• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 2

     

    บทที่ 4

    แม่น้ำแห่งอั้นเหอ

     

    ความหนาวเย็นอ่อนๆ มาเยือนเมืองที่งดงามประณีตแห่งนี้ด้วยสายฝนที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อน กลิ่นไอดินค่อยๆ โชยไปทั่วเมืองพร้อมกับฝนที่ตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่อง ละอองน้ำตลบฟุ้งขึ้นมา เมืองไฉซังราวกับเปลี่ยนเป็นสตรีนางหนึ่งซึ่งงดงามแต่เกียจคร้าน เพียงมองหนเดียวก็ชวนให้หลงใหลมัวเมา ทว่าสภาพอากาศเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การดื่มสุรา และยิ่งไม่ควรดื่มคนเดียว อากาศหนาวยามสารทฤดูจะทำลายสุขภาพได้ง่าย

    ชายคนหนึ่งกลับกำลังดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่าอยู่ในโถงของหอหลังหนึ่ง เขานั่งอยู่บนพื้นเอนกายพิงเสา ชูจอกสุราให้สายฝนพลางกล่าวเบาๆ “อากาศเช่นนี้หากไปที่ริมสระเฟิงฉี่ก็จะมองเห็นน้ำในสระเลือนรางไปด้วยละอองฝนราวกับเป็นแดนเซียน แต่หากไปเดินบนถนนเฟิ่งหวงก็จะมีแม่นางถือร่มกระดาษน้ำมันเดินผ่านข้างกาย ในศาลาสองข้างทางจะมีหญิงแต่งตัวสดใสโยนผ้าเช็ดหน้าสีแดงเชื้อเชิญให้ขึ้นศาลา แล้วก็จะมีเสียงฉินดังแว่วมาไม่รู้จากที่ใด นี่ก็คือเมืองไฉซังที่ข้าชอบที่สุดในวัยเด็ก”

    “คุณชาย…” ผู้ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเรียกเบาๆ เขาสวมเกราะทหารตลอดทั้งตัว มือซ้ายจับกระบี่ที่ข้างเอว เป็นทหารคุ้มกันนายหนึ่ง ทว่าคนที่เขาเรียกว่า ‘คุณชาย’ กลับสวมเพียงเสื้อคลุมยาวสีดำอย่างหลวมๆ คล้ายผู้สูงส่งที่เพิ่งตื่นนอน คุณชายของเขานั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้ามีโต๊ะเล็กวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีกาสุราหนึ่งใบกับจอกสุราวางอยู่สองจอก แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่กำลังดื่ม ท่าทางไม่รีบร้อนคล้ายว่าแขกของเขากำลังเร่งเดินทางมายังที่นี่

    ทว่าแขกผู้นั้น เกรงว่าคงไม่มีทางมาถึงตลอดกาล

    “ท่านพี่ ไม่อาจพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย” คนผู้นั้นดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมดแล้วคว่ำจอกลงบนโต๊ะอย่างแรง “ข้ากู้เจี้ยนเหมิน ถูกเรียกว่าเป็นคุณชายหลิงอวิ๋นเสียเปล่า เห็นพี่ชายตายอย่างน่าเวทนากลับไม่อาจฆ่าศัตรู ได้แต่ดื่มจนเมา หลี่ซูหลี เจ้าว่านี่น่าขันหรือไม่ ช่างน่าขันเหลือเกิน”

    หลี่ซูหลีถอนหายใจและคิดจะกล่าวปลอบใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาในจิตใจ ความหนาวเย็นนี้แผ่มาจากแผ่นหลังอย่างไร้สาเหตุ อากาศราวกับแข็งตัวในชั่วพริบตา สภาพแวดล้อมโดยรอบก็เงียบลงทันใด

    จนกระทั่งมีเสียงเม็ดฝนตกกระทบกับร่มกระดาษน้ำมันดังขึ้น

    แปะๆๆ

    หลี่ซูหลีตกใจและชักกระบี่ในมือพร้อมหันไปมองลานนอกห้องโถง

    บุรุษสวมชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตรงนั้น ภายในลานกว้างไม่มีประตูทางเข้า มิหนำซ้ำหลี่ซูหลีก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใดๆ แต่ชายผู้นั้นปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาราวกับภูตผีก็มิปาน ร่มกระดาษน้ำมันที่บดบังใบหน้าของชายชุดดำทำให้หลี่ซูหลีมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ชายชุดดำเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทุกก้าวที่ย่ำลงล้วนมีละอองน้ำกระเซ็นขึ้น ทว่าเสียงฝีเท้าของเขากลับเบามาก แทบจะไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงฝนที่ตกกระทบผิวร่มเท่านั้นที่ได้ยินชัดเจน

    ชายชุดดำผู้นั้นเดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ จนเข้ามาใกล้ กู้เจี้ยนเหมินยกจอกสุราขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งคำราวกับมองไม่เห็นอีกฝ่าย สุดท้ายหลี่ซูหลีวิ่งไปที่ประตูอย่างทนไม่ไหว ในที่สุดใบหน้าใต้ร่มกระดาษน้ำมันของชายชุดดำก็เผยออกมา มันเป็นใบหน้าที่ขาวจนแทบไม่มีสีเลือด ดูไม่ชัดว่าอายุประมาณเท่าใด สายตาเรียบเฉย อารมณ์ก็เรียบเฉย ทว่าตอนที่ชายชุดดำหันมองหลี่ซูหลี หลี่ซูหลีพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่คมกริบ ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวชายชุดดำก็ส่งยิ้มจางๆ ให้ ความรู้สึกกดดันพลันหายไป ท่าทีของชายชุดดำเปลี่ยนเป็นดูสุภาพอ่อนโยนราวกับคุณชายผู้สูงส่งก็มิปาน

    หลี่ซูหลีไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ เขาพลันหวาดผวาและยกกระบี่ชี้ไปทางชายผู้นั้นแล้วพูดขู่ “หยุดนะ!”

    ชายชุดดำหยุดยืนห่างจากประตูของห้องโถงอย่างเชื่อฟังและยิ้มจางๆ สายตามองผ่านหลี่ซูหลีไปยังกู้เจี้ยนเหมินที่กำลังนั่งดื่มสุราอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงนั้น ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กระทบกับร่มกระดาษน้ำมันอย่างหนักหน่วง

    “เป็นแขกผู้มีเกียรติจากสำนักอั้นเหอ (ธารมืดมิด) นี่เอง ซูหลี อย่าวู่วาม ปล่อยเซียนเซิงเข้ามา” กู้เจี้ยนเหมินวางจอกสุราลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน ที่ข้างเอวของเขาเหน็บกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง ลักษณะเรียวยาว ดูคล้ายของประดับชิ้นหนึ่ง

    ชายชุดดำส่ายหน้าและยังคงยิ้มจางๆ เช่นเดิม “ไม่จำเป็น ข้ายืนพูดตรงนี้ก็ได้”

    “ในห้องไม่มีฝน อบอุ่นกว่า เซียนเซิงไม่เชื่อใจข้ากู้เจี้ยนเหมินหรือ” กู้เจี้ยนเหมินเดินไปหา สายตาปะทะกับบุรุษตรงหน้า

    “หากเป่ยหลียังมีคนที่ควรค่าให้สำนักอั้นเหอของพวกข้าเชื่อถือ เช่นนั้นก็ต้องเป็นคุณชายแล้ว” ชายชุดดำเอียงตัวเล็กน้อย “ทว่าก่อนจะเป็นสหายกัน ข้าไม่อยากย่างกรายเข้าไปในสถานที่ของคุณชาย”

    “เจ้าย่างเข้ามาแล้ว” กู้เจี้ยนเหมินกล่าวอย่างเฉียบขาด

    ชายชุดดำแย้มยิ้มไม่ตอบคำ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นสงบเงียบ

    กู้เจี้ยนเหมินมองบุรุษตรงหน้าอย่างประเมิน ความเฉียบคมของชายผู้นี้ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด ทั่วร่างตั้งแต่บนลงล่างไม่มีจิตสังหารแม้แต่น้อย เขาเอ่ยถาม “อั้นเหอจำเป็นต้องมีสหายด้วยหรือ”

    ชายชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย “แน่นอน บนโลกใบนี้ต่อให้เป็นมือสังหารก็จำเป็นต้องมีสหายจึงจะมีชีวิตต่อไปได้ สำนักอั้นเหอเลือกคุณชายแล้ว คิดว่าคุณชายคงช่วยพวกข้าทำบางเรื่องได้ ส่วนพวกข้าก็ทำบางเรื่องให้คุณชายได้เช่นกัน บางเรื่องที่สำคัญมาก”

    กู้เจี้ยนเหมินเงยหน้ามองไปยังม่านฝนข้างนอก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความเศร้าโศกภายในใจจึงแผ่ขยายขึ้น เขาถอนหายใจ “สหาย ปากเจ้าเปลี่ยนมาพูดเรื่องผลประโยชน์เช่นนี้แล้วหรือ”

    “หรือว่าไม่ใช่” ชายชุดดำถาม “คุณชายควรจะมีสหายอยู่มาก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดเล่า”

    กู้เจี้ยนเหมินส่ายหน้ากล่าว “การที่สหายเหล่านั้นไม่ได้มา ข้ากลับรู้สึกโชคดีมาก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องมาตายเพราะเรื่องนี้”

    “แต่ศัตรูของท่านไม่ได้คิดเช่นนี้ อย่างเช่นพี่ชายของท่าน เดิมทีเขาไม่ได้มีใจคิดต่อสู้ชิงชัย เขาทำเพื่อความปลอดภัยมั่นคงของสกุลจึงยอมละทิ้งอำนาจ แต่เขาก็ตายอยู่ดี ตายที่เมืองปาเปี๋ย ห่างจากบ้านเกิดตัวเองถึงสามร้อยหลี่ ศัตรูของท่านไม่ยอมละเว้นพี่ชายท่าน และจะไม่ยอมละเว้นท่านเช่นกัน คุณชายอาจไม่ยอมให้สหายมาตายเพื่อท่าน แต่ดาบของอีกฝั่งถูกชักออกมาแล้ว” ชายชุดดำกล่าวอย่างช้าๆ

    “ท่านพี่แก่กว่าข้ายี่สิบสามปี ข้าเกิดมาได้ไม่นานท่านพ่อท่านแม่ล้วนตายหมด ท่านพี่จึงเป็นเหมือนบิดาของข้า แค้นนี้ข้าสาบานว่าให้ตายก็ต้องล้างแค้นให้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสำนักอั้นเหอล้างแค้น!”

    ชายชุดดำหมุนร่มกระดาษน้ำมันเบาๆ ละอองน้ำก็เริ่มหมุนรอบร่มอย่างช้าๆ “สำหรับคุณชาย พวกข้าไม่จำเป็นต้องปิดบัง สำนักอั้นเหอนอกจากฆ่าคนแล้วยังวางหมากสำคัญไว้ทั่วเป่ยหลี พวกศัตรูของท่านมีการเคลื่อนไหวบางอย่างอย่างลับๆ ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านั้นส่งผลต่อการวางหมากของพวกข้าและกระทบถึงความอยู่รอด เหล่าผู้นำสกุลไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ดังนั้นพวกข้าจำเป็นต้องชักอาวุธเพ่งเล็งไปที่คนเหล่านั้น”

    “ดังนั้นเจ้าจึงเลือกข้า?” กู้เจี้ยนเหมินเงยหน้าไม่มองเขา สายฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องราวกับถูกคนสาดลงมา

    “เป็นสำนักอั้นเหอที่เลือกคุณชาย” ชายชุดดำกล่าวอย่างเด็ดขาด

     

     

    บทที่ 5

    พิรุณสนธยา บุปผามลาย

     

    กู้เจี้ยนเหมินไม่พูดอีก มือซ้ายสัมผัสกระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ข้างเอวอย่างช้าๆ

    สายตาของชายชุดดำเคลื่อนไปที่กระบี่ยาวเล่มนั้น “กระบี่เลื่องชื่อ ‘เยวี่ยเสวี่ย’ (จันทราหิมะ) ได้ยินว่านี่คือกระบี่ยาวที่ต้องใช้ด้วยมือซ้ายเท่านั้น เมื่อกระบี่ถูกชักออกจากฝักก็สามารถตัดลูกปรายหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศได้”

    กู้เจี้ยนเหมินไม่ตอบ เพียงชักกระบี่อย่างช้าๆ เสียงนั้นก้องภายในโถงชัดเจน หลี่ซูหลีสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติจึงรีบถอยหลังหนึ่งก้าว

    ชายชุดดำแย้มยิ้ม มือยังคงหมุนด้ามร่มเบาๆ ทว่าความเร็วกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “คุณชายอยากจะดูความจริงใจของพวกข้าหรือไม่”

    กู้เจี้ยนเหมินชี้กระบี่ไปทางชายชุดดำ ร่างของเขาแผ่ความดุร้ายออกมา เสื้อคลุมยาวหลวมๆ และแขนเสื้อสะบัดไหวไม่หยุดนิ่ง

    มือของชายชุดดำหยุดกะทันหัน ละอองฝนที่วนรอบร่มกระดาษน้ำมันพลันร่วงกราว ทันใดนั้นร่มก็ระเบิดออกดัง ‘ตูม’ ราวกับดอกไม้แบ่งบานในพริบตา โครงร่มทั้งหมดปริแตก เผยให้เห็นกระบี่เรียวบางสีโลหะที่อยู่ข้างใน โครงร่มทั้งสิบเจ็ดก้านระเบิดออก กระบี่เรียวบางสิบเจ็ดเล่มพุ่งกระจัดกระจายออกไปรอบตัว ด้ามร่มที่ชายชุดดำถืออยู่ในมือเผยให้เห็นกระบี่คมกริบ ก่อนกระโดดทะยานจ้วงแทงกระบี่ใส่กู้เจี้ยนเหมิน

    ทว่าการแทงของเขาถูกกู้เจี้ยนเหมินปัดออกไปได้ ชายชุดดำพุ่งตัวไปทางขวาเพื่อหลบหลีกการโต้กลับของกู้เจี้ยนเหมิน กู้เจี้ยนเหมินยกกระบี่ไล่ตามไปแล้วฟาดฟันใส่ทีหนึ่ง ชายชุดดำก้มตัวหลบ จังหวะของเขาถูกกู้เจี้ยนเหมินสกัดไว้ทั้งหมด กระบี่ยาวในมือไม่อาจแผลงฤทธิ์ ได้แต่หลบหลีกไม่หยุด ฝนด้านนอกเริ่มเทกระหน่ำลงมา น้ำฝนกระทบกับชายคาส่งเสียงดังหนักหน่วง ทว่าในเวลานี้ชายชุดดำกลับได้ยินเพียงเสียงหายใจรุนแรงของตน

    “คุณชายจะฆ่าข้าหรือ” ชายชุดดำกล่าวเสียงเบา

    กู้เจี้ยนเหมินใช้กระบี่มือซ้าย มือขวาเหวี่ยงหมัดรุนแรงดั่งอสนีบาต ดูไม่มีท่าทีเกียจคร้านเหมือนก่อนหน้าแม้แต่น้อย แต่ดูคล้ายสัตว์ดุร้ายบนสนามรบ เขี้ยวเล็บล้วนเผยออกมาทั้งหมด เขาแค่นหัวเราะ “จะให้ข้าดูความจริงใจของเจ้าไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็นำความจริงใจของเจ้าออกมา!”

    ชายชุดดำควงกระบี่ในมือขึ้น กระบี่ที่ถูกเขาเรียกว่าฉางหง (แสงรุ้ง) พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนช้อยอย่างสุดจะเปรียบเข้าพันรอบเยวี่ยเสวี่ยของกู้เจี้ยนเหมิน กู้เจี้ยนเหมินตกตะลึงเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังสูญเสียพลังกระบี่จึงเหวี่ยงหมัดออกไป ชายผู้นั้นจึงถอนกระบี่ของตนออกแล้วถอยไปตั้งหลัก

    “คุณชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ชายชุดดำหอบหายใจพลางถาม

    กู้เจี้ยนเหมินยืนอยู่ที่เดิม มือซ้ายถือกระบี่ สองตาพลันหลับลง แขนเสื้อที่โบกไหวของเขาสงบลง ราวกับพลังบนร่างหายไปในบัดดล ทว่าหลี่ซูหลีที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ นั้นรู้ว่ากู้เจี้ยนเหมินกำลังสะสมพลังของตนอยู่ ตัวเขาต่อจากนี้จะน่ากลัวยิ่งขึ้น

    นี่คือทักษะยุทธ์ซึ่งเป็นวิชาลับของสกุลกู้ ‘กำลังนักรบ’

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะให้คุณชายได้เห็นความจริงใจของพวกข้ามากยิ่งขึ้น” ชายชุดดำพลันขยับมือซ้าย กระบี่เรียวบางสิบเจ็ดเล่มที่พุ่งออกจากร่มกระดาษน้ำมันไปปักบนกำแพงเมื่อครู่ต่างสั่นไหวทันที หลี่ซูหลีเบิกตามองอย่างตกตะลึงและพบว่ามีด้ายเส้นเล็กบางจนแทบจะโปร่งใสจำนวนมากเชื่อมต่อมือซ้ายของชายชุดดำกับกระบี่เรียวบางทั้งสิบเจ็ดเล่ม

    กู้เจี้ยนเหมินพลันลืมตาแล้วเหวี่ยงกระบี่แทงไปยังชายชุดดำ

    ชายชุดดำแผดเสียงคำรามทีหนึ่ง มือซ้ายออกแรงดึง กระบี่เรียวบางทั้งสิบเจ็ดเล่มพุ่งออกมาจากกำแพงเข้าจู่โจมด้านหลังของกู้เจี้ยนเหมิน กู้เจี้ยนเหมินหมุนกายควงกระบี่ของตน กระบี่เรียวบางสิบเจ็ดเล่มเหล่านั้นถูกเยวี่ยเสวี่ยปัดป้องจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ทว่าร่างของกู้เจี้ยนเหมินกลับต้องหยุดชะงัก

    กระบี่เรียวบางสิบเจ็ดเล่มเริ่มบินวนภายในห้องโถงอย่างฉวัดเฉวียนดูไร้กฎเกณฑ์ มันโฉบไปมาอย่างเหิมเกริม ราวกับถูกเทพเซียนขับเคลื่อน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ควบคุมพวกมันเป็นเพียงมือซ้ายที่กระตุกไม่หยุดของชายผู้นั้น หลี่ซูหลีที่ดูอยู่ได้แต่คิดว่าหากมีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งมาทางเขา เขาคงไม่อาจปัดป้องได้

    ทว่ากู้เจี้ยนเหมินกลับยืนอย่างสงบนิ่ง กระบี่บินเหล่านั้นเพียงวนรอบตัวเขา ไม่ได้โจมตีเข้ามา จนในที่สุดก็มีกระบี่เรียวบางเล่มหนึ่งพุ่งแทงมา กู้เจี้ยนเหมินจึงเคลื่อนไหว เขาเริ่มร่ายรำ แขนเสื้อพลิ้วไหว ชุดคลุมสีดำกระพือ กู้เจี้ยนเหมินกวัดแกว่งร่ายรำเพลงกระบี่อันไร้เทียมทาน เขาเริ่มร่ายรำภายในวงล้อมของกระบี่เรียวบางทั้งสิบเจ็ดเล่ม เขาเหวี่ยงกระบี่ สะบัดแขนเสื้อ ก้มตัว เสียงกระทบกันของโลหะไพเราะเสนาะโสตราวกับเสียงพิณ กู้เจี้ยนเหมินสีหน้าเปล่งปลั่ง หนึ่งกระบี่หนึ่งร่ายรำดุจเทพเซียน กระบี่เรียวบางทั้งสิบเจ็ดเล่มกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ แต่กลับหาช่องโหว่จู่โจมไม่เจอแม้แต่น้อย กู้เจี้ยนเหมินเหมือนอยู่ท่ามกลางป่าโลหะที่ส่องประกาย กวัดแกว่งกระบี่ร่ายรำไร้เทียมทาน

    ชั่วขณะนั้นหลี่ซูหลีราวกับมองเห็นกู้เจี้ยนเหมินที่ตนคุ้นเคย ตอนนั้นหลี่ซูหลีเพิ่งจะเข้าเป็นศิษย์ของจวนสกุลกู้และได้ติดตามกู้ลั่วหลีผู้นำจวนสกุลกู้ ผู้นำจวนสกุลกู้ผู้มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวพาเขาไปต้อนรับคุณชายน้อยกลับจากเมืองเทียนฉี่ ซึ่งตอนนั้นชื่อของคุณชายน้อยได้สะเทือนไปทั่วทั้งเป่ยหลีแล้ว

    ยามนั้นสำนักไป่เสี่ยวจัดทำเนียบคุณชายครั้งแรก เพื่อจัดอันดับคนหนุ่มแห่งเป่ยหลีแปดคนที่คู่ควรกับคำว่า ‘คุณชาย’ กู้เจี้ยนเหมินจัดอยู่ในอันดับที่สี่ ได้รับนามว่าหลิงอวิ๋น

    หลี่ซูหลีอยากเห็นคุณชายหลิงอวิ๋นผู้นี้มาก เขาพยายามเชิดหน้าสูง สุดท้ายก็หันไปมองใบหน้านั้นอย่างห้ามไม่อยู่ มันเป็นใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าตน งดงาม เคร่งขรึม พกพารอยยิ้ม องอาจห้าวหาญ ทำให้มือที่กุมดาบร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว

    ‘คุณชายหลิงอวิ๋นอันใดกัน เป็นเด็กเมื่อวานซืนมากกว่า’ กู้ลั่วหลีกลับด่าด้วยรอยยิ้ม

    ชายชุดดำออกแรงดึงที่มือซ้ายแล้วปล่อยมือทันที กระบี่เรียวบางที่โบยบินกลางอากาศพลันสูญเสียการควบคุมอย่างฉับพลันและเทกระหน่ำลงมาราวกับพิรุณย่ำสนธยา พร้อมกันนั้นชายชุดดำก็กระโดดเข้าหากู้เจี้ยนเหมิน ทว่าร่างของกู้เจี้ยนเหมินกลับหยุดนิ่ง พละกำลังของเขาราวกับหายไปในพริบตา เขาออกแรงใช้เยวี่ยเสวี่ย ในมือปักลงบนพื้นและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กระบี่ของชายชุดดำจี้ไปยังหน้าผากของเขา

    “คุณชาย!” หลี่ซูหลีร้องตะโกนออกมาและทำท่าจะพุ่งเข้าไปหา แต่กู้เจี้ยนเหมินโบกมือปรามเขาไว้

    “กระบี่ฉางหง ยามสังหารจะสาดเทลงมาเหมือนพิรุณยามสายัณห์ ไม่เลวเลยจริงๆ” กู้เจี้ยนเหมินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

    ชายชุดดำพลันถอนหายใจ “คุณชายไม่คิดจะร่วมมือกับพวกข้าตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”

    กู้เจี้ยนเหมินก้มหน้าไม่ตอบ

    “เช่นนั้นเหตุใดต้องบีบบังคับให้ข้าใช้ไม้ตายสุดท้ายด้วยเล่า” ชายชุดดำถามต่อ

    “หากข้าบอกว่าท่านพี่ตายแล้ว ตนเองกลับถูกขังอยู่ที่นี่ไม่อาจออกไปได้ จึงอยากจะวิวาทสักรอบ กระบี่ของเจ้าก็จะแทงเข้ามาใช่หรือไม่” กู้เจี้ยนเหมินจับกระบี่ลุกขึ้นยืน

    ชายชุดดำตะลึงงัน ก่อนส่ายหน้าแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว เขาปักกระบี่ในมือลงบนพื้น “ข้าบอกว่านี่คือความจริงใจของข้า หากคุณชายเปลี่ยนใจก็โยนกระบี่เล่มนี้ออกจากลานบ้าน คนของพวกข้าก็จะเห็นเอง พวกข้าจะรอคุณชายเจ็ดวัน”

    ชายชุดดำโบกมือคราหนึ่งกระบี่เรียวบางทั้งสิบเจ็ดเล่มก็ถูกเก็บรวบอย่างพร้อมเพรียง เขากระตุกด้ายกลางอากาศที่มองไม่เห็นเหล่านั้นและนำพวกมันมาพันรอบเอว จากนั้นผูกกับเสื้อคลุมยาวของตน

    “เจ้าชื่ออันใด” กู้เจี้ยนเหมินเอ่ยโพล่งขึ้นมา

    “เดิมข้าไม่ควรมีชื่อ แต่ข้ายินดีบอกชื่อของข้าให้คุณชาย” ชายชุดดำยังคงมีน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “ข้าชื่อซูมู่อวี่”

    กู้เจี้ยนเหมินพยักหน้า “ใช้เพลงกระบี่เป็นชื่อ* หรือ แต่เหตุใดถึงบอกว่าเดิมเจ้าไม่ควรมีชื่อ ชื่อของคนสำนักอั้นเหอแม้จะไม่ค่อยเปิดเผย ในยุทธภพส่วนมากจะเรียกกันด้วยฉายา แต่พวกเจ้าแยกเป็นสามสกุล เหตุใดถึงทิ้งชื่อแซ่ของตัวเองไป”

    ซูมู่อวี่ควักหน้ากากผีร้ายสีแดงออกมาจากอกเสื้อ เป็นหน้ากากที่ดูสมจริงราวกับมีชีวิต หน้าตาดุร้ายน่ากลัว ซูมู่อวี่นำหน้ากากมาสวมบนใบหน้าของตน “เพราะว่าข้าคือขุ่ย (หุ่นเชิด)”

    ดวงตาของกู้เจี้ยนเหมินมีความตกตะลึงสายหนึ่งพาดผ่าน ก่อนจะกระจ่างแจ้ง “ไม่แปลกเลยที่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นตัวแทนของเจตจำนงของอั้นเหอทั้งหมด เจ้าคือหัวหน้ากลุ่มมือสังหารภายใต้สังกัดตรงของผู้นำสกุลใหญ่ของอั้นเหอ”

    “ไว้พบกันใหม่คุณชาย” ซูมู่อวี่หมุนกายเดินไปด้านนอก ทว่าขณะใกล้จะเดินพ้นจากห้องโถงเขาก็หยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน “กู้ลั่วหลีพี่ชายของท่านเมื่อครั้งเยาว์วัยรับราชการอยู่ที่ชิงโจว เขาเคยเชิญคนมาทำนายดวงชะตาให้ ในหนังสือทำนายดวงชะตาบอกไว้ว่า ‘อาจตายเพื่อบ้านเมือง ตายในสนามรบ หนังม้าหุ้มศพ* อาจตายเพื่อครอบครัว ตายในจวนอย่างโดดเดี่ยว ร่างศพยากเก็บฝัง แต่ก็อาจมีชีวิตเพื่อตนเอง ญาติพี่น้องล้วนตายจาก คำนึงถึงแต่ส่วนตน’ มิทราบว่าเคยมีคนทำนายดวงชะตาให้คุณชายหรือไม่”

    “บนหนังสือดวงชะตาของข้าบอกว่าทั้งชีวิตมีจิตใจกล้าหาญ มีเพียงปณิธานที่สูงส่งเทียมเมฆ กลับตายโดยมิได้บรรลุเป้าหมาย” กู้เจี้ยนเหมินยิ้มพลางกล่าว

    “คุณชายล้อเล่นแล้ว” ซูมู่อวี่หันหน้าเดินเข้าไปในม่านฝน

    หลี่ซูหลีมองตามแผ่นหลังของซูมู่อวี่ไป เขาอยากรู้มากว่าอีกฝ่ายจะจากไปอย่างไร เช่นเดียวกับเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายมาอย่างไร ทว่าแผ่นหลังของซูมู่อวี่กลับค่อยๆ เลือนรางไปท่ามกลางม่านฝนแล้วหายไปอย่างช้าๆ หลี่ซูหลีขยี้ตาแรงๆ ตัวเขาเป็นทหาร ไม่เชื่อเรื่องผีสาง เมื่อเห็นฉากตรงหน้าย่อมหวาดผวาอย่างยิ่ง

    กู้เจี้ยนเหมินคล้ายจะอ่านความคิดของหลี่ซูหลีออกจึงกล่าวว่า “สามสกุลของสำนักอั้นเหอ สกุลมู่เชี่ยวชาญเรื่องเคล็ดวิชาลับพิสดารพวกนี้ ซูมู่อวี่ผู้นี้มาที่นี่ได้คงไม่ใช่ตัวคนเดียว นอกกำแพงจะต้องมีคนของสกุลมู่คุ้มกันเขาอยู่แน่ สำหรับวิชาลับพิสดาร เรื่องพวกนี้ถ้าเจ้าคิดไม่ออกก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน”

    “คุณชาย!” หลี่ซูหลีดึงสติกลับมาแล้วรีบถาม “เรื่องที่เขาเพิ่งพูด?”

    กู้เจี้ยนเหมินโบกมือปรามเป็นนัยว่าไม่ต้องพูดต่อ เขาเก็บกระบี่ของตนเองแล้วลูบเสื้อคลุมยาว “ศัตรูของพวกเราคือคนชั่ว แต่ผู้ที่มาทำข้อแลกเปลี่ยนกลับเป็นผีร้าย”

     

     

    บทที่ 6

    จันทรายามค่ำและสายลมยาว

     

    ไป๋ตงจวินกับมือทวนมองอยู่ข้างนอกตั้งนานก็มองไม่เห็นอันใด แต่ลางสังหรณ์บอกกับมือทวนว่าควรไปได้แล้ว เขาดึงแขนเสื้อของไป๋ตงจวินเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นชายชุดดำที่หายตัวไปเมื่อครู่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าร่มของอีกฝ่ายหายไปแล้ว ส่วนรอบเอวกลับมีกระบี่เรียวบางสิบกว่าเล่มแขวนอยู่แทน

    “ไป!” มือทวนดึงแขนเสื้อของไป๋ตงจวินทันที ทว่าพอหันหน้าไปกลับเห็นหญิงชุดขาวสองคนยืนขวางอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับเป็นภูตผี

    “พวกเจ้าเห็นอันใดบ้าง” เสียงเย็นเยียบดังขึ้น เป็นชายชุดดำที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันผู้นั้น

    มือทวนส่ายหน้า “ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

    “หัวหน้า พวกเขาอยู่ที่นี่นานแล้วเจ้าค่ะ” หญิงชุดขาวผู้หนึ่งพลันเอ่ยขึ้น

    มือทวนพลันตะโกนลั่น “พวกข้าไม่เห็นอันใดทั้งนั้น!”

    “ไปซะ ออกไปจากที่นี่ ทางที่ดีก็ออกไปจากเมืองนี้” ชายชุดดำถอนหายใจเบาแล้วกล่าว

    หญิงชุดขาวขมวดคิ้ว “หัวหน้าเจ้าคะ”

    ชายชุดดำสะบัดแขนเสื้อ “ยังไม่รีบไปอีก”

    “ขอบพระคุณมาก!” มือทวนดึงไป๋ตงจวินแล้ววิ่งไปยังทางที่มาโดยไม่หันกลับมามอง

    ยามตะวันรอน ฝนสารทฤดูที่ตกลงมาอย่างกะทันหันหยุดลงในที่สุด

    ภายในจวนสกุลกู้ผู้นำสกุลสวมชุดคลุมยาวตัวหลวมเดินไปที่หน้าศาลา มองไปยังน้ำขังที่หยดติ๋งลงมาจากหลังคาคล้ายกำลังเหม่อลอย

    ข้างเท้าของเขายังมีกระบี่ยาวที่คนของสำนักอั้นเหอทิ้งไว้ปักอยู่

    “คุณชาย วันนี้คุณหนูสกุลเยี่ยนมาถึงแล้วขอรับ” หลี่ซูหลีกล่าวเสียงเบา

    กู้เจี้ยนเหมินดึงสติกลับมาและเอ่ยถามเบาๆ “งามหรือไม่ ตอนเด็กยังเป็นเด็กเมื่อวานซืนที่ปั้นก้อนดินอยู่เลย”

    หลี่ซูหลียิ้มเจื่อน “ความงามนั้นงดงามยิ่ง”

    “เช่นนั้นให้นางไปนอนก่อนก็ไม่เสียหาย” กู้เจี้ยนเหมินลูบด้ามกระบี่เล่มนั้นเบาๆ

    หลี่ซูหลีย่อมรู้อารมณ์ของกู้เจี้ยนเหมิน คนงามนิทรา* อันใดนั่นก็แค่คำหัวเราะเยาะตัวเองเท่านั้น ที่กู้เจี้ยนเหมินสนใจในเวลานี้มีแค่กระบี่ที่อยู่ข้างกายเท่านั้น

    ขอเพียงเขาโยนกระบี่เล่มนี้ออกไป

    เช่นนั้นพวกเขาซึ่งโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพาก็จะมีกองกำลังอันแข็งแกร่งคอยช่วยเหลือ แต่ขณะเดียวกันตนก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นชักใยไปตลอดกาล แม้จะโค่นศัตรูได้เขาก็ไม่อาจฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตได้อีก

    “มีเพียงปณิธานสูงส่งเทียมเมฆ ไหนเลยจะมีความสามารถสูงส่ง” กู้เจี้ยนเหมินเอามือออกจากด้ามกระบี่แล้วหมุนกายหันมา “หากพวกเขามาขอเข้าพบ ข้าไม่พบ”

         “เอ่อ…” หลี่ซูหลีเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ได้ยินว่าคุณหนูสกุลเยี่ยนเข้าจวนมาก็ตรงเข้าไปในเรือนรับรอง ไม่มีท่าทีจะมาพบขอรับ”

    กู้เจี้ยนเหมินอดหัวเราะไม่ได้ “เหมือนกับตอนเด็กๆ นิสัยไม่ดี”

    “คุณชาย พวกเรายังมีโอกาสอีกหรือ” หลี่ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล

    กู้เจี้ยนเหมินไม่ตอบ เพียงมองไปยังฟ้าที่แสงตะวันลาลับไปนานแล้วพลางแย้มยิ้ม “มีโอกาสหรือไม่ ต้องดูว่าเจ้ามีความตั้งใจมากน้อยเพียงใด”

     

    ลานหลังจวนสกุลกู้

    โคมไฟแต่ละดวงถูกจุดขึ้น

    บุรุษคิ้วขาวยิ้มแล้วหันไปมองสตรีข้างๆ “คุณหนู ถึงอย่างไรก็เป็นสามีในอนาคต ไม่ไปพบหน่อยหรือ”

    หญิงสาวชายตามองเขาอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากพบเขา เขาก็ไม่อยากพบข้า ไยต้องหาความลำบากใจด้วย”

         “เช่นนั้นคุณหนูก็พักผ่อนเร็วหน่อย อีกเดี๋ยวข้าจะให้พวกเขาส่งอาหารมาให้” บุรุษคิ้วขาวหมุนกายเดินออกไป องครักษ์เหล่านั้นกำลังรออยู่ที่ประตู

    “ขุยเจิ้ง เล่อเจิ้ง พวกเจ้าสองคนไปจัดการร้านสุรานั่นซะ” บุรุษคิ้วขาวถอนหายใจ “เป็นคนหนุ่มที่ไม่เลว เสียดายที่มาผิดที่”

    “ขอรับ” องครักษ์ทั้งสองต่างพยักหน้าแล้วหมุนกายเดินจากไป

    “เดี๋ยวก่อน” บุรุษคิ้วขาวขมวดคิ้วและมองอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนพบว่าองครักษ์ที่รออยู่นอกประตูเหลือเพียงเจ็ดคน “เสวียเจิ้งไปที่ใดแล้ว”

    “ไม่ทราบขอรับ เข้าจวนไม่นานก็บอกว่าจะไปถ่ายเบา จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นเขาเลยขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งตอบ

    รูม่านตาของบุรุษคิ้วขาวหดลงเล็กน้อย “พวกเจ้าสองคนไปก่อน คนอื่นๆ หากว่าเสวียเจิ้งกลับมาแล้ว รายงานข้าด้วย”

    “ขอรับ!”

     

    ความมืดยามราตรีมาเยือนในที่สุด

    สุราดีสองจอก ขาหมูหนึ่งจาน

    แม้ว่ามือทวนจะดูมอมแมม แต่ฝีมือทำอาหารของเขาไม่เลว เขากับไป๋ตงจวินนั่งตรงข้ามกัน ดื่มสุราแกล้มเนื้อปลอบขวัญตัวเอง มือของมือทวนตอนนี้ยังคงสั่นอยู่ เขานึกถึงหญิงชุดขาวสองคนกับชายชุดดำถือร่มนั้นแล้วก็อดตัวสั่นไม่ได้ “เมื่อครู่นี้หากคนพวกนั้นคิดจะฆ่าพวกเรา พวกเราคงตายไปแล้ว”

    ไป๋ตงจวินสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อยและกล่าวอย่างอวดดี “จะฆ่าข้าก็ต้องดูว่าเขากล้าพอหรือไม่!”

    มือทวนพลันทำสีหน้าจริงจังแล้วหยิบจอกสุราขึ้นมาเคาะโต๊ะ “เฮ้ย ไป๋ตงจวิน ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามีฐานะอันใดกันแน่ แต่อย่างมากก็คงเป็นลูกหลานสกุลสูงส่งหรือไม่ก็ลูกหลานของพ่อค้าที่มั่งคั่ง เจ้าต้องรู้ไว้ว่าเมื่อเข้ามาในยุทธภพไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจฐานะของเจ้า คนที่ฆ่าเจ้า ฝังศพของเจ้า อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร คนในครอบครัวเจ้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตายแล้ว ฟังข้าสักประโยค พรุ่งนี้ออกจากที่นี่ เจ้ามอบสุราให้ข้าอีกสามไห ม้าหนึ่งตัว แล้วข้าจะส่งเจ้าถึงบ้าน”

    ไป๋ตงจวินหยิบจอกสุรามาเคาะโต๊ะเช่นกัน “หากข้าตาย ครอบครัวข้าต้องรู้แน่ พวกเขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าข้า จากนั้นก็สับคนผู้นั้นเป็นหมื่นๆ ชิ้น หากเจ้ารู้ว่าครอบครัวข้าเป็นใครคงไม่พูดเช่นนี้ อีกอย่างข้าไม่ไป วันที่ข้าไปชาวเมืองไฉซังทั้งหมดจะต้องรู้จักร้านสุราตงกุยของข้า รู้ว่าสุราข้าเหนือกว่าเยวี่ยลั่วไป๋และเป็นที่หนึ่งของเมืองนี้!”

    มือทวนไม่พูดมากความอีก เขาดื่มสุราหนึ่งอึกแล้วกล่าวชมเปาะ “นี่คือสุราใด ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ดื่ม”

    “เป็นสุราที่ข้าหมักขึ้นใหม่ ยังไม่ได้ตั้งชื่อ รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” ไป๋ตงจวินถาม

    มือทวนยักไหล่ “รสชาติดีหรือไม่ข้าคนเดียวตัดสินไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องหาลูกค้ามาสักสองคน”

    เพิ่งจะสิ้นคำพวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสองเสียง

    ไป๋ตงจวินพลันเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ มือทวนเองก็กุมทวนที่วางอยู่ข้างๆ แน่น

    “อ๋อ พวกเจ้านี่เอง” ไป๋ตงจวินรู้สึกผ่อนคลายลงทันที แม้ว่าเขาจะจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เขาจำเกราะอ่อนทั้งร่างนั้นได้ พวกนี้คือองครักษ์ของบุรุษคิ้วขาวที่มาเมื่อตอนกลางวัน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา “พวกข้ากำลังชิมสุราใหม่อยู่พอดี พวกเจ้าก็มาลองดื่มสักจอก”

    เสียงชักดาบพลันดังขึ้น

    องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าไป๋ตงจวินชักดาบยาวจากข้างเอวขึ้นอย่างฉับพลันแล้วเหวี่ยงดาบใส่ ไป๋ตงจวินตะลึงงันและก้าวถอยหลังทันที แต่ไม่ทันการณ์ ดาบยาวเกือบจะแทงถึงคอหอยของเขาแล้ว

    ทันใดนั้นพื้นใต้เท้าดูเหมือนจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย

    องครักษ์คนนั้นพลันถอยกรูดกลับไป มือที่จับดาบสั่นไม่หยุด เขามองไปข้างหน้าอย่างอาฆาต “วิชาทวนดี”

    ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคือมือทวนที่ถือทวนด้วยมือขวา มือซ้ายยังคงถือจอกสุราที่เพิ่งดื่มหมด มือทวนหรี่ตาเล็กน้อย “ตงจวิน ในช่วงคอขาดบาดตายข้าช่วยชีวิตเจ้าครั้งหนึ่ง ชื่อของสุรานี้ให้ข้าตั้งเถอะ เอาเป็นซวีอวี๋ (ชั่วครู่) เป็นอย่างไร”

    ไป๋ตงจวินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะลืมไปสนิทว่าเมื่อครู่นี้ตนเพิ่งพ้นจากประตูปรโลกมาได้อย่างหวุดหวิด และตบมือกล่าว “ชั่วครู่ระหว่างความเป็นความตาย เป็นชื่อที่ดี”

    “ขุยเจิ้ง เป็นอย่างไรบ้าง” องครักษ์อีกคนที่ชื่อเล่อเจิ้งเดินเข้ามาถาม

    ขุยเจิ้งเก็บดาบแล้วสะบัดมือขวาแรงๆ “ไม่เป็นไรมาก แค่ตึงมือเล็กน้อย ต้องระมัดระวังหน่อยแล้ว” จากนั้นเขาจับด้ามดาบขึ้นพลางกล่าวเสียงทุ้ม “ด้วยวรยุทธ์ของเจ้า คงไม่ใช่ผู้ไร้ชื่อเสียง บอกนามมา”

    “เผอิญว่าข้าไร้ชื่อเสียงจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นหน้าบิดามารดามาตั้งแต่เล็ก โตมาโดยกินข้าวของชาวบ้าน ใช้ชีวิตโดยนอนในวัดเก่าโทรม ไม่เคยมีชื่อมีแซ่ และยิ่งไม่เคยมีคนตั้งชื่อแซ่ให้ แต่เกิดมาก็ว่างเปล่า ไปที่ใดก็ว่างเปล่า เช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงตั้งแซ่ให้ตัวเองว่าซือคง* อีกทั้งยินดีเป็นสายลมที่พัดยาว จึงตั้งชื่อให้ตนว่าฉางเฟิง ไปแล้วไม่หวนกลับ” มือทวนใช้ทวนยันพื้นอย่างหนักแน่น “ดังนั้นข้าจึงมีชื่อว่าซือคงฉางเฟิง”

    “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ไร้ชื่อเสียงจริงๆ” ขุยเจิ้งเมินการแนะนำตัวที่องอาจและยาวเหยียดของอีกฝ่าย เพียงกล่าวตอบอย่างเย้ยหยัน “เดิมทีเจ้าอาจจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ แต่คงต้องเสียใจที่ตัวเองมาผิดที่แล้ว”

    ซือคงฉางเฟิงพลันยกทวนขึ้นฟาดใส่ศีรษะของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว บีบให้องครักษ์ทั้งสองต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง ซือคงฉางเฟิงเหวี่ยงทวนอย่างฮึกเหิมดั่งพยัคฆ์คำราม องครักษ์ทั้งสองคนไม่ทันได้ชักดาบ ทำให้คำพูดฮึกเหิมเมื่อครู่กลายเป็นคำพูดชวนหัวในทันที ในขณะที่ซือคงฉางเฟิงกำลังฮึกเหิม เขาก็รู้สึกฉงนเช่นกัน

    วันนี้เขากับบุรุษคิ้วขาวผู้นั้นได้คุมเชิงกันทางอ้อมครั้งหนึ่ง วรยุทธ์ของบุรุษคิ้วขาวเหนือกว่าตนไม่น้อย อีกฝ่ายย่อมประเมินฝีมือของเขาได้ แล้วเหตุใดถึงส่งองครักษ์สองคนที่ฝีมือแย่มา ขณะกำลังครุ่นคิดองครักษ์ทั้งสองก็กระโดดขึ้นอย่างฉับพลันแล้วพุ่งเข้าหาเขาจากสองฝั่ง มือขวาจับด้ามดาบ ซือคงฉางเฟิงตะลึงงัน ขณะคิดชักทวนกลับ กลับได้ยินเสียงดังกังวานสองเสียงที่แทบจะประสานกัน องครักษ์ทั้งสองแค่นหัวเราะ

    “วิชาชักดาบ?” ซือคงฉางเฟิงพลันตวัดทวนด้วยความเร็วที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หอบเอาสายลมทั้งร้านสุราหุ้มไว้ที่ปลายทวน

    “ทำลาย!” ซือคงฉางเฟิงคำรามเสียงต่ำ

    เมื่อรั้งทวนกลับ

    ในมือขององครักษ์ทั้งสองเหลือเพียงด้ามดาบสองเล่ม

    ซือคงฉางเฟิงยกทวนขึ้นอีกครั้งและตวัดเหวี่ยงออกไป

    แต่กลับถูกปังตอเล่มหนึ่งปัดกลับมา

    ปังตอเล่มหนึ่ง เราะกระดูกสับเนื้อ บุปผาแบ่งบานบนกระดูก

     

     

    บทที่ 7

    บุปผาแบ่งบานบนกระดูก

     

    ซือคงฉางเฟิงเก็บทวนแล้วยิ้มพลางกล่าว “ที่แท้นี่ถึงจะเป็นหัวหน้าตัวจริง”

    พี่ชายขายเนื้อฝั่งตรงข้ามกำลังถือปังตอสับกระดูกที่ดูสะดุดตาเล่มนั้น ยืนมองคนในร้านอยู่ตรงประตูอย่างเยือกเย็น

    องครักษ์ทั้งสองถอยไปอีกฝั่งพลางกล่าวเสียงเบา “ฝากผู้อาวุโสด้วยขอรับ”

    “ดูเหมือนคนทั้งถนนสายนี้จะเป็นพวกเดียวกับบุรุษคิ้วขาวเมื่อตอนกลางวัน พวกเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อฆ่าคนที่คิดจะไปจวนสกุลกู้สินะ แต่ครั้งนี้ที่พวกเจ้ามาฆ่าข้า เพียงเพราะพวกข้าเปิดร้านสุราที่นี่” ไป๋ตงจวินกล่าวพร้อมกับเดินมาข้างหน้า

    คนขายเนื้อมองไป๋ตงจวินทีหนึ่งแล้วพยักหน้า “ใช่”

    “ทำเป็นเด็กเล่นขายของไปได้ พวกเราไม่เคยรู้จักกัน ตอนบ่ายข้ายังไปซื้อเนื้อที่ร้านท่าน ตอนนี้ท่านกลับถือมีดมาฆ่าข้า ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่า ทุกคนมีเพียงครั้งเดียว พวกเราไม่มีสิทธิ์จะไปพรากชีวิตผู้อื่นตามใจชอบ” ไป๋ตงจวินอธิบายอย่างใจเย็น เขาเป็นลูกผู้ดีมีเงินมาตั้งแต่เด็ก นิสัยดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง เจ็ดขวบก็ถูกขนานนามว่าอันธพาลน้อยแห่งเมืองกานตง ทว่าตลอดมาล้วนจดจำคำพูดที่บิดาบอกเขาได้ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกก็คือชีวิตของผู้คน

    คนขายเนื้อไม่มองไป๋ตงจวิน แต่หันไปมองซือคงฉางเฟิงแล้วกล่าวอย่างฉงน “โง่เขลา?”

    ซือคงฉางเฟิงยักไหล่ “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง นึกไม่ถึงว่าเขาจะคุยด้วยเหตุผลกับคนเช่นพวกเจ้า แต่เขาให้ข้าดื่มสุราไปไม่น้อย คนผู้นี้มีบุญคุณที่ข้าต้องทดแทน แต่ข้าฉลาดกว่าเขา ข้าอยากถามแค่ข้อเดียว หากตอนนี้พวกข้าไปจากที่นี่ทันที พวกเจ้าปล่อยพวกข้าได้หรือไม่”

    คำพูดของคนขายเนื้อยังคงย่นย่อจนไม่อาจย่นย่อได้อีก “ไม่ได้”

    “เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว มาสู้กัน!” ซือคงฉางเฟิงถือทวนก้าวไปข้างหน้าและดึงไป๋ตงจวินไปข้างหลัง จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาคนขายเนื้อ ทวนประหนึ่งมังกรวารีทะยาน อานุภาพน่าสะพรึง ทว่าคนขายเนื้อไม่แม้แต่จะชายตา เพียงยกปังตอขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันทวน

    “ข้ารู้ชื่อของเจ้า” ซือคงฉางเฟิงกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด “อยู่ต้องโทษทางการ ตายพบพญายม เจ้าคือพญายมปากทองเหยียนเชียนซุ่ย”

    “ใช่” เหยียนเชียนซุ่ยยังคงตอบอย่างเรียบนิ่งเช่นเดิม มือเหวี่ยงปังตออย่างดุดัน

    เขามีร่างมหึมา ปังตอนั่นก็น่าหวาดหวั่น แต่ปังตอขนาดมหึมาเล่มนี้เมื่ออยู่บนมือของเขากลับดูงดงามอ่อนช้อยราวกับเข็มเย็บปัก

    เราะกระดูกสับเนื้อ บุปผาแบ่งบานบนกระดูก

    ความลึกล้ำของวิชามีดนี้ถึงขั้นยากจะหยั่งคาดจริงๆ

    ทวนของซือคงฉางเฟิงทรงพลังยิ่ง แต่ภายหลังกลับอ่อนแรงลง หลังจากจู่โจมต่อเนื่องกันสิบสามครั้งแต่ไม่สำเร็จซือคงฉางเฟิงก็หอบหายใจ

    “วิชาทวนของเจ้าไม่สมบูรณ์” เหยียนเชียนซุ่ยแม้ว่าจะแซ่เหยียน* แต่กลับไม่ชอบพูดนัก แต่ละประโยคจึงพยายามพูดให้กระชับ

    ซือคงฉางเฟิงยิ้มขมขื่น

    “ลักเรียนเขามา” เหยียนเชียนซุ่ยสบตากับซือคงฉางเฟิงด้วยดวงตาเปล่งประกาย

    ซือคงฉางเฟิงใจหายวาบ มือที่จับทวนสั่นเล็กน้อย ปังตอของเหยียนเชียนซุ่ยทำลายอานุภาพทวนของเขา ฟันเสื้อด้านหน้าของเขาขาด ซือคงฉางเฟิงล่าถอยอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ข้างกายไป๋ตงจวิน “สู้ไม่ได้ หนีกันเถอะ”

    ไป๋ตงจวินยักไหล่ “ข้าฉวยโอกาสตอนที่เจ้าตีกันเมื่อครู่ไปดูประตูหลังมา”

    “เจ้าคิดจะอาศัยโอกาสที่ข้ากำลังพัวพันกับพวกเขา แอบหนีไปคนเดียวสินะ” ซือคงฉางเฟิงกล่าวอย่างหงุดหงิด

    ไป๋ตงจวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร”

    “แล้วประตูหลังเป็นอย่างไร” ซือคงฉางเฟิงถามกลับ

    “ตรงนั้นมีคุณยายคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังเย็บปักรองเท้าอย่างเอื่อยเฉื่อย” ไป๋ตงจวินถอนหายใจ

    ซือคงฉางเฟิงเกาศีรษะ “เช่นนี้ก็รับมือยากจริงๆ”

    คนขายเนื้อมือขวาถือปังตอ มือซ้ายทำมือเชื้อเชิญ “เข้ามาอีกรอบ”

    ซือคงฉางเฟิงยกทวนขึ้นพลางกระซิบ “ข้ายังมีอีกกระบวนท่าหนึ่ง เป็นกระบวนท่าสุดท้าย หลังจากกระบวนนี้เขาต้องตายแน่ แต่ข้าไม่แน่ว่าจะรอดต่อไปได้ หากข้ามีชีวิตรอด เจ้าก็วิ่งไปทางประตู ข้าจะพาเจ้าลุยออกไป”

    “หากไม่รอดเล่า” ไป๋ตงจวินถาม

    “เช่นนั้นพวกเราก็ตายอยู่ที่นี่ด้วยกัน”

    “เจ้ามั่นใจกี่ส่วน”

    “หนึ่งส่วน”

    “หนึ่งส่วน? เจ้ามั่นใจหนึ่งส่วนยังมีหน้ามากล่าวคำมั่นเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้หรือ”

    “เช่นนั้นเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไม่”

    ไป๋ตงจวินสะบัดแขนเสื้อ “ข้าตัวคนเดียว ถ่อมาไกลนับพันหลี่เพื่อเปิดร้านสุรา ใช่ว่าจะไม่ได้เตรียมตัว!”

    “เจ้าเป็นวรยุทธ์?” ซือคงฉางเฟิงกล่าวอย่างฉงน

    ไป๋ตงจวิน ‘ถุย’ หนึ่งคำ “หากข้าเป็นวรยุทธ์คงไม่ออกมา ข้าไม่อยากฝึกยุทธ์ถึงได้หนีออกจากบ้านมา!”

    “ตายซะเถอะ” ในที่สุดพญายมปากทองเหยียนเชียนซุ่ยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างหมดความอดทน

    พญายมต้องการให้เจ้าตายยามสาม* ผู้ใดกล้าอยู่ถึงยามห้า**

    “ไม่ตาย” จู่ๆ มีคนผู้หนึ่งพูดขัดเขา

    เหยียนเชียนซุ่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนและเงยหน้าขึ้น พลันพบว่าบนคานไม่รู้มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไร และดูเหมือนจะนั่งได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับไม่รู้สึกตัวเลย คนผู้นั้นกระโดดจากคานลงสู่พื้นอย่างมั่นคง เขาสวมเกราะอ่อนตลอดทั้งตัวเหมือนกับองครักษ์ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเหยียนเชียนซุ่ยทุกประการ

    ขุยเจิ้งอดตะโกนไม่ได้ “เสวียเจิ้ง?”

    “เป็นชื่อที่ไม่น่าฟังจริงๆ ถูกเรียกมาหลายวันในที่สุดก็หลุดพ้นเสียที” คนผู้นั้นถอดเกราะอ่อนบนตัวออก เผยให้เห็นชุดสีดำที่อยู่ข้างใน ก่อนยกยิ้ม “ข้าแซ่เหลย”

    เหยียนเชียนซุ่ยเลิกคิ้ว “เหลยใด เหลยของคฤหาสน์สกุลเหลยรึ”

    “จะพูดเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าคฤหาสน์สกุลเหลยดูเหมือนจะไม่ชอบศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังอย่างข้าก็ตาม” คนผู้นั้นยังคงยกยิ้ม เผยฟันขาวซี่หนึ่ง “แต่ข้ายอมรับว่าเป็นคนสกุลนี้”

    เหยียนเชียนซุ่ยตะลึงงัน เมื่อได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ก็ทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มาจากสายสกุลรองของคฤหาสน์สกุลเหลย แต่กลับเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของรุ่น ภายหลังไม่สนใจสกุลและไปยังเมืองเทียนฉี่ นับแต่นั้นมาก็ไร้ซึ่งข่าวคราว ในยุทธภพมีถ้อยคำที่เล่าลือเกี่ยวกับคนผู้นี้

    อสนีบาตสะท้าน คลื่นใต้น้ำโหมซัดสาด นิทราฝันสังหารคน

    ศิษย์อันดับหนึ่งรุ่นปัจจุบันของคฤหาสน์สกุลเหลย เหลยเมิ่งซา

    เขายังมีอีกชื่อหนึ่งบนทำเนียบคุณชายสำนักไป่เสี่ยว คุณชายจั๋วโม่

    เฟิงหวายากหยั่ง ชิงเกอสง่างาม จั๋วโม่พูดมาก หลิงอวิ๋นบ้าบิ่น

    หลิ่วเยวี่ยงามเลิศ โม่เฉินรูปชั่ว ชิงเซียงปราดเปรื่อง ไร้นามเว้นว่าง

    เขากับกู้เจี้ยนเหมินที่ถูกกักบริเวณในจวนสกุลกู้ตอนนี้คือสหายที่ใต้หล้าต่างรู้ทั่วกัน

    เหยียนเชียนซุ่ยยิ้มเย็น “เหลยเมิ่งซา ไม่ได้เจอกันนาน”

    “ไม่ได้เจอกันนานอันใด เจ้าคือพญายมปากทอง ส่วนข้าคือจั๋วโม่พูดมาก เจ้าไม่ชอบพูด แต่ข้าใช้ปากพูดให้คนตายได้ พวกเราไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน ไยต้องพูดพิธีรีตองว่าไม่ได้เจอกันนานด้วย ถึงอย่างไรเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ หนทางกว้างใหญ่ มิสู้เดินคนละทาง หักกิ่งหลิวส่งให้กัน* ต่างคนต่างแยกจาก”

    เหยียนเชียนซุ่ยกำลังจะเอ่ยปากบ้าง กลับเห็นเหลยเมิ่งซายื่นมือปรามเขาทันที “ไม่ต้องพูด เจ้าไม่เอ่ยปากข้าก็รู้ว่าไม่ได้ เจ้าคือพญายม ไม่ฆ่าคนแล้วจะให้มาเก็บค่าเช่าหรือ ข้าก็ไม่อยากขัดการทำมาหากินของเจ้าหรอก แต่เจ้ามาเพราะคนในจวนหลังนั้น ข้าเป็นสหายของเขา แม้ข้าจะรู้ว่าเขาผู้นี้กลัวการทำให้สหายติดร่างแหเป็นที่สุด แต่สิ่งที่เรียกว่าสหายก็ปรากฏในยามนี้ไม่ใช่หรือ” เหลยเมิ่งซาโบกมือเบาๆ “สหายน้อยทั้งสองโปรดถอยไป เรื่องที่นี่มอบให้ข้าเถอะ”

    ไป๋ตงจวินขมวดคิ้วพลางหันไปมองซือคงฉางเฟิง “นี่ก็คือแปดคุณชายเป่ยหลีที่เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ”

    ซือคงฉางเฟิงพยักหน้า “ใช่ จั๋วโม่พูดมาก”

    ไป๋ตงจวินพยักหน้า “พูดมาก…จริงๆ ด้วย แต่เหตุใดเขาถึงช่วยพวกเรา”

    “เจ้ารู้หรือไม่เพราะเหตุใดคนพวกนั้นต้องฆ่าพวกเราให้ได้” ซือคงฉางเฟิงถามเขากลับ

    ไป๋ตงจวินส่ายหน้าเบาๆ

    “จำไว้ เรื่องในยุทธภพไหนเลยจะมีเหตุผลมากมาย มีคนจะฆ่าเจ้าก็ฆ่ามันก่อน มีคนจะช่วยเหลือเจ้าก็มองดูอย่างสงบเสงี่ยม พอสบโอกาสก็เผ่น!” ครึ่งประโยคท้ายซือคงฉางเฟิงกล่าวเค้นทีละคำ

    เหยียนเชียนซุ่ยควงปังตอในมือเบาๆ “มีโชค”

    เหลยเมิ่งซายื่นนิ้วหนึ่งออกมา “ปากเจ้าบอกว่ามีโชค ในใจคงไม่ได้คิดเช่นนี้หรอก เจ้าจะต้องคิดว่าเหตุใดถึงโชคร้ายขนาดนี้ มาเจอกับอัจฉริยะผู้เยาว์อันดับหนึ่งของสำนักเหลยที่เล่าลือ คุณชายจั๋วโม่ที่รับมือยากที่สุดในบรรดาแปดคุณชายเป่ยหลี วันนี้เกรงว่าออกจากบ้านคงลืมดูปฏิทินหวงลี่* ปีที่แล้วไหว้สุสานลืมจุดธูปบอกบิดา ทว่าเรื่องทางโลกก็ยากจะหยั่งคาดเช่นนี้ การได้พบข้าคือความ… “

    “หุบปาก!” เหยียนเชียนซุ่ยเหวี่ยงปังตอพร้อมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว!

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook