• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 3

    บทที่ 8

    จั๋วโม่สะท้านเทพ

     

    เหยียนเชียนซุ่ยย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทว่าก้าวนี้ทำเอาซือคงฉางเฟิงกับไป๋ตงจวินถอยหลังไปสามก้าว กระแสลมแรงที่พัดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุพัดให้เสื้อคลุมยาวของเหลยเมิ่งซาสะบัดไหว เหลยเมิ่งซาหน้าไม่เปลี่ยนสี เพียงพ่นไอขุ่นมัวออกมาเบาๆ

    จากนั้นกระโดดออกไป

    เหยียนเชียนซุ่ยพลันเหวี่ยงปังตอ

    เหลยเมิ่งซาไม่ได้พกอาวุธมา แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพกอาวุธ เพราะเขามาจากคฤหาสน์สกุลเหลยที่ผนึกดาบแขวนกระบี่ เขายื่นนิ้วหนึ่งไปแตะปังตอของเหยียนเชียนซุ่ยเบาๆ

    ท่วงท่าเบาสบายราวกับแมลงปอบินแตะผิวน้ำ

    จากนั้นปังตอของเหยียนเชียนซุ่ยก็ไม่อาจรุกเข้ามาได้อีก

    “อาศัยเพียงนิ้วเดียวก็ต้านทานปังตอพันจวิน* ได้แล้ว คนสกุลเหลยเก่งกาจสมคำเล่าลือดังคาด” ซือคงฉางเฟิงชมเปาะเบาๆ

    เหลยเมิ่งซาแย้มยิ้ม สีหน้าผ่อนคลาย

    บนหน้าผากของเหยียนเชียนซุ่ยกลับมีเหงื่อผุดออกมาช้าๆ เขาไม่ได้ผ่อนแรงแม้แต่น้อย ขณะคิดจะรั้งปังตอของตนเองกลับก็พบว่าปังตอราวกับติดหนึบอยู่บนมือของเหลยเมิ่งซา จะดึงอย่างไรก็ดึงกลับมาไม่ได้ เขากล่าวเสียงขรึม “ดรรชนีสะท้านเทพ สำนักเหลย!”

    “ดรรชนีสะท้านเทพของสำนักเหลย หนึ่งดรรชนีสามเพลง เพลงนี้เรียกว่าไม่แยกจาก” เหลยเมิ่งซาพลันเก็บนิ้ว เหยียนเชียนซุ่ยพละกำลังไม่อาจรับได้ หยิบปังตอถอยหลังโดยพลัน

    “เพลงที่สองเรียกว่าไม่หวนกลับ” เหลยเมิ่งซาหุบนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าหากัน ก่อนจะเหยียดนิ้วหนึ่งไปทางเหยียนเชียนซุ่ย

    แม้ว่าช่วงแรกจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ถึงอย่างไรเหยียนเชียนซุ่ยก็เป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ เขาตั้งสติได้ในทันทีแล้วเหวี่ยงปังตอหนึ่งครา คมมีดบุปผาร่ายรำหนึ่งดอก คมมีดบุปผาแบ่งบานจากหนึ่งดอกกลายเป็นสิบดอก จากสิบดอกเปลี่ยนเป็นร้อยดอก

    บุปผากำเนิดบุปผา ร้อยบุปผาแบ่งบาน

    ซือคงฉางเฟิงแทบจะตาลาย เขากลืนน้ำลายพลางลอบตกตะลึงอยู่ในใจ หากเมื่อครู่นี้เหยียนเชียนซุ่ยสำแดงฝีมือเช่นนี้กับตน เกรงว่าเขาคงได้ลงไปนอนบนพื้นตั้งนานแล้ว ซือคงฉางเฟิงหัวเราะขมขื่น “ข้าขอกลับคำเมื่อครู่ ต่อให้ข้าใช้กระบวนท่าสุดท้ายเขาก็ไม่ตาย แต่ข้าคงได้ตายแน่ ไป๋ตงจวิน…เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้สึกตกใจบ้าง” เมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าไป๋ตงจวินกำลังมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เห็นชัดๆ ว่าตอนบ่ายเขายังทำท่าตื่นตะลึงตอนเห็นอีกฝ่ายเราะกระดูกอยู่เลย

    ไป๋ตงจวินทำหน้าไร้เดียงสา “วรยุทธ์นี้แปลกประหลาดมากเลยหรือ ตอนบ่ายข้าคิดว่าเขาเป็นคนขายเนื้อจึงตกตะลึงเช่นนั้น แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาเรียนวรยุทธ์ ผู้เรียนวรยุทธ์จะมีฝีมือเช่นนี้ก็ไม่แปลกกระมัง”

    ซือคงฉางเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือจริงๆ”

    เมื่อเผชิญหน้ากับร้อยบุปผาแบ่งบานของเหยียนเชียนซุ่ย เหลยเมิ่งซาจึงต้องสงบเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น ดรรชนีที่สองของเขาพลันสำแดงออกไป

    ฝ่าทะลวงบุปผา

    คมมีดของปังตอแตกทลายในพริบตา

    เหยียนเชียนซุ่ยแผดเสียงคำราม ยกปังตอที่คมมีดแตกเป็นเสี่ยงขึ้นก่อนฟาดฟันลง ชัดเจนว่าต้องการให้หยกศิลามอดไหม้ไปพร้อมกัน*

    “เพลงที่สาม เพลงสะท้านเทพ” มุมปากของเหลยเมิ่งซาเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นและเหยียดนิ้วที่สามออกมา

    ไป๋ตงจวินมองซือคงฉางเฟิง “ข้าอยากถามแค่อย่างเดียว ชาวยุทธ์อย่างพวกเจ้าล้วนตีกันไปพลางและยังต้องอธิบายไปพลางเช่นนี้หรือ”

    ทว่าซือคงฉางเฟิงไม่ได้สนใจที่ไป๋ตงจวินพูด แต่มองดรรชนีนั้นของเหลยเมิ่งซาอย่างตกตะลึง

    ดรรชนีสะท้านเทพสำนักเหลย เนื่องจากลงมือได้รวดเร็วและเสียงยามตัดแหวกสายลมราวกับภูตผีเทพเจ้าร่ำไห้ในราตรี จึงถูกเรียกว่าดรรชนีสะท้านเทพ ดรรชนีที่สามนี้คือดรรชนีสังหาร หากเหลยเมิ่งซาลงมือ เหยียนเชียนซุ่ยต้องไม่รอดจากดรรชนีนี้แน่ องครักษ์ทั้งสองสัมผัสได้ถึงอานุภาพนี้จึงแอบถอยไปอยู่ข้างประตูแล้วปล่อยเกาทัณฑ์สัญญาณไปในท้องฟ้ายามราตรี

    จู่ๆ รอยยิ้มของเหลยเมิ่งซาก็เลือนหายไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงและเก็บนิ้วที่สาม รีบชักเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเข็มเงินจำนวนมากพุ่งมาปักบนพื้นที่เขาเคยยืนเป็นทิวแถวอย่างมีระเบียบ

    เหลยเมิ่งซาหันมองไปแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ไม่ได้เจอกันเสียนาน ยายเจิน”

    ตรงประตูไม่รู้ว่ามีหญิงชราผมสีขาวโพลนนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ในมือของนางยังถือรองเท้าปักลายข้างหนึ่ง กำลังก้มหน้าเย็บปักอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร้านไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง ทว่าพอได้ยินคำพูดของเหลยเมิ่งซานางก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของยายเจินเมตตาอ่อนโยนราวกับคุณยายผู้น่านับถือและน่าเข้าใกล้ “ที่แท้ก็เจ้าเด็กเหลือขอนี่เอง”

    เหยียนเชียนซุ่ยเก็บปังตอแล้วถอยไปข้างๆ อย่างนอบน้อม “ท่านยาย”

    ไป๋ตงจวินยื่นข้อศอกไปสะกิดซือคงฉางเฟิง “เมื่อครู่นี้พญายม แล้วนี่ใครอีก ยายเมิ่ง* หรือ”

    “ยายเมิ่งบ้านบิดาเจ้าสิ เจ้าไม่ได้ยินพวกเขาเรียกนางว่ายายเจินรึไง” ซือคงฉางเฟิงกล่าวอย่างอารมณ์เสีย

    ไป๋ตงจวินกล่าวอย่างฉงน “ยายเจินก็คือชื่อของนางหรือ”

    “เข็มอาบเปลวเทียน ร้อยฉื่อ** สิ้นชีพ เจ้าไม่ได้คลุกคลีอยู่ในยุทธภพ ย่อมไม่เข้าใจความร้ายกาจของยายเจิน ต่อให้พญายมเข้ามาพร้อมกันสองคนก็สู้นางคนเดียวไม่ได้” ซือคงฉางเฟิงมองเหลยเมิ่งซา คุณชายจั๋วโม่ผู้นี้จะรับมือกับยอดฝีมือสองคนนี้พร้อมกันได้หรือไม่

    ยายเจินปากพูดแต่มือไม่หยุดนิ่ง “เจ้าหนู พวกข้าสองคนร่วมมือกันโอกาสชนะของเจ้าคงมีไม่มาก บนถนนหลงโส่วนี้ไม่ได้มีแค่พวกข้าสองคน หากเจ้ามองสถานการณ์ออก ข้าจะเห็นแก่หน้าคนในสกุลเจ้าให้เจ้าหนีไป พวกข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า แต่ต้องทิ้งสองคนนี้ไว้”

    “เหตุใดต้องฆ่าพวกเขาให้ได้ด้วย พวกเขายังเด็กขนาดนี้ ยังมีอนาคตอีกมากที่คุ้มค่าให้เฝ้ารอ! คนหนุ่มที่ดีเพียงนี้ สุราที่หมักก็รสชาติดีเพียงนั้น จะฆ่าก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว” เหลยเมิ่งซาถาม

    “ไหนเลยจะมีเหตุผลมากมายเช่นนั้น พญายมบอกว่าพวกเขาต้องตาย พวกเขาก็ต้องตาย” ยายเจินหยุดเข็มกับด้ายในมือแล้วยกรองเท้าที่เย็บปักเสร็จขึ้นมามองซ้ายมองขวาอย่างพึงพอใจ

    เหลยเมิ่งซายักไหล่ “หากข้าบอกว่าไม่เล่า พญายมปากทองตัดสินเป็นตาย ข้ากลับพูดมากเพื่อแย้งถูกผิดได้ เขาพูดคำเดียวตาย ข้าพูดสามคำไม่ตาย คำพูดเขาตัดสินได้ หรือคำพูดข้าตัดสินได้”

    ยายเจินพลันลุกขึ้นยืนแล้วหยิบรองเท้าสองคู่ออกจากอกเสื้อโยนเข้าไปในร้านพร้อมกับคู่ที่เพิ่งเย็บปักใหม่ “เย็บให้พวกเจ้าเสร็จแล้ว สวมสิ”

    “นี่คือรองเท้าอันใด” ซือคงฉางเฟิงไม่เข้าใจ

    ยายเจินกล่าวอย่างราบเรียบ “รองเท้าอายุยืน”*

    “เงียบ!” เหลยเมิ่งซาพลันตะโกนเสียงดัง

    ซือคงฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาเยือน จึงดึงไป๋ตงจวินไปข้างหลังตนแล้วเหวี่ยงทวนยาวเพื่อปกป้องจุดสำคัญของทั้งสองคนเอาไว้ ยายเจินสะบัดแขนเสื้อยาว เข็มเงินสิบกว่าเล่มพลันพุ่งกระจายออกไป

    เหลยเมิ่งซาออกดรรชนีเก้าครั้งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง เข็มเงินพลันหักร่วงกระจายลงพื้น เขายิ้มกล่าว “หลายปีก่อนท่านยายก็เล่นแต่ของพวกนี้ ไม่มีของใหม่ๆ สักหน่อยหรือ”

    “แล้วเจ้าเอาของใหม่ๆ อันใดออกมาได้บ้างเล่า ไปๆ มาๆ ก็มีแค่ดรรชนีนี้” ยายเจินซุกสองมือเข้าไปในแขนเสื้อ เมื่อชักมือออกเข็มเกือบร้อยเล่มก็ถูกซัดออกมาราวกับเทพธิดาโปรยบุปผา หากเป็นคนธรรมดาคงถูกการโจมตีนี้แทงจนพรุนเป็นตะแกรงแล้ว

    ทว่าเหลยเมิ่งซายังคงสงบนิ่งเช่นเดิม “หากท่านอยากได้ของใหม่ ข้าจะมอบของใหม่ให้ท่านก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะใช้แค่นิ้วเดียว” เขาล้วงของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้วใช้นิ้วชี้ดีดสิ่งนั้นออกไปอย่างเบามือ มันปะทะเข้ากับเข็มเงินกลางอากาศและเกิดการระเบิดในพริบตา แรงระเบิดทำลายเข็มเงินเหล่านั้นจนแหลกเป็นผุยผง กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง

    ยายเมิ่งเผยสีหน้าตกตะลึง “ดินระเบิดสำนักเหลย อสนีฟาดผ่าวันฟ้าแจ้ง”

    เหลยเมิ่งซาเก็บมืออย่างพึงพอใจ เข็มเงินเหล่านั้นถูกระเบิดกระจายออกและเกิดเสียงดังตูมๆๆ กลิ่นหอมสุราพลันอบอวลไปทั่วทั้งร้านสุรา

    ซือคงฉางเฟิงสูดหายใจ หันหน้าไปมองอย่างไม่สบายใจ

    ไป๋ตงจวินผลักซือคงฉางเฟิงออกและมองเหล่าไหสุราที่ตนวางไว้ตรงมุม ตอนนี้พวกมันถูกเข็มเงินเจาะแตก สุราชั้นดีทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง

    ลักษณะเด่นของยายเจินกับเหยียนเชียนซุ่ยนั้นตรงกันข้ามกับตัวเองโดยสิ้นเชิง เหยียนเชียนซุ่ยกวัดแกว่งปังตอยักษ์ได้พลิ้วไหวราวกับเข็มเย็บปัก ส่วนเข็มเรียวเล็กของยายเจินกลับมีอานุภาพหนักอึ้งเหมือนปังตอหนักพันจวิน

    “เจ้าบังอาจ!” ไป๋ตงจวินหันหน้าไปมองยายเจินแล้วตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว

    เสียงตะโกนด้วยความโกรธนี้มีพลังมาก แม้แต่ยายเจินที่จิตใจสงบมั่นคงมาโดยตลอดก็ยังตะลึงงัน ทว่านางดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และแค่นหัวเราะแล้วตอบ “บังอาจ?”

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำลายสิ่งที่ดีเลิศที่สุดในโลกนี้ไปแล้ว” ไป๋ตงจวินยังคงโมโหดุดัน

    ยายเจินขมวดคิ้วเล็กน้อย “สุราพวกนั้นหรือ”

    “พวกนั้น…เป็นสุราที่ดีที่สุดในโลก” ไป๋ตงจวินกล่าวเค้นทีละคำ “เจ้าต้องจ่ายค่าชดใช้สำหรับสิ่งนี้”

    เหลยเมิ่งซาเก็บมือแล้วมองซือคงฉางเฟิงด้วยสายตางุนงง ซือคงฉางเฟิงก็มองเขากลับด้วยสายตางุนงงยิ่งกว่า คนหนุ่มที่วรยุทธ์อ่อนที่สุดในที่แห่งนี้ เหตุใดถึงพูดจาใหญ่โตนัก

    ไป๋ตงจวินพลันตะโกน “เสี่ยวไป๋!”

    ที่นี่มีเขาคนเดียวที่แซ่ไป๋ แต่เขาย่อมไม่มีทางเรียกตัวเอง

    ทันใดนั้นพื้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับใต้ดินมีบางสิ่งกำลังจะทะลวงพื้นไม้ออกมา!

    “เจ้านี่ เลี้ยงสิ่งใดไว้ในห้องใต้ดิน” ซือคงฉางเฟิงถามอย่างตกตะลึง

    “เสี่ยวไป๋!” ไป๋ตงจวินตะโกนอีกครั้ง

    เมื่อได้ยินเสียงดังตูม พื้นไม้ก็ทรุดลงทั้งหมด เหลยเมิ่งซากับซือคงฉางเฟิงถอยไปยังมุมร้าน ยายเจินกับเหยียนเชียนซุ่ยถอยไปที่นอกประตู พวกเขาต่างเผยสีหน้าหวาดผวา มีเพียงไป๋ตงจวินที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขากางมือสองข้างออก สิ่งที่พุ่งออกมาจากใต้ดินยกร่างทั้งร่างของเขาขึ้น

    ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน

    มันเป็นงูยักษ์สีขาวกระจ่างราวกับหยก ร่างยาวเกือบสิบจั้ง* เมื่อมันยกตัวขึ้นก็แทบจะอัดแน่นเต็มร้านสุรา ดูเหมือนมันจะไม่พอใจที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินมานานเกินไปจึงบิดร่างไปมาอยู่นานกว่าจะหยุด ขณะที่มันบิดร่างโต๊ะและเก้าอี้ภายในร้านก็ถูกรัดจนแหลก หลังจากงูยักษ์พ่นไอขุ่นมัวออกมายาวๆ มันก็สงบลงในที่สุดและก้มหัวลงอย่างฉับพลันพลางแลบลิ้นเล็กน้อย ก่อนมองกราดลงมายังผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง

    ไป๋ตงจวินยืนอยู่บนหัวของงูยักษ์ กล่าวย้ำกับยายเจินอย่างจริงจัง “ถึงเวลาจ่ายค่าชดใช้แล้ว”

     

     

    บทที่ 9

    ตงจวินมาเยือนอีกครั้ง

     

    ยายเจินถอยหลังอย่างหวาดผวา “งูตัวนี้คือ?!”

    งูห้าร้อยปีพัฒนาร่างเป็นเจียว* เจียวพันปีพัฒนาเป็นมังกร ในตำนานเล่าว่างูจะยิ่งตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันที่พัฒนาร่างเป็นเจียวและกลายเป็นมังกร แต่นี่ก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น งูทั่วไปหากมีความยาวจั้งกว่าก็นับว่าเป็นงูหายากแล้ว แต่งูตัวนี้ยาวเกือบสิบจั้ง ซ้ำบนหน้าผากดูคล้ายจะมีเขา หรือว่ามันเป็นงูยักษ์ที่ใกล้จะกลายเป็นเจียวแล้ว

    “ทั่วร่างขาวกระจ่าง ยาวถึงสิบจั้ง บนหัวมีเขา นี่คือไป๋หลิวหลี!” เหลยเมิ่งซาส่งเสียงร้องอย่างตะลึง “ไป๋หลิวหลีที่เวินหลินผู้นำสกุลเวินเลี้ยงไว้! เจ้าไม่ได้ชื่อไป๋ตงจวิน เจ้าแซ่เวิน เวินตงจวิน!”

    “ช่างเป็นชื่อที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย” ไป๋ตงจวินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เสี่ยวไป๋เติบโตกับข้ามาตั้งแต่เด็ก ปีนี้ท่านตามอบให้ข้าในวันเกิด ตอนนี้มันจึงเป็นของข้าแล้ว! อีกอย่างข้าไม่ได้แซ่เวิน ท่านแม่ข้าแซ่เวิน ข้าแซ่ไป่หลี่ ข้าชื่อไป่หลี่ตงจวิน!”

    ยายเจินสบตากับเหยียนเชียนซุ่ยทีหนึ่ง ความหวาดผวาในใจพลันเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าการได้เห็นงูยักษ์ไป๋หลิวหลี

    ไป๋หลิวหลี ตาชื่อเวินหลิน มารดาแซ่เวิน ข้าแซ่ไป่หลี่

    คำเหล่านี้เมื่อเชื่อมโยงด้วยกัน ประกอบกับอายุของชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็พอที่จะปะติดปะต่อฐานะของเขาได้ มิน่าเขาเผชิญกับบุปผาแบ่งบานบนกระดูกของเหยียนเชียนซุ่ยแล้วกลับรู้สึกว่าคนที่ฝึกยุทธ์ย่อมทำเช่นนี้ได้เป็นเรื่องปกติมาก มิน่าเขาถึงกล้าเรียกร้องให้ยายเจินจ่ายค่าชดใช้ มิน่าเขาถึงกล้าหนีออกจากบ้านมาเปิดร้านสุราบนถนนหลงโส่วนี้คนเดียว

    “คุณชายน้อยแห่งจวนเจิ้นซีโหว!” เหยียนเชียนซุ่ยเอ่ยขึ้น

    “เสี่ยวไป๋ เจ้าสั่งสอนพวกเขาให้ข้าสักหน่อย!” ไป่หลี่ตงจวินตบหัวของไป๋หลิวหลีตัวนั้นเบาๆ

    ไป๋หลิวหลีดูเหมือนจะเข้าใจที่เขาพูดทันที มันกวาดหางทีหนึ่ง ประตูทั้งบานพลันแตกละเอียด ยายเจินกับเหยียนเชียนซุ่ยตาไวมือไวจึงหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ทว่าองครักษ์สองคนนั้นโชคไม่ได้ดีเช่นนั้น พวกเขาถูกหางตวัดล้มลงบนพื้น ส่งเสียงร้องน่าเวทนา ลุกขึ้นมาไม่ได้

    “เอาให้ลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้สักสองสามวันก็พอแล้ว ไม่ต้องทำร้ายถึงชีวิต” ไป่หลี่ตงจวินกล่าวเสริม

    เหยียนเชียนซุ่ยกล่าวกับยายเจินเบาๆ “เหตุใดเจิ้นซีโหวถึงเข้ามาผสมโรงด้วย ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”

    “เหตุใดเจิ้นซีโหวถึงส่งหลานชายที่ไม่เป็นวรยุทธ์มายุ่งเรื่องที่เขตซีหนาน เรื่องนี้ไม่ได้การ ต้านเขาไว้ก่อน จากนั้นค่อยคิดเรื่องต่อจากนี้ เจิ้นซีโหวจะทำอันใดอีก ขุนเขาสูงล้ำ จักรพรรดิห่างไกล* เรื่องของเขตซีหนาน เขตซีหนานจัดการเอง!” ยายเจินโบกมือ บนถนนที่ทอดยาวมีแสงโคมไฟเบาบางสว่างขึ้น ภายในบ้านทุกหลังมีเสียงวุ่นวายดังออกมา

    “แย่แล้ว” เหลยเมิ่งซาอุทานเบาๆ “นางจะให้คนทั้งถนนมาช่วย เช่นนั้นต่อให้พวกเราติดปีกก็ยากจะบินหนีได้”

    “จัดการนาง! เสี่ยวไป๋ ยายคนนี้ถลุงทำลายข้าวของ ทำสุราข้าหก ทั้งยังคิดว่าไม่หนักหนาอันใด เดิมทีข้าคิดจะให้เจ้าดื่ม! เจ้าว่าน่าแค้นหรือไม่” ไป่หลี่ตงจวินตะโกนเสียงดัง

    ไป๋หลิวหลีคล้ายจะเข้าใจประโยคหลังของเขา มันดึงสติกลับมาแล้วก้มหัวดูดสุราที่ไหลนองบนพื้นเข้าปากจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ระหว่างเกล็ดสีขาวทั่วร่างพลันปรากฏแสงสีแดง มันกวาดหางทีหนึ่ง บีบให้ยายเจินกับเหยียนเชียนซุ่ยต้องหลบกันไม่หวาดไม่ไหว ยายเจินซัดเข็มเงินออกไปสามสิบเล่ม ทว่าไม่อาจทำร้ายผิวหนังของไป๋หลิวหลีได้แม้แต่น้อย เหยียนเชียนซุ่ยใช้ปังตอสับผ่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อคมปังตอโดนร่างงูที่เรียบลื่นอย่างที่สุดก็ไถลเบี่ยงจนไม่เหลือพลังแม้แต่เสี้ยวเดียว

    “ตีงูไม่มีประโยชน์ ตีเขาโดยตรง” เหยียนเชียนซุ่ยกล่าวอย่างเหนื่อยหอบ

    ไป่หลี่ตงจวินพลิกสถานการณ์ได้ในพริบตาจึงเกิดความกระหยิ่มชั่วขณะ เขาตะโกนบอก “เสี่ยวไป๋ ฟาดแรงๆ อีก!” แต่สิ่งที่เขาไม่ทันระวังก็คือมีเข็มเงินเล่มหนึ่งซึ่งเรียวเล็กจนตาเปล่าไม่อาจมองเห็นแหวกทะลวงอากาศเข้ามาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มันพุ่งตรงเข้ามายังคอหอยของเขา ทว่าขณะที่อยู่ห่างเพียงหนึ่งชุ่น* นิ้วสองนิ้วก็ปรากฏและคีบรับเข็มเงินนั้นไว้ ไป่หลี่ตงจวินหันไปมองอย่างตื่นตกใจและพบกับรอยยิ้มของเหลยเมิ่งซา เหลยเมิ่งซาทิ้งเข็มเงินลงบนพื้น “น้องชาย หากยังไม่ไปอีกก็ไม่ทันการณ์แล้ว”

    ไป่หลี่ตงจวินดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้า ก่อนตบหัวของเสี่ยวไป๋ “พวกเราไป!”

    “มีข้าด้วย!” ซือคงฉางเฟิงถือทวนตะโกนมาจากข้างล่าง

    “พาเขาขึ้นมาด้วย!” เพิ่งจะสิ้นเสียงเอ่ยของไป่หลี่ตงจวิน ไป๋หลิวหลีก็ก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว ไป่หลี่ตงจวินยื่นมือไปดึงซือคงฉางเฟิงขึ้นมา คนทั้งสามกับงูยักษ์หนึ่งตัวมุ่งหน้าไปยังทางออกของถนนสายยาว

    ประตูใหญ่ร้านค้าสองข้างทางของถนนสายยาวล้วนเปิดออกทันที บรรดาเจ้าของร้านเหล่านั้นที่อยู่อย่างสงบในยามปกติล้วนเปลี่ยนเป็นมีสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าไป๋หลิวหลีเลื้อยเร็วยิ่ง ขณะเลื้อยไปบนถนนสายยาว ทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้ล้วนถูกบีบให้ต้องถอยหลังอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเลื้อยไปถึงสุดถนน จู่ๆ ไป๋หลิวหลีก็ลดความเร็วลง

    “เกิดอันใดขึ้นหรือ” ซือคงฉางเฟิงไม่เข้าใจ

    ไป่หลี่ตงจวินขมวดคิ้วกล่าว “คนธรรมดาไป๋หลิวหลีไม่เห็นอยู่ในสายตา มันต้องสัมผัสได้ถึงอันตรายแน่ถึงได้หยุดลง แต่ต้องเป็นคนน่ากลัวเพียงใดกันถึงทำให้ไป๋หลิวหลีรู้สึกถึงอันตรายได้”

    ที่แท้ตรงปลายถนนสายยาวมีคนสวมอาภรณ์ประณีตงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่และยืนหันหลังให้พวกไป่หลี่ตงจวิน แผ่นหลังนั้นแผ่พลังน่าสะพรึงกลัวออกมา เขาหมุนกายมาอย่างช้าๆ พลางลูบคิ้วสีขาวของตนเอง และมองมายังไป๋หลิวหลีที่กำลังเลื้อยมาหาตน ปากแย้มยิ้ม “วันนี้มีเรื่องน่าแปลกใจหลายเรื่องจริงๆ”

    ไป่หลี่ตงจวินมองเงาร่างที่ดูคุ้นเคยนั้น ก่อนตกตะลึงเล็กน้อย “คือคนผู้นั้นเมื่อตอนกลางวัน”

    “เซียวลี่คิ้วขาว ในที่สุดก็มีคนที่เข้าท่ามาแล้ว” เหลยเมิ่งซาสูดลมหายใจยาว ชุดสีดำทั้งร่างพลันโป่งพองขึ้น

    ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยเซียว* ดังมาจากที่ใดไม่ทราบ

    เสียงขลุ่ยที่แฝงความอ้างว้างและเหน็บหนาวเมื่อดังขึ้นในค่ำคืนฤดูสารทที่เย็นสบายเช่นนี้ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับเสียงคนกำลังร่ำไห้และร้องทุกข์ ทว่าท่ามกลางความโศกเศร้า จิตสังหารอันตึงเครียดเหล่านั้นพลันหายไปในพริบตา เหล่านักฆ่าที่ไล่ตามบนถนนสายยาวต่างพากันหยุดฝีเท้า พิจารณาเสียงขลุ่ยนี้อย่างละเอียด

    ผู้ที่เป่าขลุ่ยเซียวในเวลานี้ย่อมไม่มีทางเป็นคนธรรมดา แต่อาจเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่สามารถแฝงกำลังภายในเข้าไปในเสียงขลุ่ยและชักจูงคนให้ตกสู่ทางมารได้ พวกเขาจึงไม่กล้าประมาท แต่หลังพิจารณาครู่หนึ่งจึงค่อยๆ พบว่าเสียงขลุ่ยเซียวนี้เป็นเพียงเสียงขลุ่ยเซียวธรรมดาเท่านั้น ทว่าความอ้างว้างและเหน็บหนาวเหล่านี้เป็นของจริงและได้ขจัดจิตสังหารของพวกเขาไว้ชั่วคราว

    เซียวลี่คิ้วขาวพลันยื่นมือออกมา มองดูกลีบดอกกุหลาบที่ร่วงหล่นลงในมือของตน เขาเงยหน้าขึ้นและพบว่ามีกลีบดอกไม้เล็กๆ จำนวนมากโปรยลงบนถนนสายยาว

    เหลยเมิ่งซายิ้มกล่าว “เจ้านั่นก็มาด้วย ข้ายังคิดว่าจะมีข้าแค่คนเดียวที่มาเสียอีก”

    “เจ้านั่นคือเจ้าใด” ไป่หลี่ตงจวินไม่เข้าใจ

    เหลยเมิ่งซาไม่ได้อธิบายต่อ เพียงกล่าวว่า “ให้ไป๋หลิวหลีรีบเลื้อยไป มีเจ้านั่นอยู่ รวมข้าอีกคน ข้าไม่เชื่อว่าเซียวลี่จะทำอันใดบุ่มบ่าม!”

    “ท่านช่วยข้าไว้ ข้าเชื่อท่าน ไป๋หลิวหลี ไป!” ไป่หลี่ตงจวินกล่าวเสียงดัง “ถ้าชนะศึกนี้ข้าจะเชิญท่านดื่มสุราที่หมักใหม่ของข้า สุราซวีอวี๋!”

    งูไป๋หลิวหลีฮึกเหิมอีกครั้งและพาคนทั้งสามเฉียดผ่านข้างกายเซียวลี่ไปในพริบตา เซียวลี่ผู้นั้นแม้แต่หนังตาก็ไม่ลืมขึ้น ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาผ่านไปตรงๆ ทั้งอย่างนั้น

    เซียวลี่กุมกลีบดอกไม้ไว้ในมือ ก่อนกล่าวอย่างครุ่นคิด “คุณชายชิงเกอ?”

     

     

    บทที่ 10

    คุณชายชิงเกอ

     

    “คุณชายชิงเกอ ‘คุณชายผู้สง่างาม’ ในบรรดาแปดคุณชายเป่ยหลี ได้ยินว่าทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน หากไม่มีดนตรีบรรเลงประกอบก็จะมีกลีบดอกไม้โปรยลงมาราวกับสายฝน วันนี้ได้เห็น คิดไม่ถึงว่า…บนโลกจะมีคนทำเช่นนี้จริงๆ” ซือคงฉางเฟิงยืนอยู่บนร่างของไป๋หลิวหลีพลางหันกลับมามอง ก่อนอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้

    ไป่หลี่ตงจวินยังกังวลเล็กน้อย “ให้เขารั้งอยู่ที่นั่นคนเดียวเช่นนี้ ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”

    เหลยเมิ่งซายิ้มกล่าว “คุณชายชิงเกอลั่วเซวียนแม้จะชอบฉากที่มีดอกไม้พวกนี้ แต่เขามีฝีมือจริงๆ คนพวกนั้นรั้งเขาไม่ได้หรอก”

    “ตอนนี้พวกเราไปที่ใดกันดี” ไป่หลี่ตงจวินเอ่ยถาม

    “นอกเมืองออกไปสามหลี่ วัดซีรั่ว” เหลยเมิ่งซาสองมือซุกในแขนเสื้อ “พวกเราควรคุยเรื่องของพวกเจ้าสักหน่อยแล้ว”

    ไป่หลี่ตงจวินกล่าวอย่างงุนงง “เรื่องของพวกข้า?”

     

    เซียวลี่ชูสองนิ้วมือข้างขวาแล้วหมุนเบาๆ กลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงบนพื้นลอยหมุนขึ้นมายังปลายนิ้ว เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังคุณชายชุดขาวที่ไม่รู้ว่ายืนเป่าขลุ่ยเซียวอยู่บนหลังคาตั้งแต่เมื่อไร ก่อนยิ้มกล่าว “สามในแปดคุณชายเป่ยหลีมาถึงที่เมืองไฉซังแห่งนี้ ช่างทำให้รู้สึก…ไม่สบายใจจริงๆ” เขาดีดสองนิ้วออกไป กลีบดอกไม้เหล่านั้นพลันแข็งตัวกลายเป็นลูกศรพุ่งเข้าโจมตีใส่คุณชายชิงเกอ คุณชายชิงเกอกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ยังคงเป่าขลุ่ยเซียวอย่างสง่างาม แต่เมื่อลูกศรดอกไม้เข้าใกล้ร่างของเขา เสียงขลุ่ยเซียวกลับเร่งร้อนขึ้นในทันใด ชุดคลุมยาวสีขาวลอยขึ้นเล็กน้อย ลูกศรดอกไม้เหล่านั้นพลันร่วงลงมาดั่งสายฝนในพริบตา

    “ต่อให้เป็นแปดคุณชายเป่ยหลี แต่คิดใช้พลังของสามคนมาขัดขวางอำนาจใหม่ของเขตซีหนานไม่เพ้อฝันไปหน่อยหรือ!” เซียวลี่ตะโกนด้วยโทสะ พลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาในพริบตาและปล่อยหมัดใส่คุณชายชิงเกอ คุณชายชิงเกอใช้ปลายเท้าถอยหลบไปข้างหลังอย่างแผ่วเบา หลังคาที่อยู่ใต้เท้าถูกเซียวลี่ทำลายจนแหลกเป็นผุยผง ทว่าขลุ่ยเซียวในมือของคุณชายชิงเกอยังคงบรรเลงเพลงไพเราะและผ่อนคลายเช่นเดิม ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นเซียวลี่ที่อยู่ตรงหน้าอยู่ในสายตาเลย คุณชายชิงเกอหมุนตัวหนึ่งรอบ อาภรณ์สีขาวโฉบผ่านข้างกายเซียวลี่ลงไปยังข้างล่าง เซียวลี่ตะลึงงันพลันตะโกน “ขวางเขาไว้!”

    บนถนนที่ทอดยาวเหยียนเชียนซุ่ยยกปังตอของเขากระโดดเข้าหา ยายเจินขว้างเข็มเงินของนางออกไป!

    คุณชายชิงเกอเหยียบลงบนปังตอพันจวินเบาๆ ร่างของเหยียนเชียนซุ่ยก็ทรุดร่วงลงไปข้างล่าง ครั้นเบี่ยงตัวเล็กน้อยเข็มขัดหยกบนเอวชุดสีขาวก็สะบัดเบาๆ ฟาดเข็มเงินหลายร้อยเล่มร่วงลง เสียงกุ๊งกิ๊งของโลหะไม่กังวานนักราวกับกำลังประสานเสียงกับเพลงขลุ่ยนั้น คุณชายชิงเกอยืนอยู่บนปลายถนนสายยาว ในที่สุดบทเพลงก็เป่าจบ เขาลดขลุ่ยเซียวในมือลงและหันหลังให้พวกเซียวลี่พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากพลังของสามคนไม่พอ เช่นนั้นพลังของเจ็ดคนเล่า”

    เซียวลี่ตะลึงงัน พลังของเจ็ดคน? หรือว่า…เขาตกตะลึง ถามว่า “เพราะเหตุใด!”

    ทว่าคุณชายชิงเกอไม่คิดจะตอบเขา เพียงกระโดดทะยานจากไป

    “คิ้วขาว ต้องรายงานคุณหนูทันที” เหยียนเชียนซุ่ยเดินเข้ามาแล้วกล่าว

    ยายเจินส่ายหน้า “จำเป็นต้องรายงานนายท่านด้วย อีกนานเท่าไรกว่านายท่านจะมาถึง”

    เซียวลี่ถอนหายใจแผ่วเบา “นายท่านถูกคนถ่วงเวลาระหว่างทาง ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ออกเลยว่าเป็นใครที่มีความสามารถเช่นนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็รู้แล้ว คาดไม่ถึงว่าแปดคุณชายเป่ยหลีทั้งหมดจะลงมือ เพียง…เพื่อกู้เจี้ยนเหมินผู้นี้เท่านั้นหรือ”

     

    วัดซีรั่ว

    เหลยเมิ่งซามองสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเอือมระอา “สรุปคือเจ้าสมองเลอะเลือนขโมยใบถือครองที่ดินจากในบ้านมาหนึ่งใบ แล้ววิ่งหลายร้อยหลี่เพื่อมาเปิดร้านสุรา…ขายสุราจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

    ไป่หลี่ตงจวินส่ายหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “ข้าหมักสุรา พูดเช่นนี้ถึงจะถูก”

    เหลยเมิ่งซากล่าวกับซือคงฉางเฟิง “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีบิดาไม่มีมารดา เป็นคนพเนจรในยุทธภพ แค่บังเอิญผ่านมาเยือนเมืองไฉซัง และบังเอิญว่าที่นี่มีสถานที่ที่ดื่มสุราโดยไม่ต้องจ่ายเงิน กินดื่มโดยไม่มีค่าใช้จ่ายก็เลยพักอยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ”

    ซือคงฉางเฟิงเกาศีรษะ “ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่คำพูดช่วยอ้อมค้อมสักหน่อย…ได้หรือไม่”

    เหลยเมิ่งซาเอามือกุมหน้าผาก “สวรรค์ สมองข้าเป็นตะคริวแล้วใช่หรือไม่ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะเป็นคนที่เมืองเทียนฉี่ส่งมาสนับสนุน เป็นหมากสองตัวที่ถูกวางไว้ ทั้งยังคิดว่าหลายวันมานี้พวกเจ้าคงกุมข่าวกรองนับไม่ถ้วน ผลคือพวกเจ้าเป็นแค่…คนผ่านทางจริงๆ? แล้วไยข้าต้องมาเสียเวลาของตัวเองด้วย เสียเวลาปลอมแปลงฐานะตัวเองอย่างยากลำบากเพื่อถ่อมาช่วยพวกเจ้า ข้าจะบ้าตาย อย่าห้ามข้า ข้าจะเป็นบ้า”

    ไป่หลี่ตงจวินกับซือคงฉางเฟิงหันมามองหน้ากัน ที่แท้คุณชายจั๋วโม่พูดมากที่เขาเล่าลือกันจะหมายความว่าเขาแค่เป็นคนช่างจ้อเท่านั้นจริงๆ…ไป่หลี่ตงจวินปลอบใจอย่างอดไม่ได้ “พี่ใหญ่เหลย ท่านอย่าได้ทุกข์ใจไป หากที่นี่ต้องการความช่วยเหลือ…ข้าก็สามารถช่วยได้…”

    “ช่วยอันใด เจ้ารู้หรือไม่ว่าปู่เจ้าเป็นใคร เจิ้นซีโหวไป่หลี่ลั่วเฉิน เทพสังหารไป่หลี่ลั่วเฉิน! พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็ฝังกองทัพนับหมื่นคนของอีกฝ่าย! ข้ากล้าใช้หลานชายเขาไปทำเรื่องเสี่ยงตายได้หรือ เจ้าอย่ามาทำร้ายข้าเช่นนี้ แม้ว่าคฤหาสน์สกุลเหลยจะไม่ต้องการศิษย์อย่างข้า แต่ข้าก็ไม่อาจทำให้คนทั้งสกุลถูกฆ่าล้าง” เหลยเมิ่งซาส่ายหน้าถี่ๆ

    “เช่นนั้นข้าเล่า” ซือคงฉางเฟิงดันทวนในมือ

    เหลยเมิ่งซามองเขาอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าใกล้จะตายแล้ว เป็นตัวเลือกที่ดีอย่างแท้จริง”

    ซือคงฉางเฟิงตะลึงงัน มือที่กุมทวนสั่นเล็กน้อย

    เหลยเมิ่งซากุมขมับอย่างหัวเสียต่อ “เสียดายวิชาทวนห่วยเกินไปจริงๆ!”

    เหลยเมิ่งซาผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุเกือบสามสิบ วรยุทธ์นับว่าปราดเปรื่องน่าตะลึง แต่การพูดจาเมื่อเปรียบเทียบกับคนหนุ่มสองคนตรงหน้านี้แล้วดูเด็กกว่ามาก ไป่หลี่ตงจวินรู้สึกจนใจเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านว่า…ควรทำอย่างไร”

    “มีคน!” ซือคงฉางเฟิงตื่นตกใจ เขายกทวนขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างหน้าหนึ่งก้าว

    เสียงขลุ่ยเซียวดังขึ้นที่นอกลาน ทว่าเมื่อซือคงฉางเฟิงเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เสียงขลุ่ยเซียวก็มาอยู่ที่ข้างตัวเขาแล้ว

    เคลื่อนไหวเร็วมาก

    เหลยเมิ่งซาไม่ลนลาน เพียงแสร้งเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่แล้วกล่าวเสียงเบา “เจ้ามาแล้ว”

    เสียงขลุ่ยเซียวหยุดทันที คุณชายผู้สง่างามสวมอาภรณ์สีขาวตลอดทั้งตัวเดินเข้ามาในลาน ผ่านซือคงฉางเฟิงที่ถือทวนและมองอย่างดุร้ายราวกับเสือมายืนตรงหน้าเหลยเมิ่งซา เป็นคุณชายชิงเกอที่เมื่อครู่นี้ขวางเซียวลี่คิ้วขาวให้พวกเขานั่นเอง

    “ได้ยินเสียงเจ้ามาแต่ไกลแล้ว เจ้ากลับไม่กังวลว่าจะถูกคนหาพบเลยสักนิด” คุณชายชิงเกอส่ายหน้าพลางกล่าว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเคยชินกับพฤติกรรมของคุณชายพูดมากตรงหน้าผู้นี้แล้ว

    เหลยเมิ่งซาถอนหายใจยาว “ข้าเปิดเผยตัวเอง เพื่อช่วยคนผ่านทาง…สองคน”

    “ข้าน้อยไป่หลี่ตงจวิน” ไป่หลี่ตงจวินรีบทักทาย

    “ข้าชื่อซือคงฉางเฟิง” ซือคงฉางเฟิงเก็บทวนยาวแล้วกล่าว

    “ต่างเป็นชื่อที่ดี” คุณชายชิงเกอพยักหน้า แล้วเอ่ยถามไป่หลี่ตงจวิน “เจ้าแซ่ไป่หลี่?”

    “ปู่เขาคือไป่หลี่ลั่วเฉิน” เหลยเมิ่งซากล่าวต่ออย่างอารมณ์เสีย

    คุณชายชิงเกอตาเปล่งประกาย “หลานชายคนเดียวของจวนเจิ้นซีโหว?”

    “ท่านรู้จักข้า?” ไป่หลี่ตงจวินตกตะลึง

    คุณชายชิงเกอแย้มยิ้ม “ข้ามีสหายคนหนึ่งเป็นคนเมืองกานตง ท่านโหวน้อย…ในเมืองกานตงเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังมาก”

     

     

    บทที่ 11

    แขกมาด้วยเหตุอันใด

     

    เห็นรอยยิ้มแฝงนัยลึกซึ้งของคุณชายชิงเกอ ไป่หลี่ตงจวินก็เข้าใจทันที “พูดได้ดีๆ ที่จริงแล้วไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดหรอก อย่าไปฟังพวกเขาลือกัน อย่าได้เชื่อไปซะหมด…”

    “ไม่ต้องพูดไร้สาระให้มากแล้ว” จู่ๆ เหลยเมิ่งซาก็โพล่งขึ้นขัดการสนทนาของพวกเขา

    ทั้งสามคนต่างประหลาดใจและคิดเหมือนกันว่า คนที่พูดจาไร้สาระมากที่สุดในที่นี้คือเจ้าไม่ใช่หรือ

    เหลยเมิ่งซาไม่ได้สนใจสายตาของอีกสองคน เพียงถามคุณชายชิงเกอว่า “ลั่วเซวียน เหตุใดเจ้าก็มาด้วย”

    คุณชายชิงเกอลั่วเซวียนเลิกคิ้ว “ไม่ได้มีแต่ข้าที่มา พวกเขาก็มาด้วย”

    เหลยเมิ่งซาตะลึง “พวกเขาก็มาด้วย? อยู่ที่ใด”

    “นอกจากข้าที่มาสนับสนุนเจ้า คนที่เหลือกำลังไปทำเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า แน่นอนว่ายังมีเจ้านั่นที่ไม่ยอมออกห่างเมืองเทียนฉี่เป็นอันขาด เขารับผิดชอบวางหมากอยู่เบื้องหลัง” ลั่วเซวียนตอบ

    เหลยเมิ่งซายักไหล่ “ข้ายังคิดว่าเรื่องนี้มีข้าแค่คนเดียวที่ยินดีทำ เรื่องของเขตซีหนานเกี่ยวโยงถึงสำนักและสกุลมากมายเกินไป พวกเจ้าสอดมือ…”

    “เรื่องที่พวกข้าสอดมือ คนในสกุลย่อมไม่เห็นด้วย นอกจากศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากคฤหาสน์สกุลเหลยอย่างเจ้า พวกข้าไม่กี่คนที่เหลือไม่อาจมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้งได้ แต่พี่น้องก็ส่วนพี่น้อง สกุลก็ส่วนสกุล พวกข้ามาเพื่อพี่น้องเท่านั้น คนผู้นั้นในเมืองเทียนฉี่บอกว่ากู้เจี้ยนเหมินตายไม่ได้ นี่คือเส้นต้องห้ามของพวกเรา” คุณชายชิงเกอลั่วเซวียนรูปโฉมสง่างาม แต่ตอนที่กล่าวประโยคสุดท้ายกลับมีจิตสังหารอันน่าเกรงกลัวปรากฏออกมา

    “คนผู้นั้นในเมืองเทียนฉี่คือใครหรือ” ไป่หลี่ตงจวินอดถามไม่ได้

    เหลยเมิ่งซาแค่นเสียงทีหนึ่ง “ย่อมเป็นมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง* คุณชายเฟิงหวาผู้นั้น”

    “คุณชายเฟิงหวาผู้นี้นัดแขกคนหนึ่งให้พวกข้า ดูเหมือนว่าแขกจะมาแล้ว” ลั่วเซวียนหันหน้ามองออกไปนอกวัด

    ตรงนั้นไม่รู้ว่ามีสตรีสวมชุดสีแดงยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร รูปโฉมของนางงดงามยิ่ง แต่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ เย็นชาราวกับค่ำคืนฤดูสารท ทำให้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวอย่างไร้สาเหตุ

    “เป็นสตรีที่งดงามมาก” ซือคงฉางเฟิงกล่าวเสียงเบาหนึ่งประโยค

    ไป่หลี่ตงจวินพยักหน้า “งามจริงๆ แต่…เหมือนผีไปหน่อย”

    เหลยเมิ่งซามองปราดเดียวก็รู้ถึงฐานะของสตรีตรงหน้าและเอาตัวไปขวางอยู่ด้านหน้าสองคนนั้นอย่างตกใจพลางกล่าวเสียงเบา “พวกเจ้าเรียนนิสัยเสียปากมากมาจากข้ารึไง รู้หรือไม่ว่าแม่นางผู้นี้คือใคร อ้าปากก็กล้าแทะโลมตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ!”

    ลั่วเซวียนเดินเข้าไปทำความเคารพด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “คุณหนูเยี่ยน”

    คุณหนูเยี่ยนผู้นั้นพยักหน้า “คุณชายชิงเกอ คุณชายจั๋วโม่ ยินดีที่ได้พบ”

    “ก็ไม่นับว่าเจอหน้ากันครั้งแรกหรอก” เหลยเมิ่งซายิ้มกล่าว “ตลอดทางที่คุ้มกันคุณหนู พวกเราพบกันมาหลายครั้งแล้ว”

    ซือคงฉางเฟิงพลันกระจ่างแจ้ง “นางก็คือคนที่อยู่ในเกี้ยวเมื่อตอนกลางวัน!”

    คุณหนูเยี่ยนมองพวกเขาทีหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าก็คือคนหนุ่มสองคนในร้านสุราที่เซียวลี่พูดถึง นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังไม่ตาย ด้วยนิสัยของเซียวลี่ ควรจะส่งคนไปฆ่าพวกเจ้าทันทีถึงจะถูก”

    “ข้าช่วยพวกเขาไว้ ตั้งแต่ที่พวกคุณหนูออกเดินทางข้าก็แฝงตัวอยู่ในกลุ่มองครักษ์ของท่านมาโดยตลอด ข้าคือเสวียเจิ้ง” เหลยเมิ่งซากล่าว

    คุณหนูเยี่ยนส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้ว”

    เหลยเมิ่งซาขาอ่อนยวบและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “คุณหนูเยี่ยนช่างเหมือนกับคำเล่าลือจริงๆ เย่อหยิ่ง เย็นชา…ทว่าคุณหนูเยี่ยน เหตุใดจึงมาที่นี่ เดิมทีข้าคิดว่าพวกเราจะเป็นศัตรูกัน”

    ลั่วเซวียนพยักหน้า “เฟิงหวาแค่บอกข้าว่าที่นี่จะมีบุคคลสำคัญรอพวกเราอยู่ แต่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นจะเป็นคุณหนูเยี่ยน”

    ไป่หลี่ตงจวินกับซือคงฉางเฟิงต่างฟังอย่างงุนงง ไป่หลี่ตงจวินเกาศีรษะ “ขออภัย ตอนนี้ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ”

    เหลยเมิ่งซาถอนหายใจแล้วกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดร้านสุราของเจ้าถึงโดนไล่ที่”

    เมื่อนึกถึงสุราชั้นดีที่ถูกทำแตกในร้านเมื่อครู่ ไป่หลี่ตงจวินพลันเกิดโทสะขึ้นทันที “เพราะเหตุใด!”

    “เพราะว่าเขตซีหนานมีสองสกุลใหญ่ หนึ่งคือสกุลกู้แห่งร้านจินเฉียน อีกหนึ่งคือสกุลเยี่ยนแห่งกิจการมู่อวี้ ทั้งสองสกุลบางครั้งก็ดูแลร่วมกันอย่างปรองดอง บางครั้งก็ไม่ถูกกันดั่งน้ำกับไฟ หลายปีมานี้อิทธิพลดำและขาวของเขตซีหนานหากไม่ตกเป็นของสกุลกู้ก็ตกเป็นของสกุลเยี่ยน ต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนกู้ลั่วหลีผู้นำใหญ่สกุลกู้ถูกคนลอบสังหาร คนที่เหลือของสกุลกู้ที่สามารถทำหน้าที่ผู้นำสกุลได้ยังมีผู้อาวุโสอีกสองคน คือนายท่านสามกู้และนายท่านห้ากู้ อาทั้งสองคนของกู้ลั่วหลี และยังมีน้องชายของเขาอีกคนก็คือคุณชายหลิงอวิ๋นกู้เจี้ยนเหมิน หลังกู้ลั่วหลีตายได้ไม่ถึงสามวัน นายท่านสามกู้และนายท่านห้ากู้ก็กำหนดการแต่งงานให้เขา ฝ่ายเจ้าสาวคือเยี่ยนหลิวหลีบุตรีของสกุลเยี่ยน ซึ่งก็คือแม่นางผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า” เหลยเมิ่งซาอธิบาย

    ซือคงฉางเฟิงขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง “สกุลเยี่ยนวางแผนร่วมมือกับนายท่านสามและนายท่านห้าของสกุลกู้เพื่อสังหารกู้ลั่วหลี จากนั้นอาศัยการแต่งงานมาควบคุมสกุลกู้แห่งร้านจินเฉียนที่สูญเสียผู้นำสกุลใหญ่”

    “เจ้าหนุ่มเข้าใจเรื่องจิตใจอันโสมมของคนบนโลกนี้ลึกซึ้งมาก” เหลยเมิ่งซาตบบ่าเขา “เป็นเช่นนั้น นายท่านสามกู้กับนายท่านห้ากู้มีเพียงตำแหน่ง แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง หลายปีมานี้อยู่ในสถานะไร้งานทำในจวนสกุลกู้มาโดยตลอด พวกเขาคิดจะควบคุมสกุลกู้ผ่านทางสกุลเยี่ยน แม้ว่าจะต้องสูญเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งของเขตซีหนานก็ตาม”

    ไป่หลี่ตงจวินหันหน้าไปมองเยี่ยนหลิวหลี “มิน่าคนทั้งถนนถึงได้มีท่าทีแปลกไป ละแวกใกล้เคียงจวนสกุลกู้ล้วนถูกสกุลเยี่ยนควบคุมไว้หมดแล้ว”

    “เว้นแต่ใบถือครองที่ดินในมือเจ้าที่สกุลเยี่ยนเอามาไม่ได้” เยี่ยนหลิวหลีกล่าว “เดิมคิดว่าแค่หาเจ้าของไม่พบ แต่เจ้ากลับปรากฏตัวในเวลานี้ น่าแปลกมาก”

    “น่าแปลกจริงๆ นั่นล่ะ แต่สกุลเยี่ยนของพวกเจ้าน่าจะคาดไม่ถึงว่าใบถือครองที่ดินของร้านสุรานั้นอยู่ในจวนเจิ้นซีโหว ส่วนผู้ที่มาเปิดร้านสุราที่นี่ก็คือหลานชายคนเดียวของเขา” เหลยเมิ่งซายิ้มกล่าว

    เยี่ยนหลิวหลีตะลึงงัน “เจ้าคือคนของสกุลไป่หลี่?”

    ไป่หลี่ตงจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านปู่ของข้ามีชื่อเสียงขนาดนี้จริงๆ หรือ”

    “ไม่ใช่แค่ปู่ของเจ้า แน่นอนว่าปู่ของเจ้า ท่านโหวผู้เฒ่าคือเทพสังหารที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่บิดาของเจ้า มารดาของเจ้า ลุงของเจ้า ตาของเจ้า รวมถึงงูขาวตัวนั้นที่กำลังนอนอยู่บนหลังคาตอนนี้ก็ล้วนมีชื่อเสียงมาก” เหลยเมิ่งซาตบบ่าของไป่หลี่ตงจวิน

    “มีชื่อเสียงแบบใด” ไป่หลี่ตงจวินจากบิดามารดาเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา ปู่และบิดามารดาล้วนได้รับความรักความเคารพจากผู้อื่น ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าออกจากเมืองกานตงแล้วทุกคนก็ยังคงรู้จักชื่อของพวกเขาเช่นเดิม

    “ก็มีชื่อเสียงเหมือนกับเจ้าตอนอยู่เมืองกานตง” ผู้ที่ตอบครั้งนี้กลับเป็นคุณชายชิงเกอ เขาพูดจบก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเพิ่มอีกแปดพยางค์ “แว่วเสียงลมก็ขวัญหนีดีฝ่อ”*

    ไป่หลี่ตงจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “อย่าพูดถึงข้าเลย ข้ามีคำถาม ในเมื่อสกุลเยี่ยนเหนือกว่าสกุลกู้ เป็นอันดับหนึ่งของเขตซีหนาน ส่วนพวกท่านจะมาช่วยกู้เจี้ยนเหมิน ดังนั้นพวกท่านควรจะเป็นศัตรูกันถึงจะถูก เมื่อครู่นี้บริวารของคุณหนูสกุลเยี่ยนก็เข่นฆ่ากับพวกท่านไปยกหนึ่ง เหตุใดนางถึงแอบหนีมานัดเจอกับพวกท่านได้”

    เหลยเมิ่งซาประสานสองมือคารวะ “เป็นคำถามที่ดี”

    คุณชายชิงเกอลั่วเซวียนควงขลุ่ยเซียวในมือทีหนึ่ง “ข้าก็อยากถามเหมือนกัน”

    คุณหนูเยี่ยนมองพวกเขาอย่างสงบนิ่ง ก่อนกล่าวคำไม่กี่คำออกมาอย่างเชื่องช้า “เพราะว่า…ข้ารักเขา”

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook