“เสี่ยวอิง หรือเจ้าไม่รู้ว่า…สำนักอู่ตังเรามีรองเจ้าสำนักสามท่าน…”
“ข้ารู้” โหวอิงจื้อตอบ รองเจ้าสำนักเยี่ยเฉินยวนมันย่อมรู้จัก ซือซิงเฮ่ารองเจ้าสำนักอีกท่านหนึ่งก็กลับจากเมืองหลวงสู่เขาอู่ตังแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน มันเองก็เคยเห็น เพียงแต่ท่านที่สามมันไม่เคยได้ยินศิษย์พี่กล่าวถึงสักครั้งเดียว โหวอิงจื้อแม้ถูกเหล่าอาวุโสอู่ตังเห็นดั่งเป็นญาติ แต่อย่างไรก็รู้ตัวว่าเพิ่งเข้าสำนัก และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ มันจึงมิได้ถาม
“อาหารและเสื้อผ้านั้นส่งให้รองเจ้าสำนักท่านที่สาม” ขณะเยี่ยเทียนหยางกล่าว สุ้มเสียงมีอาการสั่นเล็กน้อย “ได้ยินว่ามันอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งด้านหลังอารามอวี้เจิน…นับจากเจ้าสำนักเหยาสืบตำแหน่งเมื่อหกปีก่อน…”
ดวงตาทั้งสองของโหวอิงจื้อลุกวาว บุรุษผู้หนึ่งที่มีระดับเดียวกันกับเยี่ยเฉินยวน มันอยากรู้ให้มากสักหน่อย
“เพราะเหตุใดจึงเร้นกายอยู่หลังตำหนักล่ะ…รองเจ้าสำนักท่านนี้นามว่าอะไร…”
เยี่ยเทียนหยางพอได้ยินก็รีบโบกมือ “อย่ากล่าวถึง! นี่คือคำสั่งห้ามของสำนักที่ตั้งไว้ในตอนนั้น ศิษย์อู่ตังนับจากนั้นล้วนห้ามกล่าวถึงชื่อของรองเจ้าสำนักท่านนี้อีก!”
โหวอิงจื้อประหลาดใจอย่างมาก และเดาว่าในนั้นต้องมีความลับที่พัวพันถึงสำนักอู่ตังเป็นแน่
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกับเจ้าสำนักเหยาขึ้นครองตำแหน่ง? หรือว่าเป็นการชิงอำนาจ
“รองเจ้าสำนักท่านนี้…ถูกกักขังหรือ” โหวอิงจื้อถาม “เพราะพ่ายแพ้การชิงตำแหน่งกับเจ้าสำนักเหยา?”
“ตอนเรื่องนี้เกิดขึ้นข้ายังเด็ก รายละเอียดไม่กระจ่างมากนัก” เยี่ยเทียนหยางตอบ “แต่ไรมาท่านพ่อเองก็ไม่ยอมบอกกับข้า เพียงแต่เมื่อก่อนเคยได้ยินศิษย์พี่กล่าวถึงเรื่องนี้แว่วๆ น่าจะเป็นเช่นนี้”
โหวอิงจื้อแม้เดาถูกแล้ว แต่กลับรู้สึกไม่ถูกต้อง ขณะขึ้นเขาอู่ตังวันแรกมันก็รู้ว่าสำนักอู่ตังมีธรรมเนียมเปิดกว้างในการเป็นตัวสำรอง ทุกคนล้วนท้าประลองเจ้าสำนักได้ ในสำนักอู่ตังใช้กำลังช่วงชิงหาใช่ความผิดไม่ พ่ายแพ้ก็ไม่ควรได้รับการลงโทษ…รองเจ้าสำนักท่านนี้ไฉนจึงถูกกักขัง
“เจ้าเติบโตที่เขาอู่ตังตั้งแต่เด็ก ต้องเคยเห็นมันกระมัง” โหวอิงจื้อกล่าว “มันเป็นคนเช่นไร”
“นานเหลือเกินแล้ว แม้แต่รูปร่างข้าก็จำมิได้…จำได้รางๆ ว่ามีท่านอาท่านนี้ ข้างกายเขาล้วนติดตามด้วยศิษย์พี่กลุ่มหนึ่งเสมอ หลังเขาอาศัยอยู่ในถ้ำ ศิษย์พี่เหล่านั้นต่างก็หายไปแล้ว…ยังจำได้ว่าท่านอารองเจ้าสำนักผู้นี้ยังมีคนสองคนในศิษย์พี่เหล่านั้น ล้วนสวมชุดถือพรตสีน้ำตาล”
หัวคิ้วโหวอิงจื้อกระตุก มันเคยเห็นว่าเขาอู่ตังมีคนสวมเครื่องแบบสีน้ำตาลนี้…ฝานจง
“เป็นอสรพิษน้ำตาลในสายพญางู!”
เยี่ยเทียนหยางพยักหน้า “นอกจากนี้สิ่งที่ข้าจำได้ก็ไม่มาก ใช่แล้ว ยังมีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยได้ยินศิษย์พี่กุ้ยตันเหลยกล่าวถึง บอกว่ามันคือ ‘ศิษย์ทรยศ’ แห่งสำนักอู่ตัง”
โหวอิงจื้อรู้สึกประหลาดใจ เดิมทีอู่ตังคือคณะต่อสู้ที่เดินอยู่บนวิถีสุดยอด กฎข้อห้ามน้อยยิ่งนัก รองเจ้าสำนักท่านนี้กระทำจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ หรือมีความคิดเห็นอะไรที่แม้กระทั่งสำนักอู่ตังเองก็ยากจะรับ จนต้องถูกประณามอย่างรุนแรงว่าศิษย์ทรยศเช่นนี้ โหวอิงจื้อยากจะเข้าใจโดยแท้จริง
หากว่าเป็นบุคคลที่แม้แต่เยี่ยเฉินยวนหรือซือซิงเฮ่าก็ต้องพะวง…โหวอิงจื้อก็อยากเห็นคนผู้นี้ถึงขีดสุด แต่มันก็รู้ว่านี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในสำนักอู่ตังและตนเองไม่อยากถูกไล่ออกจากเขาอู่ตังด้วยเหตุนี้…แม้กุ้ยตันเหลยเคยกล่าวว่าอู่ตังไม่เคยขับศิษย์ออกสำนัก แต่เรื่องที่พัวพันถึงรองเจ้าสำนักท่านนี้คล้ายเป็นข้อยกเว้น
คนผู้นี้คือศิษย์ทรยศที่ถูกกักขัง เหตุใดกลับยังคงไม่ถูกปลดจากตำแหน่งรองเจ้าสำนัก จุดนี้โหวอิงจื้อกลับเข้าใจอย่างยิ่ง รองเจ้าสำนักมิเพียงเป็นตำแหน่ง ยังเป็นคำขนานนามที่สื่อความหมายของพละกำลังอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงใช้กำลังช่วงชิง และจนถึงวันนี้ยังคงไม่มีศิษย์อู่ตังสักคนกระทำเรื่องนี้ได้
ขณะที่โหวอิงจื้อจินตนาการถึงบุคคลผู้นี้ คิดจนโลหิตร้อนทั่วร่างพลุ่งพล่าน ด้านล่างเขาก็มีเสียงสัญญาณติดต่อกันหลายเสียงถ่ายทอดมา เยี่ยเทียนหยางพอได้ยินก็รู้ว่าเป็นระฆังใหญ่ใบนั้นข้างตำหนักเจินเซียน อารามอวี้เจิน
ตั้งแต่โหวอิงจื้อขึ้นเขามาก็ไม่เคยได้ยินเสียงสัญญาณระฆังนี้มาก่อน เนื่องเพราะระฆังใบนี้มีเพียงขณะกำลังประกาศว่าเกิดเรื่องสำคัญจึงจะเคาะตี เพื่อเรียกรวมศิษย์ที่กำลังฝึกยุทธ์อยู่ทุกแห่งบนเขา
เยี่ยเทียนหยางและโหวอิงจื้อรีบวิ่งลงไปทางฐานมั่นของสำนัก อู่ตังไม่มีทางเกิดเรื่องฉุกเฉินร้ายแรงอะไรได้ สาเหตุของเสียงระฆังสัญญาณนั้นพวกมันคิดถึงเพียงเรื่องเดียว…
“เร็วเข้า!” เยี่ยเทียนหยางวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “เสี่ยวอิง เจ้ายังไม่เคยเห็นมันกระมัง!?”
โปรดติดตามตอนต่อไป…