• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน รหัสลับเสวียนจีถู บทที่ 3

    พระนางอู่เจ๋อเทียนเป็นประธานจัดพิธีบูชาเทพเซียนฉานสี่ครั้ง หลังจากรัชสมัยของพระนางก็ยากจะดำเนินสืบต่อแล้ว ทว่าธรรมเนียมเทศกาลซั่งหยวนของตำหนักใน กลับยังสืบทอดพิธีทำนายต่อมาได้ นับแต่รัชศกเจินหยวนปีที่เจ็ดเป็นต้นมา พระราชพิธีในตำหนักในอย่างพิธีทำนาย อัญเชิญจื่อกูของทุกปีล้วนได้เสนาบดีหญิงซ่งรั่วหวาทำหน้าที่ร่างทรง หลังรัชสมัยจักรพรรดิเต๋อจง ผ่านรัชสมัยจักรพรรดิซุ่นจงอันแสนสั้น จักรพรรดิเซี่ยนจงขึ้นครองบัลลังก์สิบปีก็ยังดำเนินธรรมเนียมนี้ มีเพียงปีนี้เนื่องจากปราบกบฏผู้ครองหัวเมืองตึงเครียด จักรพรรดิมีราชโองการจัดงานฉลองต่างๆ ของเทศกาลซั่งหยวนอย่างเรียบง่าย กระทั่งพิธีทำนายในวังก็ล้วนยกเลิก

    วันนี้หลี่ซู่ยามคับขันบังเกิดปัญญา เสนอให้ดำเนินพิธีฝูจีอีกครั้งเพื่อถามมงคลอัปมงคลของทัพงูบุก นับว่าเป็นเฒ่ามากเล่ห์ แม้นจักรพรรดิระแวงว่าทัพงูบุกจะเกี่ยวข้องกับการสถาปนาพระอัครมเหสี ขอเพียงให้คำทำนายตกไปถึงฝ่ายใน ต่อให้มีคนคิดแผนร้ายก็ไม่อาจก่อภัยมาถึงฝ่ายหน้า

    ลมหนาวเหน็บปะทะมา กัวชงยืนเหม่อที่สี่แยกเนิ่นนาน สุดท้ายเข้าใจที่มาที่ไปชัดเจน เขาแหงนหน้ามองฟ้า รู้สึกแสงดาวเต็มฟ้าซีดเย็นยิ่งนัก ทั้งทรงอำนาจ ทั้งโหดเหี้ยม

     

    ระฆังเช้ายังไม่ดัง หลี่ซู่มีป้ายห้อยเอวอนุญาตพิเศษที่ในวังมอบให้จึงเปิดประตูตรอกของตรอกปู้เจิ้งได้

    ยังห่างจากวิหารสักการะอีกช่วงหนึ่ง ได้ยินเสียงดนตรีปอซือไพเราะเสนาะล่องลอยในราตรี และเสียงร้องแหบต่ำปวดปร่า ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่องานเลี้ยงโต้รุ่งใกล้มาถึงช่วงท้าย เสียงสรวลเสเฮฮาทั้งหลายจะกลายเป็นเสียงละห้อยระโหยโศกเศร้า

    หลี่ซู่ดึงบังเหียนที่หน้าวิหารสักการะ ม้ายืนสงบนิ่ง

    เสียงชายผู้หนึ่งขับร้องบทเพลงภาษาปอซือ “ข้ารักกระโจมลมผ่าน มากเหนือตำหนักสูงใหญ่ ข้ารักเสียงลมซ่าซ่าท้องทุ่ง มากเหนือดนตรีกึกก้อง วันเวลาเรียบง่ายของคนเลี้ยงสัตว์ หอมหวานกว่าชีวิตสุราเคล้านารี ข้ารักบ้านเกิดของข้า มากเหนือวังหลวงตำหนักลึกเอย…”

    หลี่ซู่ชาวปอซือผู้ตั้งรกรากใช้ชีวิตในต้าถังคล้ายประสบกับความกระทบใจแสนเจ็บปวด เวลานั้นน้ำตาชราก็รินหลั่ง

    สำเนียงบ้านเกิดยากเปลี่ยน นี่คือเสียงจากหัวใจ แม้ต้าถังจะดีกว่านี้อีกปานใดก็ยังเป็นต่างแดน ทว่ากล่าวสำหรับหลี่ซู่แล้ว บ้านเกิดห่างไกลออกไปทุกขณะ เขารู้ดีว่าสุดท้ายแล้วตนเองต้องเป็นผีในต่างแดน วิญญาณล่องลอยไร้ที่คืนกลับพักพิง ยิ่งไร้การช่วยเหลือปลดปล่อย

    หลี่ซู่เคาะประตูวิหารสักการะ มอบม้าให้คนรับใช้ ตนเองเดินช้าๆ ไปยังโถงบูชาไฟที่วงโค้งตรงกลาง เสียงเพลงดังมาจากด้านหลังโถงบูชาไฟนี่เอง รอเมื่อหลี่ซู่เดินอ้อมมาครึ่งทางของโถงทรงกลม เขาก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

    ที่ว่างตรงกลาง ไหดินเผาหลายใบเรียงรายเป็นวงกลมล้อมรอบคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้นั่งขัดสมาธิ ร่างเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าพันเอวปิดช่วงล่าง มองดูบนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา โพกศีรษะ จมูกโด่งตาลึก ทว่าผิวกายที่ดำสนิทกับแขนขาเหี่ยวแห้งแสดงว่าเขาไม่ใช่คนปอซือ หากแต่เป็นโยคีจากเทียนจู๋*

    * เทียนจู๋ มาจากคำว่าสินธุ หมายถึงอินเดีย

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน