• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 1

    ภาค

    แปดคุณชายเป่ยหลี

     

    บทนำ

     

    เมืองกานตง

    เดือนแปด ทั่วทั้งเมืองอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ย

    พ่อค้าขนมดอกกุ้ยข้างทางกำลังเปิดเข่งไม้ไผ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กลิ่นหอมกรุ่นของขนม ตามด้วยกลิ่นดอกกุ้ยอันหอมหวาน ดึงดูดให้เหล่าเด็กน้อยที่กำลังเล่นพากันเข้ามาออใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว ขณะพ่อค้ากำลังยื่นมือไปรับเหรียญทองแดง** ทันใดนั้นเสียงตะโกนหนึ่งก็ดังมาจากที่ไม่ไกล

    “คุณชายน้อยมาแล้ว!”

    พ่อค้ารีบดึงมือกลับมาปิดฝาเข่งทันที แล้วพาพวกเด็กๆ ที่กำลังมุงถอยห่างไปทางด้านหลังห้าก้าวอย่างรวดเร็ว เพียงได้ยินเสียงกีบม้าดังกังวานมา พวกเขาต่างก็เงยหน้าก่อนพบเห็นอาชาน้อยสีแดงเพลิงห้อตะบึงมาอย่างรวดเร็ว ลูกม้าตัวนี้แม้จะยังไม่เติบใหญ่ แต่มองดูก็รู้ว่าเป็นยอดอาชา เทียบกับม้าโตเต็มวัยทั่วไปแล้วความเร็วไม่ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนอาชาน้อยตัวนั้นเป็นเพียงเด็กชายที่เพิ่งย่างเข้าวัยเก้าขวบเท่านั้น เด็กคนนั้นสวมเกราะอ่อนขนาดเล็กของสำนักฝึกยุทธ์ตลอดทั้งตัว ทว่าไม่ยอมสวมใส่ให้ดี เข็มขัดเพียงคาดอย่างหลวมๆ หมวกเกราะก็ร้อยเชือกแล้วผูกไว้กับบ่า ผมเผ้าไม่มัดรวบขึ้น ปล่อยกระเซอะกระเซิงลงมาตามใจชอบ

    “ไป! ไป! เลี่ยเฟิง หากเจ้ายังวิ่งช้าจนข้าถูกจับ คืนนี้ข้าจะกินเนื้อม้าราดน้ำแดง!” เด็กชายกล่าวเสียงดัง อาชาน้อยสีแดงเพลิงตัวนั้นราวกับฟังถ้อยคำรู้เรื่องจึงโหมแรงวิ่งมากกว่าเดิมหลายส่วน ขณะเด็กชายห้อม้าผ่านร้านขายขนมดอกกุ้ย คาดไม่ถึงว่าเขาจะหันหน้ามา “พี่ใหญ่หลัว!”

    พ่อค้าแย้มยิ้มแล้วโยนขนมดอกกุ้ยที่หยิบติดมือมาเมื่อครู่ไปให้ “คุณชายน้อย รับให้ดี”

    เด็กชายรับขนมดอกกุ้ยไว้แล้วควบม้าจากไปราวกับสายลมพัดโหม เขานำมันเข้าปากแล้วกัดแรงๆ หนึ่งคำ “ช่างหวานยิ่ง!”

    เด็กชายควบม้าจากไปได้ไม่นาน ทหารเกราะอ่อนกลุ่มหนึ่งก็ไล่ตามมา พวกเขามีกันประมาณสิบกว่าคน แต่ละคนเหงื่อท่วมศีรษะ ใบหน้าและหูแดงก่ำ ผู้ที่นำอยู่ข้างหน้าหยุดม้าแล้วถอดหมวกเกราะออกแล้วด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าลูกสุนัขน้อยตัวนี้!”

    “หัวหน้า ท่านอย่าคลุ้มคลั่งจนพูดจาส่งเดชขอรับ!” ทหารใต้บังคับบัญชารีบเข้ามาเตือน “ที่ท่านด่าคุณชายว่าเป็นลูกสุนัข นั่นไม่เท่ากับด่า…”

    “รองแม่ทัพเฉิน คุณชายน้อยไม่เข้าเรียนและแอบหนีออกมาอีกแล้วหรือขอรับ” พ่อค้าที่ถูกเด็กหนุ่มเรียกว่าพี่ใหญ่หลัวเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม

    เมืองกานตงมีประเพณีนิยมเรียบง่าย ซื่อสัตย์ และสงบเรียบร้อยอย่างยิ่ง ภายใต้การปกครองของเจิ้นซีโหว* ไป่หลี่ลั่วเฉิน แม้ว่าอำนาจทางการทหารจะไม่ได้ด้อยลง ทว่าทหารก็ปฏิบัติต่อชาวบ้านอย่างอ่อนโยนมาโดยตลอด ชาวบ้านจึงเคารพรักทหารอย่างมากและอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นพ่อค้าข้างทางจึงกล้าพูดจาอย่างสนิทสนมกับรองแม่ทัพ

    รองแม่ทัพเฉินสะบัดเหงื่อบนผมแรงๆ แล้วกล่าวด้วยโทสะ “เจ้าว่าท่านโหวเคยมอบอันใดไม่ดีให้เขาบ้าง ครั้งนี้เขามอบอาชาเทพเลี่ยเฟิงตัวนี้ให้ แล้วพวกข้าจะตามจับอย่างไร! จับอย่างไร! หลัวเฉิง เมื่อครู่เจ้าเห็นเขาหรือไม่ เขาไปที่ใดแล้ว”

    “คุณชายน้อยหนีไปทางนั้นขอรับ” หลัวเฉิงชี้ไปทางตะวันตก

    “ไป ไล่ตามไปทางตะวันออก!” รองแม่ทัพเฉินสวมหมวกเกราะอีกครั้งแล้วสะบัดบังเหียนทีหนึ่ง “นิสัยนี้ของคุณชายน้อย ล้วนถูกท่านโหวกับสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้าทำให้เคยตัว!”

    หลัวเฉิงมองทหารเกราะอ่อนกลุ่มนั้นจากไปแล้วยิ้ม “จะทำอย่างไรได้ ท่านโหวดีต่อพวกเรา พวกเราย่อมต้องตอบแทนท่านโหวอยู่แล้ว”

    “เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้าไปที่ตรอกลั่วเฉิง ส่วนเจ้ากับเจ้า แล้วก็เจ้าไปดักตรงสี่แยก คนที่เหลือตามข้าไปจับเขาที่ถนนซีอวี้! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้ข้าจะจับเขาไม่ได้!” รองแม่ทัพเฉินตะโกนเสียงดัง

    “พอจับได้แล้วจะทำอย่างไรเล่าขอรับ” ทหารใต้บังคับบัญชาเอ่ยถาม

    “เช่นนั้นยังต้องพูดอะไรอีก แน่นอนอยู่แล้ว! ก็ต้องพูดจาโกหกล่อหลอกแล้วส่งกลับจวนโหวอย่างครบถ้วนสมบูรณ์สิ!” รองแม่ทัพเฉินกล่าวอย่างท้อใจ “เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของท่านโหว จะให้ลงโทษตามกฎทหารได้รึ”

    ม้าสิบกว่าตัวแยกย้ายกันไปในชั่วพริบตา รองแม่ทัพเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวทีหนึ่ง เจิ้นซีโหวไป่หลี่ลั่วเฉินเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบหก ชีวิตทางการทหารของเขาเริ่มจากการเป็นนายกองร้อยคนหนึ่งและเลื่อนขั้นจนมาเป็นเจิ้นซีโหว ในวัยหนุ่มเขาคือบุคคลอำมหิตบนสนามรบ เมื่อฆ่าคนก็จะนำศีรษะมาคล้องไว้ที่เอว หลังจากขึ้นเป็นแม่ทัพก็ยังเป็นแม่ทัพผู้โหดเหี้ยม เพียงแกว่งมือก็ฝังศพคนหลายพัน ทว่าในยามชราเมื่อได้หลานชายเพียงคนเดียวคนนี้มา เขาก็ทั้งเอ็นดูและทะนุถนอมราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ส่งผลให้หลานชายคนนี้บ่มเพาะนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมคน มักจะหนีเรียนจากสำนักฝึกยุทธ์มาอยู่ในเมืองแห่งนี้ปะปนกับสามัญชนและผู้คนจากสามคำสอนเก้าสำนัก* กลายมาเป็น…ของเมืองกานตง

     

    “อันธพาลน้อย!” เด็กชายผู้สวมชุดชาวบ้านคนหนึ่งเห็นม้าเลี่ยเฟิงวิ่งมาอย่างรวดเร็วก็ตะโกนเรียกด้วยความแปลกใจระคนดีใจ

    “หยุด!” คุณชายน้อยดึงบังเหียนหยุดม้าแล้วก้มหน้ามองเด็กหนุ่มในชุดชาวบ้านคนนั้น “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ นี่เจ้าจะไปที่ใด”

    “ไปซื้อข้าวสารให้ท่านแม่ข้า” เด็กชายในชุดชาวบ้านตอบ

    “มา สวมเสื้อตัวนี้ของข้าซะ” คุณชายน้อยกระโดดลงจากม้าและนำเกราะอ่อนบนตัวสวมทับบนร่างของเด็กชาย ก่อนจะยัดเงินหนึ่งก้อนใส่มืออีกฝ่าย “อาการป่วยของมารดาเจ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”

    เด็กชายชุดชาวบ้านรีบปฏิเสธเงินที่ได้รับมา “ครั้งก่อนได้เจ้าช่วยไว้ ท่านหมอมาดูอาการสองสามครั้งก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องให้เงินเพิ่มแล้ว”

    “เอาไปเถอะ ไปซื้อยามาให้มารดาเจ้ากินเพิ่มอีกหน่อยแล้วตุ๋นไก่สักตัวให้นาง แต่เจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้าสวมเกราะอ่อนนี้แล้วขี่ม้าวิ่งวนรอบเมืองหลายๆ รอบ ยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งดี!” คุณชายน้อยจูงม้าเลี่ยเฟิงเข้ามาใกล้ๆ

    เด็กชายในชุดชาวบ้านถูกอีกฝ่ายดันตัวขึ้นหลังม้าอย่างงุนงง ก่อนกล่าวอย่างหวาดกลัว “แต่ข้า…ขี่ม้าไม่เป็น…”

    “ไม่ต้องกลัว จับบังเหียนไว้ให้แน่น!” คุณชายน้อยนำเชือกบังเหียนมาให้เขากำไว้ในมือ “เลี่ยเฟิงเข้าใจธรรมชาติของคน มันไม่สลัดเจ้าตกลงมาหรอก แค่หลับตาไว้แล้วจับบังเหียนให้แน่นก็พอ” เมื่อพูดจบคุณชายน้อยก็ตบก้นม้าทีหนึ่ง ม้าเลี่ยเฟิงพลันส่งเสียงร้องยาวๆ แล้วพาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่กำลังกรีดร้องพุ่งตัวออกไป

    คุณชายน้อยปัดมือพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในหอสุราเล็กๆ ริมทางแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงดัง “พี่ฮว่าอวี่ เอาสุราดีสักจอกมาปลอบใจข้าจากความตื่นตกใจเมื่อครู่ที!”

    “เป็นแค่เด็กเก้าขวบ ไม่รู้จักทำตามแบบอย่างที่ดี จะดื่มสุราเลียนแบบผู้ใหญ่ไปเพื่ออันใด” แม่นางผู้รูปโฉมงามเพริศพริ้ง สวมอาภรณ์สีขาวตลอดทั้งตัวเดินออกมาหลังจากได้ยินเสียง แล้วใช้มือเขกลงบนศีรษะของคุณชายน้อย

    คุณชายน้อยแย้มยิ้ม “เช้าวันนี้ข้าแอบดื่มในห้องของท่านปู่ไปจอกหนึ่ง มันเป็นสุรากุ้ยฮวาฉยงที่จักรพรรดิพระราชทานมาจากเมืองเทียนฉี่ ตอนนี้รสชาติยังติดในปากอยู่เลย ข้าต้องใช้โอกาสที่รสชาติยังไม่จางหาย รีบดื่มเพิ่มอีกสองสามจอก ไม่เช่นนั้นคงสิ้นเปลืองแย่”

    “แม้เจ้าจะพูดจาดูมีหลักการ แต่วันนี้ไม่ได้ วันนี้เถ้าแก่มีแขกสำคัญ กำลังหารือเรื่องใหญ่บางอย่างอยู่ข้างใน ตลอดทั้งวันไม่ต้อนรับใคร” ฮว่าอวี่ยักไหล่

    คุณชายน้อยย่นคิ้ว “แขกสำคัญ?”

    “อาจารย์ข้าเอง” เสียงซึ่งแฝงความอ่อนวัยหลายส่วนดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง

    คุณชายน้อยหันหน้าไป จึงเห็นเด็กรับใช้ตัวน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งบริเวณประตูใหญ่ บนหลังอีกฝ่ายสะพายกล่องใส่ตำราที่ดูไม่เล็กใบหนึ่งและกำลังเปิดอ่านตำราในมืออย่างจริงจัง คุณชายน้อยพลันเอ่ยอย่างสงสัย “อาจารย์เจ้าคือใคร”

    เด็กรับใช้ตัวน้อยปิดตำราแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ ขณะเดินเข้ามาทีละก้าว ปากก็ท่องคำไปด้วย “ตัวข้าคือเซียนจุติ ขี่วายุลงมายังโลกมนุษย์ มือถือไม้เท้าหยกขาว เมามายขึ้นหอสูง”

    คุณชายน้อยสีหน้าฉงน “เจ้าท่องอันใดน่ะ”

    “พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ” เด็กรับใช้ตัวน้อยทำเป็นส่ายหน้าอย่างปราชญ์ผู้เฒ่า แล้วล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อมอบให้คุณชายน้อย “อาจารย์ข้ามาเยี่ยมพบกะทันหัน รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้า กุ้ยฮวาฉยงที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ อาจารย์ข้าก็มอบให้ข้ามาขวดหนึ่งเช่นกัน แต่ข้าตัดใจดื่มไม่ได้ ดังนั้นมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

    คุณชายน้อยคิดในใจ เด็กรับใช้ตัวน้อยผู้นี้แม้จะพูดจาพิลึก แต่กลับนิสัยใจคอกว้างขวาง เขาจึงเอ่ยถาม “เจ้าก็รักการดื่มสุราด้วยหรือ”

    “มือใหม่ร่ำสุราสามสิบจอก ปลายนิ้วจรดจอกลั่นวสันต์อสนี สุราคือของดี” เด็กรับใช้ตัวน้อยกล่าวพลางโยกไหวศีรษะ

    คุณชายน้อยยิ้มกล่าว “ดูท่าเจ้าจะชอบเรียนหนังสือมากกว่า”

    เด็กรับใช้ตัวน้อยพลันแสดงสีหน้าจริงจัง กล่าวขัดเขา “ข้าเพียงรักการเรียนหนังสือเท่านั้น”

    “น่าสนใจ เด็กรับใช้ตัวน้อยเจ้าชื่ออันใด” คุณชายน้อยเกิดความประทับใจต่อเด็กรับใช้ตัวน้อยตรงหน้าอย่างไม่มีเหตุผล แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันมาก เพราะสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการนั่งเรียนหนังสือ ทว่าเขากลับชอบคำพูดสองพยางค์ที่เด็กรับใช้ตัวน้อยกล่าวว่า ‘เพียงรัก’

    “ข้าชื่อเซี่ยเซวียน” เด็กรับใช้ตัวน้อยพลันประสานมือน้อมคำนับ “การประกาศชื่อแซ่คือการอันใหญ่หลวง เรียนถามว่า…”

    “คุณชายน้อย รองแม่ทัพเฉินมาแล้ว!” แม่นางฮว่าอวี่พลันร้องบอก

    คุณชายน้อยหันไปมอง เห็นหัวม้าของรองแม่ทัพเฉินปรากฏที่ปลายถนน เขาจึงตบบ่าของเด็กรับใช้ตัวน้อย “หากพรุ่งนี้ยังไม่ไป มาหาข้าที่จวนเจิ้นซีโหว!” พูดจบเขาก็กระโดดสุดตัว ปีนขึ้นหลังคาบ้านฝั่งตรงข้าม แม้ว่าเขาจะละเลยการฝึกวรยุทธ์ ทว่าวิชาตัวเบาอันใดทำนองนี้ยังนับว่ามีฝีมืออยู่หลายส่วน

    คุณชายน้อยวิ่งไปบนหลังคาบ้านเรือน รองแม่ทัพเฉินก็ขี่ม้าไล่ตามทั่วเมือง

    ชาวบ้านทั้งเมืองถึงเวลาที่ควรกินข้าวก็กิน ควรทำงานก็ทำงาน เพราะดูเหมือนจะคุ้นเคยกับอันธพาลน้อยแห่งเมืองกานตงผู้นี้ที่มักก่อเรื่องจนไก่เตลิดสุนัขกระเจิง* เป็นประจำ ทว่าที่มุมหนึ่งของถนนสายยาว เกี้ยวสีดำหลังหนึ่งได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ผู้ที่อยู่ข้างในเลิกม่านขึ้นอย่างเบามือและมองไปยังคุณชายน้อยที่วิ่งอยู่บนหลังคา ก่อนกล่าวเสียงเบา “เด็กน้อยคนนี้…”

    คุณชายน้อยเลี้ยวสองสามรอบ จนในที่สุดก็อ้อมหลบรองแม่ทัพเฉินมาได้ แต่ก็ทำเอาเขาหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นลานบ้านแห่งหนึ่งในละแวกใกล้เคียง ดอกกุ้ยภายในลานนั้นบานสะพรั่งเป็นพิเศษ เขารู้สึกสนใจจึงกระโดดสุดตัวด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเข้าไปในลานบ้านหลังนั้น แต่ทันทีที่เหยียบลงบนขอบกำแพงก็รู้สึกเหมือนกระแทกเข้ากับกำแพงล่องหน

    โครม! หน้าผากของเขาถูกกระแทกอย่างจังจนมึนไปทั้งศีรษะ ร่างร่วงตกจากกำแพงลงไปในลาน

        

    เมื่อตื่นขึ้นดวงตะวันก็ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว

    ยามอาทิตย์อัสดง แสงแดดสีเหลืองอบอุ่นส่องลานบ้านเป็นสีเหลืองอร่าม ใต้ต้นดอกกุ้ยขนาดมหึมาอย่างสุดจะเปรียบมีโต๊ะไม้ตัวเล็กวางอยู่หนึ่งตัว ชายชราชุดขาวเครายาว อากัปกิริยาสง่าราวเทพเซียนกำลังนั่งอยู่บนพื้นตรงนั้น มือหนึ่งถือจอกสุรา อีกมือหนึ่งใช้นิ้วฟั่นดอกกุ้ยที่ร่วงหล่นลงมา เขามองคุณชายน้อยที่เพิ่งตื่น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตื่นแล้วหรือ”

    “ข้า…ตายแล้ว?” คุณชายน้อยกล่าวอย่างฉงน “ท่านเป็นเทพเซียนหรือ ที่นี่คือ…”

    “ที่นี่คือเมืองกานตง บ้านของเจ้า เจ้าหลับไปนานควรกลับจวนได้แล้ว ไม่เช่นนั้นบิดามารดาคงเป็นห่วง” ชายชราชี้ไปยังประตูเล็กตรงมุมลานบ้าน “ผลักประตูนั้นออกไป เจ้าก็จะจำทางได้เอง”

    “อ๋อๆ” คุณชายน้อยลุกขึ้นยืน แต่ยังคงรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่

    ชายชรายิ้มพลางกล่าว “คนทั่วไปเข้ามาที่ของข้าไม่ได้ แสดงว่าเจ้ามีวาสนากับข้าอยู่บ้าง ก่อนเจ้าจะไป ข้ามีคำขอหนึ่ง เจ้ายินดีกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

    คุณชายน้อยไม่เข้าใจ “กราบท่านเป็นอาจารย์? ท่านจะสอนอันใดข้า”

    ชายชรายื่นดอกกุ้ยที่ผ่านการฟั่นแล้วดอกหนึ่งออกมา จากนั้นชั่งดอกกุ้ยด้วยมือ ทันใดนั้นดอกกุ้ยก็สลายเป็นผงในพริบตา และเมื่อเขาดีดผงเหล่านั้นขึ้นด้านบนดอกกุ้ยทั้งต้นก็ร่วงพรูลงมา

    “วรยุทธ์?” คุณชายน้อยกล่าวอย่างฉงน

    ชายชราไม่ตอบ เพียงยิ้มจางๆ

    คุณชายน้อยหมุนกายแล้วยักไหล่ “ไม่น่าสนใจ”

    ใบหน้าของชายชรายังคงมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ “เช่นนั้นวาสนาของเราคงมาถึงเพียงเท่านี้”

    แต่ขณะคุณชายน้อยกำลังเดินไปยังประตู เขาก็พลันสูดกลิ่นเข้าจมูก ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกกุ้ยทั่วทั้งลาน เขากลับได้กลิ่นอีกชนิดหนึ่งที่แตกต่าง

    “ดอกท้อ!” คุณชายน้อยหันหน้ากลับไปอย่างตกตะลึงและมองไปยังสุราจอกหนึ่งบนโต๊ะไม้ตัวเล็ก ก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ชายชรารู้ทันความคิดจึงรินให้หนึ่งจอกทันที คุณชายน้อยรับจอกสุรามาดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ

    ยามนี้เป็นฤดูสารททอง* ดอกกุ้ยบานสะพรั่งทั่วทั้งเมือง ทว่าในฉับพลันนั้นเขาราวกับได้ย้อนไปยังเดือนสี่ ลมวสันต์พัดเอื่อย ดอกท้อเต็มต้นผลิบานเปล่งประกาย!

    เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “สุรานี้ซื้อมาจากที่ใด”

    ชายชราหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วเอียงเท สุราเต็มจอกที่หกลงมากลายเป็นดอกท้อดอกหนึ่งในพริบตาและร่วงลงบนมือของเขา ชายชราหมุนดอกท้อดอกนั้นพลางกล่าวเบาๆ “ข้าหมักเอง”

    คุณชายน้อยรีบคุกเข่าลงพื้น “ข้าขอกราบท่านเซียนเซิง** เป็นอาจารย์! เซียนเซิงโปรดสอนข้าหมักสุราด้วย!”

    ชายชราแย้มยิ้มแล้วโยนดอกท้อในมือขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่ดอกร่วงหมดแล้วกลับมีดอกผลิบานใหม่ราวกับได้พบพานวสันตฤดูอีกครั้ง ทว่าการผลิบานครั้งนี้กลับเป็นดอกท้อเต็มต้น! กลิ่นหอมอบอวลทั่วทั้งลาน ทิวทัศน์วิจิตรตระการตา เขายื่นมือไปประคองคุณชายน้อยขึ้นจากพื้นพลางกล่าวเสียงเบา

    “ได้”

     

    บทที่ 1

    ร้านสุราตงกุย

     

    เมืองไฉซังอยู่ภายใต้การปกครองของรุ่นโจว เป็นเมืองที่ร่ำรวยและมีประชากรมากที่สุดในเขตซีหนาน (ตะวันตกเฉียงใต้) ที่นี่มีพ่อค้าผู้ร่ำรวยและปัญญาชนผู้สง่างามจากทุกสารทิศมารวมกันอย่างคับคั่งราวกับหมู่เมฆ ดังนั้นผู้ร่ำรวยที่เดินทางมายังเขตซีหนาน ขอเพียงมีเวลาว่างก็จะแวะเวียนมาเยือนที่เมืองแห่งนี้ ผู้คนเล่าลือกันว่าเมืองทั้งเก้าในชิงโจวครอบครองความมั่งคั่งในใต้หล้าได้เพียงแปดส่วนเท่านั้น อีกหนึ่งส่วนมอบให้เมืองเทียนฉี่ซึ่งเป็นเมืองหลวง ที่เหลืออีกหนึ่งส่วนครึ่งหนึ่งมอบให้เมืองอื่นๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมอบให้เมืองไฉซัง ไม่ก็ตกเป็นของสกุลกู้แห่งร้านจินเฉียน (เงินทอง)

    ดังนั้นเขาจึงเลือกเปิดร้านสุราในที่แห่งนี้

    ถนนสายนี้เรียกว่าถนนหลงโส่ว (หัวมังกร) ซึ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ทั้งยังอยู่ใกล้จวนสกุลกู้มาก

    ร้านสุราที่เขาเปิดไม่เพียงต้องเจริญรุ่งเรือง แต่ผู้ที่สัญจรผ่านมาล้วนต้องเป็นผู้มีเงินจึงจะซื้อสุราของเขาได้

    เนื่องจากสุราของเขาแพงมาก หนึ่งจอกยี่สิบตำลึง

    นับตั้งแต่วันที่ได้พบอาจารย์ เขาร่ำเรียนวิชาหมักสุรามาแล้วแปดปี ตอนนี้รุดเดินทางหลายร้อยหลี่* จากเมืองกานตงมายังเมืองไฉซัง เขาย่อมมั่นใจในสุราที่ตนเองหมักเป็นอย่างมาก

    ทว่าวันนี้คือวันที่เขาเปิดกิจการครบสิบสามวัน แต่ยังคงไม่มีใครเข้ามาในร้าน วันแรกมีคนมาถามราคาสุราของเขาแล้วบ่นว่าแพงก่อนจากไป วันที่สองมีบัณฑิตชุดขาวได้ดื่มไปหนึ่งจอกและกล่าวชมไม่ขาดปาก บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก วันที่สามบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นไม่ได้มา ลูกค้าคนอื่นๆ ก็ไม่ปรากฏ แม้แต่จะถามราคาก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นถนนยาวตลอดทั้งสายยังว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ที่น่าแปลกคือคนขายเนื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงชราที่เย็บปักรองเท้าที่อยู่ข้างเคียงไป ชายขายน้ำมันที่ไม่เคยพูดจามาก่อน ซีซือ** น้อยที่อยู่ไม่ไกล ทุกวันพวกเขายังคงหั่นเนื้อ เย็บปักลวดลาย เทน้ำมัน ทำซาลาเปาเหมือนเช่นเคยทั้งที่ไม่มีลูกค้าเช่นกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเลย

    เขานั่งตากแดดอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูร้านพลางใช้ฟันกะเทาะเมล็ดแตงพลางบ่นพึมพำคนเดียวอย่างหงุดหงิดใจ “จะดีจะเลวเมื่อก่อนข้าก็เป็นอันธพาลน้อยแห่งเมืองกานตง ไยต้องมาทนทุกข์ในที่อับโชคแห่งนี้ด้วย” ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว จึงโยนเมล็ดแตงทิ้งแล้วเดินไปยังร้านขายเนื้อฝั่งตรงข้าม และมองดูคนขายเนื้อที่ยังคงยกปังตอมหึมาสับขึ้นลงโดยที่สีหน้ามิได้แปรเปลี่ยน “พี่ใหญ่ อยากแวะมาดื่มสักจอกหรือไม่”

    คนขายเนื้อมองเขาอย่างเย็นชาราวกับมองคนโง่เขลา

    “หากข้าไม่คิดเงินท่านเล่า ถือเสียว่าเป็นการคบหาสหาย” เขาใช้ลูกไม้นี้ที่เมืองกานตงมาแล้วหลายครั้งโดยไม่เคยพลาด เขามั่นใจว่าเมื่ออีกฝ่ายดื่มจอกแรกโดยไม่เสียเงินก็จะอยากดื่มจอกที่สองไปจนถึงจอกที่สองร้อย! ถึงเวลานั้นตนก็หาเงินก้อนโตได้แล้ว

    คนขายเนื้อตอบด้วยเสียงสับกระดูกที่คมชัด

    เขาจำต้องหนีไปที่หน้าร้านของชายขายน้ำมัน ชายขายน้ำมันผู้นั้นยิ้มตาหยี แม้ว่าถ้อยคำที่พูดจาจะไม่มีมารยาทก็ตาม “ไปให้พ้น อย่ามาบังข้าดูซีซือน้อย”

    “ท่านเคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่ สุราปลุกใจคนให้ฮึกเหิม ท่านมองนานเพียงใดก็ได้แต่มอง ดื่มสุราของข้าสิ ท่านจะได้กล้าทำ” เถ้าแก่น้อยของร้านสุราค่อยๆ โน้มน้าว

    “ไสหัวไป” ชายขายน้ำมันยังคงยิ้มตาหยี

    “เข้าใจแล้ว” เถ้าแก่น้อยรีบจากมาพลางบริภาษในใจ หากอยู่ที่เมืองกานตง ข้าคงเอาคบเพลิงมาเผาร้านน้ำมันเจ้าแล้ว! ขณะเดินกลับไปยังร้านสุราอย่างจนใจ ทันใดนั้นเสียงกีบม้าก็ดังแทรกเข้ามาขัดอารมณ์ความคิด เขาหันหน้าไปทางต้นเสียงและเห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นมา ข้างหลังรถม้านั่นยังมีองครักษ์สวมเกราะอ่อนขี่ม้าตามมาอีกแปดคน เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีฝนตก ทำให้พื้นยังมีน้ำขังเป็นแอ่ง รถม้าแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว เมื่อย่ำลงบนแอ่งน้ำบนพื้นน้ำจึงสาดกระเซ็นขึ้นมา เถ้าแก่น้อยรีบถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยกลัวว่าโคลนที่กระเด็นจะเปื้อนเสื้อของเขา

    “หยุด” สารถีดึงบังเหียนจอดตรงประตูร้านสุรา เขามองไปยังป้ายร้านพลางอ่านเสียงเบา “ตงกุย?”

    เถ้าแก่น้อยแย้มยิ้มและรีบเดินเข้าไป “ดูเหมือนพวกท่านจะกลับมาจากแดนไกล ตงกุย (หวนคืนบูรพา) ชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี เหมาะกับพวกท่านมาก เข้ามาดื่มสักจอกดีหรือไม่”

    สารถียังคงขมวดคิ้วมองป้ายร้านไม่วางตาคล้ายไม่ได้ยินที่เขาพูด หรือไม่ก็คงไม่อยากสนใจคำพูดของเขา สุดท้ายสารถีก็หันหน้ากลับมาเลิกม่านรถม้าขึ้นและกระซิบบางอย่างกับคนข้างใน คนที่อยู่ข้างในนั้นนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วตอบหนึ่งประโยค สารถีจึงรีบลงจากรถแล้วกางร่ม

    จากนั้นรองเท้าคู่หนึ่งก็ย่างออกจากรถม้า รองเท้าคู่นั้นสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นและปักลายกระเรียนสีขาวตัวหนึ่งด้วยด้ายเงิน

    เถ้าแก่น้อยย่อมมีสายตาเฉียบแหลม เขาพลันแย้มยิ้ม “ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”

    บุรุษผู้สวมชุดอาภรณ์หรูหราปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา บุรุษผู้นี้อายุประมาณสามสิบปีเศษ ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเมตตาอ่อนโยน หากแต่คิ้วข้างซ้ายกลับเป็นสีขาว เขาหันมามองเถ้าแก่น้อยของร้านสุราและตะลึงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะกระจ่างแจ้งในใจแล้วยิ้มพลางถามว่า “เสี่ยวเอ้อร์*?”

    เถ้าแก่น้อยสีหน้าเย็นชาโดยพลัน

    แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคนี้

    “ข้าคือเถ้าแก่” น้ำเสียงของเขาไม่ได้สุภาพอ่อนน้อมเหมือนเดิมอีก เขาพยายามแสดงท่าทีต้อนรับลูกค้าอย่างมีไมตรีจิตมาโดยตลอด ทว่าอันธพาลน้อยแห่งเมืองกานตงก็ยังคงเป็นอันธพาลน้อยอยู่ดี

    บุรุษคิ้วขาวมองเถ้าแก่น้อยที่ดูอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปีตรงหน้าพลางพยักหน้า “เถ้าแก่ดูอายุยังไม่มาก กลับทำกิจการใหญ่โตยิ่ง”

    “กิจการใหญ่โตหรือไม่ ไม่ได้ดูที่ประตูร้านสุราใหญ่หรือไม่ แต่ดูที่สุราดีหรือไม่!” เถ้าแก่น้อยผู้นี้สวมอาภรณ์สีครามตลอดทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลา หากมองเพียงใบหน้าอย่างเดียวอาจดูคล้ายเด็กหนุ่มที่จ้างครูมาสอนในบ้าน มานะร่ำเรียนบทกวีเตรียมที่จะสอบชิงลาภยศ ทว่าลักษณะท่าทางทุกการกระทำ รวมถึงสายตาที่แฝงความหยิ่งทะนงเล็กน้อยกลับมีท่าทีของผู้ทำการค้าใหญ่จริงๆ “ดื่มหนึ่งจอก หากรสชาติไม่ดี…ก็กลับบ้านไปเปลี่ยนลิ้นซะ”

    “บังอาจ!” สารถีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

    บุรุษคิ้วขาวโบกมือปรามสารถีและหมุนกายหันไปกล่าวกับเหล่าองครักษ์ของตน “อย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว ทุกคนเข้าไปดื่มกันสักจอกเถอะ”

    มีเพียงสารถีที่ไม่ได้เคลื่อนไหว ส่วนองครักษ์ทั้งแปดล้วนลงจากม้าเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนจะเร่งเดินทางมาจากแดนไกลจริงๆ บนเกราะอ่อนจึงเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน เมื่อย่างเท้าเข้ามาในร้านสุราโคลนบนรองเท้าก็ทิ้งรอยไว้บนพื้น เถ้าแก่น้อยพลันขมวดคิ้ว บุรุษคิ้วขาวสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อยนี้จึงแย้มยิ้ม “ให้ค่าสุราเพิ่มอีกเท่าตัว” ก่อนจะหันไปมองรายการอาหารบนผนัง

    แต่จะบอกว่าเป็นรายการอาหารคงไม่เหมาะสม เพราะมีแต่สุรา ไม่มีอาหาร

    ซังลั่ว ซินเฟิง จูอวี๋ ซงเหลา ฉางอัน ถูซู หยวนเจิ้ง กุ้ยฮวา ตู้คัง ซงฮวา เซิงเหวิน ปัวเหร่อ* สุราทั้งหมดสิบสองจอก หนึ่งจอกยี่สิบตำลึง

    องครักษ์คนหนึ่งแค่นหัวเราะแล้วยื่นมือไปเคาะโต๊ะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยวี่ยลั่วไป๋ของร้านสุราหลันอวี้เซวียนซึ่งเป็นร้านสุราที่ดีที่สุดในเมืองซังลั่วขายเท่าไร”

    “หนึ่งจอกสิบแปดตำลึง” เถ้าแก่น้อยกล่าวด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง น้ำเสียงเป็นไปตามท่าที “สุราของข้ารสชาติดีกว่าของเขาเล็กน้อยจึงขายยี่สิบตำลึง”

    องครักษ์ต่างเงียบกริบ คาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่ตรงหน้าจะคุยโวโอ้อวดถึงเพียงนี้ ขณะเตรียมจะด่าสักสองสามประโยคบุรุษคิ้วขาวกลับยื่นมือขวางไว้ เขายังคงแสดงสีหน้าอ่อนโยนและพยักหน้า “เช่นนั้นข้าสั่งอย่างละหนึ่งจอก” พูดจบแล้วก็ควักตั๋วเงินใบหนึ่งออกจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ ข้อความบนนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่าห้าร้อยตำลึง

    “รอสักครู่” เถ้าแก่น้อยไม่ได้รับตั๋วเงินใบนั้นมา เพียงหมุนกายเดินไปยังครัวหลังร้าน

    องครักษ์ที่พูดเมื่อครู่กล่าวเบาๆ กับบุรุษคิ้วขาว “เชื่อได้เลยว่าร้านสุรานี้มีแค่เถ้าแก่ผู้นี้คนเดียว ครัวหลังร้าน เสี่ยวเอ้อร์ ลูกค้าล้วนไม่มี”

    “ไม่ ยังมีลูกค้าอีกคน” บุรุษคิ้วขาวชายตาเล็กน้อย มองไปยังมุมสุดของร้าน

    ตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ เวลานี้ยังเป็นยามเช้าตรู่ แต่คนผู้นั้นราวกับยังเมาไม่สร่าง เขาสวมชุดสีขาวตลอดทั้งตัว แม้จะเป็นเสื้อสีขาวที่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไรก็ตาม ข้างโต๊ะยังมีทวนยาวสีเงินเล่มหนึ่งพิงอยู่

    องครักษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันกลับมามองบุรุษคิ้วขาว

    บุรุษคิ้วขาวเคาะโต๊ะเบาๆ พลางกล่าว “เป็นหน้าใหม่ประเภทใดกันถึงมาเปิดร้านบนถนนหลงโส่วได้”

    ไม่ทันไรเถ้าแก่น้อยก็เดินกลับมาจากหลังร้าน และวางจอกสุราลงบนโต๊ะยาวอย่างต่อเนื่องจนครบสิบสองจอก บนจอกสุราแต่ละใบล้วนสลักชื่อสุราอย่างงดงามประณีต

    บุรุษคิ้วขาวตบตั่งที่ข้างตัว “เถ้าแก่ พวกข้าดื่มเพียงหนึ่งคนหนึ่งจอก ยังเหลืออีกจอกหนึ่ง หากไม่รังเกียจมานั่งดื่มร่วมกันดีหรือไม่”

    เถ้าแก่น้อยลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลง “เช่นนั้นก็ไม่ปฏิเสธแล้ว”

    บุรุษคิ้วขาวผลักสุราฉางอันไปตรงหน้าเถ้าแก่น้อย ทว่าเถ้าแก่น้อยกลับเผยสีหน้าเสียดาย “สุราฉางอันรสชาติติดปากยาวนาน เหมาะจะดื่มในวันที่อากาศมืดครึ้มหนาวเย็นเป็นที่สุด หากวันนี้ลูกค้าไม่ดื่มคงน่าเสียดาย”

    บุรุษคิ้วขาวแย้มยิ้มและเก็บสุราฉางอันกลับไป แล้วผลักสุราหยวนเจิ้งมาให้แทน ทว่าเถ้าแก่ยังคงทำหน้าเสียดายเช่นเคย “สุราหยวนเจิ้งใสกระจ่างหอมหวาน เหมาะสำหรับผู้เดินทางไกล พวกท่านเร่งรีบมาตลอดทาง ดื่มสักจอกเป็นดี”

    บุรุษคิ้วขาวส่ายหน้า รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นจริงใจขึ้นมาหลายส่วน “เถ้าแก่เป็นผู้รักการดื่มสุราจริงๆ สุราพวกนี้คงไม่ใช่เถ้าแก่เป็นคนหมักเองหรอกนะ”

    เถ้าแก่น้อยมองสุราทั้งสิบสองจอก แต่ละจอกเขาล้วนชื่นชอบอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงรับสุราหยวนเจิ้งมา “เรื่องนั้นแน่นอน ตอนข้าอายุเจ็ดขวบได้ดื่มสุราเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมาก็ลุ่มหลงในทางสายนี้ อายุเก้าขวบเริ่มกราบอาจารย์สอนหมักสุราแปดคน ตอนนี้หมักสุรามาแล้วแปดปี สุราของข้าแม้ไม่นับว่าเป็นของชั้นเลิศ แต่ก็มีดีพอจะกล่าวว่าเหนือกว่าสุราทั่วไปสุดคณานับ”

    บุรุษคิ้วขาวพยักหน้า ถึงแม้เถ้าแก่น้อยตรงหน้าผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเถ้าแก่ร้านสุรา แต่พอคุยเรื่องสุราดวงตาก็ปรากฏไฟลุกโชนชัดเจน ดูเหมือนจะเป็นผู้รักการดื่มสุราจริงๆ บุรุษคิ้วขาวยกสุราฉางอันขึ้นดื่มด้วยสีหน้าพิจารณา

    เพียงคำเดียวเท่านั้น

    ความหนาวอย่างสุดขั้วมลายหายไปในพริบตา กระแสไออุ่นโถมทะลักขึ้นจากภายในท้อง แผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาหลับตาลง รู้สึกว่าลมหายใจทั้งหมดมั่นคงในพริบตา เขาเร่งเดินทางมาหลายร้อยหลี่เพื่อฆ่าคน ตลอดทางไม่ว่าจะพยายามสงบอารมณ์ลงอย่างไร ใจที่เป็นดั่งสายธนูก็ยิ่งน้าวตึง ทว่าเวลานี้ในที่สุดก็ราวกับมีคนดีดมันเบาๆ ขณะที่สายธนูดีดผึงก็ค่อยๆ หย่อนลงมาทีละน้อย

    เขาลืมตาขึ้น พรูลมหายใจยาวทีหนึ่ง แล้วพยักหน้ากล่าว “สุราดี ควรค่าแก่คำชม”

    เมื่อสิ้นประโยคนี้ เหล่าองครักษ์ต่างก็ยกสุรากระดกดื่ม เมื่อวางจอกลงก็กล่าวชมกันเกรียวกราว แม้แต่องครักษ์ที่เยาะเย้ยเถ้าแก่น้อยเมื่อครู่นี้ก็ยังเผยสีหน้าชื่นชม

    เถ้าแก่น้อยกล่าวกับบุรุษคิ้วขาวด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ดูท่าท่านแขกผู้มีเกียรติจะรู้จักสุรา”

    “ในบรรดาสุราที่ข้าดื่มมาทั้งชีวิต จอกนี้จัดอยู่ในอันดับที่ห้า” บุรุษคิ้วขาวกล่าวอย่างซื่อตรง

    เถ้าแก่น้อยฟังคำนี้จบก็ไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจ เพียงซักถามว่า “เช่นนั้นสำหรับท่านสุราใดคืออันดับหนึ่ง”

    “เมืองเทียนฉี่ ร้านเตียวโหลวเสี่ยวจู้ ชิวลู่ไป๋” บุรุษคิ้วขาวกล่าวอย่างเนิบช้า

    เถ้าแก่น้อยตะลึงงันและเด้งตัวขึ้นกล่าวอย่างตื่นตะลึง “นึกแล้วว่าต้องเป็นแขกผู้มีเกียรติ คาดไม่ถึงว่าท่านจะมาจากเมืองเทียนฉี่ ทั้งยังเคยดื่มชิวลู่ไป๋ด้วย? รีบบอกข้าเร็วว่าชิวลู่ไป๋เป็นอย่างไร!”

    “หลายปีมานี้ข้าไปเยือนมาหลายที่ เมืองเทียนฉี่ไปมาแล้วสามครั้ง ที่นั่นคือเมืองที่รวมความเจริญรุ่งเรืองของทั้งโลกหล้าเอาไว้ แต่ที่ทำให้ข้าจดจำได้ดีที่สุดก็ยังเป็นชิวลู่ไป๋จอกนั้น สุราดีดื่มได้หนึ่งรส ทว่าชิวลู่ไป๋ของร้านเตียวโหลวเสี่ยวจู้กลับดื่มได้สามรส หากเถ้าแก่มีโอกาสควรลองแวะไปชิมดู รสชาติของสุรานี้เหนือบรรยาย มีแต่ต้องลิ้มลองเท่านั้น” บุรุษคิ้วขาวกล่าว

    เถ้าแก่น้อยทอดถอนใจ “คนในบ้านข้าไม่ให้ข้าไปที่เมืองเทียนฉี่ ข้าไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น แต่ไปเมืองเทียนฉี่ไม่ได้”

    “เถ้าแก่เป็นชาวเมืองซังลั่วหรือ” บุรุษคิ้วขาวเอ่ยถาม

    “มิใช่ พอดีที่บ้านข้ามีร้านสุรานี้ว่างอยู่ พวกเขาเห็นข้าอายุไม่น้อยแล้วจึงส่งข้ามาดูแลกิจการสักหน่อย” เถ้าแก่น้อยตอบ

    “ร้านสุราเพียงแห่งเดียวบนถนนหลงโส่ว ทั้งยังว่างอยู่ด้วย? ครอบครัวของเถ้าแก่คงมีเงินเยอะน่าดู” บุรุษคิ้วขาวกล่าวอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง

    เถ้าแก่น้อยดื่มสุราในจอกของตัวเองหมดรวดเดียว แม้เขาจะดูมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี แต่ท่าดื่มสุรากลับดูองอาจผึ่งผายยิ่ง เป็นท่าทางของพวกขี้เหล้า “สุราดี เป็นสุราดีจริงๆ” เขาหลับตา ทำทีเป็นเคลิบเคลิ้ม หลีกเลี่ยงคำถามนี้อย่างเจ้าเล่ห์

    บุรุษคิ้วขาวดื่มสุราอีกหนึ่งคำโดยไม่ได้ซักถามต่อ เพียงเปลี่ยนคำถาม “เจ้านามว่าอันใด”

    “ข้ามีนามว่าไป๋ตงจวิน” เถ้าแก่น้อยตอบ

    บุรุษคิ้วขาวตอบรับอย่างเรียบนิ่ง “เป็นชื่อที่ดี เปิดร้านที่นี่เจอปัญหาอันใดหรือไม่ ข้าอยู่ในเมืองซังลั่วนับว่าคุยกันได้”

    ไป๋ตงจวินตบโต๊ะทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็นับเป็นแขกผู้มีเกียรติจริงๆ แล้ว! ข้ากำลังกลุ้มใจมาก ใบถือครองที่ดินของข้าเป็นของจริงแท้แน่นอน ข้ามาเปิดร้านสุราที่นี่ก็ดำเนินกิจการอย่างซื่อสัตย์สุจริต แต่เพิ่งมาได้ไม่กี่วันก็มีคนมาก่อกวนให้ข้าไสหัวไปจากที่นี่ เป็นท่านจะโกรธหรือไม่”

    “หลังจากนั้นเล่า เถ้าแก่คนเดียวคงรับมือไม่ไหวกระมัง หรือว่าแท้จริงแล้วเถ้าแก่ซุกซ่อนฝีมือไม่เปิดเผย” บุรุษคิ้วขาวถาม ทุกคำของเขาดูคล้ายจะถามไปเรื่อย แต่กลับเต็มไปด้วยการหยั่งเชิง

    ชายเมาสุราตรงมุมร้านผู้นั้นพลันตัวสั่นคล้ายถูกลมหนาวทำให้ตื่น เขาเกาศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างโงนเงน มือยื่นไปหยิบทวนที่พิงอยู่ข้างโต๊ะแล้วออกแรงค้ำยันกับพื้น

    ค้ำยันเพียงครั้งเดียว แต่ทั้งร้านสุรากลับสั่นสะเทือน

    ไป๋ตงจวินยิ้มกล่าว “ร้านสุราของข้าไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว”

     

     

    บทที่ 2

    ใบหม่อนร่วงโรย ฟืนมอดเป็นธุลี

     

    มือทวนผู้เมาสุราเรอออกมาแล้วขยี้ลูกตาพลางกล่าวด้วยเสียงเด็ดขาด “มีใครมาก่อเรื่องอีกแล้วหรือ”

    องครักษ์ทั้งแปดคนรีบชักดาบยาวที่ข้างเอวออกมา

    บุรุษคิ้วขาวหรี่ตามองมือทวนตรงหน้าพลางพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาว เส้นผมยุ่งเหยิงยาวลงไปข้างหลังมัดด้วยเชือกตามสะดวก แต่งกายตามแบบฉบับของจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ ทว่าพอมองใบหน้าอย่างละเอียดน่าจะอายุพอๆ กับเถ้าแก่น้อย เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทว่าดูจากท่าทางที่ใช้ทวนยันพื้นเมื่อครู่เกรงว่าพลังยุทธ์จะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

    “เจ้าแช่งข้ารึ คิดว่าคนที่มาร้านข้ามีแต่มาก่อเรื่องรึไง” ไป๋ตงจวินเดินไปตบศีรษะมือทวนอย่างแรงหนึ่งที แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่คลายความโกรธจึงถีบอีกทีหนึ่ง “ข้าอุตส่าห์รอมาตั้งสิบสามวัน ในที่สุดก็มีแขกผู้มีเกียรติมาโต๊ะหนึ่ง เจ้าจะให้ข้าไล่ไปอย่างนั้นหรือ เจ้าสินค้าขาดทุน*!”

    มือทวนเรอออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะช่วยให้สติแจ่มชัดขึ้นมาบ้าง เขามองไปยังสุราสิบสองจอกที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ทันใดนั้นดวงตาก็พลันเปล่งประกายและสาวเท้าเข้ามา “ในเมื่อเป็นแขกผู้มีเกียรติ แบ่งให้ข้าดื่มสักจอกสิ” เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง เพียงก้าวเดียวก็กระโดดพรวดมาอยู่บนโต๊ะและยื่นมือไปหยิบจอกสุราที่อยู่ใกล้มือที่สุด องครักษ์เตรียมจะกวัดแกว่งดาบ ทว่าคนผู้หนึ่งกลับขยับตัวเข้ามาขวางพร้อมยื่นมือไปกดมือของมือทวนลงกับโต๊ะอย่างแรง

    เมื่อมือทวนเงยหน้าและเห็นคิ้วสีขาวข้างนั้นก็พลันตกใจ

    บุรุษคิ้วขาวแย้มยิ้ม “สุรานี้ของข้ายังต้องนำไปมอบให้คนอื่น หากน้องชายอยากจะดื่ม ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงของข้ายังซื้อสุราเพิ่มได้อีก ไม่รังเกียจที่จะมอบให้น้องชาย”

    มือทวนส่ายศีรษะ ดูเหมือนในที่สุดเขาก็สร่างเมาแล้วจึงดึงมือกลับไปนวดคลึงเบาๆ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะตรงมุมร้าน ก่อนงุดศีรษะเข้าซอกแขนแล้วนอนกรนครอก

    “ข้าควรไปไหว้พระที่วัดจริงๆ ตั้งแต่มาเมืองไฉซังก็เคราะห์ร้ายอยู่ตลอด ซ้ำยังมาเจอเจ้าที่เป็นสินค้าขาดทุนอีก!” ไป๋ตงจวินถีบอีกทีหนึ่งอย่างไม่หายโกรธ ทว่าร่างของมือทวนกลับโยกเอนอย่างพลิ้วไหว หลบหลีกได้อย่างชาญฉลาด

    บุรุษคิ้วขาวยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม ดูเหมือนเขาจะไม่ถือสาและหันไปกล่าวกับเหล่าองครักษ์ว่า “ดื่มเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”

    “ขอรับ” เหล่าองครักษ์เก็บดาบแล้วหมุนกายเดินออกไป

    องครักษ์คนหนึ่งลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนยังคงหลงใหลรสสุรานั้นอยู่ คนข้างๆ จึงผลักเขาเบาๆ “เสวียเจิ้ง มัวเหม่ออันใดอยู่”

    องครักษ์ที่ถูกเรียกว่าเสวียเจิ้งส่ายศีรษะ “เป็นสุราดีโดยแท้” เขายิ้มให้ไป๋ตงจวินก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

    บุรุษคิ้วขาวหยิบสุราสองจอกที่เหลือบนโต๊ะแล้วเดินตามออกไป

    “หากแขกผู้มีเกียรติมีเวลาว่างก็แวะมาบ่อยๆ” ไป๋ตงจวินยากนักที่จะได้พานพบลูกค้าที่รู้จักสุรา อีกทั้งอีกฝ่ายยังเคยดื่มชิวลู่ไป๋ที่ตนเลื่อมใสมานาน ย่อมต้องอดไม่ได้ที่จะดึงลูกค้าไว้

    ทว่าบุรุษคิ้วขาวราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ตอบคำ แม้แต่ศีรษะก็ไม่หันกลับมา สารถีกางร่มอยู่ตรงประตูร้าน บุรุษคิ้วขาวส่งสุราหนึ่งจอกให้เขา แล้วถืออีกจอกหนึ่งเดินเข้าไปในรถม้า

    “ในรถม้าคันนั้นยังมีอีกหนึ่งคน” มือทวนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวเสียงเบา

    ไป๋ตงจวินพยักหน้า “ตอนที่เขาบอกว่าสุราอีกจอกให้ข้าดื่ม ข้าก็นับจำนวนได้แล้ว”

    “ไม่จำเป็นต้องนับ พวกเราคนฝึกยุทธ์จะดูกันที่ปราณ ปราณในรถม้าคันนี้ผิดปกติ” มือทวนกล่าว

    ไป๋ตงจวินเบ้ปาก “จะบอกว่าข้าอ่อนเรื่องวรยุทธ์อย่างนั้นหรือ”

    เมื่อบุรุษคิ้วขาวขึ้นรถ สารถีก็ยกจอกสุราที่ได้มาดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นมองไป๋ตงจวินทีหนึ่งแล้วโยนจอกสุราในมือทิ้งลงพื้น ก่อนจะตวัดแส้อย่างฉับพลัน จากไปอย่างสง่าผ่าเผย

    ไป๋ตงจวินเห็นท่าทีเช่นนั้นก็พลันโมโหเดือดดาล เขาวิ่งตามออกไปนอกประตูร้านสองสามก้าวแล้วหยิบเศษจอกสุราขึ้นมาขว้างคืนใส่สารถีผู้นั้น แต่ก็ยังไม่หายโกรธ จึงก่นด่ายกใหญ่ “สุราของข้าให้คนหยาบช้าเช่นนี้ดื่ม ช่างถลุงทำลายข้าวของ* เสียจริง!”

    สารถีผู้นั้นเพียงหวดแส้ม้าทีหนึ่งโดยไม่หันกลับมามอง ทว่าเศษจอกสุราที่ขว้างไปกลับถูกหวดคืนมาอย่างคาดไม่ถึงและพุ่งตรงเข้าหาไป๋ตงจวิน เขาตะลึงงัน แต่ยังไม่ทันทำอันใดเศษจอกสุรานั้นก็ถูกคนคว้าไว้ในมือ มือทวนปากคาบไม้จิ้มฟัน ถือเศษจอกสุรานั้นพลางบ่นพึมพำ “แขกผู้มีเกียรติผู้นี้ สู้ไม่มาจะดีกว่า”

     

    ภายในรถม้าบุรุษคิ้วขาวหยิบจอกสุราที่ทำจากหยกขาวออกมาใบหนึ่งแล้วรินสุราเปลี่ยนจอก ก่อนส่งให้คนที่อยู่ข้างกาย “ไม่ใช่คนพิเศษอันใด เป็นเพียงคนหมักสุรา อายุไม่มาก อย่างมากก็แค่สิบเจ็ดปี บอกว่าเป็นร้านที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ เขาถูกส่งให้มาดูแลกิจการ ไม่ใช่คนไฉซัง ข้าหยั่งเชิงดูแล้ว วรยุทธ์ก็ต่ำมาก”

    “แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสียง” คนข้างๆ เอ่ยอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

    “เป็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งของเขา วรยุทธ์ไม่เลว แต่ไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยบนถนนสายนี้ก็มีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขา” บุรุษคิ้วขาวกล่าวต่อ

    “คนต่างถิ่นจะมีร้านอยู่บนถนนหลงโส่วได้อย่างไร เขาชื่ออันใด”

    “ไป๋ตงจวิน”

    “ไป๋ตงจวิน? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ สกุลไป๋แห่งหลิ่งหนาน (เทือกเขาตอนใต้) ห่างจากเขตซีหนานแห่งนี้ตั้งพันหลี่ คงไม่มาเยือนน้ำโคลน* แห่งนี้หรอก คงได้แต่นับว่าเขาโชคร้ายแล้วกระมัง” หญิงสาวกล่าวพลางยกจอกสุราขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งคำ ทันใดนั้นดวงตานางก็พลันเปล่งประกาย ก่อนจะเอ่ยปากชม “สุราดี”

    “เป็นสุราดีจริงๆ ข้าเดาว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะคนที่หมักสุราออกมาดีเช่นนี้จะต้องไม่เอาใจวางอยู่กับสิ่งอื่น ความกลมกล่อมของสุรานี้แย่อยู่บ้าง แต่ก็มีความละเอียดลออ หากไม่ใช่ชายหนุ่มที่มีจิตใจบริสุทธิ์ คงหมักออกมาไม่ได้” บุรุษคิ้วขาวตอบ

    หญิงสาววางจอกสุราลงโดยทิ้งรอยชาดทาปากมีเสน่ห์ไว้บนนั้น นางมองดูชื่อสุราที่อยู่บนจอกสุรา

    ซังลั่ว

    “ซังลั่ว ใบหม่อนร่วงโรย ไฉซังร่วงหล่น* เป็นชื่อที่ดี” หญิงสาวยิ้มอย่างงามสง่า

    รถม้าจอดลง

    สารถีเลิกม่านขึ้น “ถึงจวนสกุลกู้แล้วขอรับ”

     

    ภายในร้านสุราตงกุย หลังจากส่งกลุ่มแขกผู้มีเกียรติไปแล้วก็กลับมาเงียบเหงาอีกครา ไป๋ตงจวินหย่อนก้นนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าร้านแล้วทอดถอนใจ “เจ้าว่าพวกเราเจอเทศกาลพิเศษอันใดของเมืองซังลั่วหรือไม่ ในช่วงเทศกาลนี้ผู้คนอาจจะออกมาซื้อของไม่ได้ แต่คนขายของยังต้องออกมาต้อนรับลูกค้า ทั้งยังคงมีท่าทางเบิกบานราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอย่างนั้น”

    มือทวนนั่งลงบนขั้นบันไดกับไป๋ตงจวิน เขาประเดี๋ยวก็เกาศีรษะ ประเดี๋ยวก็จับเหา “ไหนเลยจะมีเทศกาลพิลึกเช่นนี้ เจ้าคิดว่าคนในเมืองซังลั่วสมองไม่ดีรึไง”

    “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร” ไป๋ตงจวินชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม

    คนขายเนื้อผู้นั้นยังคงใช้ปังตอสับลงบนเขียงอย่างรวดเร็วราวกับมีเนื้อที่หั่นเท่าไรก็ไม่หมด กระดูกที่สับอย่างไรก็ไม่ขาด

    หญิงชราที่ปักรองเท้าผู้นั้นบนเข็มราวกับมีบุปผาแบ่งบาน ส่วนลายนกบนรองเท้าราวกับจะโบยบินในพริบตา

    “คงเป็นเพราะดวงเจ้าไม่ดี” มือทวนเงยหน้ามองฟ้าพลางตอบอย่างขอไปที

    “ใช่แล้ว ข้ามันดวงไม่ดี” ไป๋ตงจวินกล่าวอย่างโกรธเคือง “ดวงไม่ดีถึงได้ตกอับมานั่งตากแดดอยู่ที่นี่กับจอมยุทธ์พเนจรที่ไม่อาบน้ำอย่างเจ้านี่ไง!”

     

    บทที่ 3

    ผีสางพิรุณโปรย

     

    ม้าหนึ่งตัว สุราหนึ่งกา สายลมวสันต์ เมื่อเมาแล้วจึงเลิกรา

    จอมยุทธ์พเนจรมีสี่ทะเลเป็นบ้าน* พเนจรไร้พันธะ เสื้อผ้ามักไม่เปลี่ยน ผมมักไม่รวบ น้ำ…ก็ย่อมอาบน้อยครั้ง วันนั้นมือทวนถือทวนเดินเซไปเซมาอยู่บนถนนสายยาว น้ำเต้าสุราใบหนึ่งแขวนอยู่ที่ปลายทวน ทว่าภายในนั้นว่างเปล่า ดูเหมือนจะถูกดื่มจนหมดแล้ว ไป๋ตงจวินไม่รังเกียจที่เขาตกอับ และเมื่อเห็นน้ำเต้าสุราบนปลายทวนก็ปลื้มใจอย่างมากจึงเชิญชวนเข้ามาดื่มสุรา และการเชิญชวนนี้ก็ช่วยเขาเอาไว้มาก แม้ว่ามือทวนผู้นี้จะยากจนตกอับ แต่วิชาทวนดีมากจริงๆ พอไป๋ตงจวินเจอกลุ่มอันธพาลเข้ามาไล่ที่ คนพวกนั้นก็ล้วนถูกทวนฟาดจนหนีไป นับแต่นั้นมามือทวนจึงพำนักอยู่ที่นี่ ทุกวันได้ดื่มสุราโดยไม่เสียเงิน แต่ต้องคอยคุ้มครองความสงบของร้านสุรา

    “นี่โชคดีที่อยู่เมืองไฉซัง หากอยู่ที่เมืองกานตงเจ้าพวกอันธพาลไร้เหตุผลนั่น คอยดูได้เลยว่าข้าจะเก็บกวาดพวกเขาอย่างไร!” ไป๋ตงจวินนึกถึงอันธพาลพวกนั้นขึ้นมาก็รู้สึกโกรธ

    มือทวนแค่นเสียงคราหนึ่ง “พวกเขาคงไม่ไปเมืองกานตงหรอก ที่นี่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเมืองไฉซัง”

    “เจ้าลองนับดู ตั้งแต่วันที่เจ้ามาจนถึงวันนี้ สุราที่ดื่มไปควรจ่ายเงินให้ข้าเท่าไร” ไป๋ตงจวินกล่าวอย่างโมโห

    มือทวนตบโต๊ะ “หากไม่มีข้า เจ้าคงถูกไล่ที่ไปนานแล้ว ร้านสุรานี้ยังจะเปิดได้อีกหรือ ดื่มสุราเจ้าเล็กน้อยแล้วอย่างไร! ข้าไม่ดื่มก็ต้องทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ใช่หรือ! จริงสิ วันนี้จะกินอันใด!”

    หัวข้อสนทนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ไป๋ตงจวินกลับตอบรับอย่างเข้าขา “วันนี้มีเงินแล้ว ไม่กินหมั่นโถว ข้าจะไปซื้อเนื้อ!” ไป๋ตงจวินลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดแล้วไปควักเงินจากตู้มาสองสามตำลึง ก่อนเดินไปหน้าร้านขายเนื้อที่อยู่ตรงข้าม “เถ้าแก่ เอาเนื้อครึ่งชั่ง* ไม่เอากระดูก”

    คนขายเนื้อผู้นั้นหันมามองไป๋ตงจวินราวกับมองคนโง่เขลา

    ไป๋ตงจวินพิจารณาเงินในมืออย่างหวาดๆ “เงินพวกนี้…น่าจะพอกระมัง”

    คนขายเนื้อกล่าวเสียงขรึม “วางลงเถอะ”

    ไป๋ตงจวินรีบวางเงินลงบนโต๊ะคิดเงิน

    คนขายเนื้อหยิบขาหลังขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วควงปังตอหนึ่งที เนื้อส่วนขาถูกกรีดเป็นรอยยาวลึกเส้นหนึ่ง เมื่อเขาควงปังตออีกครั้ง ปังตอก็กรีดลึกเข้าไปถึงกระดูกข้างใน ‘แปะ!’ เนื้อขาหนาๆ ชิ้นหนึ่งถูกแยกออกจากกระดูกและตกลงบนโต๊ะ

    “เถ้าแก่ช่างร้ายกาจ” ไป๋ตงจวินชมเปาะพลางยื่นมือออกไป คิดจะหยิบเนื้อส่วนขาชิ้นนั้น

    “เดี๋ยวก่อน!” คนขายเนื้อตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแล้วยกปังตอขึ้น ทำเอาไป๋ตงจวินกลัวจนรีบหดมือกลับ คนขายเนื้อยกกระดูกในมือขึ้นมาแล้วใช้ปังตอสับลงไปเบาๆ คมมีดเราะไปบนผิวกระดูกชิ้นโตด้วยความเร็วที่ตาเปล่ายากจะมองเห็นได้ชัด ด้วยการเราะของปังตอ เนื้อที่แต่เดิมเกาะติดอยู่บนกระดูกก็ตกลงมาทีละชิ้น

    ไป๋ตงจวินราวกับเห็นภาพลวงตา ขณะปังตอกำลังเราะกระดูก บนกระดูกยาวๆ ท่อนนั้นราวกับมีดอกไม้ผลิบานดอกแล้วดอกเล่า

    ทว่าเพียงพริบตาเดียวคนขายเนื้อก็นำเนื้อเหล่านี้ห่อด้วยกระดาษน้ำมันเรียบร้อยแล้วส่งให้เขา คนขายเนื้อเห็นแววตาตกตะลึงของไป๋ตงจวินก็แสดงสีหน้าภูมิใจอยู่หลายส่วน “เอาไปสิ”

    ไป๋ตงจวินรับห่อกระดาษน้ำมันแล้วหมุนกายวิ่งกลับมาที่ร้านสุราของตน ก่อนกล่าวกับมือทวน “คนขายเนื้อฝั่งตรงข้ามผู้นั้น ทักษะหั่นเนื้อสุดยอดจริงๆ”

    “อย่างไร” มือทวนผู้นั่งอยู่บนขั้นบันไดถามอย่างเกียจคร้าน

    ไป๋ตงจวินเล่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่อย่างละเอียด แล้วกล่าวด้วยความอนิจจัง “เมืองไฉซังนี่พยัคฆ์หมอบมังกรเร้น* จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าฝึกฝนจนชำนาญทำให้เรียนรู้เคล็ดลับ คนขายเนื้อผู้นี้ต้องฆ่าหมูมามากกว่าพันตัวแล้วกระมังถึงได้มีฝีมือเช่นนี้”

    “ถุย!” มือทวนมองเขาอย่างดูถูก “ฆ่าคนมามากกว่าพันคนก็ไม่แตกต่างมากนักหรอก! วิชาบุปผาแบ่งบานบนกระดูกนั่นคนธรรมดาจะมีได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าดูที่เนื้อขานี่สิ”

    “เนื้อส่วนขานี้มีอันใดหรือ” ไป๋ตงจวินยิ่งฉงน

    “ข้าว่าคุณชายครอบครัวร่ำรวยอย่างเจ้าขาดความรู้พื้นฐานในชีวิตมากเกินไปแล้ว ขาหมูนี่ เนื้อของมันใช้ตุ๋นน้ำแดง ทำหมูอบซีอิ๊ว ส่วนกระดูกนำมาเคี่ยวทำน้ำแกงได้ ปกติร้านจะเราะเนื้อให้เจ้าแล้วสับกระดูกเป็นหลายๆ ส่วนให้เจ้าใช้เคี่ยวทำน้ำแกง เนื้อที่ติดกระดูกจำเป็นต้องเก็บไว้ หากเราะออกจนสะอาดเอี่ยม น้ำแกงที่เคี่ยวออกมาไหนเลยจะมีรสชาติอีก คนขายเนื้อที่ไหนจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้บ้าง อีกอย่างการเราะเนื้อที่จริงแล้วเป็นงานฝีมืออย่างหนึ่ง แต่นั่นต้องใช้มีดเล็กเฉพาะทาง คนขายเนื้อที่ไหนเอาปังตอสับกระดูกมาเราะเนื้อบ้าง บ้าไปแล้วรึไง” มือทวนกล่าว

    “ที่แท้ก็คือวรยุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว” ไป๋ตงจวินทำหน้าผิดหวัง ดูเหมือนเมื่อสิ่งหนึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวรยุทธ์ เขาก็จะหมดความสนใจ

    มือทวนกล่าวอย่างโมโห “ตกลงเจ้าฟังความหมายของข้ารู้เรื่องหรือไม่”

    ไป๋ตงจวินยังคงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”

    “ความหมายก็คือพวกเรา…” มือทวนดึงไป๋ตงจวินเข้าหาแล้วกระซิบ “พลัดเข้ามาในรังหมาป่าแล้ว!”

    “รังหมาป่า?” ไป๋ตงจวินกล่าวอย่างฉงน “เจ้าหมายความว่าถนนสายนี้…”

    “ในเมื่อคนขายเนื้อผู้นี้ไม่ชอบมาพากล ถนนทั้งสายก็ยังดูแปลกประหลาดเช่นนี้ หมายความว่าคนที่อยู่บนถนนนี้ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา” มือทวนกล่าวเสียงขรึม “ข้าพเนจรอยู่ในยุทธภพมาหลายปี การได้กลิ่นเลยดีอยู่บ้าง”

    ไป๋ตงจวินหัวเราะเยาะ “เช่นนั้นเจ้าลองดมดูหน่อยว่าทั้งหมดนี่เพื่ออันใด”

    “เกี่ยวข้องกับจวนสกุลกู้ คนเหล่านั้นเมื่อครู่ดูท่าจะไปที่จวนสกุลกู้” มือทวนกล่าว

    ไป๋ตงจวินพลันกระจ่างแจ้ง “พวกเขาจะไปชิงเงินของจวนสกุลกู้!”

    “ถุย!” มือทวนเอามือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าเอือมระอา “อำนาจของจวนสกุลกู้สยบทั่วทั้งเขตซีหนาน กลุ่มอิทธิพลดำและขาว* สองสายล้วนเคารพนับถือเขา ส่วนเจ้ากลับเห็นแค่เงิน”

    “เช่นนั้นทำเพื่ออันใด” ไป๋ตงจวินที่เพิ่งออกมาจากเมืองกานตงแทบจะไม่รู้เรื่องในใต้หล้าเลย

    “เพื่อคน” มือทวนมองไปยังจวนที่อยู่ห่างจากปลายถนนสายยาวไม่ไกล “เจ้าเคยได้ยินบทกวีบทหนึ่งหรือไม่”

    “บทกวีอันใด”

    “เฟิงหวายากหยั่ง ชิงเกอสง่างาม จั๋วโม่พูดมาก หลิงอวิ๋นบ้าบิ่น หลิ่วเยวี่ยงามเลิศ โม่เฉินรูปชั่ว ชิงเซียงปราดเปรื่อง ไร้นามเว้นว่าง” มือทวนท่องอย่างเนิบช้า

    ไป๋ตงจวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่มีสัมผัสคล้องจอง ไม่ใช่บทกวีที่ดีอันใด”

    “บทกวีบทนี้คือทำเนียบคุณชายของสำนักไป่เสี่ยว ไม่ได้ดูที่สัมผัสคล้องจอง แต่ดูที่ความเหมาะสมของสำนวน ที่บทกวีนี้เขียนถึงคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งยุคทั้งแปดคนของเป่ยหลี คุณชายเฟิงหวาผู้มีจิตใจลึกล้ำยากคาดเดา คุณชายชิงเกอผู้งามสง่า คุณชายจั๋วโม่จอมพูดมาก คุณชายหลิงอวิ๋นผู้บ้าบิ่นไม่ยำเกรง คุณชายหลิ่วเยวี่ยผู้รูปโฉมงามเลิศแห่งยุค คุณชายโม่เฉินผู้รูปโฉมไม่น่าชม คุณชายชิงเซียงผู้ปราดเปรื่องแห่งยุค และคุณชายไร้นามที่ยังเหลือตำแหน่งว่างอยู่” มือทวนอธิบาย

    ไป๋ตงจวินพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่ง “เจ้าอยากเป็นคุณชายไร้นามนั่นหรือ”

    “ข้าไม่ใช่คุณชาย คุณชายควรมีวิชาความรู้ สุขุมลุ่มลึก กิริยาสง่างามเพียงพอจะเยือนสถานที่ที่มีเกียรติ แต่ข้าแค่อยากเป็นจอมยุทธ์พเนจร ซื้อม้าสักตัว พกสุราติดกาย จากนั้นหวดแส้ควบม้า เมามายลมวสันต์” มือทวนหลับตาลงราวกับจะเมามายกับฝันในทันทีทันใด แต่เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว “เจ้าขัดคำพูดของข้า ที่ข้าจะพูดถึงคือคุณชายคนหนึ่งในบทกวีบทนี้”

    “ใคร”

    “คุณชายหลิงอวิ๋น กู้เจี้ยนเหมิน หยิ่งยโสไม่ยำเกรง เคยเป็นอันธพาลน้อยที่เมืองเทียนฉี่ น่าเกรงขามกว่าอันธพาลน้อยแห่งเมืองกานตงอย่างเจ้ามาก ภายหลังกลับเมืองไฉซังตามคำสั่งของพี่ชาย ตอนนี้ก็พำนักอยู่ในจวนหลังนั้น” มือทวนใช้ทวนชี้ไปยังจวนหลังนั้น

    “ข้ารู้แค่ว่าสกุลกู้มีเงิน แต่แท้ที่จริงยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ คุณชายหลิงอวิ๋นอันธพาลแห่งเมืองเทียนฉี่ ไป ไปเชิญเขามาดื่มสุรา!” ไป๋ตงจวินพลันเกิดความสนใจและลุกขึ้นยืน

    “ต้องไปพบเขาสักหน่อย แต่ไม่ได้ให้ไปเชิญมาดื่มสุรา เราต้องไปสอบถามเขาว่าเหตุใดถนนสายนี้จึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้” มือทวนกล่าวเบาๆ

    ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมา

    ทั้งสองคนปิดประตูร้านสุราและต่างถือร่มคนละคันเดินท่ามกลางฝน มือทวนพาไป๋ตงจวินเดินออกไปฝั่งตรงข้ามของจวน หลังอ้อมอยู่นานในที่สุดมือทวนก็หยุดเดินและกล่าวอย่างช้าๆ “ถึงแล้ว”

    ไป๋ตงจวินตกตะลึง “เหตุใดมาถึงแล้วเล่า”

    “นี่คือลานหลังจวนสกุลกู้ เจ้าว่าพวกเราคิดจะเข้าทางประตูหน้าก็เข้าไปได้หรือ ข้ากล้ารับรองได้เลย หากพวกเราเดินตามถนนตรงไปจวนสกุลกู้ก็คงไม่ได้เดินออกนอกถนนสายนั้นหรอก” มือทวนหัวเราะเยาะ

    ไป๋ตงจวินกระจ่างโดยพลัน “นับถือๆ”

    มือทวนกวัดแกว่งทวนในมือ “ข้าตระเวนในยุทธภพมาหลายปี หากไม่มีหัวคิดพวกนี้คงถูกฝังลงดินไปตั้งนานแล้ว พวกเราปีนกำแพงจากตรงนี้กัน…เดี๋ยวก่อน มีคน!” มือทวนรีบยกทวนยาวดันไป๋ตงจวินให้ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว

    บนหอที่อยู่ไม่ไกลมีหญิงชุดขาวสองคนยืนอยู่ พวกนางต่างสวมชุดสีขาวตลอดทั้งตัว ยืนหันหลังให้กับพวกเขา บนร่างแผ่กลิ่นอายภูตผีเข้มข้น พวกนางไม่ได้ถือร่ม แต่ฝนเหล่านั้นกลับไม่ตกลงบนชุดสีขาวของพวกนาง พวกนางกำมือเล็กน้อยราวกับกำลังดึงด้ายที่มองไม่เห็นอยู่

    ทันใดนั้นบริเวณพื้นที่ว่างระหว่างมือทวนกับไป๋ตงจวินก็ปรากฏชายชุดดำคนหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ในมือเขาถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง เดินไปทางกำแพงสูงของลานหลังจวนสกุลกู้ ทว่าเขาไม่ได้ปีนกำแพงเข้าไปเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ค่อยๆ หายไปท่ามกลางสายฝนอย่างช้าๆ

    ไป๋ตงจวินกับมือทวนต่างสบตากัน แล้วส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “ผีหลอก!”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook