• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 5 บทที่ 1

    เผยซื่ออิงยามอยู่ท่ามกลางผู้คนสำนักหู่จุนในรุ่นของมันนั้นถูกมองว่าเป็นศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุด รูปร่างผ่ายผอม กระดูกก็เปราะ ยามฝึกฝนมักได้รับบาดเจ็บอยู่เป็นประจำ นอกจากมีความเร็วที่พึ่งพาได้เล็กน้อยแล้วก็ไม่มีจุดเด่นเหนือมนุษย์อะไรเลย…ถึงขนาดความเร็วนั้นเองก็หาได้เร็วที่สุดในรุ่นเดียวกันไม่ แต่มันผ่านการฝึกฝนและอยู่ที่สำนักหู่จุนได้ ในสายตาของสหายร่วมสำนักไปจนถึงคนนอกล้วนเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เล็กเลยทีเดียว

    …แต่ในโลกไม่มีเรื่องราวมากนักที่นับเป็นปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่มีพรสวรรค์

    ผู้คนมองเห็นเพียงเผยซื่ออิงฝืนก้าวหน้าตามจิงเจ้าและศิษย์พี่เหล่านั้นได้ แต่กลับมิได้มองเห็นความพยายามที่มันทุ่มเทอยู่เบื้องหลังเพื่อตามให้ทันพวกมัน เนื่องเพราะไม่มีพรสวรรค์และรูปร่างที่ดีเยี่ยม มันยิ่งพึ่งพาอาศัยดวงตาและสมองของตนเองอย่างหนัก เบิกตาสังเกตว่าผู้อื่นสู้อย่างไร ฝึกอย่างไร จากนั้นไปครุ่นคิดสุดชีวิต บางครั้งเรียนกระบวนท่าที่ไม่เหมาะสมกับตนเองก็คิดหาทุกวิถีทางว่าจะเปลี่ยนมันมาใช้ให้เหมาะสมได้อย่างไร ต่อให้ถึงตอนสุดท้ายยังคงใช้มิได้ แต่ในกระบวนการครุ่นคิดนี้ก็พบสิ่งใหม่ๆ…เผยซื่ออิงประดุจแม่ทัพคนหนึ่งที่มีกำลังทหารในมือห่างชั้นจากคู่ต่อสู้ อาจไม่เคยสู้รบชนะ แต่กลับบรรลุพิชัยสงครามประเภทหนึ่งด้วยตนเองในช่วงหลบหนีความตายจากการพ่ายแพ้ไม่หยุด

    ประสบการณ์ฝึกยุทธ์พิเศษประเภทนี้ของเผยซื่ออิง อย่างไรก็มิได้ทำให้มันกลายเป็นยอดฝีมือ แต่อาจารย์เช่นมัน เมื่อพบเจอกับศิษย์เช่นจิงเลี่ย ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นนั้นอยู่เหนือล้ำจินตนาการของจิงเจ้าอย่างสิ้นเชิง

    ‘อย่าได้พยายามเลียนแบบข้า’ เผยซื่ออิงกล่าวเช่นนี้ขณะสอนจิงเลี่ยในวันแรก ‘อย่าได้คิดเป็นข้าอีกคนหนึ่ง หรือบิดาเจ้าอีกคนหนึ่ง เปิดตาและเปิดหัวใจ ไปเรียนรู้สิ่งที่เจ้ามองเห็นว่าควรค่าแก่การเรียน และเปลี่ยนพวกมันเป็นของเจ้าเอง’

    สิ่งนี้สำหรับคนเริ่มเรียนวิทยายุทธ์ เดิมทีคือวิธีร่ำเรียนที่ผิดอย่างหนึ่ง อาจเปลี่ยนเป็นความงงงวยจากตัวเองหรือความละโมบในความรู้ได้ตลอดเวลา แต่สำหรับเด็กพิเศษเช่นจิงเลี่ยกลับสำแดงศักยภาพการเติบโตสูงสุดของมันออกมา ผลลัพธ์ในสี่ปีอันแสนสั้นนั้น แม้แต่เผยซื่ออิงเองยังประหลาดใจ

    เจ้าสำนักหู่จุนแห่งหนานไห่รุ่นก่อนคือหงถิงหรงอาจารย์ของจิงเจ้าและเผยซื่ออิง หลังป่วยตาย ตำแหน่งเจ้าสำนักย่อมเป็นไปตามลำดับ โดยจิงเจ้าที่วรยุทธ์สูงที่สุดได้รับตำแหน่งต่อ แต่เผยซื่ออิงมิอาจลืมเลือนชั่วกาล มีครั้งหนึ่งอาจารย์ซึ่งกำลังป่วยอยู่บนฟูกกล่าวกับมันว่า ‘บางทีความรุ่งเรืองหรือล่มสลายของสำนักหู่จุน วันหนึ่งอาจอยู่ในมือเจ้า…’

    มือข้า? เผยซื่ออิงในตอนนั้นส่ายหน้าอย่างมิอาจเชื่อ ภายหลังหลายปีล้วนคิดไม่ออกมาโดยตลอดว่าเพราะเหตุใดอาจารย์จึงกล่าวเช่นนี้

    แต่มองเห็นจิงเลี่ยในตอนนี้ มันเริ่มเข้าใจแล้ว

    “อาจารย์อา ไปกันเถอะ” จิงเลี่ยยิ้มพลางดึงเผยซื่ออิงมา “ข้าจะลงสนามแล้ว”

    “เลี่ย…” เผยซื่ออิงสังเกตศิษย์หลาน “เจ้า…ไม่เป็นไรนะ รอบนี้…”

    จิงเลี่ยหยิบดาบไม้มาจากมือเผยซื่ออิง พาดไว้บนหัวไหล่อันกว้างขวาง ทอดมองทะเลอาคเนย์ นั่นคือทิศที่มันถือกำเนิด แน่นอนว่าที่จริงแม้กระทั่งจิงเจ้าก็ไม่แน่ใจว่ามันถือกำเนิดที่เลี่ยอวี่หรือไม่ หรืออาจแค่ถูกคนอุ้มไปทิ้งไว้ที่นั่น กระทั่งเป็นชาวฮั่นหรือไม่ก็ไม่แน่ชัด หญิงสาวในแถบนี้ถูกโจรสลัดแคว้นวอข่มขืนแล้วทิ้งมารหัวขนไว้ เรื่องพรรค์นี้มีมากนัก

    “เลี่ย…” เผยซื่ออิงกอดคอมันพลางกล่าว “ครั้งนี้เจ้าอดทนไว้อย่าบุ่มบ่าม หาไม่เจ้าสำนักจะไล่เจ้าไป ขอเพียงเจ้าได้อยู่ต่อ ข้าเชื่อมั่นว่าอนาคตป้ายของสำนักหู่จุนแห่งหนานไห่เจ้าต้องได้แบกรับเป็นแน่” คำพูดที่เผยซื่ออิงกล่าวต่อจิงเลี่ยแฝงความปรารถนาเช่นเดียวกับคำพูดที่หงถิงหรงบอกมันในปีนั้น

    วันนี้คือครั้งแรกที่จิงเลี่ยเป็นตัวแทนสำนักหู่จุนขึ้นเวทีประลองตั้งแต่กราบเข้าสำนักมา

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook