรกนั้นเทียบไม่ติด ในเวลานี้กระบี่นั้นได้ตวัดเส้นโค้งออกมาหนึ่งเส้น แผ่พลังสะกดทางวิญญาณพุ่งตรงมายังไป๋เสี่ยวฉุน

    ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นกระบี่ไม้พุ่งตรงมา ลูกตาดำพลันหดตัว รู้สึกว่าชีวิตเผชิญวิกฤตร้ายแรงขึ้นมาทันใด

    “นี่กะจะเอาข้าถึงตายเลยเรอะ!” เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เขาก็ส่งเสียงร้องหวีดแหลมโหยหวนออกมา ยกขาได้ก็ออกวิ่งทันที

    “จะฆ่ากันแล้ว เขาจะฆ่าข้าแล้ว…” เสียงนี้ดังจนได้ยินไปถึงเหล่านักการจำนวนไม่น้อยโดยรอบ แต่ละคนจึงหันมามองด้วยความประหลาดใจ แม้แต่โจวหงและจางอี้เต๋อที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนแท่นสูงก็ต่างหยุดชะงักลงเพราะได้ยินคลื่นเสียงอันดังนั้น

    ขนาดสวี่เป่าไฉเองก็ยังตกใจตามไปด้วย เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาแค่ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายแล้ววิ่งเข้าหาเท่านั้น กระบี่ยังไม่ทันได้โดนอีกฝ่าย แต่ไป๋เสี่ยวฉุนกลับร้องเสียงโหยหวนอย่างกับโดนเขาทิ่มแทงร่างจนเป็นรูอย่างไรอย่างนั้น

    “ไป๋เสี่ยวฉุนแน่จริงเจ้าก็อย่าหนีเซ่!” สวี่เป่าไฉหน้าเขียวปั้ด เคียดแค้นจนกัดฟันกรอดๆ ห้อตะบึงไล่ตามไป๋เสี่ยวฉุนไป

    “หากข้าแน่จริงก็เล่นงานเจ้าตายไปนานแล้ว ยังจะหนีให้เหนื่อยทำไมเล่า จะฆ่ากันแล้ว เขาจะฆ่าข้าแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนร้องเสียงแหลมพลางวิ่งต่ออย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากกระต่ายอ้วนกลมตัวหนึ่ง พริบตาเดียวก็แทบมองไม่เห็นร่างของเขาแล้ว

    ในเวลาเดียวกันนี้ บนยอดเขาแห่งนั้นมีศาลาลอยแห่งหนึ่ง ด้านในมีบุรุษผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหนึ่งคน วัยชราหนึ่งคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่างฝ่ายต่างกำลังเดินหมากของตัวเอง บุรุษวัยกลางคนก็คือหลี่ชิงโหว ฝั่งตรงข้ามเขาคือท่านผู้เฒ่าผมขาวโพลนเต็มศีรษะ ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ในดวงตามีแสงสุกสกาวเปล่งประกายท่วมท้น แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เวลานี้ท่านผู้เฒ่ากำลังกวาดสายตาลงไปยังตีนเขาแล้วหัวเราะขึ้นมา

    “ชิงโหว เจ้าเด็กน้อยคนนั้นที่เจ้าพากลับมาน่าสนใจไม่เบาเลยนะ”

    “ขายหน้าท่านเจ้าสำนักแล้ว เด็กคนนี้ยังจำเป็นต้องขัดเกลาอีกมาก” หลี่ชิงโหวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หลังจากวางหมากลงก็ส่ายศีรษะกล่าว

    “เด็กพวกนั้นที่อยู่ในฝ่ายครัวไฟล้วนลำพองว่าตนยิ่งใหญ่ เด็กคนนี้สามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาได้ ไม่ง่ายเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าลูบเครา นัยน์ตาฉายแววหยอกเย้า

    บทที่ 6

    พลังวิญญาณขึ้นสมอง

     

    ด้านล่างยอดเขาที่สาม เสียงร้องโหยหวนของไป๋เสี่ยวฉุนประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ ดังสะท้อนก้องไปมาไม่หยุด ดึงดูดสายตาประหลาดใจจากเหล่านักการนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนมองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนที่สวมเสื้อหนังหลายชั้น แบกหม้อสีดำใบใหญ่ไว้ข้างหลัง กำลังพาร่างกลมดิกวิ่งห้อตะบึงไปตามทางเส้นเล็กๆ ของเขตงานนักการที่ตีนเขาอย่างสุดฝีเท้าได้อย่างชัดเจน

    ถึงแม้มองจากไกลๆ อาจมองเห็นร่างของไป๋เสี่ยวฉุนได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ย่อมสามารถมองเห็นหม้อใบใหญ่สีดำกำลังวิ่งทะยานอยู่บนพื้นดินเหมือนแมลงเต่าทองได้แน่นอน

    ยิ่งเมื่อบนตัวของไป๋เสี่ยวฉุนแขวนมีดหั่นผักไว้อีกเจ็ดแปดเล่ม ขณะที่เขาวิ่งห้อมันก็กระทบกันส่งเสียงดังเคร้งคร้างตามมา

    “เขาจะฆ่าข้า! ช่วยด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย…” ไป๋เสี่ยวฉุนวิ่งพลางร้องตะโกน เขาเร่งฝีเท้าจนเร็วขึ้นเรื่อยๆ สวี่เป่าไฉที่อยู่ด้านหลังหน้าเขียว ดวงตาปรากฏความโหดเหี้ยม ทั้งร้อนใจและโมโห

    ตลอดทางที่วิ่งไล่ไป๋เสี่ยวฉุนมา ดึงดูดสายตาเหล่านักการจำนวนมากที่อยู่โดยรอบ สวี่เป่าไฉกังวลว่าจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้ควบคุม ในใจจึงเริ่มอยู่ไม่สุข

    “เลิกร้องสักที ปัดโธ่เว้ย เบาเสียงหน่อย เจ้าจะร้องอะไรนักหนา หุบปาก!” สวี่เป่าไฉแผดเสียงก้อง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือทั้งสองทำมุทรา กระบี่ไม้ข้างกายก็เปล่งแสงวาบขึ้นมาในทันที ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน ห้อตะบึงไปหาไป๋เสี่ยวฉุนที่นำอยู่ข้างหน้า

    เสียง ‘ปั้ก!’ ดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้ลอยตรงไปกระแทกหม้อที่ไป๋เสี่ยวฉุนแบกไว้ด้านหลังเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงกระแทกดังมาให้ได้ยิน ไป๋เสี่ยวฉุนกลับไม่เป็นอะไร ยังคงวิ่งห้อต่อไป

    สวี่เป่าไฉกัดฟันกรอด หม้อใบใหญ่ที่ไป๋เสี่ยวฉุนแบกไว้ด้านหลังซึ่งอยู่ข้างหน้าเขาในขณะนี้บดบังร่างกายของอีกฝ่ายไปเสียครึ่ง ไม่มีช่องให้ลงมือ แต่เขาก็ยังไล่ตามต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้

    สองคน หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง วิ่งห้ออยู่ในเขตงานนักการโดยไม่หยุดพัก

    “เจ้าบ้านี่แบกหม้อแล้วยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้อีก!” สวี่เป่าไฉหอบแฮกๆ เห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนวิ่งไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นเงาแล้ว ยิ่งไล่ตามก็ยิ่งฮึดฮัดขัดใจ ด้วยการบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับหลอมปราณขั้นที่สองของเขา นี่ก็เอาพลังทั้งหมดที่มีออกมาใช้แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหาง ตนเองจะไล่ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน

    และที่ยิ่งน่าโมโหก็คือ ตัวเขาเองเหนื่อยแทบตายแล้วกลับยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เสียงร้องของเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนคนนี้ก็ยังดังดีไม่มีตก ร้องอย่างกับหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน

    ชั่วพริบตาเดียวไป๋เสี่ยวฉุนก็มองเห็นทางสายเล็กของฝ่ายครัวไฟอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาเผยความตื่นเต้น ความรู้สึกเหมือนมองเห็นบ้านของตัวเองแทบจะทำให้เขาน้ำตาไหลพราก

    “ศิษย์พี่ช่วยด้วย เขาจะฆ่าข้า!” ไป๋เสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดัง วิ่งตรงดิ่งกลับเข้ามาในฝ่ายครัวไฟอย่างรวดเร็ว พวกจางต้าพั่งได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนนั้นต่างพากันอึ้งงัน รีบออกมาทันที “ศิษย์พี่ช่วยข้าด้วย สวี่เป่าไฉจะฆ่าข้า ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกือบจะจบสิ้นแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบหลบไปอยู่ด้านหลังจางต้าพั่ง

    “สวี่เป่าไฉ?” ได้ยินดังนั้นแววตาของจางต้าพั่งก็เปล่งประกายดุดัน เขามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครสักคนแม้แต่เงา ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดก็เพิ่งมองเห็นเงาร่างของสวี่เป่าไฉจากที่ไกลๆ กำลังวิ่งมาด้วยอาการหอบฮัก

    ในเวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็สังเกตเห็นร่างของสวี่เป่าไฉเช่นกัน จึงแปลกใจอย่างมาก

    “เอ๊ะ เหตุใดเขาถึงวิ่งช้าขนาดนั้นเล่า”

    จางต้าพั่งก้มลงมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที แล้วก็มองสวี่เป่าไฉที่เพิ่งจะมาถึงพร้อมอาการเหนื่อยหอบอีกหนึ่งที ชั้นเนื้อบนใบหน้ากระเพื่อมหนึ่งครั้ง

    ไม่ง่ายเลยกว่าที่สวี่เป่าไฉจะไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ เพิ่งจะเข้ามาใกล้หน่อยก็ได้ยินคำพูดประหลาดใจของไป๋เสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างประตูฝ่ายครัวไฟแว่วมา เมื่อเสียงพูดนี้ลอยมาเข้าหู เขาก็รู้สึกแต่เพียงความโมโหโกรธาที่จุกแน่นในหน้าอกกำลังจะระเบิดออกมา สวี่เป่าไฉคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง มือขวาสะบัดไปด้านข้าง กระบี่ข้างกายแผดเสียงก้องก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปปักในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

    เสียง ‘สวบ!’ ดังขึ้นหนึ่งที ต้นไม้สั่นไหว ปรากฏเป็นโพรงทะลุผ่านลำต้นออกไป

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้าและข้ามิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” ดวงตาทั้งคู่ของสวี่เป่าไฉเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย จ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็ง แล้วก็หันมองร่างกายมโหฬารของจางต้าพั่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยความเคียดแค้น

    ไป๋เสี่ยวฉุนใจเต้นโครมคราม มองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ถูกแทงทะลุต้นนั้นหนึ่งที แล้วก็มองไปยังสวี่เป่าไฉที่อารมณ์พลุ่งพล่าน พยายามกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ความกระวนกระวายใจเพิ่มระดับขึ้นมา

    จางต้าพั่งมองแผ่นหลังของสวี่เป่าไฉ นัยน์ตามีความเย็นชาชั่วร้ายวาบผ่าน ก่อนจะหันกลับมาตบไหล่ของไป๋เสี่ยวฉุน

    “ศิษย์น้องเก้าไม่ต้องกลัว ถึงแม้ว่าสวี่เป่าไฉคนนี้จะมีเบื้องหลังเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเขายังกล้ามาอีก ศิษย์พี่อย่างพวกเราจะหักขาเขาทิ้งข้างหนึ่งเอง!” พูดมาถึงตรงนี้ จางต้าพั่งก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าศิษย์น้องเก้า ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปนอกฝ่ายจะดีกว่า ดูเจ้าสิ ผอมขนาดนี้ ศิษย์พี่จะบำรุงเจ้าเอง อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันงานฉลองวันเกิดของท่านผู้เฒ่าจางพอดี”

    ไป๋เสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างใจลอย สายตายังคงจับจ้องโพรงบนต้นไม้ซึ่งถูกสวี่เป่าไฉแทงทะลุ

    หลังตามพวกศิษย์พี่ทั้งหลายกลับเข้ามาในฝ่ายครัวไฟและมาอยู่ในห้องของเขาแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็นั่งอยู่ตรงนั้น ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สงบสุข กระบี่ไม้ของอีกฝ่ายถึงขั้นแทงทะลุต้นไม้ให้เป็นโพรงได้ หากเปลี่ยนมาเป็นร่างกายตนเอง จะยิ่งไม่เท่ากับต้องตายศพไม่สมบูรณ์หรอกหรือ

    “ไม่ได้การแล้ว นอกจากข้าจะไม่ออกจากครัวไฟไปตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นถ้าออกไป เขามาดักรอข้าจะทำอย่างไร…” ไป๋เสี่ยวฉุนทำอย่างไรก็มิอาจสลัดสายตาอาฆาตแค้นรุนแรงที่สวี่เป่าไฉทิ้งไว้ก่อนจากไปให้พ้นจากสมองได้

    “ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นอมตะ จะตายไม่ได้…” เขากระวนกระวายใจเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย เส้นเลือดฝอยในดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาก็กัดฟันอย่างแรง “ย่ามันเถอะ! ไม่ยอมแพ้หรอก! ข้าสู้ตายขึ้นมาเมื่อไรแม้แต่ตัวข้าเองยังต้องกลัวเลย!” ดวงตาไป๋เสี่ยวฉุนแดงก่ำ นิสัยของเขาจะพูดให้แม่นยำกว่าคำว่ากลัวตาย ก็คือขาดความรู้สึกปลอดภัยอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นับเป็นการกระตุ้นเขาอย่างใหญ่หลวง ทำให้ความดื้อรั้นที่ในนิสัยเขาถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้นมา

    “ข้าจะบำเพ็ญเพียร ข้าจะต้องแข็งแกร่ง!” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจแน่วแน่ หยิบเอาตำราไม้ไผ่ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางออกมาในทันที เขาดูภาพที่สองแล้วเริ่มฝึกฝนด้วยดวงตาแดงก่ำ

    ถึงเขาจะกลัวตาย แต่กลับเป็นคนมีใจเด็ดเดี่ยว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจยืนหยัดจุดธูปสิบสามครั้งมาได้ถึงสามปีทั้งที่ก็กังวลว่าจะถูกฟ้าผ่าอยู่ทุกครั้งที่จุด

    ในเวลานี้จิตใจแน่วแน่ขึ้นมา ทำท่าตามภาพที่สอง ยืนหยัดหนักแน่น ปกติแล้วในการทำตามภาพที่สองเขาจะยืนหยัดทำได้ประมาณสิบลมหายใจเท่านั้น แต่คราวนี้ความมุ่งมั่นทำให้เขาทนต่อมาได้ถึงสิบห้าลมหายใจ

    ต่อให้ร่างกายจะเจ็บปวด เหงื่อเม็ดกลมหยดลงมาจากหน้าผากเม็ดแล้วเม็ดเล่า ความแน่วแน่ในดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนก็ไม่เคยลดลง จนกระทั่งยืนหยัดมาได้ถึงลมหายใจที่ยี่สิบ สามสิบ สายธารลมปราณเล็กๆ ในร่างกายก็ขยายขึ้นอีกหนึ่งส่วน และตาเขาก็เริ่มพร่ามัว ครู่หนึ่งถึงได้หอบหายใจหนักๆ แต่แค่ผ่อนคลายชั่วครู่ก็เริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง

    คืนแรกผ่านไปอย่างไร้สุ้มเสียง วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…ติดต่อกันจนถึงวันที่สิบห้า ไป๋เสี่ยวฉุนนอกจากกินดื่มขับถ่ายแล้วก็ไม่ออกมานอกกระท่อมอีกเลย ความจำเจเช่นนี้ทำให้ผู้ที่เพิ่งบำเพ็ญเพียรยืนหยัดทำต่อได้ยาก แต่เขากลับไม่มีความคิดจะล้มเลิกเลยแม้แต่น้อย

    พวกจางต้าพั่งเองก็ตกตะลึงไปกับการฝึกบำเพ็ญเพียรของไป๋เสี่ยวฉุน พึงรู้ว่าการฝึกฝนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ในด้านหลักการจะเรียนรู้ได้ง่าย แต่เมื่อทำตามการตั้งท่าของแต่ละขั้นนานวันเข้าจะเกิดความเจ็บปวดรุนแรงยากบรรยาย จำเป็นต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่จึงจะสามารถยืนหยัดไปได้ตลอด โดยปกติแล้วพวกนักการของสำนักนานๆ ทีถึงจะฝึกกันสักครั้งเท่านั้น

    ยามนี้ไป๋เสี่ยวฉุนฝึกฝนติดต่อกันมาครึ่งเดือนแล้ว พวกจางต้าพั่งพากันแวะเวียนมาหา และได้เห็นไป๋เสี่ยวฉุนที่แตกต่างไปจากคนในความทรงจำของพวกเขาตลอดหลายเดือนมานี้อย่างสิ้นเชิง

    เสื้อผ้าของเขายับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาทั้งคู่มีแต่เส้นเลือดฝอย ดูกระเซอะกระเซิงไปทั้งตัว แต่กลับตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่เคยหยุดพัก

    ถึงขนาดว่าร่างกายของเขาเองก็ผ่ายผอมลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกันความปราดเปรียวและความน่าเกรงขามก็เพิ่มขึ้นมาเกินครึ่งอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบของการหลอมปราณขั้นที่หนึ่งเข้าไปทุกที

    นี่แทบจะเป็นการใช้วิธีสุดโต่งอย่างหนึ่ง เพราะเขากลั่นเอาของวิเศษที่กองสะสมอยู่ในไขมันออกมาใช้ฝึกฝนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้รูปร่างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย

    “ศิษย์น้องเก้า พักสักหน่อยเถอะ เจ้าฝึกฝนข้ามวันข้ามคืนติดกันมาครึ่งเดือนแล้วนะ” พวกจางต้าพั่งรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแววเด็ดเดี่ยวจากดวงตาบนใบหน้าที่เงยขึ้นมาของไป๋เสี่ยวฉุน ความแน่วแน่นั้นทำให้พวกจางต้าพั่งถึงกับจิตใจสะท้านไหว

    เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวไป๋เสี่ยวฉุนก็ฝึกฝนมาได้หนึ่งเดือนเต็มแล้ว หนึ่งเดือนมานี้ความบ้าคลั่งของเขาทำให้พวกจางต้าพั่งตกตะลึง ถ้าเอ่ยตามคำพูดของจางต้าพั่งก็คือไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้กำลังฝึกบำเพ็ญเพียร แต่กำลังเอาชีวิตมาล้อเล่น

    ระยะเวลาในการฝึกตามภาพที่สองก็ผ่านไปด้วยการฝึกเช่นนี้ของไป๋เสี่ยวฉุน และในที่สุดก็ทะลวงฝ่ามาได้ถึงลมหายใจที่หนึ่งร้อย เมื่อถึงลมหายใจที่หนึ่งร้อยห้าสิบกว่า พลังสะกดทางวิญญาณในร่างของเขาไม่ได้เป็นเพียงธารสายเล็กอีกต่อไป แต่ขยายใหญ่ขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

    จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พวกจางต้าพั่งล้วนพากันตื่นตระหนก กลัวว่าวันใดวันหนึ่งไป๋เสี่ยวฉุนจะเล่นกับชีวิตตนเองจนตายไปทั้งอย่างนั้น และขณะที่กำลังวางแผนกันว่าจะแอบไปกำจัดสวี่เป่าไฉ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังลอดออกมาจากกระท่อมของไป๋เสี่ยวฉุน

    สิ่งที่ตามเสียงอันสะท้อนก้องมาก็คือพลังสะกดทางวิญญาณจากการหลอมปราณขั้นที่สองซึ่งได้ระเบิดออกมาจากจุดที่ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ กระจายเป็นวงกว้างออกไปภายในรัศมีสิบกว่าจั้ง ทำให้พวกจางต้าพั่งที่กำลังทำอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมองทันที ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตื้นตันใจ

    “ศิษย์น้องเล็กฝ่าด่านแล้ว!”

    “ถึงฝ่ายครัวไฟของพวกเราจะมีการเพิ่มมื้ออาหารไม่จำกัดเวลา แต่หลอมปราณได้ถึงขั้นที่สองในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี ผู้ที่ทำได้มีให้เห็นน้อยนัก”

    “ปีนั้นที่ข้าฝึกถึงขั้นสองของการหลอมปราณก็ใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม…” ขณะที่พวกจางต้าพั่งกำลังทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ประตูกระท่อมของไป๋เสี่ยวฉุนก็เปิดออกดังโครม ไป๋เสี่ยวฉุนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เนื้อตัวสกปรกมอมแมม แต่ในดวงตากลับเป็นประกายแจ่มใส เดินก้าวยาวๆ ออกมา

    พวกจางต้าพั่งกำลังจะเดินเข้าไปทักทาย แต่ก็ได้เห็นไป๋เสี่ยวฉุนสะบัดร่าง เอนตัวไปพิงกำแพงของลานครัวไฟอย่างพอดิบพอดี มือทั้งสองข้างไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าแหงนมองไปยังที่ไกลๆ สีหน้าเหมือนยอดฝีมือที่กำลังเบื่อหน่าย

    “เขายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ ท่าทางแปลกๆ นะ…”

    “นี่ศิษย์น้องเล็ก…ธาตุไฟเข้าแทรกแล้วหรือ” พวกจางต้าพั่งมองหน้าสบตากัน

    ขณะที่ทุกคนประหลาดใจกับท่าทางของไป๋เสี่ยวฉุน หูก็ได้ยินเสียงที่จงใจปั้นให้ดูเป็นผู้อาวุโสของไป๋เสี่ยวฉุนดังมาจากทางกำแพง

    “สวี่เป่าไฉจัดเป็นพวกโอหังอวดดีอย่างถึงที่สุดในส่วนงานนักการของสำนักหลิงซี ชื่อเสียงชั่วร้ายเลื่องลือ ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก บำเพ็ญเพียรได้ถึงขั้นที่สองของการหลอมปราณเป็นที่น่าตกตะลึง ส่วนข้าเองก็ได้ขั้นที่สองของการหลอมปราณเช่นกัน การต่อสู้ของข้ากับเขาในครั้งนี้ พละกำลังถือว่าสูสีกัน แม้ว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้ขจรไกล สะท้านสะเทือนไปทั้งสำนักได้ แต่ก็ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ บาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน…ไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก ข้ายังคงต้องบำเพ็ญเพียรต่อไป!”

    พูดจบ ไป๋เสี่ยวฉุนก็ทอดสายตามองไปไกลอย่างลุ่มลึกหนึ่งที สะบัดปลายเสื้อแขนสั้นเสร็จก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เสียงโครมดังตามมาหลังประตูห้องปิดลง พวกจางต้าพั่งพากันกลืนน้ำลาย เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าสลับกันไปมา เงียบไปครู่ใหญ่ เฮยซานพั่งก็ถามออกมาหนึ่งประโยคด้วยความไม่แน่ใจ

    “นี่พวกเราเอาอะไรผิดสำแดงให้ศิษย์น้องกินหรือเปล่า”

    “จบกัน จบกัน ศิษย์น้องพลังสะกดทางวิญญาณขึ้นสมอง ฝึกฝนจนเป็นบ้าไปแล้ว…พวกเราอย่าไปขวางหูขวางตาเขาเข้าเชียว!” หวงเอ้อร์พั่งพึมพำอยู่กับตัวเองสักพักก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

    บทที่ 7

    กระดองเต่ายอมรับผู้เป็นนาย

     

    วันต่อมา พวกจางต้าพั่งทุกคนล้วนมองไปทางกระท่อมของไป๋เสี่ยวฉุนอย่างระแวดระวังอยู่ตลอด นับตั้งแต่ที่ไป๋เสี่ยวฉุนฝึกฝนจนฝ่าไปถึงขั้นที่สองของการหลอมปราณและออกมาพูดพึมพำอยู่กับตัวเองข้างนอกครั้งนั้นแล้ว การฝึกวิชาในห้องของเขาก็เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง

    ในห้องพัก ไป๋เสี่ยวฉุนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก ร่างกายเปลือยเปล่า ข่มกลั้นความเจ็บปวด กัดฟันพยายามตั้งท่าตามท่วงท่าของภาพที่สาม

    ลมปราณในร่างกายไม่ใช่สายธารรินไหลอีกต่อไปแล้ว แต่ใกล้จะกลายเป็นแม่น้ำสายเล็กหนึ่งสายไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ทุกครั้งที่ไหลครบเต็มหนึ่งรอบการโคจร ร่างกายของเขาจะมีเสียงขลุกขลักดังลอดออกมา รูปร่างที่แต่เดิมกลมดิก เวลานี้ผอมลงถึงขีดสุด ถึงขนาดผอมกว่าตอนที่เพิ่งมาอยู่ฝ่ายครัวไฟอีกเท่าตัว

    กระนั้นร่างกายของเขากลับเหมือนมีพละกำลังแฝงอยู่ จากการยืนหยัดฝึกฝน ผิวหนังตลอดร่างอันผ่ายผอมของเขาก็คล้ายกับกำลังสั่นระริกอยู่น้อยๆ หากตั้งใจฟังจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นดังแว่วๆ สะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนี้ด้วย

    พลังสะกดทางวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ควบรวมอยู่ในร่างกายเขาอย่างไม่หยุดพัก ความรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกเวลาแบบนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งมีแรงผลักดันมากขึ้น จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายวันไป๋เสี่ยวฉุนก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดแสบร้อนชนิดนี้เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้ามากมายมหาศาล ทำให้เขาจำเป็นต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝึกฝนต่อไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนหอบหายใจหนักหน่วง ในดวงตาของเขามีแต่เส้นเลือดฝอย เขารู้สึกอย่างรุนแรงว่าตนเองแทบจะประคองร่างไม่ไหวอีกต่อไป ถึงแม้ว่าขณะที่ฝึกฝนเขาจะซึมซับพลังฟ้าดินจากรอบทิศมาได้เอง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไล่ตามการย่อยสลายของร่างกายไม่ทัน อีกทั้งการเพิ่มมื้ออาหารของฝ่ายครัวไฟก็ขึ้นอยู่กับโชค ไม่ได้มีทุกวัน

    เพราะจะว่าไปแล้วเวลาผู้อื่นฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนี้ ส่วนใหญ่นานวันถึงจะฝึกสักครั้งหนึ่ง ต่อให้เร่งเวลาอย่างเร็วที่สุดก็ฝึกวันละครั้งเท่านั้น ส่วนเขาฝึกทุกคืนทุกวันทุกเวลาแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกจางต้าพั่งเท่านั้นที่ตกตะลึงพรึงเพริด หากศิษย์ฝ่ายในของสำนักรู้เข้าก็ต้องอ้าปากค้างเหมือนกัน

    เพียงแต่ว่าฝึกฝนมาถึงระดับนี้แล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนมีนิสัยชื่นชอบความมั่นคงและต้องปลอดภัยไว้ก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากเอาข้าววิเศษซึ่งผ่านการหลอมมาแล้วครั้งหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมาพินิจพิจารณาบนฝ่ามือ ก็นำไปใช้หม้อธรรมดาหุงจนสุก เมื่อไอวิเศษกระจายออกมา เขาก็รีบกลืนลงไปคำใหญ่ทันทีอย่างไม่ลังเล

    ข้าววิเศษเมื่อเข้าปากก็ละลายกลายเป็นไอวิเศษเข้มข้นกว่าข้าววิเศษทั่วไปหลายเท่าตัว ไม่ได้ให้เพียงพละกำลังมหาศาลในระดับต้นเท่านั้น เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นในร่างกายของเขา ขุมพลังมหาศาลก็ไหลทะลักออกมา ไป๋เสี่ยวฉุนรีบตั้งท่าฝึกตามท่วงท่าของรูปที่สาม ปรับลมหายใจอย่างรวดเร็ว

    เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนล่วงเลยไปครึ่งเดือน กลางดึกคืนหนึ่งร่างกายของไป๋เสี่ยวฉุนสั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อลืมตาขึ้นพลันพบว่าพลังของตัวเองทะลวงฝ่าขั้นที่สอง เข้าสู่ขั้นที่สามของการหลอมปราณอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนดีใจเป็นบ้าเป็นหลังได้โดยพลัน ดวงตาเผยความตื่นเต้นฮึกเหิม ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น เขาสำรวจร่างกายของตนเอง ลมปราณในร่างกายได้เปลี่ยนจากสายธารไหลรินกลายมาเป็นแม่น้ำสายเล็กโดยสมบูรณ์แล้ว

    แม่น้ำเล็กสายนี้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ความเร็วเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล ถึงขนาดว่าเพียงแค่คิด พลังในร่างกายก็จะไหลเวียนไปยังตำแหน่งต่างๆ ตามความคิดของเขาทันที

    “หลอมปราณขั้นที่สาม! ข้าววิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วหนึ่งครั้งนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” ไป๋เสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน เลียริมฝีปาก นึกอยากหลอมข้าววิเศษอีกหลายๆ เม็ด แต่กลับรู้สึกได้ว่าทางเดินของเลือดลมในร่างกายพองตัวขึ้นเล็กน้อย นึกถึงคำแนะนำบนตำราไม้ไผ่ก็รู้ว่าจำเป็นต้องให้ร่างกายปรับตัวสักพัก ยังไม่สามารถฝึกฝนต่อไปได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้

    นี่จึงทำให้เขาพับเก็บความคิดก่อนหน้านั้นเอาไว้ เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่นานก็ชะงักเท้า สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นกลางดึก แต่แสงจันทร์กระจ่างย่อมทำให้มองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนทางเดินเล็กๆ นอกครัวไฟต้นนั้นได้

    “ไม่ได้ กระบี่ไม้ของสวี่เป่าไฉดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ต่อให้ฝึกได้ถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณแล้วก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี!” ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็มองไปยังกระบี่ไม้หลากสีข้างกาย แล้วมองไปยังหม้อที่ตั้งวางอยู่ในห้องใบนั้น

    “หากสามารถหลอมพลังจิตได้สองครั้ง บางทีอาจจะช่วยให้มั่นใจขึ้นมาได้อีก” คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ทันที เดินออกนอกห้องไปหยิบเอาฟืนวิเศษของฝ่ายครัวไฟมาจำนวนหนึ่ง

    หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว กลางดึกของค่ำคืนนี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยืนอยู่ข้างหม้อลึกลับใบนั้น นำฟืนมาจุดไฟ พอเห็นลายเส้นของหม้อเปล่งแสงสว่างก็โยนกระบี่ไม้เข้าไปในหม้อ

    ทว่าคราวนี้รออยู่นานมากก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใด ไป๋เสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองลายเส้นบนหม้อรูปกระดองเต่าหนึ่งที แล้วก็มองฟืนไม้ด้านล่างที่กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วอีกหนึ่งที บ่นพึมพำกับตัวเอง จากนั้นเดินออกไปหาฟืนวิเศษอีกครั้ง แต่เมื่อทำหลายครั้งเข้า ไม่ว่าเปลวไฟจะโหมไหม้แผดเผาปานใด กระบี่ไม้ก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นเดิม

    “ฟืนพวกนี้ล้วนเป็นฟืนของไฟหนึ่งสี หรือว่าความร้อนจะไม่พอ จำเป็นต้องใช้ความร้อนที่มากกว่านี้อย่าง…ไฟสองสีอย่างนั้นหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดได้ดังนั้นก็เดินออกจากห้อง เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งก็ถือไม้ฟืนสีม่วงท่อนหนึ่งมาด้วย ฟืนนี้ในฝ่ายครัวไฟมีเหลืออยู่ไม่มากนัก ไป๋เสี่ยวฉุนหาพบเพียงท่อนเดียว

    หลังจากที่จุดไฟแล้ววางไว้ด้านล่างหม้อ เปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในทันที เปลวไฟนี้มีสองสีประกอบเข้าด้วยกัน นั่นก็คือไฟสองสีซึ่งให้อุณหภูมิสูงกว่าไฟหนึ่งสีมาก!

    แค่เห็นไฟสองสีปรากฏขึ้น ลายเส้นที่สองบนหม้อรูปกระดองเต่าก็สว่างวาบขึ้นในบัดดล ส่วนไฟสองสีนั้นกลับมืดดับลงอย่างรวดเร็วประหนึ่งพลังไฟถูกดึงไปใช้จนหมดในชั่วพริบตาเดียว ไม่นานหลังจากที่ไฟสองสีเผาไหม้จนเหลือแต่ขี้เถ้า ลายเส้นที่สองบนหม้อรูปกระดองเต่าก็สว่างขึ้นทั้งเส้น

    “สำเร็จ!” ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนเป็นประกาย รีบเอากระบี่ไม้ใส่ลงไปในหม้อ แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นมาในทันทีทันใด ใช้เวลานานกว่าตอนที่หลอมพลังจิตครั้งแรกอยู่หลายชั่วลมหายใจ

    สายตามองเห็นว่าแสงสว่างค่อยๆ ดับลง แต่ทันใดนั้นแสงสีเงินกลับขยายวงกว้างขึ้น พุ่งทะยานตรงมายังไป๋เสี่ยวฉุน การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันเกินไป ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ทันตั้งตัวสายตาจึงพร่ามัว ความหนาวยะเยือกที่ไม่อาจบรรยายได้กลายเป็นเหมือนผลึกน้ำแข็งหลอมรวมเข้ากับร่างกายไป๋เสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา เขาค้นพบว่าตนมิอาจหยุดยั้งมัน ได้แต่มองดูความหนาวสะท้านนั้นฟาดโบยภายในร่างกายตนอย่างรุนแรงโดยไม่อาจทำอันใดได้

    ใบหน้าของเขาซีดขาวทันที ขณะที่สายตากำลังพร่าเลือน ก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายถูกดูดออกมาแล้วหลอมรวมเข้าไปอยู่ในหม้อกระดองเต่าใบนั้น

    จนกระทั่งเวลานี้แสงสีเงินนั้นถึงได้สลายหายไป กระบี่ไม้ที่ดูแหลมคมยิ่งกว่าเคยจนถึงขนาดที่มองแล้วให้ความรู้สึกบาดตาอย่างยิ่งปรากฏอยู่ในหม้อ

    กระบี่เล่มนี้ถึงแม้ว่ายังดูผุพังสีสันลายตาเหมือนเดิม แต่คุณสมบัติของเนื้อไม้รวมถึงลวดลายภายในได้เปลี่ยนไปแล้ว หากล้างสีที่ทาไว้ออกจะเห็นได้ชัดเจนว่าลายเส้นเหล่านั้นเปล่งแสงระยิบระยับ กระบี่เล่มนี้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

    แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่กระบี่ไม้ปรากฏขึ้น บนท้องฟ้าชายฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีก็เกิดเสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังสะท้อนก้องประหนึ่งท้องนภาพิโรธ สะเทือนไปถึงผู้บำเพ็ญตนในสำนักหลิงซีจำนวนนับไม่ถ้วน ยังดีที่ฟ้าร้องครั้งนี้มาเร็วและไปเร็ว

    ขณะที่เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ลายเส้นสีเงินเส้นที่สองก็ปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ไม้ เปล่งแสงวูบวาบติดต่อกันสี่ห้าครั้ง ก่อนจะดับหายไปใต้สีย้อมที่ทาทับเอาไว้

    ไป๋เสี่ยวฉุนเดินเข้าไปดูกระบี่ไม้โดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง แล้วก็ต้องถอยกรูดหลายก้าวด้วยสีหน้าไม่มั่นคง ร่างกายโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ ผ่านไปพักใหญ่ถึงคืนสติกลับมา แค่นึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่นี้ก็ยังทำให้เขาหวาดผวา

    “มันสูบอะไรออกไปจากร่างข้า…” ในความกระวนกระวายใจเขากวาดสายตาไปยังคันฉ่องทองแดงที่แขวนไว้บนผนัง หลังจากจิตใต้สำนึกสั่งให้มองไปแวบหนึ่ง เขาก็ขยี้ตาก่อนจะเพ่งมองอย่างละเอียดอีกที จากนั้นก็ค่อยๆ นิ่งงันเหมือนไก่ไม้

    ภาพของเขาในคันฉ่องนั้นปรากฏว่าตรงไรผมช่วงหน้าผากมีผมขาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้น และถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ขึ้นมาอีกหนึ่งปี

    “อายุขัย!” ไป๋เสี่ยวฉุนพึมพำอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    “ที่โดนสูบไปเมื่อครู่คืออายุขัยของข้า ข้า…ข้า…” เขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก วัตถุประสงค์ที่เขามาบำเพ็ญตนก็เพื่อเป็นอมตะ แต่ตอนนี้ยังไม่ทันทำสำเร็จ กลับอายุสั้นลงไปหนึ่งปีเสียแล้ว สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างยิ่งยวด

    “ขาดทุนเสียแล้ว…ไม่นึกเลยว่าชีวิตน้อยๆ ครึ่งแรกที่มั่นคงของข้าไป๋เสี่ยวฉุนจะมีช่วงเวลาที่พลาดพลั้งเสียได้…” เขานั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น หัวเราะขื่นๆ ออกมา หลังจากสงบสติได้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้น ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจ เขารู้สึกลึกๆ ว่าหลังจากที่อายุขัยถูกสูบออกไป ตนกับหม้อกระดองเต่าใบนั้นก็คล้ายมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันซ่อนอยู่ ราวกับว่าสามารถควบคุมกันและกันได้

    ใจของเขากระตุกวูบ มือขวายกขึ้นชี้ไปที่หม้อ

    หม้อทรงกระดองเต่าสะท้อนแสงสีดำวาบหนึ่งที จากนั้นก็หดตัวลงพุ่งเข้าหาไป๋เสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา และแวบเดียวก็หายเข้าไปในปลายนิ้วของเขา ไป๋เสี่ยวฉุนตกตะลึง ลุกพรวดก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ก้มลงมองนิ้วมือของตัวเอง และมองไปที่เตาไฟวางเปล่า

    “นี่…นี่…” มือขวาของเขาชี้ไปบนพื้นอีกหนึ่งครั้ง แสงสีดำวาบขึ้น เสียง ‘ตุ้บ!’ ดังหนึ่งที แล้วหม้อใบนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนลองทำอีกหลายครั้งติดต่อกัน สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ รวมถึงกลัดกลุ้ม สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา

    “ถึงแม้ตอนนี้จะเก็บวัตถุเข้ามาไว้ในกายได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายคืออายุขัยหนึ่งปี ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ขาดทุนอยู่ดี”

    หลังช่วงเที่ยงของวันถัดมา ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดว่าจะมีวิธีใดดึงเอาอายุขัยที่ถูกดูดไปกลับมาได้บ้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาพลันเงยหน้าขึ้น สัมผัสได้ว่าด้านนอกฝ่ายครัวไฟมีเงาเจ็ดแปดร่างกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหา

    ตอนที่ฝึกได้ขั้นที่หนึ่งของการหลอมปราณ ไป๋เสี่ยวฉุนไม่อาจสัมผัสได้ แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นที่สามของการหลอมปราณแล้ว เขาสัมผัสได้ในทันทีว่าเงาเจ็ดแปดร่างนั้นมีหัวโจกตัวนำก็คือสวี่เป่าไฉ

    และในเวลาเดียวกันนั้น เสียงเคียดแค้นของอีกฝ่ายก็ลอยเข้ามา

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้ามีศิษย์พี่คุ้มครอง ข้าสวี่เป่าไฉเองก็มีเหมือนกัน วันนี้บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้าสมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว”

    บทที่ 8

    ข้าขอสู้ตาย!

     

    เมื่อเห็นว่าสวี่เป่าไฉมาหาเรื่องถึงที่ ไป๋เสี่ยวฉุนก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน

    “มาเร็วจริงนะ…” แววตาของเขาเผยความลังเล ถึงแม้เกือบครึ่งปีมานี้เขาเตรียมรับมือมาจนพร้อมแล้วแต่ก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม เดิมทีเขาตั้งใจว่าต้องฝึกฝนถึงการหลอมปราณขั้นที่สี่ก่อนถึงจะรับประกันความปลอดภัยได้

    แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายพาพรรคพวกมาด้วยถึงเจ็ดแปดคน ไป๋เสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก จึงกัดฟันกรอด

    “สู้!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สวมเสื้อนวมหนังเจ็ดแปดชั้น แบกหม้อที่เตรียมไว้สำหรับหุงข้าววิเศษไว้บนหลัง ผลักประตูออกด้วยความตึงเครียด แล้วจึงก้าวออกไป

    แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาเดินออกไป พวกจางต้าพั่งก็ล้วนถือมีดหั่นผักถือกระบวยอันใหญ่ยืนถมึงทึงอยู่หน้าประตูใหญ่ฝ่ายครัวไฟ คอยคุมเชิงพวกสวี่เป่าไฉอยู่แล้ว

    “ข้าก็ว่าเหตุใดวันนี้ตอนเช้าถึงได้ยินเสียงอีการ้อง ที่แท้ก็เจ้าพวกลูกสุนัขฝ่ายตรวจการที่รู้จักแต่ข่มเหงพวกเดียวกันกลุ่มนี้นี่เองมากำเริบเสิบสานถึงฝ่ายครัวไฟของพวกเรา!” จางต้าพั่งทำเสียงหึอย่างเย็นชาหนึ่งที ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนภูเขาลูกเล็ก น้ำเสียงก้องดังไปทั่วทิศดั่งฟ้าผ่า

    “จางต้าพั่ง คนอื่นหวาดกลัวฝ่ายครัวไฟของเจ้า แต่ฝ่ายตรวจการอย่างเราไม่กลัวพวกเจ้า พวกเราได้รับคำร้องทุกข์จากศิษย์น้องสวี่ วันนี้มาก็เพื่อใช้สิทธิ์ของฝ่ายตรวจการ เจ้ากล้าต่อต้านอย่างนั้นหรือ” เงาร่างเจ็ดแปดคนข้างกายสวี่เป่าไฉแต่ละคนล้วนมีสีหน้าหยิ่งผยอง เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ถึงแม้จะเป็นชุดนักการ แต่ชายแขนเสื้อกลับปักอักษรคำว่า ‘ตรวจการ’ ไว้อย่างเด่นชัด แสดงให้เห็นถึงสิทธิ์ที่ฝ่ายตรวจการอย่างพวกเขามี รวมไปถึงสถานะไม่ธรรมดาด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายตัวใหญ่หนึ่งในนั้น เขามีรูปร่างบึกบึนกร้าวแกร่ง กระจายพลังสะกดทางวิญญาณขั้นที่สามของการหลอมปราณออกมา รังสีเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาซึ่งตวัดมองจางต้าพั่งและคนอื่นๆ ข้างกายจางต้าพั่งด้วยแววตาเย็นชาเมินเฉยประหนึ่งพวกเขาไร้ตัวตน

    “เหลวไหล ไล่ฆ่าศิษย์น้องข้ายังมีหน้ามาพูด!” จางต้าพั่งหัวเราะเสียงเย็น ยกมือขวาขึ้น คำรามหนึ่งที หม้อใหญ่สีดำที่อยู่ด้านหลังเขาเหล่านั้นก็ลอยขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ลักษณะน่าครั่นคร้ามทำให้พวกที่อยู่รอบกายชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ส่วนชายร่างใหญ่คนนั้นกลับหรี่ตาทั้งสองลง เมื่อขยับมือทำมุทราธงเล็กผืนหนึ่งก็ลอยออกมา โบกพัดสะบัดกลุ่มไอหมอกให้แหวกกระจาย ในกลุ่มไอหมอกนั้นสามารถได้ยินเสียงสัตว์ป่าคำรามดังออกมาแว่วๆ

    และขณะที่สองฝ่ายกำลังจะชักอาวุธเข้าห้ำหั่นกันนั้น สวี่เป่าไฉก็เห็นไป๋เสี่ยวฉุนเดินออกจากกระท่อม แค้นเก่าแค้นใหม่พุ่งปะทุขึ้นในจิตใจ แผดเสียงตะโกนก้อง

    “ไป๋เสี่ยวฉุน!” ระหว่างที่พูดสวี่เป่าไฉก็พุ่งตัวออกไป มือขวายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นกระบี่ไม้ในมือก็คำรามหนึ่งครั้งและลอยออกมา

    พวกจางต้าพั่งหน้าเปลี่ยนสี ขณะที่กำลังจะไปช่วยเอาตัวบังให้ ชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการก็หัวเราะเย้ยหยันเสียงเย็นและเข้าขัดขวางในทันที

    แต่ชั่วขณะที่สวี่เป่าไฉเพิ่งจะเปล่งคำพูดและพุ่งตัวออกไปนั้น ดวงตาของไป๋เสี่ยวฉุนก็ได้กลายเป็นสีแดง เสียงคำรามก้องดังตามมา

    “สวี่เป่าไฉ เจ้าบีบบังคับกันเกินไปแล้ว ข้าจะขอสู้กับเจ้า!” ใจของไป๋เสี่ยวฉุนเต้นโครมคราม ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยต่อยตีกับใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการประลองยุทธ์กับผู้บำเพ็ญตน

    เวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนใกล้จะเส้นเลือดแตกเพราะความตึงเครียด ขณะเดียวกันกับที่ตะโกนเสียงดังเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง พละกำลังจากการฝึกฝนการหลอมปราณขั้นที่สามก็ระเบิดออกมา เขาทุ่มพลังทุกส่วนที่มี นำพลังสะกดทางวิญญาณทั้งหมดบีบอัดเข้าไปในกระบี่ไม้ กระบี่ไม้ที่ควบคุมอยู่ในมือชี้ตรงไปยังสวี่เป่าไฉ

    กระบี่ไม้คำรามกระหึ่มหนึ่งที แสงสีเงินสองเส้นบนตัวกระบี่ที่ถูกสีย้อมสีรุ้งอำพรางไว้เปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง ตัวกระบี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัวระเบิดแสงเย็นเยียบชวนให้หนาวสะท้าน ก่อนจะพุ่งตรงไปยังสวี่เป่าไฉ

    ความรวดเร็วและพลังอำนาจแข็งแกร่งทำให้พวกจางต้าพั่งรวมไปถึงพวกฝ่ายตรวจการพากันตะลึงค้าง ที่ยิ่งทำให้พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึกก็คือประกายแสงจากกระบี่แหลมคมเล่มนี้ซึ่งแผ่ออกมาปกคลุมทั่วสารทิศ ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ต่างฝ่ายต่างไม่สนใจต่อสู้ กลับพากันยืนดูแทน

    สวี่เป่าไฉยังไม่ทันบุกเข้าใกล้ก็ตกใจพลังอำนาจของไป๋เสี่ยวฉุนเสียก่อน ลักษณะท่าทางเช่นนี้ของไป๋เสี่ยวฉุนแตกต่างไปจากคนในความทรงจำของเขาเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่าทางกัดฟันสู้ตายเช่นนั้นทำให้สวี่เป่าไฉตกใจอย่างยิ่ง

    ที่ตามมาติดๆ คือดวงตาเบิกกว้างฉายความคาดไม่ถึงของเขา สวี่เป่าไฉมองเห็นว่ากระบี่ไม้ของไป๋เสี่ยวฉุนบินมาอย่างรวดเร็วจนแทบจะเห็นเป็นกระแสน้ำสีขาวพุ่งมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังอำนาจของกระบี่ไม้เล่มนั้น เขาเคยเห็นแค่ตอนที่ศิษย์ฝ่ายนอกประลองกันเท่านั้น จึงหวาดผวาขนหัวลุกขึ้นมาโดยพลัน

    เสียงเคร้งดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้ของไป๋เสี่ยวฉุนบินมากระแทกเข้ากับกระบี่ไม้ของสวี่เป่าไฉ กระบี่ไม้ของสวี่เป่าไฉสั่นอย่างรุนแรง มิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ปลายกระบี่เริ่มแตกร้าวทีละนิด พริบตาเดียวก็ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี กลายเป็นเศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนสลายหายไป

    กระบี่ไม้ของไป๋เสี่ยวฉุนกลับไม่ชะลอลงแม้แต่นิด ยังคงพุ่งเข้าหาสวี่เป่าไฉอย่างดุดัน สวี่เป่าไฉตกใจจนอกสั่นขวัญหนี ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีถอยหลบฉากอย่างรวดเร็วถึงจะหลีกพ้นได้ฉิวเฉียด กระบี่ไม้แฉลบผ่านไหล่ของเขาไปปักอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง

    เสียงตู้มดังขึ้นหนึ่งครั้ง ไม้ใหญ่ต้นนั้นถูกผ่าออกไปครึ่งหนึ่งและล้มตึงลง จังหวะเดียวกันกับที่ฝุ่นตลบฟุ้ง สวี่เป่าไฉก็กรีดร้องโหยหวนออกมา เลือดสดๆ ไหลทะลักจากแขนข้างขวา รีบถอยกรูดไปข้างหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด

    สาเหตุเป็นเพราะไป๋เสี่ยวฉุนยังไม่คุ้นเคยกับการควบคุมวัตถุเท่าไรนัก มิเช่นนั้นเพียงกระบี่เล่มนั้นก็เพียงพอจะทำให้สวี่เป่าไฉตายศพไม่ครบส่วน!

    “การหลอมปราณขั้นที่สาม! เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” สวี่เป่าไฉมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าหวาดกลัวราวกับเห็นผี สามารถทำให้กระบี่ไม้มีอานุภาพได้ถึงเพียงนี้อย่างน้อยก็ต้องฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกว่าเวลาเพียงไม่กี่เดือนเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนคนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจได้ถึงเพียงนี้ นี่แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง เขารับไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังฝันร้าย

    หากอย่างเขาเรียกว่าหวาดกลัว ในเวลานี้ชายร่างใหญ่รวมไปถึงคนจากฝ่ายตรวจการล้วนอ้าปากพะงาบๆ พากันมองมายังไป๋เสี่ยวฉุน ทุกคนอยู่ในภาวะตัวแข็งนิ่งอึ้ง

    “ใช้พลังจิตแปลงเป็นคมกระบี่ ทำให้ประกายแสงของกระบี่กระจายออกโดยรอบ นี่ต้องฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้จนถึงระดับยกหนักเสมือนเบาถึงจะสามารถกลายมาเป็นวิชาอภินิหารเช่นนี้ได้!” ชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาที่มองไป๋เสี่ยวฉุนแฝงเร้นด้วยความหวาดกลัว

    ขนาดพวกเขาเองยังเป็นถึงขนาดนี้ นับประสาอะไรกับพวกจางต้าพั่ง เมื่อพวกเขาแต่ละคนมองไปยังไป๋เสี่ยวฉุน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกไม่ต่างกัน พวกเขาพอจะสัมผัสได้บ้างแล้วว่าไป๋เสี่ยวฉุนฝึกฝนถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณ แต่แสงกระบี่ที่เปล่งประกายไปรอบทิศจากกระบี่ไม้เล่มนั้น อีกทั้งขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัวซึ่งบ่งบอกว่าไป๋เสี่ยวฉุนฝึกได้ถึงระดับยกหนักเสมือนเบาแล้วนั้น นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับรู้

    แม้แต่ตัวไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ยังตกตะลึงไปกับพลังอำนาจของกระบี่ไม้เล่มนี้ เขาเหม่อมองไม้ใหญ่ต้นนั้นที่ล้มลงทีหนึ่ง มองไปยังสวี่เป่าไฉที่ในเวลานี้ใบหน้าซีดเผือดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่นในทันที

    “สวี่เป่าไฉ ที่แท้เจ้าก็อ่อนด้อยถึงเพียงนี้ ลิ้มรสกระบี่ข้าเสียเถอะ!” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกฮึกเหิม เขาพบว่าตนแข็งแกร่งกว่าสวี่เป่าไฉมากมายนัก จิตใจพลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ขณะที่หัวเราะดังฮ่าๆ ก็ตรงดิ่งเข้าหาอีกฝ่าย

    เมื่อสวี่เป่าไฉเห็นสายตาของไป๋เสี่ยวฉุนมองตรงมา ร่างของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย เวลานี้มองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงดังและเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เขาก็หวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตะเกียกตะกายเตรียมหนี

    แต่ยังหนีไปได้ไม่กี่ก้าว ไป๋เสี่ยวฉุนก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว เมื่อมองสวี่เป่าไฉ ไป๋เสี่ยวฉุนก็นึกถึงภาพที่ตนถูกคนคนนี้ไล่โจมตีก่อนหน้า รวมไปถึงการฝึกฝนอย่างยากลำบากของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา ความเจ็บปวดรวดร้าวแปรเปลี่ยนเป็นพละกำลัง เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่ร่างของสวี่เป่าไฉอย่างแรง

    “ยังจะกล้าไล่ฆ่าข้าอีกหรือไม่!” มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนกำเป็นหมัด ต่อยเข้าที่เบ้าตาของสวี่เป่าไฉ สวี่เป่าไฉร้องโหยหวนล้มลง ใจคิดจะต่อต้าน แต่พลังปราณขั้นที่สองของเขาเมื่อมาอยู่ต่อหน้าไป๋เสี่ยวฉุนแล้วก็มิอาจต่อกรอะไรได้เลย “มาหาเรื่องข้าถึงที่ ให้เจ้ารู้ซะบ้างว่าข้าก็ไม่ได้กินหญ้า!” ไป๋เสี่ยวฉุนดีดตัวขึ้นกระโดดแล้วเหยียบลงไปแรงๆ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือต่อยเท้าเตะจนสวี่เป่าไฉร่ำไห้ไม่หยุด

    เสียงตุ้บตั้บดังไปทั่วบริเวณ ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นชายร่างใหญ่ของฝ่ายตรวจการหรือว่าพวกจางต้าพั่งล้วนยืนอึ้งอยู่ที่เดิม มองสวี่เป่าไฉที่ถูกเตะต่อยอย่างรุนแรง แล้วก็มองไปยังไป๋เสี่ยวฉุนที่ฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนล้วนหวาดผวา

    ส่วนสวี่เป่าไฉก็น้ำตานองหน้า ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด เขาไม่เชื่อว่าไป๋เสี่ยวฉุนจะเปลี่ยนมาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน โดยเฉพาะพลังยกหนักเสมือนเบานั้น หากไม่ได้ฝึกฝนอย่างลึกซึ้งมาเป็นเวลาหลายปีหรือมากกว่านั้นก็ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด

    ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าไป๋เสี่ยวฉุนผู้นี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกอย่างแค่เริ่มต้นก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ต้องเป็นเพราะสันดานต่ำช้า ถึงได้แสร้งทำท่าอ่อนแอน่าสงสาร และที่เหลือทนที่สุดก็คืออีกฝ่ายแสร้งทำได้เหมือนนักจนเขาเองยังหลงเชื่อ

    คิดมาถึงตรงนี้ สวี่เป่าไฉจากที่เศร้าโศกก็กลายเป็นเดือดดาลจนสลบไปทั้งอย่างนั้น

    เมื่อเห็นว่าสวี่เป่าไฉสลบไปแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้ปัดเสื้อผ้า ยืนคร่อมบนร่างของสวี่เป่าไฉ เพียงยกมือขวาขึ้นกวัก กระบี่ไม้ก็ลอยมาหาทันที เขาเก็บมันไว้ในแขนเสื้อ วางมาดนิ่งขรึมเบื่อหน่ายอย่างพวกยอดฝีมือ พยายามปกปิดความตื่นเต้นฮึกเหิมในแววตา

    ชายร่างใหญ่จากฝ่ายตรวจการมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาล้ำลึกหนึ่งที สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สุดท้ายก็ประสานมือคารวะ

    “ศิษย์น้องไป๋ซุกซ่อนฝีมือได้ลึกล้ำนัก นับถือ…นับถือ” เอ่ยหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จบ เขาก็หันกลับอย่างไม่ลังเล พาพรรคพวกจากไป รวมถึงหิ้วสวี่เป่าไฉที่สลบเหมือดกลับไปด้วย

    จนกระทั่งกลุ่มคนจากไป พวกจางต้าพั่งจึงมายืนอยู่ข้างไป๋เสี่ยวฉุน ทุกคนล้วนเผยรอยยิ้มเบิกบานขณะมองศิษย์น้องเก้า จะว่าไปแล้วพวกฝ่ายตรวจการก็คือคนนอก ส่วนพวกจางต้าพั่งเองนั้นรับรู้ถึงความพยายามตลอดหลายเดือนนี้ของไป๋เสี่ยวฉุนดี ในเวลานี้ความรู้สึกที่มีให้กับเขาโดยมากแล้วจึงเป็นการนับถืออย่างจริงใจ

    “เจ้าเด็กนี่ใช้ได้นี่นา ไม่เสียแรงที่ล้อเล่นกับชีวิตอยู่ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา!” จางต้าพั่งตบไหล่ของไป๋เสี่ยวฉุน

    “แน่อยู่แล้ว ถ้าข้าสู้ตายขึ้นมาเมื่อไร แม้แต่ตัวข้าเองยังต้องกลัวเลย” ไป๋เสี่ยวฉุนเชิดหน้าอย่างภาคภูมิราวกับไก่ตัวผู้ตัวน้อยที่ลำพองใจ ทำให้พวกจางต้าพั่งพากันหัวเราะชอบใจเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

    บทที่ 9

    ลูกกลอนเพิ่มอายุ

     

    วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือนสายลมหนาวก็โชยชายมาตามแม่น้ำทงเทียน พัดผ่านสำนักหลิงซี เมื่อใบไม้สารทฤดูร่วงโรย ไป๋เสี่ยวฉุนจึงนึกขึ้นได้อย่างกะทันหันว่าตนมาอยู่ที่สำนักหลิงซีได้หนึ่งปีแล้ว

    หนึ่งปีนี้สำหรับเขาแล้วเกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน จากคนธรรมดาคนหนึ่งกลายมาเป็นผู้บำเพ็ญตน ฝึกวิชาจนได้ถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณ และยังได้ขจัดข้อพิพาทที่เกิดจากการเป็นสมาชิกคนหนึ่งของฝ่ายครัวไฟด้วย

    สวี่เป่าไฉไม่มาปรากฏตัวหน้าประตูของฝ่ายครัวไฟอีกเลย บางครั้งที่ไป๋เสี่ยวฉุนลงเขาไปซื้อของใช้จำเป็นของฝ่ายครัวไฟและได้เห็นสวี่เป่าไฉจากที่ไกลๆ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็รีบหลบเลี่ยง เหมือนว่าหวาดกลัวเขาเป็นที่สุด

    ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ไป๋เสี่ยวฉุนกลับมักจะทำหน้าระทมทุกข์ ทอดถอนใจอยู่เสมอ และก็ไม่ได้ไปพูดอะไรให้พวกจางต้าพั่งฟัง เอาแต่จนใจอยู่กับตัวเอง

    “อายุขัยหนึ่งปีเชียวนะ…” ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างไปไม่ไกล ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อลมพัดก็ปลิดปลิวร่วงลงมา “ข้าก็เหมือนกับไม้ใหญ่ต้นนี้ ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็คืออายุขัยหนึ่งปีของข้า…” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งเศร้าสร้อยรันทดใจ

    หนึ่งเดือนมานี้เขาพยายามบำรุงร่างกายทุกวิถีทาง แต่ไรผมขาวตรงหน้าผากเส้นนั้นก็ยังคงไม่กลับมาเป็นสีดำ เขาลองถามพวกจางต้าพั่งโดยพูดเป็นเชิงเปรียบเปรยดูแล้ว และเข้าใจชัดแจ้งว่าในโลกของการบำเพ็ญตนที่แท้จริง วิธีชดเชยอายุนั้นใช่ว่าจะไม่มี แต่ถ้าไม่ใช่มีข้อจำกัดบางประการ ก็หาได้ยากยิ่งเหมือนขนหงส์เขากิเลน

    กลายเป็นว่าเขาค่อยๆ ไม่อยากอาหาร แม้แต่ใบหน้าเล็กๆ ก็ยังซีดเซียวไปด้วย แต่ขณะที่เขาทำได้เพียงเลือกที่จะล้มเลิกความตั้งใจและจำใจยอมรับอายุขัยของตัวเองที่ลดน้อยไปหนึ่งปีนั้น จนกระทั่งหลังเที่ยงของวันหนึ่ง ตอนที่ไป๋เสี่ยวฉุนได้ออกไปซื้อของนอกครัวไฟ เขาก็มายืนอยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาที่สาม มองไปยังป้ายศิลาขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจก็ค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้น

    ป้ายศิลาแท่นนี้อยู่ตรงฝั่งแม่น้ำทิศใต้ของสำนักหลิงซี ทุกตีนเขาของแต่ละยอดเขาจะมีอยู่หนึ่งก้อน ด้านบนมีตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงเป็นแนวแน่นขนัด เปล่งแสงพริบพราว เลื่อนไหลราวธารน้ำริน เปลี่ยนสลับแถวใหม่อยู่ตลอดเวลา

    ที่นี่คือสถานที่รับภารกิจของสำนักหลิงซี ผู้ใดก็ตามที่เป็นศิษย์สำนักหลิงซีล้วนแต่ต้องทำภารกิจของสำนักให้สำเร็จเพื่อแลกรับศิลาวิเศษรวมถึงคะแนนจากการทำคุณงามความดีซึ่งจำเป็นสำหรับการฝึกวิชา

    โดยเฉพาะคะแนนจากการทำคุณงามความดี ไม่ว่าจะเป็นการไปฟังสวดพระคัมภีร์ หรือไปหออาคม หรือไปยังสถานที่ฝึกวิชาที่พิเศษแต่ละแห่ง การทำทุกเรื่องภายในสำนักแทบจะแลกคะแนนได้ทั้งสิ้น ถึงขนาดว่าในบางระดับมันยังมีค่ามากกว่าศิลาวิเศษด้วยซ้ำ

    ในเวลานี้ด้านข้างป้ายศิลาภารกิจตรงตีนเขาของยอดเขาที่สามมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยกำลังจดจ้องที่นั่นตาไม่กะพริบ หลังจากเลือกภารกิจได้แล้วก็รีบพูดเบาๆ ขอบคุณผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ใต้ป้ายศิลาทันที

    พวกนักการบางส่วนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่ออยู่ท่ามกลางศิษย์ฝ่ายนอกที่สวมเสื้อคลุมยาวพลิ้วสีเขียวก็สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนจากเสื้อผ้าที่สวมใส่

    ภารกิจของสำนักหลิงซี หากเป็นภารกิจที่มีแค่ศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นที่ทำได้จะกำหนดไม่ให้ปรากฏขึ้นในป้ายศิลาภารกิจนี้ ส่วนภารกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกหรือเหล่านักการล้วนเลือกทำได้ทั้งสิ้น

    พวกนักการบางส่วนที่แสวงหาความก้าวหน้าล้วนมองสถานที่แห่งนี้เป็นก้าวแรกของการเป็นปลาหลี่ข้ามประตูมังกรของตนเอง

    ไป๋เสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป*แล้ว สีหน้าไม่มั่นคง จ้องไปยังตรงกลางของป้ายศิลานั้น ตัวอักษรบรรทัดหนึ่งกะพริบระยิบระยับ ก่อนจะเผยสีหน้าลังเลออกมา

    “ลูกกลอนเพิ่มอายุ…ไม่นึกเลยว่าในสำนักจะมียาประเภทนี้อยู่ด้วย ฟังจากชื่อ เหมือนว่าจะสามารถเพิ่มอายุขัยได้…” ไป๋เสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเองเนิ่นนาน หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างกายผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนที่อยู่ใต้ป้ายศิลาภารกิจ

    รอบกายของคนผู้นี้มีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยล้อมรอบอยู่ เมื่อรู้สึกถึงการมาของไป๋เสี่ยวฉุน ทุกคนล้วนเลือกมองเมินไป ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้พวกเขาไม่เห็นพวกนักการอยู่ในสายตา

    จนกระทั่งคนที่อยู่รอบกายผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนเหลือน้อยลง ไป๋เสี่ยวฉุนก็เผยท่าทางน่าเอ็นดู ยกมือขึ้นทำท่าคารวะ

    “คารวะศิษย์พี่”

    ผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนเงยหน้ากวาดสายตามองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที พยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร

    “ศิษย์พี่ ที่นี่มีภารกิจหนึ่งให้ตามหาสมุนไพรสามสี่อย่าง สามารถเอามาแลกกับลูกกลอนเพิ่มอายุหนึ่งเม็ดได้ ไม่ทราบว่าลูกกลอนเพิ่มอายุนี้นำมาเพิ่มอายุขัยได้หรือไม่” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอายุขัยของตน ไป๋เสี่ยวฉุนจึงรีบถามด่วนจี๋

    “ลูกกลอนเพิ่มอายุ…อืม มีภารกิจนี้อยู่ โอสถชนิดนี้เพิ่มอายุได้จริง สามารถเพิ่มอายุขัยได้หนึ่งปี แต่ว่ามีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ต้องฝึกฝนได้ต่ำกว่าขั้นที่ห้าของการหลอมปราณเท่านั้นถึงจะใช้ได้ อีกอย่างมีผลแค่ครั้งเดียว กินอีกรอบก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จะว่ามันล้ำค่าก็ล้ำค่าจริง แต่ก็แค่อายุขัยหนึ่งปี จึงมีประโยชน์ไม่มากนัก” ผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของไป๋เสี่ยวฉุน อดไม่ได้จึงพูดออกมายาวหลายประโยค “โดยทั่วไปแล้วศิษย์ของสำนักมักจะเอาไปมอบให้คนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวที่เป็นคนธรรมดาเพื่อดึงให้พ้นจากความตาย แต่ราคาของมันก็ไม่ธรรมดา เจ้าจะรับภารกิจนี้หรือ”

    ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้ามองป้ายศิลาหนึ่งที คิดสะระตะแล้วก็พยักหน้า

    ผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนยกมือขวาชี้ไปที่ป้ายศิลาภารกิจ ทันใดนั้นภารกิจข้อนี้ที่อยู่บนนั้นก็กลายเป็นสีเทา ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็มีหยกแผ่นบางๆ ปรากฏขึ้นหนึ่งชิ้น ก่อนจะโยนให้กับไป๋เสี่ยวฉุน

    “ใบชิงหลิง ผลมังกรดิน เปลือกแมลงศิลา หากตากสมุนไพรสามอย่างนี้แห้งแล้วสามารถเอามาแลกลูกกลอนเพิ่มอายุที่นี่ได้หนึ่งเม็ด” ผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนเอ่ยปากเนิบนาบ ไม่สนใจไป๋เสี่ยวฉุนอีก แต่หันไปแนะนำภารกิจให้กับศิษย์ฝ่ายนอกที่เดินมาข้างๆ

    ไป๋เสี่ยวฉุนรับม้วนตำราหยกแล้วจากไป ในสมองเต็มไปด้วยคำว่า ‘เพิ่มอายุ’ แววตาค่อยๆ ฉายแววเด็ดเดี่ยว

    “ต้องแลกเอาโอสถนี้มาให้ได้ ชดเชยอายุขัยหนึ่งปีนั้นของข้าที่เสียไป”

    พกพาเอาความแน่แน่วเช่นนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนตรงดิ่งไปยังฝ่ายสี่สมุทร สืบค้นข้อมูลที่มีไว้ให้พวกนักการหาความรู้ ในนั้นเขาหาคำแนะนำเกี่ยวกับใบชิงหลิงเจอ ของชิ้นนี้คือสมุนไพรที่จะขึ้นเฉพาะในสถานที่อยู่อาศัยของนกโหวหลิง เพราะนกโหวหลิงนี้ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม อีกทั้งหากคิดจะตามหาให้เจอสักตัวก็ยังยากพอๆ กับการฝึกหลอมปราณขั้นที่สอง คิดจะได้ของสิ่งนี้มามิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นราคาจึงไม่ใช่น้อยๆ

    ส่วนผลมังกรดินและเปลือกแมลงศิลานั้นฝ่ายสี่สมุทรไม่มีบันทึกไว้ ไป๋เสี่ยวฉุนลูบคลำกระเป๋าเสื้อของตัวเองก่อนจะยิ้มขื่นๆ จากไป หลังจากกลับมาถึงฝ่ายครัวไฟก็สอบถามจากพวกจางต้าพั่ง ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อผลมังกรดินมาก่อน แต่เฮยซานพั่งรู้จักเปลือกแมลงศิลา ของสิ่งนี้คือหนังจากการลอกคราบของแมลงวิเศษที่ชื่อว่าแมลงศิลา

    ว่ากันว่าเปลือกของมันแข็งเกินจะเปรียบ อีกทั้งยังมีน้ำหนักมาก ที่ฝั่งทิศใต้นี้มีน้อย ฝั่งทิศเหนือเนื่องจากใช้วิชาควบคุมสัตว์เป็นหลักถึงได้มีอยู่ แต่ว่าฝั่งทิศเหนือและทิศใต้ถึงแม้จะอยู่ในสำนักหลิงซีเหมือนกัน แต่มีสะพานภูเขาของยอดเขาหลักขวางกั้น นอกจากจะเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้วก็ไม่มีคุณสมบัติเหยียบย่างเข้าไปในสะพานภูเขาเพื่อไปมาระหว่างสองฝั่ง

    “เจ้าสอบถามเรื่องยาสมุนไพรพวกนี้ไปเพื่ออันใด ของพวกนี้กินไม่ได้ อีกอย่างราคาในตลาดด้านล่างฝั่งใต้ก็สูงเกินเหตุ” จางต้าพั่งตบท้อง เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

    ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินคำว่าตลาดดวงตาก็เป็นประกาย หลังจากอธิบายสั้นๆ จบก็ตรงดิ่งลงเขาไป ตลอดหนึ่งปีที่เขาอยู่ในฝ่ายครัวไฟนี้ ถึงแม้จะออกจากสำนักน้อยครั้ง แต่ก็รู้ว่านอกสำนักมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง

    ที่นั่นคือร้านค้าที่ก่อตั้งโดยตระกูลของพวกศิษย์ในสำนัก ซึ่งบางร้านก็เป็นศิษย์ในสำนักเองด้วยซ้ำที่เป็นผู้ถือครอง ให้บริการศิษย์ในสำนักโดยเฉพาะ นานวันเข้าขนาดของตลาดก็ขยายใหญ่ขึ้น

    ปกติแล้วของที่ฝ่ายครัวไฟต้องการก็มักจะมาซื้อหากันที่นี่

    เดินรอบตลาดแล้วหนึ่งรอบ โดยพุ่งไปเฉพาะที่ร้านขายพวกสมุนไพร เมื่อกลับมาที่ฝ่ายครัวไฟอีกครั้งคิ้วของไป๋เสี่ยวฉุนก็ขมวดแน่น ถอนหายใจติดต่อกันหลายครั้ง

    “เกินไปแล้ว! โดยเฉพาะผลมังกรดินนั่น ก็แค่ผลจากต้นไม้ที่ปลูกใต้ดินแค่นั้นไม่ใช่หรือ จะแพงอะไรปานนั้น!” ไป๋เสี่ยวฉุนตระหนักรู้อย่างจนใจว่าด้วยความสามารถของตนในตอนนี้ไม่มีทางที่จะแลกลูกกลอนเพิ่มอายุมาได้

    เขาไม่ยึดติดกับเงินทอง เมื่อเทียบกับอายุขัยแล้ว เงินทองมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ในเวลานี้กระเป๋าของเขาลีบแบน อีกอย่างปกติเวลาอยู่กับพวกศิษย์พี่ตัวอ้วนทั้งหลาย เขาเองก็รู้ว่าแม้คนเหล่านั้นจะมีของให้กินอิ่มท้อง แต่ในกระเป๋าเงินก็แห้งพอกัน ไม่ได้ร่ำรวยไปกว่าตนสักเท่าไร

    ส่วนอาหารวิเศษของฝ่ายครัวไฟ พวกเขาขโมยกินก็ไม่มีใครจับได้ แต่หากคิดจะเอาออกไปขาย คนของฝ่ายตรวจการรู้เรื่องขึ้นมาคงเดือดดาลอย่างยิ่ง

    คิดไปคิดมา เขาเองก็ไม่มีวิธีไหนหาเงินมาได้ นอกเสียจากจะหลอมของวิเศษไปขาย

    แต่เรื่องนี้เขาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรเช่นกัน ไป๋เสี่ยวฉุนครุ่นคิดอย่างหนักติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้ขณะที่เขานั่งไขว่ห้างฝึกวิชาอยู่ในห้องก็พลันได้ยินเสียงระฆังดังสะท้อนก้องไปมาในสำนัก

    เสียงนี้ไม่ดังนักทั้งยังเงียบไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เสี่ยวฉุนลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในสำนักก็ได้รู้ว่าหากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นก็จะได้ยินเสียงระฆังนี้ทุกเดือน นี่คือการเปิดเส้นทางการทดสอบของแต่ละยอดเขาให้แก่ฝ่ายนักการตามที่จางต้าพั่งบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

    คิดจะเปลี่ยนจากนักการกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนปลาหลี่ข้ามประตูมังกร ก่อนอื่นต้องฝึกวิชาได้ถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณ ต่อมาคือต้องเลือกเส้นทางทดสอบของยอดเขาหนึ่ง ถึงแม้ว่าเส้นทางทดสอบนั้นเป็นเพียงขั้นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ยอดเขา แต่กลับมีการลงอาคมควบคุมทำให้ก้าวเท้าเดินได้อย่างยากลำบาก หากสามารถเดินขึ้นไปได้ก็มีคุณสมบัติในการกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

    เพียงแต่ว่าจำนวนศิษย์ฝ่ายนอกที่รับได้มีจำกัด แต่ละครั้งทุกยอดเขาจะเลือกสามคนแรกที่เดินขึ้นเส้นทางทดสอบได้เร็วที่สุดเท่านั้น เลือกผู้ยอดเยี่ยมในหมู่ผู้ยอดเยี่ยมอีกที อีกทั้งจำนวนนักการในสำนักหลิงซีก็มีมากมาย แค่นักการของฝั่งทิศใต้ก็มีมากถึงหมื่นคน ดังนั้นการแย่งชิงแต่ละครั้งจึงดุเดือดอย่างยิ่ง

    และแน่นอนว่าคนส่วนมากในฝ่ายครัวไฟยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งเป็นศิษย์ฝ่ายนอก วันนี้ของทุกเดือนพวกเขาจึงล้วนเพิกเฉยไม่ใส่ใจจะมองด้วยซ้ำ

    ไป๋เสี่ยวฉุนหลับตาลง แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็พลันเปิดขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาฉายแววประหลาด พริบตาถัดมาก็กลายเป็นความตกตะลึงระคนดีใจ ในสมองค่อยๆ มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนเดินไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ หลังจากที่พิจารณาถึงความคิดนั้นอย่างรอบคอบแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็คึกคักเบิกบาน

    “สำเร็จแน่!” เขาผลักประตูห้องออกไปทันที ตะโกนเรียกพวกจางต้าพั่งที่กำลังถกเถียงกันว่าคราวนี้นักการคนไหนจะดวงซวยได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกให้มารวมกัน

    “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้ามีความคิดที่จะทำให้เรารวย และต้องขอให้ศิษย์พี่ทุกท่านช่วยข้าด้วย พวกเราจะรวยไปด้วยกัน!” ไป๋เสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายมองไปยังพวกจางต้าพั่ง

    ท่าทางเช่นนี้พวกจางต้าพั่งคุ้นเคยดี ตอนแรกที่ไป๋เสี่ยวฉุนเสนอให้เพิ่มความหนาของถ้วย นำความผาสุกมาสู่ฝ่ายครัวไฟ เขาก็มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนจึงเกิดความสนใจในทันทีทันใด

    “จิ่วพั่งเจ้ามีความคิดอะไรหรือ บอกตามตรงนะ พวกเราทุกคนจนกันจะแย่อยู่แล้ว ต้องโทษเจ้าพวกฝ่ายตรวจการบ้าบอนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นถ้าขายของในฝ่ายครัวไฟของเราได้ละก็ พวกเราก็รวยเละแล้ว!” จางต้าพั่งตบไหล่ไป๋เสี่ยวฉุน สายตาฉายแววคาดหวังรอคอย

    บทที่ 10

    ศิษย์พี่อย่าเพิ่งไป

     

    เมื่อสายตากวาดไปเห็นว่าศิษย์พี่อ้วนทั้งหลายรอบกายล้วนมองมายังตนเองตาไม่กะพริบ ดวงตาเล็กๆ แต่ละคู่เหมือนศิลาวิเศษที่เปล่งประกาย โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่ประกายตาลุกโชนดั่งเปลวไฟยามมองมายังตนเอง…ไป๋เสี่ยวก็ฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกภูมิใจอยู่นิดๆ

    “ศิษย์พี่ พวกท่านคิดดูนะ ทุกเดือนยอดเขาทั้งสามแห่งของสำนักหลิงซีเราล้วนเปิดให้มีการทดสอบ มอบโอกาสให้พวกเราชาวนักการเป็นปลาหลี่ข้ามประตูมังกร ใช่หรือไม่…” ไป๋เสี่ยวฉุนเงยใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวสะอาดขึ้นมา มองอย่างไรก็ดูเป็นเด็กดีน่าเอ็นดูเหลือล้น

    ได้ยินไป๋เสี่ยวฉุนพูดอย่างนี้ พวกจางต้าพั่งก็พยักหน้า

    “แต่สำนักต้องการเลือกผู้ยอดเยี่ยมในหมู่ผู้ยอดเยี่ยมอีกที ดังนั้นไม่ว่าแต่ละเดือนจะมีผู้เข้าร่วมการทดสอบสักเท่าไร ทุกยอดเขาก็จะเลือกเพียงสามคนแรกที่เดินไปสุดเส้นทางทดสอบได้เร็วที่สุดเท่านั้น ใช่หรือไม่” ไป๋เสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก นัยน์ตาเริ่มเปล่งประกาย ขณะที่เขาพูดมาถึงตรงนี้ จางต้าพั่งก็เริ่มมีความคิดบางอย่างแล้ว

    และเฮยซานพั่งเองก็เช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ยังคงพยายามทำความเข้าใจกันอยู่

    “เจ้าหมายความว่า…” จางต้าพั่งมองไปที่ไป๋เสี่ยวฉุน แววตาค่อยๆ เผยความปีติยินดี

    “ด้วยพลังที่พวกศิษย์พี่ฝึกฝนมาได้ รวมข้าเข้าไปอีกคนหนึ่ง ความจริงแล้วพวกเราล้วนสามารถเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของเส้นทางทดสอบของแต่ละยอดเขาได้…” ไป๋เสี่ยวฉุนมองศิษย์พี่ทั้งหลายรอบกาย คนเหล่านี้ทุกคนล้วนสำเร็จถึงขั้นที่สามของการหลอมปราณแล้ว โดยเฉพาะจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งที่ฝึกได้ถึงจุดสุดยอดของขั้นที่สามของการหลอมปราณแล้ว หากไม่ใช่เพราะจงใจปิดบัง ไม่ต้องการเป็นที่จับตามองจนต้องออกไปจากฝ่ายครัวไฟก็สามารถบรรลุไปอีกขั้นได้นานแล้ว

    “ดังนั้นขอแค่ทุกครั้งที่การทดสอบเริ่มขึ้น พวกเราทุกคนเดินไปให้ถึงยอดเขาให้เร็วที่สุด ยึดสามตำแหน่งแรกไว้ได้ ก็จะสามารถ…ขายตำแหน่งให้กับคนข้างหลังได้อย่างไรเล่า!” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบพูดให้จบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองไปที่พวกจางต้าพั่ง

    กายของจางต้าพั่งสั่นไหว

    “ร้ายกาจมาก…” เขาสูดหายใจเข้าหนึ่งที ตบลงไปที่หน้าขาแรงๆ นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วิธีนี้ไม่ซับซ้อน ทั้งยังง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่เปลี่ยนแนวคิดให้เป็นอีกแบบ พูดออกมาแล้วทุกคนล้วนเข้าใจดี แต่ตอนที่ไม่ได้พูดออกมา กลับกลายเป็นว่าผู้คนคิดไปเป็นอีกด้านหนึ่ง

    ในเวลานี้จางต้าพั่งรู้สึกถึงขั้นเหมือนได้กรอกสติปัญญาเข้าไปในสมอง นับจากนี้ไปชีวิตของเขาเหมือนได้เปิดประตูกว้างบานใหม่ หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่อยู่

    “วิธีนี้เด็ดสุดๆ เลย ฮ่าๆ!” เฮยซานพั่งกระทืบเท้า ใบหน้าปรากฏริ้วสีแดง ไม่รู้ว่าเขินอายหรือว่าตื่นเต้น

    ศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ในเวลานี้ก็ล้วนมีปฏิกิริยาตอบสนอง พากันตื่นเต้นฮึกเหิม ทุกคนสูดลมหายใจถี่กระชั้น เมื่อมองไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกนับถืออย่างอดไม่ได้

    “วิธีนี้ใช้ได้ เอาเลย!”

    “ย่ามันเถอะ! เจ้าพวกสารเลวฝ่ายตรวจการกลุ่มนั้น ทำเอาหลายปีมานี้พวกเราจนกันจะตายอยู่แล้ว ยังดีที่มีศิษย์น้องเก้ามาอยู่ด้วย เอาเลย!” ทุกคนตื่นเต้นดีใจกันทันควัน ร่วมด้วยช่วยกันปรึกษารายละเอียดในจุดต่างๆ

    รอจนทุกคนคิดว่าไม่มีช่องโหว่ เตรียมการว่าเมื่อเส้นทางการทดสอบของเดือนหน้าเริ่มขึ้นจะทำเช่นนี้ จางต้าพั่งก็ตบท้องอย่างมีความสุข

    “คืนนี้เพิ่มมื้ออาหาร!”

    เสียงหัวเราะยินดีปรีดาดังลอดออกมาจากในฝ่ายครัวไฟ เวลาที่เหลือของเดือนนี้ ทุกคนในฝ่ายครัวไฟล้วนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ และเพื่อป้องกันความผิดพลาด ยังถึงขั้นพากันฝึกฝนติดกันหลายวันซึ่งถือเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง สุดท้ายทุกคนต่างก็รอคอยให้วันนั้นมาถึง

     

    ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว

    ยามเช้าตรู่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ตีนเขาของยอดเขาทั้งสามฝั่งทิศใต้ของสำนักหลิงซีปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อมองไกลๆ จะเห็นแค่เพียงว่าทางเข้าเส้นทางทดสอบตรงตีนเขาของยอดเขาแต่ละลูกมีหม้อใบใหญ่สีดำสามใบโผล่ขึ้นมา

    เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด ด้านล่างหม้อใบใหญ่สีดำแต่ละใบนั้นมีชายอ้วนตัวใหญ่ไม่ธรรมดายืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะท่าทางน่าตกตะลึง

    นั่นคือเก้าคนจากฝ่ายครัวไฟ จัดวางไว้สามคนต่อหนึ่งยอดเขาตามการวางแผนก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่าพวกเขาคือฝ่ายนักการกลุ่มแรกที่มาถึงเส้นทางทดสอบของยอดเขาทั้งสาม

    ในเวลานี้เหล่านักการจำนวนมากต่างกำลังเร่งรุดมาจากทั่วทุกสารทิศ นักการเหล่านี้ทุกคนล้วนเตรียมแรงกายมาอย่างเต็มที่ สีหน้าท่าทางเตรียมพร้อม พวกเขามีทั้งผู้ที่ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง ทั้งผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมเป็นครั้งแรก ต่างก็รอคอยด้วยความตื่นเต้น วาดหวังว่านับจากนี้ไปตนจะสามารถเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างพรวดพราด เลื่อนตำแหน่งจากนักการขึ้นไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

    แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนมาถึงยอดเขาที่ตนเองเลือกเอาไว้ ก็เห็นคนอ้วนทั้งหลายจากฝ่ายครัวไฟได้ในทันที

    “ฝ่ายครัวไฟ? พวกเขามาได้อย่างไร”

    “ข้าเป็นนักการมาเก้าปี เข้าร่วมการทดสอบไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนของฝ่ายครัวไฟปรากฏตัวขึ้นที่นี่…” ขณะที่พวกนักการพากันสงสัย ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันจนได้รู้ว่าทั้งสามยอดเขาล้วนมีเจ้าอ้วนจากฝ่ายครัวไฟเข้าร่วมก็ส่งเสียงดังเอะอะกันขึ้นมาในทันที

    “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คนฝ่ายครัวไฟจะมาแย่งตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอกกับพวกเรา เป็นไปได้อย่างไร…”

    เมื่อเผชิญหน้ากับการถกเถียงอย่างตกตะลึงของพวกนักการรอบทิศ ไป๋เสี่ยวฉุน จางต้าพั่ง และเฮยซานพั่งที่อยู่ตีนเขาของยอดเขาที่สามล้วนมีสีหน้านิ่งเฉยประหนึ่งจิตใจล่องลอยไปไกล ไม่สนใจเสียงพูดคุยรอบกายเลยแม้แต่นิด

    พวกเขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปไว้ที่ทางเข้าเส้นทางทดสอบข้างกายหมดแล้ว รอเพียงเวลาเริ่มแข่งเท่านั้น ทว่าในสายตาของพวกเขา นี่ไม่ใช่เส้นทางทดสอบอันใดอีกต่อไป แต่เป็นเส้นทางที่โรยไปด้วยศิลาวิเศษระยิบระยับอย่างเห็นได้ชัด

    โดยเฉพาะไป๋เสี่ยวฉุน สีหน้าของเขายิ่งเคร่งขรึมกว่าใคร ตามองนิ่งไม่กะพริบ

    ไม่นานก็มีเงาร่างสามร่างลอยลงมาจากยอดเขาทั้งสาม ผู้ที่ลงมาจากยอดเขาที่ไป๋เสี่ยวฉุนประจำอยู่คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีรัศมีของเซียนผู้บำเพ็ญเพียรอันองอาจ เมื่อมาถึงด้านข้างเส้นทางทดสอบก็มองเห็นร่างกายเหมือนภูเขาเนื้อลูกย่อมของจางต้าพั่ง

    เขากวาดมองไปยังร่างของพวกไป๋เสี่ยวฉุนทั้งสามคน แม้แต่ผู้บำเพ็ญตนวัยกลางคนผู้นี้ที่เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมเส้นทางทดสอบยังรู้สึกประหลาดใจ

    “ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร ปกติให้ตายอย่างไรคนของฝ่ายครัวไฟล้วนไม่มีผู้ใดยอมเป็นศิษย์ฝ่ายนอก วันนี้เหตุใดถึงมาที่นี่กันได้”

    เขาหันมามองอีกหลายครั้งอย่างอดไม่ไหว นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววให้กำลังใจ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที เสียงก็ดังไปทั่วทุกสารทิศ

    “การทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเริ่มขึ้นแล้ว!” สิ้นเสียงที่เขาเพิ่งเปล่งออกมา เสียงตีระฆังก็ดังก้องขึ้นในสำนักทันที และในเวลาเดียวกันนี้แสงตรงทางเข้าเส้นทางทดสอบก็สว่างวาบขึ้นหนึ่งครั้ง เส้นทางเปิดออกในบัดดล

    ชั่วเวลาที่การแข่งเพิ่งเริ่มขึ้นนั้นจางต้าพั่งผู้มีสีหน้าแน่วแน่ก็สูดลมหายใจเข้าร่างหนึ่งที ก่อให้เกิดลมพัดวูบใหญ่ แล้วจึงห้อตะบึงไปตามขั้นบันไดขึ้นเขาด้วยความเร็วราวกับเบื้องหลังมีสัตว์ร้ายไล่ล่าอยู่

    เฮยซานพั่งก็เป็นเช่นเดียวกัน นัยน์ตาเขาปรากฏแววเหี้ยมเกรียม ประหนึ่งว่าหากผู้ใดกล้าแย่งเส้นทางทดสอบกับเขาก็เท่ากับคิดจะแย่งชีวิตของเขาไปด้วย รีบตามหลังจางต้าพั่งไปติดๆ

    คนที่สามคือไป๋เสี่ยวฉุน ความเร็วของเขาก็ยิ่งเร็วกว่าใคร ราวกับกระต่ายตัวหนึ่ง ในสมองมีแต่คำว่าลูกกลอนเพิ่มอายุ เมื่อก้าวกระโดดออกไป พริบตาเดียวทั้งสามคนก็ห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเส้นทางของภูเขาลูกนี้

    ในเวลานี้พวกนักการคนอื่นๆ เพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันพากันวิ่งขึ้นไปบนเส้นทางทดสอบ วิ่งไล่ตามไปทางยอดเขาด้วยความรวดเร็ว

    ไม่เพียงแต่เขาลูกนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ อีกสองยอดเขาที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกัน ผู้ที่ห้อตะบึงอยู่ด้านหน้าสุดล้วนเป็นเจ้าอ้วนจากฝ่ายครัวไฟทั้งสิ้น

    ยอดเขาที่สามนี้มีชื่อว่ายอดเขาเซียงอวิ๋น ในเวลานี้บนเส้นทางทดสอบ พวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนวิ่งทะยานได้เร็วที่สุด นำหน้าไปไกล แต่แล้วก็ค่อยๆ ช้าลง สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่บีบคั้นจากแปดทิศเยื้องกรายเข้ามาหาอย่างไม่หยุดหย่อนดั่งมีแรงมหาศาลกดทับร่างกายไว้

    ไป๋เสี่ยวฉุนรีบหันกลับไปมอง ขณะที่พบว่าเบื้องหลังมีคนเจ็ดแปดคนตามมาติดๆ เขาก็เริ่มร้อนใจ รู้สึกเหมือนลูกกลอนเพิ่มอายุกำลังจะถูกคนแย่งชิงไป

    “แย่งลูกกลอนเพิ่มอายุของข้า ก็เท่ากับแย่งชีวิตข้า!” เขากลั้นลมหายใจ ใบหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายก็กระจายไปทั่วกายเกิดเป็นแรงผลักดัน เขาเหมือนหมูป่าถูกเหยียบหาง ร้องตะโกนหนึ่งทีก็พุ่งทะยานออกไป วิ่งเลยเฮยซานพั่งและจางต้าพั่งไป ความเร็วเพิ่มพรวดขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

    ในเวลานี้เฮยซานพั่งเองก็คำรามขึ้นมาหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าใช้คาถาอาคมอะไรความเร็วถึงได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากนั้นก็วิ่งแซงจางต้าพั่งตามหลังไป๋เสี่ยวฉุนไปติดๆ เมื่อเห็นว่าเงาร่างของทั้งสองคนที่วิ่งอยู่กำลังจะลับหายไปจางต้าพั่งก็ร้อนรน

    เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ชั้นเนื้อไขมันบนร่างกายมองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ว่าหดตัวลงไปไม่น้อยราวกับไขมันในร่างถูกเผาผลาญอย่างไรอย่างนั้น ความเร็วเพิ่มพรวดขึ้นมาในบัดดล เสียงตึงตังดังขึ้นแล้วไล่ตามไปทันเฮยซานพั่ง ทั้งสามคนวิ่งห้อตะบึงไปพร้อมกัน

    เหล่านักการที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเห็นภาพนี้ล้วนอ้าปากค้างตะลึงงัน สีหน้าสิ้นหวังปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ พากันรวบรวมพละกำลังทั้งหมดมาใช้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนไม่ทันสักที บางคนถึงกับโมโหเดือด ด่าเปิงออกมา

    “น่าตายนัก พวกเขากินยาปลุกกำหนัดมาหรือไร เหตุใดถึงได้เร็วเช่นนี้!”

    หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ไป๋เสี่ยวฉุนที่วิ่งนำหน้าสุดมาแต่แรกก็มาถึงยอดเขา ทั้งยังได้เห็นว่าตรงทางออกมีคนสองคนยืนรออยู่ตรงนั้นเพื่อเตรียมรอรับเหล่านักการเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

    “ยินดีด้วยศิษย์…” ศิษย์ฝ่ายนอกที่ตำแหน่งทางออกบนยอดเขาสองคนนั้นมองเห็นไป๋เสี่ยวฉุนมาถึงก็ยิ้มน้อยๆ แต่เพิ่งจะเอ่ยปากได้ไม่กี่คำ ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องเบิกตากว้างในทันที ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

    เห็นแค่เพียงว่าร่างของไป๋เสี่ยวฉุนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน โซซัดโซเซแล้วก็วิ่งออกไปอีกหลายก้าว จากนั้นก็หยุดฝีเท้าลงอีก ห่างจากทางออกยอดเขาของเส้นทางทดสอบเพียงก้าวเดียว

    เขามองศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่อยู่ตรงหน้า ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นก็มองเขา หลังจากไป๋เสี่ยวฉุนส่งยิ้มน่ารักน่าเอ็นดูให้ก็หมุนตัวกลับทันที

    “หยุด!” ขณะที่หมุนตัวเขาก็ยกมือขึ้นห้ามผู้คนด้านหลัง ปากตะโกนเสียงก้อง ทันใดนั้นเฮยซานพั่งและจางต้าพั่งที่ตามมาติดๆ หอบหายใจฮักๆ ก็หยุดชะงักทันที ทั้งสามคนหอบหายใจรุนแรงอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับทางออก เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนดีใจจนหัวเราะออกมาเสียงดัง

    ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นที่ยืนอยู่ตำแหน่งทางออกด้านหลังต่างมองหน้าสบตากัน ค่อนข้างงงงวยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าสมองของสามคนนี้มีปัญหาหรืออย่างไร มาถึงที่นี่แล้วแต่กลับไม่เดินขึ้นมา

    “ศิษย์น้องทั้งสาม พวกเจ้ามาถึงเร็วที่สุด สามารถเดินมาได้เลย เดินมาตรงนี้ รายชื่อของผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็จะเป็นของพวกเจ้าทั้งสามคน” หนึ่งในศิษย์ฝ่ายนอกสองคนเอ่ยปากบอกด้วยความหวังดี

    “ศิษย์ฝ่ายนอกหรือ ใครอยากจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกกัน” จางต้าพั่งโบกมือ ถือโอกาสนั่งลงไปตรงนั้นพร้อมกับเฮยซานพั่งเสียเลย ภูเขาเนื้อทั้งสองลูกบังประตูทางออกเสียมิด

    ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งอยู่หน้าพวกเขา เอามือเท้าคาง สีหน้ารอคอยอย่างทะนงตน

    “หา? ไม่อยากเป็นศิษย์ฝ่ายนอก? แล้วพวกเจ้ามาที่นี่เพื่ออันใดกัน ประสาทหรือ!” ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์

    ได้ยินคำพูดของศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนี้ พวกจางต้าพั่งทำเป็นไขสือไม่สนใจฟัง ดวงตาเล็กหยีแต่ละคู่จ้องเขม็งไปด้านล่างภูเขา

    จนกระทั่งธูปอีกดอกหนึ่งหมดไป ถึงได้เห็นไกลๆ ว่าบนขั้นบันไดมีนักการหน้ายาวเหมือนม้ากำลังหอบฮักราวกับวัวค่อยๆ เดินขึ้นมา ตอนที่มองเห็นพวกไป๋เสี่ยวฉุนทั้งสามคน เจ้านักการหน้ายาวคนนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที สายตาฉายแววไม่ยินยอม นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่เขาเข้าร่วมการทดสอบ วันนี้คือความหวังครั้งสุดท้ายที่มี แต่กลับต้องมาเจอกับพวกฝ่ายครัวไฟเสียนี่

    ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ขณะที่กำลังจะหมุนตัวยอมแพ้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็รีบลุกขึ้นยืน เปิดปากตะโกนเสียงดัง

    “ศิษย์พี่ท่านนี้อย่าเพิ่งไป มาๆๆ ข้ามาคิดดูแล้ว รู้สึกอาลัยอาวรณ์ฝ่ายครัวไฟยิ่งนัก อยู่ๆ ก็ไม่อยากเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเสียแล้ว ถ้างั้นตำแหน่งนี้ก็…”

    ชายนักการหน้ายาวตกตะลึง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายในฉับพลัน

     

     

    * เพียงพอนขาว ภาษาจีนอ่านว่าไป๋สู่หลาง (白鼠狼) ในที่นี้มีความใกล้เคียงกับชื่อของตัวละครเอกอย่างไป๋เสี่ยวฉุน และความหมายในเชิงเปรียบเปรยจะสามารถแปลว่าตัวปัญหาก็ได้

    * จางต้าพั่ง หวงเอ้อร์พั่ง เฮยซานพั่ง อักษรตัวแรกคือแซ่ อักษรตัวที่สองคือลำดับ ตัวที่สามคำว่า ‘พั่ง’ แปลว่าอ้วน ดังนั้นจางต้าพั่งจึงแปลว่าจางอ้วนที่สุด หวงเอ้อร์พั่ง คือหวงอ้วนเป็นอันดับสอง เฮยซานพั่ง ก็คือเฮยอ้วนเป็นอันดับสาม

    ** ไป๋จิ่ว ไป๋คือแซ่ของไป๋เสี่ยวฉุน จิ่วแปลว่าอันดับที่เก้า

    *** แบกหม้อดำ (背黑锅) ในภาษาจีนมีสองความหมาย ความหมายตรงตัวคือแบกหม้อสีดำ ความหมายเปรียบเปรยคือแพะรับบาป

    * กระถาง (鼎) คือกระถางโลหะขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก บ้างหนักได้ถึง 700 ชั่ง (350 กิโลกรัม)

    * ชั่วยาม หมายถึงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

    * หวงจิง (Polygonatum sibiricum) เป็นพืชในวงศ์ลิลลี่ มีสรรพคุณบำรุงเลือดลมและธาตุดิน ทำให้ปอดชุ่มชื้น

    * ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว

    * ปลาได้น้ำ เป็นสำนวนที่พูดถึงการเจอคนที่นิสัยใจคอไปในทางเดียวกัน หรือการพบเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเรา

    * ปลาหลี่ข้ามประตูมังกร เป็นสำนวนจากตำนานหนึ่งของจีน เล่ากันว่าปลาหลี่ (ปลาไนหรือปลาคาร์พ) ตัวหนึ่งมีความมุมานะจนสามารถกระโดดข้ามประตูมังกรได้ และได้รับพรให้กลายเป็นมังกร อุปมาถึงการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง มีความก้าวหน้าอย่างมาก

    ** ชีพั่ง แปลว่า อ้วนเป็นลำดับเจ็ด

    * จั้ง คือหน่วยวัดความยาวของจีน มีระยะประมาณ 3.33 เมตร

    * หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณ หมายถึงช่วงเวลาธูปไหม้หมดดอก โดยในสมัยโบราณธูปทั้งหมดล้วนทำจากมือ จึงมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ดังนั้นช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปจึงถูกกล่าวถึงแตกต่างกันไป บ้างว่าประมาณ 30 นาที บ้างว่าประมาณ 1 ชั่วโมง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook