ขณะเยียนเหิงและถงจิ้งกำลังออกไปจากทางหน้าต่าง ถงจิ้งพลันยื่นมือดึงชุดคลุมขาวของเจ้าสำนักอู่ตังที่แขวนอยู่ใต้หน้าต่างและเขียนอักษรตัวใหญ่เอาไว้ ม้วนไว้ตรงบั้นเอว ไม่เพียงเท่านั้น นางยังหันหน้ากลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหยาเหลียนโจวและฝานจงก่อนตามเยียนเหิงหายตัวออกไป
ขอเพียงมองเห็นกระบี่อู่ตังระยิบระยับและปลายทวนสีเงินอันแหลมคมนั้น ผู้คนที่สัญจรบนตรอกถนนไม่มีผู้ใดไม่ร้องตกใจพลางหลบหลีกอย่างลนลาน
เจียวหงเยี่ยและหลี่ต้งศิษย์สายพลอีกาทั้งสอง หลังออกมาจากตรอกเส้าฉืออันคับแคบนั้น จ้าวคุนสหายร่วมสำนักสายพญางูก็วิ่งตามมา มิได้ยั้งฝีเท้าแม้แต่น้อย
ศิษย์พี่กุ้ยตันเหลยกำลังเสี่ยงภัยเฝ้าตรอกเส้าฉือเอาไว้ ต่อต้านทัพตะวันตกฝ่ายศัตรูเกือบร้อยคนเพียงลำพัง จึงสั่งให้พวกมันจากมาในยามนี้ พวกมันต้องไปช่วยเจ้าสำนักที่หออิ๋งฮวาให้เร็วที่สุด
“อย่าไปผิดล่ะ!” ระหว่างที่หลี่ต้งหอบหายใจยังคงคำรามใส่จ้าวคุนที่อยู่ด้านหน้า “หากช่วยเจ้าสำนักไม่ทัน คอยดูว่าข้าจะ…”
ขณะกล่าวได้ครึ่งหนึ่ง คนทั้งสามก็กำลังวิ่งออกจากปากตรอกแห่งหนึ่งพอดี
“ระวัง!” จ้าวคุนตะโกนขัดจังหวะมัน ในขณะเดียวกันตนเองก็ใช้เพลงเท้าวิชาตัวเบาหลบวูบ
พวกมันเร่งเดินทางด้วยความเร็วทั้งหมด ก่อนผ่านปากตรอกล้วนมิทันได้ทัศนาดูก่อน คิดในใจว่าอย่างมากก็ชนผู้คนที่สัญจรคนสองคน
กลับไม่คิดว่าตรงปากตรอกแห่งนี้จะเผชิญกับม้าพ่วงพีตัวหนึ่งตะบึงมา ทั้งสี่กีบเท้าห้อเต็มเหยียด!
หลี่ต้งอย่างไรก็เป็นศิษย์เด่นล้ำสำนักอู่ตัง ขณะหน้าสิ่วหน้าขวานก็ถีบตัวถอยไปด้านหลังทันที เพิ่มความเร็วผ่านตรอกถนนไป หัวม้าตัวนั้นเกือบถูกอาภรณ์มัน อันตรายยิ่งยวด
กลับกันกับเจียวหงเยี่ย มันวิ่งอยู่ด้านหลังหลี่ต้งจึงชะลอฝีเท้าหยุดตนเองไว้ได้ทัน ทำให้ม้าตัวนั้นที่ห่างจากเบื้องหน้าไม่ถึงครึ่งฉื่อวิ่งผ่านไป
ในขณะเดียวกันกับที่ม้าวิ่งผ่านระหว่างคนทั้งสอง หลี่ต้งเดือดดาลยิ่ง จิตสังหารพลันบังเกิด หมุนร่างไปตามท่า ใช้ท่า ‘ทวนหันม้า’ แทงไปยังหัวใจของผู้ขี่อยู่บนอานจากข้างหลัง!
ข้อบัญญัติอู่ตัง ผู้ขวางทางทั้งหมด ฆ่าไม่เว้น!
ผู้ควบขี่แม้ศีรษะก็ไม่หัน มือซ้ายกลับปล่อยเชือกบังเหียน ยื่นปราดไปยังด้านหลัง ในมือกางวัตถุสีดำออก สกัดปลายทวนพู่ที่แทงมาอย่างรวดเร็วเอาไว้ได้อย่างประจวบเหมาะ บังเกิดเสียงโลหะกระทบกัน!
หลี่ต้งตกตะลึงในใจ
เป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง!
ม้ายังวิ่งออกไปอีกหลายก้าว ผู้ขับขี่ดึงเชือกบังเหียนม้าไว้อย่างฉับพลัน มันมิได้ดึงหันหัวม้า เพียงให้ขาทั้งสองหลุดจากโกลน จากนั้นค่อยหมุนก้นนั่งหันหลังมาบนอาน ขาซ้ายพลางงอขึ้นพาดอยู่บนก้นม้า นั่งได้อย่างสง่างามมาก ทักษะสมดุลฉกาจอย่างยิ่ง
หลี่ต้งและเจียวหงเยี่ยตั้งอาวุธขึ้นมาพลางมองผู้ขี่ม้าผู้นี้อย่างละเอียดไปพลาง ที่แท้เป็นผู้ชราสวมหมวกไม้ไผ่สานคนหนึ่ง ผมเผ้าหนวดเคราล้วนเป็นสีดอกเลาหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ทั้งร่างล้วนพกอาวุธเต็มไปหมด ที่อกมีกรงเล็บเหล็กคู่หนึ่งกลัดอยู่ มือซ้ายที่สวมสนับหมัดเกราะเหล็กจับพัดสีดำที่กางออกแล้วอยู่ นั่นคือสิ่งที่ใช้สกัดทวนเมื่อครู่
พัดเหล็กนั้นมองอย่างไรก็น้ำหนักไม่เบา แต่ผู้ชราใช้เพียงการสะบัดข้อมือกระพือพั่บๆ เหมือนบัณฑิตถือพัดกระดาษ เพียงแต่ทั้งร่างของผู้ชราโผงผางผู้นี้ล้วนเป็นอาวุธฆ่าคน ไหนเลยจะมีกลิ่นอายของปัญญาชน
ดวงตาทั้งสองของผู้ชราถูกเงามืดของหมวกไม้ไผ่สานบดบัง หลี่ต้งและเจียวหงเยี่ยล้วนมองไม่เห็นแววตาของมัน
แต่พวกมันล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังถูกผู้ชราจ้องมองโดยตรง เป็นแรงกดดันยิ่งใหญ่อันไร้รูปร่าง
ผู้ชราใช้พัดเหล็กดันหมวกไม้ไผ่สานขึ้น ในที่สุดดวงตาและสีหน้าก็เผยออกมา
เกือบถูกผู้ขวางทางใช้ทวนแทงเข้าหัวใจจากด้านหลัง ผู้ชรากลับมิได้แสดงความเดือดดาล แต่กลับแย้มยิ้มขึ้น
ในแววตาแก่ชรายังคงเปล่งแสงเผยความทะเยอทะยานในการชิงชัยอันแรงกล้าอย่างยิ่งออกมา
โปรดติดตามตอนต่อไป…