• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 6 บทที่ 2

    โหวอิงจื้อและเยี่ยเทียนหยางเองก็มิอาจอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดพวกมันจึงถูกชะตากันเช่นนี้ โหวอิงจื้อที่ใกล้จะสิบเก้าปี ความจริงอายุไม่นับว่าใกล้เคียงกับเยี่ยเทียนหยางมากนัก ภูมิหลังของคนทั้งสองยังต่างกันสุดขั้ว…บิดาของโหวอิงจื้อคือคนขี้ขลาดไร้ความสามารถที่เรียนวิชาไม่สำเร็จคนหนึ่ง เยี่ยเฉินยวนคือจอมกระบี่อู่ตังชื่อโด่งดังในใต้หล้า สิ่งเดียวที่กล่าวได้ว่าใกล้เคียงกันคือมารดาของคนทั้งสองล้วนสมถะอย่างมาก มารดาของโหวอิงจื้อหนีไปขณะมันยังเด็ก มารดาของเยี่ยเทียนหยางคือหญิงชาวนาที่ไม่รู้หนังสือ หลังบุตรชายเริ่มฝึกยุทธ์ตอนอายุแปดปีก็ย้ายกลับไปพักที่หมู่บ้านล่างเขา สองแม่ลูกหนึ่งปีได้พบหน้ากันไม่กี่ครั้ง

    สิ่งนี้ยังเป็นจุดที่สองที่ทำให้โหวอิงจื้อรู้สึกผิดคาดต่อสำนักอู่ตัง มันคิดว่าเขาอู่ตังคือสถานที่ฝึกฝนที่ห้ามสตรีเข้า ที่แท้ศิษย์เด่นล้ำที่มีบุตรและภรรยากลับไม่น้อย

    แต่ต่อมามันจึงเข้าใจ สาเหตุที่ศิษย์อู่ตังแต่งภรรยากำเนิดบุตรมากเพียงนี้ก็เพื่อสืบสายโลหิตอันดีเยี่ยมของนักสู้ เสริมความแข็งแกร่งให้สำนักอู่ตังต่อไป ด้วยเหตุนี้ฮูหยินที่พวกมันต้องการหาใช่กุลสตรีของตระกูลใหญ่สำนักดังไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นบุตรีร่างกายแข็งแรงที่คัดเลือกมาจากหมู่บ้านแถบอู่ตัง และสืบเสาะสองสามรุ่นก่อนหน้าว่าไม่ป่วยเป็นโรคภัยร้ายแรงอะไร จากนั้นใช้สินสอดซื้อตัวมา หากกล่าวว่านี่คือการสมรส สู้กล่าวว่าผสมพันธุ์กับม้าก็ไม่ต่าง

    วิธีประเภทนี้กลับทำให้โหวอิงจื้อยากที่จะยอมรับได้ จะแสวงหาความแข็งแกร่งที่สุด ทุ่มชีวิตไปฝึกฝนก็ได้แล้ว จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้หรือ ต้องละทิ้งแม้กระทั่งความรู้สึกของการเป็นมนุษย์หรือ โหวอิงจื้อตัดสินใจว่าภายหน้าหากอาจารย์จะหมั้นหมายภรรยาสักคนให้ตนเองเช่นนี้ล่ะก็ มันจะไม่ยอมรับเป็นอันขาด

    อนึ่งโหวอิงจื้อก็ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงว่าวรยุทธ์จะอาศัยการส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้…ดูจากบิดาของมันก็รู้แล้ว

    อีกพักหนึ่งก็จะเป็นคาบบ่ายแล้ว เยี่ยเทียนหยางยามนี้กล่าวพลางตบหัวไหล่ของโหวอิงจื้อ “กลับกันเถอะ”

    โหวอิงจื้อพยักหน้าแล้วจึงปีนลงต้นไม้ไปด้วยกันกับเยี่ยเทียนหยาง กลับลานยุทธ์เสวียนสือจากทางที่มา

    คาบเรียนยามปกติแม้บากบั่น หลังคาบอ่อนล้าไปทั้งร่าง แต่คนทั้งสองอย่างไรก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพละกำลังเต็มเปี่ยม และเนื่องเพราะใช้สุราสยงเซิ่งระยะยาว อารมณ์จึงคึกคักอยู่เสมอ เหตุนี้นอกเวลาเรียนจึงชอบวิ่งเล่นข้ามเขาเพื่อสลายความรู้สึกร้อนเร่าราวกับไม่มีสิ้นสุดชนิดนั้น

    เยี่ยเทียนหยางถือกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ปัดกิ่งไม้ใบไม้ตรงหน้าออกแล้วเดินไปข้างหน้า โหวอิงจื้อติดตามอยู่หลังมันอย่างเงียบๆ มองดูเงาหลังเยี่ยเทียนหยาง มันอดมิได้ที่จะนึกถึงเยียนเหิง ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรืออย่างไร เยี่ยเทียนหยางก็เป็นเช่นเดียวกันกับเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวหลีแต่ก่อน เคยชินกับการเรียกมันว่าเสี่ยวอิง ทุกครั้งที่ได้ยินเยี่ยเทียนหยางร้องเรียกเช่นนี้ ในใจโหวอิงจื้อทั้งอบอุ่นและขมขื่น

    พวกนั้น…ยังมีชีวิตอยู่ไหม…

    โหวอิงจื้อไม่ปฏิเสธว่าตนเองคือคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง การตัดสินใจแปรพักตร์เข้าสำนักอู่ตังในวันนั้น ขณะติดตามทัพเดินทางไกลซื่อชวนของเยี่ยเฉินยวน มันไม่เคยนึกถึงสหายรักสองคนนั้นเลยสักครั้งเดียว สิ่งที่ใจของมันคิดล้วนเป็นเพียงอนาคตของตนเอง

    ตอนนี้โหวอิงจื้อสงบลงแล้วหลังอยู่ที่เขาอู่ตัง จึงค่อยๆ คิดว่าตนเองพลาดอะไรไป

    โหวอิงจื้อจำได้เพียงขณะดำเนินการสังหารหมู่ที่ลานฝึก เรือนเสวียนเหมินในวันนั้น ซ่งหลีสลบไปแล้ว ส่วนเยียนเหิง สุดท้ายมองเห็นมันนำกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียหนีเข้าไปในขุนเขา ทั้งสองล้วนเป็นตายไม่แน่ชัด

    เสี่ยวลิ่วอาจยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหาเสี่ยวหลีพบ คนทั้งสองไม่รู้เคียงอยู่ที่ใดแล้ว อาจพยายามลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น…

    เสี่ยวลิ่ว เจ้าอย่าคิดแก้แค้นจะดีกว่า…หากว่าเจ้าได้มาเห็นที่นี่สักแวบก็จะเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook