เฉินหงจื้อพูดเสริมขึ้นอีก “เป็นคุณหนูสามสกุลซ่ง”
ถู่ทูเฉิงฉุ่ยโมโห “รู้แล้ว เจ้านี่ดีแต่พูดครึ่งๆ กลางๆ!”
เฉินหงจื้อยิ้มประจบประแจงล่าถอยออกไป
มิน่าเล่าถู่ทูเฉิงฉุ่ยจึงรู้สึกไม่คุ้นกับเสียงของนาง คุณหนูสามสกุลซ่ง แม้ว่าต่างก็อยู่ในพระราชวังต้าหมิงมานาน ยามปกติโอกาสพบกันมีไม่มาก
ซ่งถิงเฟินปราชญ์ผู้เร้นกายแห่งเป้ยโจวมีบุตรีห้าคน ประกอบด้วยรั่วหวา รั่วเซียน รั่วอิน รั่วเจาและรั่วหลุน แต่ละคนวิชาความรู้เด่นล้ำเกินผู้คน ชื่อเสียงขจรไกล รัชศกเจินหยวนปีที่เจ็ด คนโตรั่วหวาเป็นคนแรกที่จักรพรรดิเต๋อจงเรียกเข้าวังหลวง แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตฮั่นหลินหญิง หลายปีต่อจากนั้นนอกจากคนรองรั่วเซียนที่เสียชีวิตเพราะโรคร้าย น้องสาวอีกสามคนก็ทยอยเข้าวัง ต่างล้วนเป็นบัณฑิตหญิงที่ได้รับแต่งตั้งเพราะมีวิชาความรู้
ปัจจุบัน ซ่งรั่วหวาพี่สาวคนโตแห่งตระกูลซ่งดูแลภาพเขียนลายสือศิลป์ในวัง กระทั่งจักรพรรดิพบเจอนางยังต้องเรียกอย่างยกย่องว่า ‘ซ่งเซียนเซิง’* คุณหนูสามที่เฉินหงจื้อกล่าวถึงก็คือผู้ช่วยคนสำคัญของซ่งรั่วหวา ซ่งรั่วอินน้องสามแห่งตระกูลซ่ง งานการหน้าที่ของถู่ทูเฉิงฉุ่ยห่างไกลกับภาพเขียนลายสือศิลป์มาก ดังนั้นยามเข้าวังยังพอได้พบหน้าซ่งรั่วหวาบ้าง แต่กับซ่งรั่วอินก็ไม่แน่ว่าหนึ่งปีจะได้พบเจอสักกี่ครั้ง
ซ่งรั่วอินรูปร่างผอม สูงโปร่ง ยามยืนข้างกายจักรพรรดิหลี่ฉุนเกือบสูงเท่าพระองค์ สวมชุดยาวคอกลมสีน้ำตาลแดงของขุนนางหญิงในวัง คลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งดำ ใบหน้าไม่ทาทั้งแป้งฝุ่น มองแวบแรกยากแยกแยะชายหรือหญิง
แม้ถู่ทูเฉิงฉุ่ยเป็นบุรุษที่ถูกตอน แต่ว่าเนื่องจากเข้านอกออกในวังตลอดเวลา พบเห็นสุดยอดความงามแห่งแดนมนุษย์จนเป็นธรรมดา ดังนั้นเงื่อนไขต่อรูปโฉมสตรีจึงสูงมาก หากให้ถู่ทูเฉิงฉุ่ยวิจารณ์สตรีเปี่ยมความสามารถเยี่ยงซ่งรั่วอิน ก็ยังถือว่าขาดความงดงามบางอย่างไปบ้าง ยิ่งกว่านั้นพี่หญิงน้องหญิงตระกูลซ่งพำนักในวังเป็นเวลายาวนานด้วยฐานะขุนนางหญิง แม้สาบานไม่แต่งงานตลอดชีวิต ไม่นับเป็นนางใน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีกลิ่นอายสัมพันธ์รักพิศวงอยู่บ้าง เล่าลือกันว่าในปีที่จักรพรรดิเต๋อจงเรียกตัวซ่งรั่วหวาเข้าวังหลวง นางก็มีเงื่อนไขนี้ จักรพรรดิเต๋อจงรับปากยินยอม หลังจากนั้นน้องสาวอีกหลายคนทยอยเข้าวังก็ยึดถือตามนี้
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ สุดท้ายแล้วอยู่ที่พระทัยขององค์จักรพรรดิเอง หากทรงปรารถนา ไม่ว่าผู้ใดก็หนีไม่พ้น
ทว่าถู่ทูเฉิงฉุ่ยกวาดตาสำรวจซ่งรั่วอินขึ้นลงอย่างละเอียดแล้ว ยังคงรู้สึกว่าเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่าน้อย เขาเคยพบเห็นโฉมสะคราญหนึ่งในใต้หล้าที่ ‘เปลือยพักตร์สบสวรรค์’** เปรียบเทียบกันแล้ว ซ่งรั่วอินถือว่าธรรมดาสามัญยิ่งนัก พระองค์ย่อมทรงรู้สึกเช่นนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตามที่เบื้องหน้านี้จักรพรรดิกับซ่งรั่วอินกลับสนทนาอย่างเบิกบานใจมาก ทั้งสองยืนเคียงแนบชิดกันอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร ปราศรัยแย้มพระสรวลอยู่ด้านหน้าภาพทอไหมภาพหนึ่งที่กางอยู่เบื้องหน้า เมื่อถู่ทูเฉิงฉุ่ยเดินเข้าไปใกล้นั้นก็ได้ยินซ่งรั่วอินกำลังเอ่ย “หม่อมฉันกล้ารับรองว่าคือนาง”
จักรพรรดิแย้มพระสรวล “ในเมื่อรั่วอินกล่าวเช่นนี้ เรายังมีอะไรกังขาได้อีกหรือ”
ใบหน้าซ่งรั่วอินแดงเรื่อ “ขอโปรดชมดู ไหมนี้บางเบาดุจปีกจักจั่น ลงน้ำไม่เปียก เป็นผลผลิตพิเศษของทะเลใต้จริงๆ จะปักอักษรบนแพรไหมนางเงือกเช่นนี้ แต่ละตัวอักษรขนาดไม่เกินเมล็ดข้าว และจุดกับขีดต้องแยกชัดเจน เล็กดั่งเส้นผม ย่อมไม่อาจใช้เส้นด้ายทั่วไป ต้องย่อยด้ายเล็กลงหนึ่งในสาม ย้อมห้าสีก่อนจากนั้นจึงลงมือปัก ด้วยเหตุนี้บนไหมจึงปักอักษรเพียงแปดร้อยกว่าตัว ทว่าน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งตำลึง หม่อมฉันเปรียบเทียบฝีเข็มแต่ละเข็มแต่ละด้ายกับพระสูตรสัทธรรมปุณฑริกสูตรที่เก็บรักษาอยู่ในวัง ยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือคนคนเดียวกัน ภายในวังหลวง รวมถึงในหมู่ราษฎร ผู้มีฝีมือเยี่ยงนี้ ใต้หล้ามีเพียงผู้เดียว”
* เซียนเซิง (ซิงแซหรือซินแส) เป็นคำเรียกปัญญาชนในสมัยโบราณ เพื่อแสดงความยกย่องผู้มีความรู้ จึงมักใช้เรียกครูบาอาจารย์ หมอรักษาโรค หมอดู นอกจากนี้ยังใช้กล่าวถึงผู้เป็นสามี ปัจจุบันคำนี้ยังใช้ในความหมายว่า Mister ด้วย
** เปลือยพักตร์สบสวรรค์ เป็นธรรมเนียมการเข้าเฝ้าจักรพรรดิโดยไม่แต่งหน้าทาแป้งของสตรี