“ในเมื่อนางไม่อยากให้มังกรวารีถูกจับ แล้วเหตุใดถึงยังร้องเพลง”
ต้วนเฉิงซื่อถอนใจยาวมากคราหนึ่ง “แล้วเจ้าคิดเช่นไร”
กัวฮ่วนส่ายศีรษะ อับอายสุดขีดแล้ว รู้สึกว่าตนเองโง่งมจนไม่คู่ควรเป็นสหายของต้วนเฉิงซื่อ ขณะที่ต้วนเฉิงซื่อกวาดตามองรอบด้านอย่างเปี่ยมความมั่นใจ เด็กคนอื่นๆ ต่างล้วนฟังจนงุนงงแล้ว อ้าปากค้างรอเขาตอบ มีเพียงเด็กเล็กที่สุดที่มุมห้องคล้ายไม่ได้ยินอะไร เอาแต่เหม่อมองปลายเท้าตนเองอยู่คนเดียว หากไม่ถูกคนอื่นรบกวนก็อยู่ในท่านี้ทั้งวัน
เขาคือหลี่เฉิน โอรสองค์ที่สิบสาม ปีนี้เพิ่งเต็มหกชันษา ผู้คนเรียกว่า ‘องค์ชายสิบสาม’
ทุกครั้งที่เห็นหลี่เฉิน ต้วนเฉิงซื่อก็รู้สึกอึดอัด ความจริงหลี่เฉินอายุยังไม่ถึงวัยเข้าเรียนที่สำนักฉงเหวิน แต่เพราะว่าเจิ้งฉยงเอ๋อผู้เป็นมารดาเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย ทุกวันนี้ยังอยู่ปรนนิบัติรับใช้กัวกุ้ยเฟย ไม่อาจดูแลบุตรชายได้สะดวกนัก จักรพรรดิจึงโปรดให้หลี่เฉินมาเรียนหนังสือที่สำนักฉงเหวินเพื่อที่จะได้รับการศึกษา ทว่าหลี่เฉินอายุน้อยเกินไป ไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือที่สอนแม้แต่น้อย อีกทั้งนิสัยเก็บตัวยิ่งนัก อยู่ในสำนักฉงเหวินก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยทั้งวัน กระทั่งวาจาก็กล่าวออกมาเพียงไม่กี่คำ ผู้อื่นก็คร้านจะยุ่งเกี่ยวด้วย ความจริงทุกคนล้วนเห็นว่าองค์ชายสิบสามผู้นี้เป็นเด็กปัญญาอ่อนขนานแท้ มีเพียงต้วนเฉิงซื่อที่จะชวนหลี่เฉินมาด้วยทุกครั้งที่เล่านิทาน
เมื่อแรกเข้าสำนักฉงเหวิน เหล่าลูกหลานราชนิกุลรอบกายที่เติบใหญ่ในนครหลวงพากันดูแคลนต้วนเฉิงซื่อ กลั่นแกล้งต่างๆ นานา ไม่รับเข้าพวก แต่ต้วนเฉิงซื่อใช้นิทานเปี่ยมจินตนาการสุดขั้ว ประหลาดพิสดารสุดขีดสยบพวกเขา จวบจนทุกวันนี้กระทั่งภาษาราชการสำเนียงซีชวนของเขาก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะแล้ว
นิสัยและชะตากรรมของต้วนเฉิงซื่อทำให้นึกสนใจคนที่เดียวดาย แปลกประหลาด เข้ากับคนรอบข้างไม่ได้
องค์ชายสิบสามก็คือคนเช่นนี้ ส่วนหลี่เฉินฟังเรื่องเล่าพิสดารของเขารู้เรื่องหรือไม่ ฟังเข้าใจหรือไม่ ต้วนเฉิงซื่อไม่แน่ใจและก็ไม่สนใจด้วย
“ก็ได้ ข้าจะบอกพวกเจ้า” ต้วนเฉิงซื่อมองกลับมา เอ่ยเชื่องช้า “ความจริงนางเงือกช่วยคนจับมังกรเพราะอยากได้ธงห้าสีผืนนั้น เพราะว่าธงนั้นทำมาจากแพรไหมนางเงือกอันล้ำค่าในใต้หล้า”
“แพรไหม…นางเงือก…”
ต้วนเฉิงซื่อเล่าด้วยน้ำเสียงลุ่มหลง “ในสมัยราชวงศ์เหลียง ‘บันทึกเรื่องพิสดาร’ ของเหรินฝ่าง รจนาว่า ‘ทะเลใต้ปรากฏผ้าไหมนางเงือก เรียกอีกชื่อว่าแพรมังกร ยามสวมลงน้ำก็ไม่เปียก แพรไหมนางเงือกคือของวิเศษที่นางเงือกทอขึ้น สามารถบัญชา…”
“แต่ว่าไฉนแพรไหมนางเงือกมีห้าสีเล่า”
ต้วนเฉิงซื่อจ้องมองกัวฮ่วนที่เฝ้าซักไม่ยอมเลิกราด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกห้าสีก็ห้าสีสิ!”
“แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร หรือว่าเจ้าเคยเห็น”
“ข้าไม่…” เด็กอ้วนเชิดหน้า “เจ้าเคยเห็นหรือ”
สายตาของคนทั้งหมดต่างจับจ้องที่ต้วนเฉิงซื่อ กระทั่งหลี่เฉินก็ยังเงยหน้า ต้วนเฉิงซื่อจำใจรับมือการท้าทายครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นภายภาคหน้ายังจะมีผู้ใดเชื่อคำพูดของตนอีกเล่า
เขายื่นมือขวาเข้าในอกเสื้อ ล้วงออกมาอย่างระมัดระวัง “ให้พวกเจ้าเปิดหูเปิดตา”
คนทั้งหมดเห็นบางสิ่งเคลื่อนวาบเร็วรี่ผ่านตรงหน้า คล้ายเป็นผ้าไหมห้าสีสดใสผืนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เห็นชัดเจน ต้วนเฉิงซื่อก็เก็บคืนกลับแล้ว
ทุกคนพากันจ้องหน้ากัน นี่ก็คือแพรไหมนางเงือกประหลาดหรือ
“เจ้ายังมีคำพูดอันใดอีก” ต้วนเฉิงซื่อใช้สายตาเป็นกระบี่ พุ่งตรงไปยังกัวฮ่วน
กัวฮ่วนยังไม่ทันตอบ ด้านหลังภูเขาหินกลับมีเสียงดังแทรกขึ้น “ต้วนเฉิงซื่อ เจ้าเล่นพอหรือยัง!”
เสียงไม่ดัง ทว่ากลับมีผลต่อต้วนเฉิงซื่อดังฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ผ่าจนเขาตะลึงค้างโง่งมในบัดดล
คนผู้หนึ่งออกมาจากด้านหลังภูเขาหิน เดินเชื่องช้ามาถึงเบื้องหน้าต้วนเฉิงซื่อ ยื่นมือขวาออกมา “แพรเงือกห้าสีอะไรนั่น ให้ข้าเปิดหูเปิดตาด้วยสิ”
ใบหน้าต้วนเฉิงซื่อราวร้องไห้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ…” แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ล้วงสิ่งของในอกเสื้อออกมา ประคองสองมือส่งให้ต้วนเหวินชางผู้เป็นบิดา
“นี่ไม่ใช่ภาพเสวียนจีที่มารดาเจ้าปักหรอกหรือ” ต้วนเหวินชางสีหน้าเคร่งเครียด “ต้วนเฉิงซื่อ เจ้าใจกล้ายิ่งนัก!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…