• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 4

    บทที่ 12

    แผนซ้อนแผน

     

    ประโยคที่กล่าวว่า ‘ข้ารักเขา’ ของคุณหนูเยี่ยนทำเอาทุกคนตกตะลึง เมื่อครู่นี้พวกเขายังคุยกันเรื่องการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ บุญคุณความแค้นในยุทธภพ แต่พอคุณหนูเยี่ยนกล่าวว่า ‘ข้ารักเขา’ ก็ทำให้วิถีของเหตุการณ์ใหญ่นี้เปลี่ยนไปในทางอื่นอย่างกะทันหัน

    “เจ้า…รักใคร” เหลยเมิ่งซาลังเลครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยถาม

    “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรักกู้เจี้ยนเหมินจริง อย่าบอกนะว่าสกุลเยี่ยนของพวกเจ้าฆ่ากู้ลั่วหลีเพียงเพื่อเอื้ออำนวยให้สถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้เจ้าได้แต่งกับกู้เจี้ยนเหมิน เจ้า…บ้าไปแล้วรึไง” ไม่รอให้เยี่ยนหลิวหลีพูด เหลยเมิ่งซาก็กล่าวคำตอบที่ตัวเองคาดเดาออกมาก่อนแล้ว “เจ้า!”

    “หุบปาก” เยี่ยนหลิวหลีถลึงตามองเหลยเมิ่งซาอย่างอำมหิต

    “คนที่เจ้ารักคือกู้ลั่วหลี” ลั่วเซวียนกล่าว “ผู้นำสกุลใหญ่สกุลกู้ กู้ลั่วหลี”

    เยี่ยนหลิวหลีมองลั่วเซวียนทีหนึ่งโดยไม่ได้ปฏิเสธ แต่ความแค้นหลายส่วนที่แฝงอยู่ในดวงตาของนางกลับถูกลั่วเซวียนมองออกอย่างเฉียบแหลม ลั่วเซวียนแย้มยิ้ม “ดูเหมือนข้าจะทายถูก”

    “สกุลกู้แห่งร้านจินเฉียน สกุลเยี่ยนแห่งกิจการมู่อวี้ ทั้งสองสกุลบางครั้งก็ไม่ถูกกันดั่งน้ำกับไฟ บางครั้งก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตอนข้ายังเด็ก ทั้งสองสกุลนับว่าคบหากันมาหลายชั่วคน ข้ากับพี่ใหญ่กู้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ข้าชื่นชมเขา เคารพเขา ความชื่นชมเช่นนี้ ความเคารพนี้ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ หลายปีผ่านไปข้าเติบโตขึ้น เมล็ดก็โตขึ้นเช่นกัน ความชื่นชมและความเคารพก็กลายเป็นความรัก” สายตาของเยี่ยนหลิวหลีค่อยๆ เลื่อนลอยไปตามคำบรรยายของนาง “แต่ในตอนนั้นสกุลกู้กับสกุลเยี่ยนแย่งชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งของเขตซีหนานไม่หยุด ส่งผลให้ในตอนนี้ท่านพี่ของข้าฆ่าพี่ใหญ่กู้!”

    พอทุกคนได้ยินความโกรธแค้นในคำพูดของเยี่ยนหลิวหลีก็อดรู้สึกใจหายวาบไม่ได้ แม้แต่เหลยเมิ่งซาที่ช่างจ้อที่สุดก็ยังรู้สถานการณ์ไม่พูดต่อ มีเพียงไป่หลี่ตงจวินคนเดียวที่เอ่ยปาก “เช่นนั้นเหตุใดยังต้องมาร่วมพิธีแต่งงานนี้ด้วย”

    “ไม่มีใครรู้ว่าข้ารักพี่ใหญ่กู้ ท่านพี่คิดจะอาศัยการแต่งงานของข้าควบคุมทั้งสกุลกู้ เขาฆ่าคนรักของข้า ใช้ข้าเป็นหมากในการวางแผน ข้าจึงทำตามเจตนาของเขาชั่วคราว” เยี่ยนหลิวหลียิ้มอย่างเย็นชา

    “เจ้าเข้าร่วมแผนการก่อน เพื่อที่จะทำลายแผนการ?” เหลยเมิ่งซากล่าวเสียงขรึม

    “ใช่ ในวันพิธีแต่งงานเขาก็จะมา ทั่วทั้งเขตซีหนานเหล่าผู้ที่พอเรียกได้ว่าเป็นผู้นำสกุลใหญ่และเจ้าสำนักที่มีชื่อเสียงก็ล้วนมาทั้งหมด ในวันนั้นข้าจะไม่แต่งกับกู้เจี้ยนเหมิน แต่ท่านพี่ของข้า เขาต้องตาย” เยี่ยนหลิวหลีกล่าวเค้นสามคำสุดท้ายทีละคำ

    “ดังนั้นเจ้าจะร่วมมือกับพวกข้าหรือ” เหลยเมิ่งซาถาม

    “ตามแผนของท่านพี่ ข้าจะแต่งเข้าสกุลกู้ จากนั้นคุณชายรองกู้เจี้ยนเหมินผู้นำสกุลคนใหม่ของสกุลกู้จะป่วยตายอย่างรวดเร็ว ส่วนข้าก็จะรับช่วงดูแลสกุลกู้ในฐานะหญิงม่าย หากพวกเจ้าไม่ช่วยข้าไม่นานกู้เจี้ยนเหมินก็จะตาย” เยี่ยนหลิวหลียิ้มกล่าว “นี่คือข้อแลกเปลี่ยนที่พวกเจ้าไม่ทำไม่ได้”

    “เช่นนั้นต้องการให้พวกข้าทำอันใด” เหลยเมิ่งซาถาม

    “สหายคนอื่นๆ ของพวกเจ้าไม่นานก็จะส่งของชิ้นหนึ่งมาให้ นำของสิ่งนี้มาในพิธีแต่งงานของข้าในสามวันให้หลัง” เยี่ยนหลิวหลียิ้ม “จากนั้นเตรียมการฆ่าคนให้พร้อม”

    “ของอันใด” เหลยเมิ่งซากล่าวอย่างฉงน

    “ไม่นานพวกเจ้าก็จะรู้ แค่จำไว้เรื่องหนึ่ง ข้ากับพวกเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกัน ผู้วางหมากเบื้องหลังพิธีแต่งงานนี้ไม่ใช่ท่านพี่ของข้า แต่เป็นข้า” เยี่ยนหลิวหลีหมุนกายแล้วเดินออกไปจากลานอย่างช้าๆ

    ไป๋หลิวหลีที่นอนอาบแสงจันทร์อยู่บนหลังคาหมุนตัวแล้วห้อยตัวลงมา หัวงูขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้ากลุ่มคน ไป๋หลิวหลีแลบลิ้น มองไปทางไป่หลี่ตงจวิน ราวกับกำลังถามว่าจะให้กินสตรีที่ไม่มีมารยาทผู้นี้ไปเลยหรือไม่

    “พวกเจ้าต่างก็ชื่อหลิวหลีเหมือนกัน อย่ากินนางเลย” ไป่หลี่ตงจวินเดินไปตบหัวไป๋หลิวหลีเบาๆ “กลับไปนอนเถอะ”

    ไป๋หลิวหลีอ้าปาก พ่นไอสีขาวออกมาทีหนึ่งแล้วม้วนตัวกลับไปนอนขดบนหลังคาอีกครั้ง

    “เป็นสตรีที่ประหลาดจริงๆ” ซือคงฉางเฟิงที่กอดทวนยาวยืนดูอยู่ข้างๆ ตลอดมองไปยังเงาร่างที่ค่อยๆ จากไปไกลพลางกล่าวเบาๆ หนึ่งประโยค

    “สตรีที่สูญเสียคนที่ตนรัก ทั้งยังถูกคนในสกุลใช้ประโยชน์ ในใจเหลือเพียงความเคียดแค้น เจ้าคาดหวังว่านางจะมอบความประทับใจอันดีให้คนอื่นหรือ” เหลยเมิ่งซายักไหล่ “คนที่นางจะฆ่าคือพี่ชายของตัวเอง!”

    “จริงสิ” จู่ๆ เยี่ยนหลิวหลีที่ใกล้จะเดินไปถึงนอกลานก็หันกลับมา ทำเอาเหลยเมิ่งซากับซือคงฉางเฟิงตกใจ “ข้ามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง เบื้องหลังของท่านพี่ยังมีผู้อื่นยืนอยู่ แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นพวกเขา แต่ด้วยการช่วยเหลือจากคนพวกนี้ ท่านพี่จึงฆ่าพี่ใหญ่กู้ให้ตายได้” หลังจากกล่าวประโยคสุดท้ายจบเยี่ยนหลิวหลีก็หมุนกายเดินออกจากวัดในที่สุด

    “แผนซ้อนแผน นอกแผนยังมียอดฝีมืออีก” เหลยเมิ่งซาเอามือกุมหน้าผาก “น่าปวดหัวเสียจริง”

    “นำของสิ่งนั้นไปในพิธีแต่งงานของนาง นำไปทำอันใดหรือ” ไป่หลี่ตงจวินถามอย่างสงสัย

    ลั่วเซวียนแย้มยิ้ม ชูสองนิ้วขึ้นมา “สองคำ ชิงเจ้าสาว”

    “ชิงเจ้าสาว ชิงใคร” ไป่หลี่ตงจวินขมวดคิ้ว

    “ข้ากับลั่วเซวียน รวมถึงกู้เจี้ยนเหมินต่างก็เป็นแปดคุณชายเป่ยหลี คบหากันเสมือนพี่น้อง พวกข้าย่อมไม่อาจไปชิงเจ้าสาวของเขา หากเรื่องแพร่ออกไป แปดคุณชายเป่ยหลีคงได้เปลี่ยนชื่อเป็นแปดรองเท้าขาด* แห่งเป่ยหลีกันพอดี ส่วนน้องซือคงผู้นี้…” เหลยเมิ่งซาเผยสีหน้ารับไม่ได้

    ซือคงฉางเฟิงสะบัดทวนหนึ่งที “เป็นข้าแล้วอย่างไรหรือ”

    “จอมยุทธ์พเนจรต้องการชิงตัวบุตรีของสกุลอันดับหนึ่งแห่งเขตซีหนาน เรื่องราวเช่นนี้ชอบเขียนกันในหนังสือนิทาน แต่หากเกิดที่เขตซีหนานจริงๆ เจ้าได้ถูกคนเอามีดสับเละจนตายแน่” เหลยเมิ่งซามองไป่หลี่ตงจวินด้วยรอยยิ้มที่แฝงเจตนาไม่ดี “ดังนั้น…”

    “ข้า?” ไป่หลี่ตงจวินตะลึงงัน

    “เจ้าเป็นหลานชายคนเดียวของเจิ้นซีโหว ว่ากันด้วยเรื่องชาติกำเนิด เจ้าใหญ่โตกว่าสกุลกู้แห่งร้านจินเฉียนกับสกุลเยี่ยนแห่งกิจการมู่อวี้รวมกันซะอีก ว่าด้วยเรื่องหน้าตา เจ้าก็ไม่ได้แย่ไปกว่าคุณชายหลิงอวิ๋นกู้เจี้ยนเหมิน เหตุใดจะชิงเจ้าสาวไม่ได้” เหลยเมิ่งซาย้อนถาม

    ไป่หลี่ตงจวินส่ายหน้า “แต่ข้ามีคนที่ชอบแล้ว!”

    “หา?” เหลยเมิ่งซาเลิกคิ้ว

    “หา?” ซือคงฉางเฟิงสะบัดทวนอีกทีหนึ่ง

    “หา?” ลั่วเซวียนหมุนดอกชาสีทองในมือเบาๆ

    “ตอนอายุสิบสองข้าก็ได้พบนาง นางคือหญิงสาวที่งามที่สุดที่ข้าเคยเจอ” ไป่หลี่ตงจวินหน้าแดงเล็กน้อย

    “งามเพียงใด” เหลยเมิ่งซาถาม

    “งามประดุจเทพธิดา ยืนสง่าปะทะลม* ความงามไม่มีใครเทียบ!” ไป่หลี่ตงจวินตอบ

    “เทียบกับแม่นางเมื่อครู่เป็นอย่างไร” เหลยเมิ่งซาถามอีก

    “เงินทองจะเทียบกับหยกงามได้อย่างไร” ไป่หลี่ตงจวินย้อนถาม

    “เช่นนั้นนางชื่อใด” เหลยเมิ่งซาซักถามต่อ

    “ข้าไม่รู้ นางบอกรอให้ถึงวันที่ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้าก็จะมาหาข้าเอง” ไป่หลี่ตงจวินตอบ

    “อ๋อ” เหลยเมิ่งซากระจ่างแจ้ง “ดังนั้นเจ้าก็เลยแอบหนีออกมา เจ้าอยากมีชื่อเสียง เจ้าอยากอาศัยวิชาหมักสุราของตัวเองให้โด่งดังทั่วใต้หล้า!”

    “ใช่” ไป่หลี่ตงจวินตอบตามตรง

    “หมักสุราในเมืองไฉซังจะมีชื่อเสียงโด่งดังได้สักเท่าไรเชียว แต่หากเจ้าบุกงานแต่งงานแล้วแย่งคุณหนูใหญ่สกุลเยี่ยนไปจากมือของกู้เจี้ยนเหมิน ทั่วทั้งเขตซีหนานก็จะรู้จักเจ้า! เจ้าคิดว่าคุณหนูสกุลเยี่ยนคิดจะแต่งกับเจ้าจริงๆ หรือ พอนางล้างแค้นเสร็จ ไยจะต้องไปคิดถึงมากเรื่องการแต่งงานอีก” เหลยเมิ่งซามองไป่หลี่ตงจวินแล้วพูดฉอดๆ ไม่หยุด

    ไป่หลี่ตงจวินตะลึงงัน “ก็ใช่…”

    “มีชื่อเสียงแล้วก็ไม่ต้องแต่งงาน ทั่วทั้งเขตซีหนานก็จะเหลือเพียงคำเล่าลือของเจ้า…” เหลยเมิ่งซาทำสายตาโน้มน้าว

    ลั่วเซวียนมองซือคงฉางเฟิงที่กำลังตะลึงจนตาค้างด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดถึงเรียกว่า ‘จั๋วโม่พูดมาก’ แล้วสินะ”

    “เพราะว่าเขาไม่เพียงแค่พูดมาก แต่ยังพูดกลับดำเป็นขาวได้ เขาคือคนที่อาศัยเพียงปากเดียวก็ลักพาตัวผู้สืบทอดกระบี่ซินสำเร็จ”

     

     

    บทที่ 13

    ฝันถึงแรกพบ

     

    หิมะปลิวว่อน ดอกท้อแบ่งบาน

    ทิวทัศน์ตระการตาสองประเภทที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้กลับปรากฏภายในลานแห่งเดียวกัน

    ในโลกนี้มีเพียงลานแห่งเดียวที่มีความมหัศจรรย์เช่นนี้

    ทว่าทิวทัศน์ต่อให้งดงามเพียงใด มองมากไปก็น่าเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มอายุสิบสองนอนอยู่บนต้นท้อ ศีรษะเอียงเล็กน้อยคล้ายกำลังเมามาย มือข้างหนึ่งแกว่งเบาๆ ไม่นานจอกสุราหยกขาวก็ร่วงลงจากมือ

    เมื่อเห็นจอกสุราร่วงลงมาจากต้นไม้ ชายชราชุดขาวเครายาวผู้อยู่ใต้ต้นไม้ก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง จอกสุราพลันแตกกระจายกลายเป็นดอกท้อ

    “ผู้ใช้วิชามายาที่เก่งกาจที่สุดในโลก กู่เซียนเซิงชื่อเสียงสมคำเล่าลือ” เสียงเอ่ยชมดังขึ้น จากนั้นคนสวมชุดคลุมสีดำสองคนก็กระโดดลงมาในลาน

    อาจารย์ที่ถูกเรียกว่ากู่เซียนเซิงไม่เงยหน้าขึ้น เพียงยื่นมือไปลูบไล้กู่ฉิน* บนโต๊ะหินตรงหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจกล่าว “ศิษย์น้อยผู้นี้ของข้าถูกพวกเจ้าทำร้ายบาดเจ็บรึ”

    “พวกข้าแค่อยากจะเชิญเขาไปที่แห่งหนึ่ง ศิษย์ผู้นี้ของท่านชีพจรยอดเยี่ยมเลิศล้ำโดยกำเนิด ไม่ฝึกยุทธ์ แต่กลับหมักสุรา ช่างน่าเสียดาย” น้ำเสียงของผู้มาเยือนชุดดำค่อนข้างแหบ

    “เจ้าลูกศิษย์ รู้สึกเสียดายหรือไม่” กู่เซียนเซิงยิ้มพลางถาม

    เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่ตอบ เพียงเรอสุราออกมาดังๆ ทีหนึ่ง บิดขี้เกียจทีหนึ่ง ดอกท้อเต็มต้นร่วงพรู

    “ดูเหมือนจะไม่ได้เสียดายเช่นนั้น” กู่เซียนเซิงดีดสายกู่ฉิน ส่งเสียงดังกังวาน “ข้ากับเจ้าสำนักของพวกเจ้านับว่าเป็นสหายเก่ากัน ไปซะ ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า”

    “กู่เซียนเซิงพูดจาใหญ่โตนัก ท่านคือผู้ใช้วิชามายาที่เก่งกาจที่สุดในโลก แต่เรื่องฆ่าคนไม่สามารถที่จะทำได้” มือของผู้มาเยือนชุดดำเคลื่อนไปที่ข้างเอวอย่างช้าๆ “เรื่องนี้เกรงว่าพวกข้าจะถนัดกว่าท่าน”

    “สามหาว!” กู่เซียนเซิงเลิกคิ้วและดีดสายกู่ฉินทันใด เมื่อเสียงกู่ฉินดังขึ้นมีดเล็กที่อยู่ข้างเอวผู้มาเยือนชุดดำก็เด้งออกจากฝักเอง ผู้มาเยือนตกตะลึง ครั้นจะยื่นมือจับกระบี่ก็พบว่ามีมือหนึ่งแย่งจับด้ามกระบี่ไว้ก่อนแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าก็เห็นว่ากู่เซียนเซิงมายืนอยู่ด้านหลังเสียแล้ว

    “อันใดคือจริง อันใดคือเท็จ วิชามายาในโลก ต่อให้ลวงตาเพียงใดก็ยังมีอยู่ อย่างไรก็คือของจริง” กู่เซียนเซิงคว้ามีดเล็กเล่มนั้นจี้ไปยังต้นคอของผู้มาเยือนชุดดำอย่างรวดเร็ว “เป็นอย่างไร”

    ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยตี๋** ก็ดังขึ้น

    ดอกท้อร่วงพรูลงมาทั้งต้น

    ประตูของลานถูกเคาะอีกครั้ง

    กู่เซียนเซิงยิ้มเล็กน้อยและเดินกลับไปที่ข้างกู่ฉิน เมื่อเขาหักมีดเล็กเล่มนั้น มันก็กลายเป็นดอกท้อหนึ่งกำมือ ก่อนกระจัดกระจายไปตามสายลม

    ผู้มาเยือนชุดดำเหงื่อเย็นเปียกโชกทั้งตัวพลางคิดในใจ นี่เรียกว่าวิชามายาที่ไหนกัน เรียกว่าวิชามารถึงจะถูก

    กู่เซียนเซิงหันไปมองเด็กหนุ่มบนต้นไม้ “ศิษย์ข้า เป็นอย่างไรบ้าง วรยุทธ์ภายใต้วิชามายานี้ของอาจารย์พอได้หรือไม่ อยากเรียนหรือไม่”

    “ไม่เรียนๆ” เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะลืมตา เพียงโบกมือเบาๆ เท่านั้น

    “กู่เซียนเซิง มีแขกมาเยือน ยินดีไปต้อนรับหรือไม่” ข้างนอกมีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งเรียกเบาๆ เสียงนั้นราวกับกระดิ่งเงินที่โดนลมพัด ช่างไพเราะยิ่ง

    “เชิญ” กู่เซียนเซิงสะบัดมือเบาๆ ประตูใหญ่พลันเปิดออก

    รถม้าหรูหราตระการตาคันหนึ่งหยุดอยู่ที่นอกประตู ยอดอาชาสีขาวทั้งตัวก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ สาวใช้ชุดครามที่นั่งขับรถอยู่ข้างหน้ามีใบหน้าองอาจห้าวหาญ พกพาความหยิ่งทะนง ราวกับทิวทัศน์ตระการตาเมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วกลับเป็นเรื่องธรรมดา เสียงขลุ่ยตี๋อันไพเราะดังมาจากในเกี้ยว

    สายตาของกู่เซียนเซิงมีความประหลาดใจพาดผ่าน “เดิมคิดว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแขกที่มีเกียรติถึงเพียงนี้”

    “เซียนเซิงเกรงใจแล้ว” สาวใช้ชุดครามเอ่ยขึ้น “ลูกน้องไม่เชื่อฟังคำอบรม กระทำโดยพลการจนล่วงเกินเซียนเซิง หวังว่าจะยอมให้อภัย โปรดไว้ชีวิตพวกเขา”

    “ข้าไม่ฆ่าคนมานานมากแล้ว” กู่เซียนเซิงแย้มยิ้มพลางลูบกู่ฉินเบาๆ เสียงกู่ฉินไม่ได้มีไอสังหารเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป กลับเป็นเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลราวกับกำลังสอดประสานกับเสียงขลุ่ยตี๋ “เพียงแต่ข้ากำลังฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างสงบอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้มีใครมารบกวนอีกจริงๆ”

    “ภายในห้าปีพวกข้าจะไม่ส่งคนมาที่เมืองกานตงอีก” สาวใช้ชุดครามกล่าว “ไม่ทราบว่าเซียนเซิงยินดีหรือไม่”

    “ห้าปี” กู่เซียนเซิงลูบกู่ฉินพลางตอบ “ก็ไม่รู้ว่าข้าจะอยู่ได้ถึงห้าปีหรือไม่”

    เสียงขลุ่ยตี๋พลันหยุดลง

    จู่ๆ ผู้มาเยือนชุดดำทั้งสองคนก็คุกเข่าสองข้างและก้มศีรษะจรดพื้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ดูคล้ายกำลังหวาดกลัว

    ม่านของรถม้าพลันถูกเลิกขึ้น

    หญิงสาวผู้สวมผ้าโปร่งสีขาวก้าวเท้าลงมาจากรถ

    ในชั่วพริบตานั้นดอกท้อภายในลานก็ราวกับหม่นมัวลง คงเพราะรู้ว่าต่อให้ตนบานสะพรั่งอย่างไรก็สู้รูปโฉมของนางไม่ได้

    หิมะกลับตกหนักขึ้นมาหลายส่วน คงเพราะเห็นผิวพรรณอันขาวผ่องราวกับหยก จึงคิดว่าเป็นเทพธิดาที่มาจากต่างแดน

    ดวงตางดงามกะพริบราวกับสายน้ำสะอาดกระเพื่อมไหว นางชำเลืองเล็กน้อยเพื่อมองเด็กหนุ่มที่อยู่บนต้นท้อ

    จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเมื่อถูกมอง และร่างของเขาก็ตกลงมาจากต้นไม้

    เด็กหนุ่มไม่มีท่าทางเกียจคร้านเหมือนเซียนผู้เมามายอีกต่อไป ร่างเขาสั่นไปทั้งตัว แววตากระจ่างใสมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตะลึงงัน “เจ้า…เจ้าคือใคร”

    หญิงสาวแย้มยิ้ม “เช่นนั้นหนุ่มน้อย เจ้าเป็นใครกัน”

    “เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ บิดาของข้าชื่อไป่หลี่เฉิงเฟิง มารดาชื่อเวินลั่วอวี้ ปู่คือเจิ้นซีโหว ทั่วทั้งเมืองต่างรู้จักข้า” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ

    “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า พวกเขาไม่ใช่เจ้า ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” หญิงสาวแย้มยิ้ม

    “ข้าชื่อไป่หลี่ตงจวิน” ชายหนุ่มตอบ รอยยิ้มของหญิงสาวคนนั้นทำให้เขาหลงใหล

    “ตงจวิน* พร้อมป้ายหยกข้างเอวส่งเสียงกริ๊งกริ๊ง ราชรถชิงอวี้เคลื่อนผ่านด่านทั้งเก้าเมืองอย่างเนิ่นนาน จึงเชื่อแดนสวรรค์ไพศาลพันหมื่นหลี่ ลมวสันต์ยังไม่เยือนแดนมนุษย์ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ เจ้าเคยได้ยินบทกวีนี้หรือไม่” หญิงสาวถาม

    “ตงจวินพร้อมป้ายหยกข้างเอวส่งเสียงกริ๊งกริ๊ง ราชรถชิงอวี้เคลื่อนผ่านด่านทั้งเก้าเมืองอย่างเนิ่นนาน…” ชายหนุ่มเอ่ยประโยคนี้ซ้ำเบาๆ ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหลงใหล

    “เฮ้ยๆๆ เลิกท่องได้แล้วๆ ตอนเช้าหนวกหูจะตาย” เสียงหนึ่งดังมาในอากาศ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกผลักแรงๆ ทีหนึ่ง ดอกท้อและหิมะตกสลายหายไปในพริบตา เขาลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนพบว่าตัวเองอยู่ในวัดอันเงียบเหงาแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะมีดอกท้อ ไหนเลยจะมีหิมะตก ยิ่งกว่านั้นจะมีคนงามได้อย่างไร

    มีเพียงจอมยุทธ์พเนจรที่ไม่เอาใจใส่เรื่องรูปลักษณ์การแต่งกายคนหนึ่งกำลังมองตนอย่างทนรำคาญไม่ไหว “ฝันเห็นคนงามหรือ”

    ไป่หลี่ตงจวินยังไม่ได้สติจากฝัน “ข้าจะฝันเช่นนี้หรือ ข้าแค่ดื่มสุราในฝันเท่านั้น!”

    ซือคงฉางเฟิงส่ายหน้า “เช็ดน้ำลายตรงมุมปากของเจ้าแล้วค่อยคุย”

    ไป่หลี่ตงจวินยื่นมือไปลูบ พอสัมผัสถึงความเปียกแฉะก็รีบใช้แขนเสื้อเช็ดแรงๆ

    “เจ้าอายุไม่มาก แต่ความลุ่มหลงในรักกลับมีไม่น้อยเลย ข้าเห็นแม่นางเยี่ยนเมื่อวานนี้ รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ยังเทียบกับคนรักในฝันของเจ้าไม่ได้เลยหรือ” ซือคงฉางเฟิงถาม

    ไป่หลี่ตงจวินมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามีคนที่ชอบหรือไม่”

    ซือคงฉางเฟิงแย้มยิ้ม “ข้าไม่ชอบสตรี”

    ไป่หลี่ตงจวินตะลึงงัน ก่อนกระเถิบไปข้างหลังหนึ่งชุ่นเบาๆ

    ซือคงฉางเฟิงดุแกมหยอก “ข้าแค่จะบอกว่าข้าไม่ชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ น่ารำคาญพวกนั้น ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย!”

     

     

    บทที่ 14

    คุณชายผู้งามเลิศ

     

    ขณะเด็กหนุ่มสองคนกำลังหยอกล้อเกี่ยวกับเรื่องความรักอยู่ในวัด ด้านนอกวัดคุณชายสองคนที่อายุมากกว่าหน่อยกำลังรับจดหมายจากนกพิราบสื่อสารที่ส่งมาจากแดนไกล

    “คนผู้นั้นพูดอันใดอีก” เหลยเมิ่งซาเบ้ปาก “ครั้งนี้มีสิ่งใดให้พวกเราตกใจอีก”

    “บนจดหมายจากนกพิราบสื่อสารบอกว่า บุตรสาวคนเล็กของเจ้าหนีออกจากบ้านแล้ว!” ลั่วเซวียนขมวดคิ้วกล่าว

    “ว่าอย่างไรนะ! เกิดอันใดขึ้น!” เหลยเมิ่งซาแย่งจดหมายมา พอเปิดดูโทสะก็เดือดดาลในพริบตา ก่อนใช้เท้าถีบลั่วเซวียนไปทีหนึ่ง “ฉายาสง่างามเช่นเจ้า เหตุใดถึงพูดจาล้อเล่นได้น่าเบื่อเช่นนี้! บนนี้มีตรงที่ใดเขียนถึงบุตรสาวข้า หา? เจ้าอ่านให้ข้าฟังซิ!”

    “ฮ่าๆๆ แค่ผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้นเอง” ลั่วเซวียนยิ้มกล่าว “ข้ามีนิสัยตามใจตัวเองตั้งแต่เกิด แต่เรื่องหลายวันมานี้ทำให้จิตใจตึงเครียดเกินไปหน่อย ทว่าดูที่จดหมายบอกสิ เหมือนกับที่คุณหนูสกุลเยี่ยนบอกไว้เลย เบื้องหลังสกุลเยี่ยนมีขุมอำนาจหนึ่งคอยสนับสนุนอยู่ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสกุลเยี่ยนผู้นี้จะมีฝีมือจริงๆ แต่อีกฝ่ายเป็นคนประเภทใดกัน แม้แต่คนผู้นั้นในเมืองเทียนฉี่กับบุตรีที่อยู่ในสกุลเยี่ยนมาหลายปีก็คาดเดาความเป็นมาไม่ได้”

    “สำนักอั้นเหอ?” เหลยเมิ่งซาขมวดคิ้วกล่าว

    “เป็นไปได้อยู่เหมือนกัน” ลั่วเซวียนอ่านจดหมายฉบับนั้นอีกรอบ “แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าหลิ่วเยวี่ยนั่นก็ยอมลงมือด้วย ข้ายังคิดว่านอกจากเจ้าบ้าตำราที่ไม่มีความสามารถจะช่วยเหลือใครก็คงมีเขาที่ยอมช่วยเหลือแม้ไม่ยินดี แต่บนจดหมายบอกว่าแม้แต่หลิ่วเยวี่ยก็ไม่แน่ว่าจะทำเรื่องนี้สำเร็จ…คนที่อยู่เบื้องหลังนี้แข็งแกร่งเพียงใดกัน สำนักอั้นเหอหรือ…แต่การกระทำของคนพวกนี้ดูไม่ปกปิด ไม่เหมือนสำนักอั้นเหอเลย”

    “วางใจเถอะ” เหลยเมิ่งซากล่าวอย่างทะนง “แปดคุณชายเป่ยหลีไม่เคยร่วมมือกันเช่นนี้ ต่อให้เมืองอู๋ซวงมาก็ไม่กลัวหรอก!”

    “แต่เขาบอกว่าหลิ่วเยวี่ยเองก็อาจทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นหากไม่สำเร็จจริงๆ จะทำอย่างไร” ลั่วเซวียนกล่าวอย่างกังวล

    “ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ต้องมีแผนสำรอง”

     

    ไกลออกไปสามร้อยหลี่

    บนถนนหลวง

    รถม้าสีดำตลอดทั้งคันที่ยาวอย่างหาใดเปรียบกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ข้างรถม้ายังมีนักดาบหกคนขี่ยอดอาชาคุ้มกัน ลักษณะท่าทางแข็งแกร่งน่ายำเกรง ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไปผู้คนเห็นแล้วเป็นต้องพากันถอยหนี

    จนกระทั่งเกี้ยวหรูหราหลังหนึ่งปรากฏขึ้นบนถนนหลวงอย่างฉับพลัน

    เกี้ยวผู้ใดกันถึงมาวิ่งบนถนนหลวงได้ บนถนนหลวงล้วนมีแต่ยอดอาชาที่ควบไปอย่างรวดเร็ว เกี้ยวเช่นนี้เดินทางได้ไม่กี่หลี่ก็คงถูกเหยียบจนแหลกแล้วกระมัง คาดว่านอกจากลูกหลานสกุลสูงส่งที่สมองผิดปกติแล้ว คงไม่มีคนโง่เขลาที่ใดคิดทำเรื่องเช่นนี้

    “หลบไป!” นักดาบที่เป็นหัวหน้าขบวนคุ้มกันรถม้าตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

    เกี้ยวนั้นถูกยกไปข้างหน้าต่ออีกสองสามก้าวก่อนจะหยุดลง ผู้ที่ยกเกี้ยวคือชายหนุ่มรูปงามทั้งสี่ ด้วยหน้าตาอันงดงามของพวกเขา การมาเป็นคนแบกเกี้ยวนั้นออกจะดูแปลกเกินไปจริงๆ ด้านหน้าของเกี้ยวยังมีเด็กชายเดินนำทาง เด็กคนนี้สวมอาภรณ์งดงามหรูหราและมองหัวหน้าขบวนคุ้มกันรถม้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “ข้าบอกให้หลบ! ได้ยินหรือไม่!” หัวหน้าขบวนคุ้มกันรถม้าตะโกนอีกครั้ง ทว่าเกี้ยวหลังนั้นกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจึงควบม้านำไปข้างหน้า มือขวายกดาบในมือทำท่าจะบั่นคอเด็กชายผู้นำทางคนนั้น

    “บังอาจ!” เด็กชายตะโกนด้วยโทสะ

    ทันใดนั้นใบไม้ทองกำหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเกี้ยวและหมุนวนกลางอากาศ หลังวนรอบหนึ่งก็ลอยกลับไปในเกี้ยว

    ม้าของหัวหน้าขบวนคุ้มกันวิ่งผ่านเกี้ยวหรูหราหลังนั้นไป ก่อนเฉออกไปทางข้างถนน และยิ่งห้อเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนหัวหน้าขบวนคุ้มกันพลัดตกศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างจัง เลือดสดพุ่งกระฉูดขึ้นฟ้า ชายรูปงามทั้งสี่ยกเกี้ยวถอยหลังไปข้างทางหนึ่งชุ่นเพื่อหลบเลือดเหล่านั้น

    “หยุดก่อนๆ!” ผู้คุ้มกันที่เหลือเห็นสถานการณ์จึงรีบดึงบังเหียนม้าให้หยุด

    “ผู้ที่มาคือใคร” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งซึ่งมีหนวดเคราเต็มใบหน้าตะโกนถาม

    เด็กชายผู้นั้นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “คุณชายของพวกเราบอกว่าทิ้งของในรถม้าไว้ แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

    “คุณชายเจ้าวาจาใหญ่โตนัก รู้หรือไม่ว่าพวกข้าคือคนของสกุลเยี่ยนแห่งเขตซีหนาน ล่วงเกินพวกข้าจะมีจุดจบอย่างไร เกรงว่าพวกเจ้าคงยังไม่รู้” ผู้คุ้มกันที่ไว้เคราแค่นเสียงกล่าว

    เด็กชายคนนั้นตะโกนเสียงดัง “คุณชายบอกว่าสกุลเยี่ยนแห่งเขตซีหนานเป็นแค่ผายลม!”

    ภายในเกี้ยวมีเสียงอันไพเราะกล่าวขึ้นเบาๆ หนึ่งประโยค “ข้าไม่ได้พูด”

    เด็กชายกระซิบตอบ “คุณชายท่านต้องอยากพูดเช่นนี้แน่ขอรับ”

    ผู้คุ้มกันที่ไว้เคราตะลึงงัน “ในเมื่อคุณชายของพวกเจ้าไม่กลัวพวกข้าสกุลเยี่ยนแห่งกิจการมู่อวี้ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กล้าขานชื่อสกุลออกมาเล่า”

    “คุณชายของพวกเรา…” เด็กชายกล่าวเสียงใส

    “จะมัวพูดจาไร้สาระให้มากความอยู่เพื่ออันใด เข้าไปจัดการพวกมันเลย!” คนในเกี้ยวตัดบทเด็กชายเสียงเบา

    เด็กชายเพิ่งจะพูดได้ครึ่งหนึ่งก็โดนขัดจึงหงุดหงิดขึ้นมา ตอบกลับเสียงเบาว่า “คุณชาย ท่านให้ข้าพูดจบก่อนขอรับ” จากนั้นก็เงยหน้าพูดต่อ “คุณชายของพวกเราบอกว่าไม่อยากพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้า ให้ข้าตีพวกเจ้า!”

    ยังไม่ทันสิ้นเสียงเด็กชายก็โดดทะยานออกไป เพียงทะยานไม่กี่ทีเขาก็มาถึงตรงหน้าผู้คุ้มกันไว้เครา จากนั้นก็กระโดดสูงๆ แล้วปล่อยหนึ่งหมัดไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย

    ผู้คุ้มกันที่ไว้เคราตะลึงงันและชักดาบออกมาประจัญทันที

    ทว่ากำปั้นของเด็กชายที่ขนาดเท่าซาลาเปาลูกหนึ่งกลับต่อยดาบของเขาจนแตกเป็นสามส่วน พลังเทพโดยกำเนิดนี้ยังทำให้ผู้คุ้มกันไว้เคราร่วงตกลงจากหลังม้าและหวาดกลัวจนทิ้งดาบเตรียมหนีทันที เด็กชายเองก็ไม่ไล่ตามไป เพียงหัวเราะเบาๆ แล้วกระโดดทะยานไปยังข้างรถม้า แต่พอยื่นมือคิดจะเปิดม่านรถม้าออก ม่านกลับฉีกขาดกระจุยในพริบตาด้วยกงจักรวงหนึ่งที่ฝ่าทะลวงอากาศออกมา เด็กชายรีบถอยหลังทันใด ทว่าเสื้อส่วนด้านหน้าก็ยังถูกกรีดจนขาดวิ่น เขากัดฟันแล้วหันหน้าไป “คุณชาย!”

    ม่านของเกี้ยวถูกเลิกขึ้น

    พัดจีบเล่มหนึ่งลอยออกมา

    เด็กชายรีบก้มตัว พัดจีบเล่มนั้นลอยข้ามศีรษะเขาและกระแทกกงจักรกลับไป จากนั้นพัดจีบก็ดีดกลับมาตามแรงปะทะ เด็กชายคว้าพัดจีบเอาไว้และอาศัยแรงดีดนั้นลอยกลับมาอยู่ข้างเกี้ยว

    “คุณชาย คนผู้นั้นร้ายกาจมาก” เด็กชายกล่าวด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย

    ผู้ที่ใช้กงจักรเดินออกมาจากรถม้า เขาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางเย็นชา สวมชุดคลุมยาวสีดำตลอดทั้งตัว กงจักรของเขามีขนาดใหญ่มาก ทว่ามือที่ถือนั้นกลับผอมแห้งและซีดเซียว ดูไม่เข้ากันอย่างยิ่ง

    “เจ้าไม่ใช่คนสกุลเยี่ยน เจ้าคือใคร” คุณชายในเกี้ยวถามเสียงเบา

    “ข้ากลับรู้ว่าเจ้าคือใคร” เสียงของคนผู้นั้นแหบแห้งจนน่ากลัว “ในคำเล่าลือกล่าวว่าเจ้ามีรูปโฉมที่งามเลิศแห่งยุค ด้วยเหตุนี้จึงไม่ชอบที่ผู้อื่นมองหน้าเจ้า ดังนั้นหากไม่เผยใบหน้าได้ก็จะไม่เผย อีกทั้งเวลาเดินทางก็จะมีชายหนุ่มรูปงามสี่คนแบกเกี้ยว และเด็กชายนำทางหนึ่งคนคอยถ่ายทอดคำพูดให้ นอกจากนี้เจ้ายังเป็นพวกรักสะอาดอย่างที่สุด แม้แต่จะย่างเท้าออกจากเกี้ยวมาเดินบนพื้นก็ไม่ยินยอม”

    “คุณชาย ทำอย่างไรดี ถูกคนมองออกแล้วขอรับ บอกแต่แรกแล้วว่าอย่าทำตัวพิถีพิถันเช่นนั้น มันบ่งบอกชัดเจนเกินไปแล้ว” เด็กชายขมวดคิ้วกล่าว

    “ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ฐานะของข้า แต่ครู่ต่อมาคนอื่นก็รู้แล้ว นี่แสดงว่าพวกเรามีชื่อเสียงมาก” คุณชายในเกี้ยวกล่าวเสียงเบา

    เด็กชายพยักหน้า กล่าวกับชายที่ถือกงจักรผู้นั้น “ไม่ผิด พวกข้าก็คือคุณชายหลิ่วเยวี่ยผู้ที่ในทำเนียบคุณชายยกย่องว่า ‘รูปโฉมงามเลิศ’!”

    “แค่ข้า ไม่ใช่พวกข้า” คุณชายในเกี้ยวถอนหายใจอีกครั้ง

     

     

    บทที่ 15

    มีข้าที่ดำเพียงผู้เดียว

     

    “พวกข้าขานนามของตัวเองแล้ว นามของเจ้าเล่า” คุณชายหลิ่วเยวี่ยถามอย่างเนิบช้า

    ชายที่ถือกงจักรแค่นเสียงกล่าว “ชื่อของข้ามิสู้คุณชายที่มีชื่อเสียงโด่งดังหรอก ไม่พูดจะดีกว่า”

    “ทุกคนเพียงรู้ว่าข้าคือคุณชายหลิ่วเยวี่ย แต่ไม่เคยรู้ชื่อแซ่ของข้า ไม่นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ข้าสนใจเจ้ามาก เจ้าแซ่ใด” คุณชายหลิ่วเยวี่ยถามอีก

    ชายถือกงจักรตะลึงงันชั่วครู่ “ข้าแซ่หวัง เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย”

    “สามสกุลของสำนักอั้นเหอ ซู เซี่ย มู่ ดูเหมือนข้าจะเดาผิดไป เจ้าไม่ใช่คนของสำนักอั้นเหอ ดังนั้นข้าจึงแปลกใจมาก เจ้าคือใครกัน เหตุใดจึงช่วยสกุลเยี่ยน” คุณชายหลิ่วเยวี่ยกล่าวเบาๆ

    ชายถือกงจักรขมวดคิ้ว “เจ้าถามเยอะยิ่ง ข้าตอบคำถามพวกนี้ให้เจ้าได้ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องชนะข้าให้ได้ก่อน”

    “ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด” ม่านของเกี้ยวพลันเปิดขึ้น แส้ยาวสีเงินพุ่งออกมาจู่โจมไปยังชายผู้นั้น

    ชายผู้นั้นกระโดดลอยตัวแล้วขว้างกงจักรในมือออกไป ขณะที่กงจักรลอยอยู่กลางอากาศจู่ๆ มันก็แยกออกเป็นสองวง แส้เงินเส้นนั้นหวดสกัดขึ้นลงราวกับคาดเดาการเปลี่ยนแปลงนี้ไว้แล้ว ทว่าในชั่วพริบตากงจักรสองวงก็เปลี่ยนเป็นสี่วง

    กงจักรอีกสองวงพุ่งผ่านแส้เงินเข้าไปหาคนที่อยู่ในเกี้ยว

    “ที่แท้ก็แค่เล่นกล” คุณชายหลิ่วเยวี่ยหัวเราะเบาๆ และเหวี่ยงมือทีหนึ่ง มีดเงินงดงามประณีตสองเล่มพุ่งออกจากมือกระแทกกงจักรทั้งสองกลับไป

    ชายผู้ใช้กงจักรแผดเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วชักดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว เขากระโดดสุดตัวเหวี่ยงดาบยาวรับกงจักรที่ถูกปัดกลับมา เมื่อหมุนควงดาบยาวหนึ่งรอบ กงจักรทั้งสี่ก็มาหมุนอยู่รอบคมดาบอย่างรวดเร็ว

    “กลนี้ถือว่าไม่เลว” คุณชายหลิ่วเยวี่ยแย้มยิ้มแล้วมือวางที่ข้างเอวเบาๆ

    เข็มขัดทองของเขาพลันดีดตัวกลายเป็นบรรทัดเล่มหนึ่งในมือ

    อาวุธกับฉายาของเขาดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร

    เขาถูกเรียกว่าคุณชายหลิ่วเยวี่ย ชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งใต้หล้าด้วยรูปโฉมงามเลิศ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากเขาคือคุณชายผู้งามเลิศที่เท้าไม่ติดฝุ่น แต่อาวุธของเขากลับมีไอสังหารที่รุนแรงอย่างยิ่ง

    เข็มขัดทองซาเหรินฟั่งหั่ว (สังหารผลาญเพลิง)!

    คุณชายหลิ่วเยวี่ยลุกขึ้นยืนและกวัดแกว่งเข็มขัดทองอย่างรวดเร็ว ชายชุดดำผู้นั้นก็มาตรงหน้าเกี้ยวและฟาดฟันดาบยาวเข้าใส่

    พริบตาเดียวคนทั้งสองประมือกันไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า

    ชายผู้นั้นมีดาบที่ทั้งยาวและหนาหนึ่งเล่ม กงจักรดุดันสี่วง น่าสะพรึงกลัวอย่างหาใดเปรียบ ส่วนคุณชายหลิ่วเยวี่ยมีเพียงเข็มขัดทองเส้นเดียว ดูเหมือนจะต้านทานได้ยาก แต่ชายผู้นั้นกลับเป็นฝ่ายที่เหงื่อเต็มศีรษะ คุณชายหลิ่วเยวี่ยยังคงอำพรางครึ่งร่างไว้ในเกี้ยว ใบหน้างามสะท้านภพนั้นยังคงไม่เผยโฉมหน้าแท้จริง เพียงยื่นมือวาดเหวี่ยงเข็มขัดทองเส้นนั้นออกไป ท่าทางสบายและผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

    “ถอยไปซะ!” คุณชายหลิ่วเยวี่ยตะโกน เข็มขัดทองฟาดฟันออกไป กงจักรบนคมดาบถูกซัดตกลงบนพื้นทั้งหมด ชายผู้นั้นสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่แผ่จากดาบยาวมาถึงมือ ง่ามมือรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง จำต้องล่าถอยไป

    “จู่โจมเหลาะแหละ” เด็กชายปรบมือแล้วยิ้มกล่าว

    คุณชายหลิ่วเยวี่ยที่อยู่ในเกี้ยวนั่งลงอีกครั้ง ก่อนเหวี่ยงเข็มขัดทองในมือไปทางด้านหลัง

    ‘เคร้ง!’ เข็มขัดทองเส้นนั้นป้องกันกระบี่ยาวที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหันได้ทันท่วงที

    กระบี่เล่มนั้นเป็นสีขาวตลอดทั้งเล่มและเปล่งประกายด้วยแสงพิเศษราวกับสร้างมาจากหยกชิ้นงาม มันเสียบทะลุเข้ามาจากด้านบนเกี้ยว ขาดเพียงหนึ่งชุ่นก็จะแทงเข้าศีรษะของคุณชายหลิ่วเยวี่ยแล้ว

    คุณชายหลิ่วเยวี่ยยื่นมือไปลูบไล้กระบี่เล่มนั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่ธรรมดาบนตัวกระบี่เล่มนี้”

    “กระบี่ของข้างดงามมาก ไม่ทราบว่าพอจะคู่ควรกับความงามของคุณชายหรือไม่” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังมาจากหลังคาเกี้ยว

    คุณชายหลิ่วเยวี่ยใช้นิ้วดีดเบาๆ ส่งกระบี่เล่มนั้นออกไปนอกเกี้ยว “ยังด้อยกว่าสองสามส่วน”

    ชายรูปงามทั้งสี่คนที่อยู่นอกเกี้ยวต่างชักกระบี่ยาวที่ข้างเอวออกมาและเงยหน้ามองไปยังหลังคาเกี้ยวพร้อมกัน เห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่บนหลังคาเกี้ยวอย่างสง่างาม เขาดูอ่อนวัยมาก แต่กลับมีผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะที่พลิ้วไหวไปตามสายลม เขาเก็บกระบี่ยาวที่ทำจากหยกงามเล่มนั้น “มีโชคที่ได้พบคุณชายผู้งดงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต้องศึกษาแลกเปลี่ยนกันดีๆ สักหน่อย กระบี่ของข้าถูกเรียกว่ากระบี่งาม สามารถสังหารคนที่งดงามที่สุดในใต้หล้าได้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียวใช่หรือไม่”

    “เจ้ามั่นใจว่าจะฆ่าข้าได้หรือ” คุณชายหลิ่วเยวี่ยกล่าวเบาๆ

    “จะฆ่าคนที่อยู่ในทำเนียบคุณชายค่อนข้างยากอยู่บ้าง” ชายผมขาวสะบัดกระบี่ยาวในมือ “แต่ข้าอยากจะลองดู”

    “การลองครั้งนี้เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนจำนวนมาก มีหลายคนอยากจะลองก็ล้วนได้ลองกันทั้งหมด แต่ตอนนี้ข้าก็ยังนั่งอยู่ที่นี่เช่นเดิม”

    “ข้าเข้าใจ ดังนั้นหากคุณชายยินดีถอยไป พวกข้าย่อมไม่รบกวนคุณชาย”

    “แต่ข้าอยากได้ของที่อยู่ในรถม้าคันนั้น”

    “คุณชายย่อมเข้าใจดี ที่ตอนนี้พวกเราประมือกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้ทำเพื่อของสิ่งนั้นหรอกหรือ”

    “ดังนั้นข้าถึงไม่ถอยไป”

    “เช่นนั้นก็ได้แต่พูดว่าน่าเสียใจแล้ว” ชายผมขาวส่ายศีรษะเบาๆ

    เด็กชายพลันหันไปมองทีหนึ่ง จึงพบว่านอกจากชายผมขาวผู้นั้น ยังมีคนสวมชุดคลุมสีดำอีกเจ็ดคนล้อมพวกเขาเอาไว้ ใบหน้าของคนพวกนั้นปกปิดอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำจึงมองเห็นได้ไม่ชัด ทว่าปราณอันเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างกลับทำให้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขากระซิบเรียกคุณชายหลิ่วเยวี่ยที่อยู่ในเกี้ยว “คุณชาย มีคนมาเพิ่มอีกหลายคนแล้วขอรับ”

    “ข้าสัมผัสได้” คุณชายหลิ่วเยวี่ยถอนหายใจ “ประมาทศัตรูแล้ว”

    “ก่อนจะฆ่าเจ้า ข้ายังมีคำขอที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล” ชายผมขาวพลันก้มหน้า

    “หือ?” คุณชายหลิ่วเยวี่ยลูบไล้เข็มขัดทองในมืออย่างช้าๆ

    “ข้าอยากดูใบหน้าของเจ้าสักหน่อย” ชายผมขาวกระโดดตัวลอยพร้อมเงื้อกระบี่ยาวขึ้น ตั้งท่าจะใช้กระบี่ฟันผ่าเกี้ยวหลังนี้

    “หยุด!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมา

    ชายผมขาวหันไปอย่างฉับพลัน ทว่าอีกฝ่ายมาถึงตรงหน้าแล้ว คนผู้นั้นสวมชุดดำ มีผมสีดำ สวมหมวกฟางสีดำ ถือกระบี่ยาวสีดำทะมึนตลอดทั้งเล่ม พริบตาที่กระบี่ออกจากฝัก แม้กระทั่งตัวกระบี่ก็เป็นสีดำแวววาวเช่นกัน ชายผมขาวยกกระบี่ต้านรับกระบี่สีดำเล่มนั้นและมองหน้าอีกฝ่าย

    ภายใต้หมวกฟางคือดวงตาสีดำเมื่อมราวกับหมึกคู่หนึ่ง

    ชายผมขาวหวาดผวา รีบรั้งกระบี่ถอยไปตั้งหลักทันที

    “ผู้คนถือสีขาวเป็นความงาม มีเขาผู้เดียวที่ดำทั่วร่าง”

    “ผู้คนชื่นชมและเทิดทูนความงาม มีเขาผู้เดียวที่รักและปรารถนาความอัปลักษณ์”

    “เจ้าคือคุณชายโม่เฉิน โม่เสี่ยวเฮย!”

    ชายผมขาวเก็บกระบี่ มองคุณชายโม่เฉินที่กำลังยืนอยู่บนหลังคาเกี้ยวในตอนนี้ คุณชายโม่เฉินไม่กล่าวคำใด เพียงเสียบกระบี่ยาวในมือกลับเข้าฝักเงียบๆ สายลมพัดผ้าโปร่งสีดำใต้หมวกฟางของเขาเบาๆ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ยิ้มให้คุณชายหลิ่วเยวี่ยที่อยู่ในเกี้ยวพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาด้วย”

    “ก่อนที่ข้าจะมา ไม่รู้ว่าคนที่จะมาช่วยคือเจ้า”

    “หากรู้แล้วก็คงไม่ยอมมา”

    “หากรู้แล้วคงคร้านจะมา ด้วยนิสัยของเจ้า จะต้องปลีกตัวออกห่างอย่างถึงที่สุดแน่นอน”

    “ประมาทศัตรูแล้ว คนที่พวกเราเผชิญอยู่ไม่ใช่คนของเขตซีหนาน”

    “อย่าบอกนะว่าเบื้องหลังของเขตซีหนานยังมีคนอื่นอยู่”

    คุณชายสง่างามอันดับหนึ่งในใต้หล้า

    คุณชายอัปลักษณ์ผู้เลื่องชื่อในใต้หล้า

    “เป็นการร่วมมือที่น่าสนใจจริงๆ” เด็กชายปรบมือพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    คุณชายหลิ่วเยวี่ยใช้เข็มขัดทองเคาะประตูเกี้ยวเบาๆ แล้วกล่าวกับชายผมขาวทางฝั่งนั้นว่า “เจ้ายังอยากดูใบหน้าของข้าอยู่หรือไม่”

     

     

    ติดตามความสนุกกันต่อได้ใน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1

    เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 30 มีนาคม 2566 นี้ ทั้งแบบรูปเล่ม และ E-book

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook