ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 16 ตอนที่ 1
บทที่ 1 บุรุษที่ล่อหลอกมิได้
ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาลืมตามองผ่านม่านไปยังสตรีที่ก้มศีรษะคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ผ่านไปอึดใจหนึ่งค่อยกล่าวว่า
“แม้ตอนนี้เจ้าแทบจะเป็นเศษสวะที่ใช้การไม่ได้แล้ว แต่ข้าหวังว่าสายตาของเจ้ายังเฉียบคมอยู่”
น้ำเสียงมันแหบพร่า ในความเฉื่อยชาเนิบนาบแฝงกลิ่นอายความดุร้ายอำมหิตอันทรงพลังจนม่านไข่มุกที่แขวนอยู่ตรงหน้าถึงกับส่ายไหวเกิดเป็นเสียงดังติงตังสะท้อนไปทั่วตัววิหาร ดั่งเสียงสายฝนกระหน่ำใส่ชามกระเบื้องที่ว่างเปล่า
เยี่ยหงอวี๋ยังคงนั่งอย่างสงบนิ่ง มิได้สะดุ้งสะเทือนไปกับแรงกดดันคุกคามที่แผ่ออกจากบุรุษบนบัลลังก์ นางแค่ก้มหน้าลงต่ำอีกหน่อยเพื่อแสดงออกถึงความนอบน้อมให้มากยิ่งขึ้น
ผู้คุ้มกฎคนหนึ่งเดินออกจากหลังม่าน ยิ้มปลอบใจก่อนประคองม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นส่งให้ เยี่ยหงอวี๋รับมาอ่านทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่ อ่านจบก็เข้าสู่ภวังค์ความคิด
รายงานฉบับนี้ถูกส่งผ่านเส้นทางเดินสารลับกลับมายังซีหลิงอย่างรีบด่วนโดยคณะทูตของอาศรมเทพที่ไปเยือนต้าถัง ผู้เขียนคือเฉิงลี่เสวี่ยหัวหน้าหน่วยโองการฟ้า เนื้อหาบอกเล่าถึงการต่อสู้ระหว่างหนิงเชวียกับหลิ่วอี้ชิงที่หน้าประตูข้างของสถานศึกษาอย่างละเอียด โดยเน้นถึงวิชาเทพที่ปรากฏอยู่ในดาบเดียวของหนิงเชวียเป็นสำคัญ
“เจ้าเคยประมือกับคนผู้นี้มาก่อน อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงแหบกระด้างของต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาดังขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยหงอวี๋ตอบ
“ความก้าวหน้าในการฝึกฌานของมันไปไกลและรวดเร็วเกินความคาดหมายของข้าไปแล้ว ส่วนเรื่องวิชาเทพนั้น…ข้าคิดว่าแค่เหมือนกันทางลักษณะภายนอกเท่านั้น เพราะดูจากรายละเอียดที่เขียนมา แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนน่าจะปะทุออกมาจากตัวดาบ มิใช่ถูกดึงมาจากธรรมชาติ”
ภายในวิหารเงียบกริบ เพราะการคาดเดาของเยี่ยหงอวี๋ชี้ไปยังข้อเท็จจริงที่น่าตื่นตระหนกข้อหนึ่ง มิทราบผ่านไปนานเท่าใด จึงมีเสียงถามขึ้น
“เจ้าแน่ใจหรือ”
เยี่ยหงอวี๋ตอบ
“แม้หนิงเชวียคล้ายกับจะเป็นวิชาเทพเหมือนเคอเซียนเซิงในสมัยนั้น แต่การที่สาวใช้ของมันคารวะจ้าวบัลลังก์แสงสว่างเป็นอาจารย์ ก็สามารถหักล้างข้อสงสัยที่ทุกคนกลัวได้ หรือต่อให้ยังเคลือบแคลงสงสัย หากไม่มีหลักฐาน ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันจะกลายเป็นเคอเซียนเซิงคนต่อไป”
ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษามองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนถามขึ้นว่า
“เจ้าสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่”
เยี่ยหงอวี๋ตอบเสียงราบเรียบ
“ก่อนหน้านี้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้”
เห็นนางตอบอย่างไม่นำพา โทสะก็พุ่งขึ้นมาจนแน่นหน้าอก มันถามเสียงเดือดดาล
“เช่นนั้นเจ้ายังจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า”
เยี่ยหงอวี๋ตอบ
“อย่างน้อยก็ยังมีสายตาที่เฉียบคม”
เสียงไอโขลกๆ ดังขึ้นทันที ผ่านไปพักใหญ่ ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาจึงหยุดไอ กล่าวว่า
“ร่างของเจ้าถูกมารเฒ่าเหลียนเซิงทำให้สกปรกไปแล้ว การเลือกเก็บตัวฝึกฌานอยู่แต่ในห้องศิลานับเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลว ดังนั้นนับจากนี้ไป เจ้าไม่ต้องยุ่งกับงานในหน่วยแล้ว”
เยี่ยหงอวี๋มีหรือจะฟังไม่เข้าใจ คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ นี้เท่ากับเป็นการถอดถอนนางออกจากตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของหน่วยพิพากษา อันที่จริงหลังกลับจากทุ่งร้าง นางก็เร้นกายอยู่แต่ในห้องศิลามาตลอด น้อยครั้งที่จะสนใจดูแลงานในหน่วย ทว่าไม่สนใจกับการถูกถอดถอนเป็นคนละเรื่องกัน
บัดนี้ พลังฌานของนางเสื่อมถอยอย่างหนัก ด่านฌานถดถอยลงเรื่อยๆ จนมาถึงด่านสู่พิสดารขั้นกลาง และไม่แน่ว่าอาจจะถดถอยลงต่อก็ได้ หากแม้แต่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพิพากษาก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นบรรดาคนที่ไม่พอใจนางอาจจะไม่แสดงอาการเย้ยหยันดูแคลนเพียงแค่สายตาอีกต่อไป
เห็นเยี่ยหงอวี๋มิได้โต้แย้งอันใด ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาก็เอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนล้า ดวงตาลุ่มลึกเปล่งประกายเหนื่อยหน่ายและเย้ยหยันขึ้นวูบ
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาศรมเทพที่นั่งอยู่บนยอดเมฆอย่างมัน มีหรือจะปล่อยให้ใครหน้าไหนมาวางท่าหยิ่งผยองไม่ยอมคุกเข่าก้มศีรษะให้ ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะพรสวรรค์บวกกับความชื่นชมและการให้ความสำคัญที่เจ้านิกายมีต่อนาง รวมถึงความจริงที่ว่านางยังมีคนผู้นั้นของอารามจือโส่วคอยหนุนหลังอยู่อีกคน มันจึงต้องทำใจมองข้าม แต่ในเมื่อตอนนี้นางไม่มีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งผยองใส่ใครได้อีก เช่นนั้นก็จงกลับไปทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ในที่ในทางของตัวเองเถอะ
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าได้เขียนจดหมายส่งไปที่อารามแล้ว พี่ชายเจ้ายังกล่าวขอบคุณมา”
ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษามองสีหน้านางขณะกล่าวคำพูดที่รู้ว่าจะบดขยี้จิตใจของนางจนแหลกกระจุย
เป็นไปตามคาด ใบหน้าเยี่ยหงอวี๋สลดลงทันควัน ไม่เพียงเนื้อตัวสั่นสะท้าน แววตาที่เคยแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวยามนี้กลับคล้ายไข่ไก่ที่ถูกคนกะเทาะเปลือก เผยให้เห็นภายในที่อ่อนนุ่มบอบบาง
มิทราบผ่านไปนานเท่าใด นางจึงค่อยตื่นขึ้นจากภวังค์ ยิ้มรับอย่างขมขื่น ก้มศีรษะคารวะจนแทบติดพื้น กล่าวเสียงเบา
“หลายปีมานี้ ล้วนได้ท่านจ้าวบัลลังก์คอยปกป้องคุ้มครอง ศิษย์จึงมีวันนี้ได้ ศิษย์ขอกราบคารวะในพระคุณอันยิ่งใหญ่”
ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็นึกสังหรณ์ใจว่าตัวเองใช่ทำการวู่วามไปหน่อยหรือไม่ มันรู้สึกว่ารอยยิ้มขมขื่นกับคำพูดที่ฟังดูเจ็บช้ำสิ้นหวังของนางคล้ายซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้
เยี่ยหงอวี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะจากไปนางเงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วกล่าวเสียงเบาว่า
“เรื่องระหว่างศาลากระบี่กับสถานศึกษา ศิษย์เห็นว่าหน่วยพิพากษามิควรสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะสายเกินไปแล้วก็ตาม”
ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาไออย่างเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง พอพักหายใจได้ก็ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
“ด่านฌานลดต่ำลงยังไม่นับเป็นไรได้ แต่การที่มรรคจิตของเจ้าเปลี่ยนเป็นมีแต่ความขลาดเขลา นี่สิจึงน่าอับอายอย่างแท้จริง อาศรมเทพแห่งซีหลิงบัญชาการไปทั่วหล้า ส่วนหน่วยพิพากษาเราก็ดำเนินการตามคำสอนและบทบัญญัติของนิกาย ใครหน้าไหนจะกล้ามาตั้งคำถามกับพวกเรา”
เยี่ยหงอวี๋ไม่กล่าวอะไรอีก เดินจากวิหารสีดำไปเงียบๆ ขณะยืนอยู่บนบันไดขั้นสูงสุดมองที่นาและบ้านเรือนที่อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง ก็ถอนใจรำพึงขึ้นมาว่า
“จะมีคนตายอีกแล้ว”
ผู้คุ้มกฎที่ยื่นม้วนกระดาษให้นางเมื่อครู่นี้เดินตามมาส่งถึงด้านนอก ได้ยินดังนั้นก็อดถอนใจตามมิได้ กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านจ้าวบัลลังก์หมู่นี้เป็นหวัดอยู่บ่อยครั้ง และยังไออย่างหนัก จึงมักหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ขอให้หัวหน้าหน่วยอย่าได้นำมาใส่ใจ ส่วนเรื่องในศาลากระบี่ ผู้ที่สมควรตายก็ต้องตาย”
เป็นถึงต้าเสินกวนที่น่ากลัวที่สุดของอาศรมเทพ ด่านฌานบรรลุถึงขั้นสูงสุดของด่านรู้ชะตาไปนานแล้ว วันทั้งวันประทับนั่งอยู่บนยอดเมฆ เห็นมนุษย์ทุกคนดั่งมดปลวก คนระดับนี้ปกติไม่มีทางที่โรคภัยจะมากล้ำกราย แล้วจะเป็นหวัดได้อย่างไร
ห่างออกไป มีผู้คุ้มกฎหลายคนกำลังส่งสายตาดูแคลนแกมสมเพชมา เยี่ยหงอวี๋มองก่อนกล่าวเสียงเบาคล้ายกำลังพูดกับตัวเอง
“ถูกจ้าวบัลลังก์แสงสว่างทำร้ายบาดเจ็บ จะรักษาให้หายดีย่อมมิใช่เรื่องง่าย”
ภายในอาศรมเทพแห่งซีหลิง เบื้องล่างเจ้านิกายมีจ้าวบัลลังก์สามคน ไม่ว่าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จะชราลง เจ็บป่วย ได้รับบาดเจ็บหรือถูกกักขัง ขอเพียงพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งต้าเสินกวนที่ได้รับการกราบไหว้บูชาอย่างสูงสุดจากสานุศิษย์เฮ่าเทียนนับล้านๆ ในแผ่นดินก็จะคงอยู่กับพวกมันตลอดไป
ปีที่แล้ว ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างซึ่งถูกขังอยู่ในศาลามืดนานสิบกว่าปีได้ทรยศต่อนิกาย ทำลายที่คุมขังแล้วหลบหนีไป หลังจากนั้นก็ต่อสู้กับเหยียนเซ่อต้าซือบนภูเขานิรนามจนตกตายไปตามกัน ตำแหน่งจ้าวบัลลังก์จึงว่างลงที่หนึ่ง
ด้วยเกรงว่าศรัทธาของเหล่าสานุศิษย์จะสร่างซาหรือขาดหาย อาศรมเทพจึงมิอาจปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ดังนั้นเมื่อรู้ว่าต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างได้ทิ้งผู้สืบทอดไว้คนหนึ่ง จึงไม่รีรอที่จะรับผู้สืบทอดคนนั้นกลับซีหลิงทันที
เรื่องผู้สืบทอดคนใหม่นี้ยังถูกเก็บเป็นความลับ มิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ คิดว่าหากคนภายนอกล่วงรู้คงต้องเกิดความงุนงงสงสัย เพราะเหตุใดจ้าวบัลลังก์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศ นำความเสื่อมเสียครั้งใหญ่มาสู่อาศรมเทพ ผู้สืบทอดของมันกลับยังได้รับการยอมรับเชิดชูจากคนในอาศรมเทพให้ดำรงตำแหน่งจ้าวบัลลังก์แสงสว่างคนต่อไป
ทว่าสำหรับคนในอาศรมเทพ นี่กลับเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะการสืบทอดบัลลังก์ทั้งสามของเขาเถาซานมิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้านิกายหรือต้าเสินกวน แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเฮ่าเทียน และเพราะสาเหตุนี้ แม้ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างจะทรยศต่อนิกาย ก็ยังได้รับการเคารพเทิดทูนให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเดิม
นับแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบัน การสืบทอดบัลลังก์ทั้งสามต่างเป็นไปตามวิถีใครวิถีมัน
ของหน่วยพิพากษา เฮ่าเทียนคัดเลือกผ่านการตัดสินที่พลังและความสามารถ
ของหน่วยโองการฟ้า เฮ่าเทียนคัดเลือกผ่านคำทำนาย
ของหน่วยแสงสว่าง เฮ่าเทียนคัดเลือกผ่านการสืบทอด
ก่อนจากโลกนี้ไป ไม่น่าเชื่อว่าต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างจะค้นพบผู้สืบทอดของตัวเองในเมืองฉางอัน นี่ต้องเป็นความตั้งใจของเฮ่าเทียนอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คนผู้นั้นจะไม่ได้เป็นต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างคนต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังได้รับสารจากทางหนานไห่ เจ้านิกายและจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าก็ยิ่งมีความมั่นใจ ส่งคณะทูตออกไปรับโดยปราศจากความลังเล
บัดนี้ บัลลังก์หน่วยแสงสว่างกำลังรอคอยการมาของเจ้านายคนใหม่ของมัน
ซอยสี่สิบเจ็ด ภายในร้านเหล่าปี่ไจ หนิงเชวียนั่งมองเฉิงลี่เสวี่ยอย่างเงียบงัน
มันเคยพบกับหัวหน้าหน่วยโองการฟ้าคนนี้มาก่อน ตอนอยู่ในอาณาเขตของราชสำนักเผ่าจั่วจั้ง เฉิงลี่เสวี่ยได้แสดงออกถึงความสุขุมเยือกเย็นและยุติธรรมในการจัดการความขัดแย้งระหว่างมันกับชวีนีหม่าตี้ ทิ้งความประทับใจที่ดีไว้ให้ ทว่าวันนี้พอเห็นใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์กับผมขาวเป็นสีเงินยวงของอีกฝ่าย หนิงเชวียกลับรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้เพราะท่าทีที่เฉิงลี่เสวี่ยแสดงออกเต็มไปด้วยความจริงใจและอ่อนน้อมถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนซังซังยกน้ำชามาให้ บุคคลที่มีความสำคัญของอาศรมเทพแห่งซีหลิงอย่างเฉิงลี่เสวี่ยถึงกับทำท่าพินอบพิเทาจนหนิงเชวียแทบเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นบุตรระหว่างมันกับซังซังที่จะมีขึ้นในอนาคต
หนิงเชวียยกถ้วยชาขึ้นกล่าวว่า
“ข้าตระหนักดีถึงความลำบากใจของพวกเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรับปากอะไรได้จริงๆ”
เฉิงลี่เสวี่ยขมวดคิ้ว
“แม้หลายปีมานี้อาศรมเทพกับสถานศึกษาจะเกิดความเข้าใจผิดกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงให้ความเคารพซึ่งกันและกัน”
หนิงเชวียรีบกล่าว
“ข้าเองก็เคารพนิกายเฮ่าเทียนเป็นอย่างยิ่ง”
เฉิงลี่เสวี่ยถอนใจยาว
“วันหน้าศิษย์น้องซังซังจะต้องดำรงตำแหน่งจ้าวบัลลังก์แสงสว่าง สานุศิษย์นับล้านๆ รวมทั้งตัวข้าล้วนต้องคุกเข่าคารวะให้นาง มิกล้ามองหรือสนทนากับนางหากนางไม่อนุญาต ทว่าเซียนเซิงสิบสามเจ้ากลับให้นางมาปูเตียงพับผ้าห่มยกน้ำชาอยู่ที่นี่ เช่นนี้แล้วความเคารพนิกายเฮ่าเทียนของเจ้าอยู่ที่ใดกันเล่า”
ได้ยินคำตำหนิ หนิงเชวียก็มองไปทางหลังบ้านดูซังซังที่กำลังก่อไฟหุงข้าว เงียบไปเป็นครู่ค่อยกล่าวว่า
“พูดตรงๆ จนถึงบัดนี้ข้าก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี ข้าเลี้ยงนางมาตั้งแต่นางยังเป็นทารก รู้ว่านางมีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพิเศษจนสามารถทำให้อาศรมเทพสั่นสะเทือนได้”
เฉิงลี่เสวี่ยกล่าว
“แม้ศิษย์น้องซังซังจะเป็นคนธรรมดา แต่นับจากวินาทีที่เฮ่าเทียนเลือกนางผ่านมือของจ้าวบัลลังก์แสงสว่าง นางก็ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป และพวกข้าก็ต้องปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนโดยการรับตัวนางกลับอาศรมเทพให้ได้”
“ข้าไม่ชอบน้ำเสียงเช่นนี้ รวมถึงคำว่าจะต้องให้ได้”
หนิงเชวียมองถ้วยชาในมือ ก่อนกล่าวต่อ
“เพราะนั่นทำให้ข้ารู้สึกว่ากำลังถูกข่มขู่”
เฉิงลี่เสวี่ยฟังออกถึงน้ำเสียงที่เริ่มจะแข็งกร้าว จึงกล่าวว่า
“หากเจ้าลองมองจากอีกแง่มุมหนึ่งก็จะเข้าใจ”
หนิงเชวียจิบชาที่เย็นชืดไปแล้ว ถามเสียงเยาะ
“ในเมื่อพวกเจ้าพูดจาเช่นนี้ แล้วจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไร หากข้าไม่เห็นด้วย พวกเจ้าจะยอมรามือแต่โดยดีหรือ”
เฉิงลี่เสวี่ยส่ายหน้า
“บัลลังก์แสงสว่างจะถูกปล่อยให้ว่างไปตลอดปีตลอดชาติไม่ได้”
หนิงเชวียวางถ้วยชาลง จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง
“หากข้ายืนกรานไม่เห็นด้วย อาศรมเทพจะทำอย่างไร”
เฉิงลี่เสวี่ยรับรู้ได้ถึงความเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของอีกฝ่าย จึงเงียบไปก่อนฝืนยิ้ม
“เจ้าน่าจะเข้าใจ สำหรับนิกายเฮ่าเทียนและอาศรมเทพแห่งซีหลิง จ้าวบัลลังก์แสงสว่างหมายถึงอะไร”
“ข้าไม่เข้าใจ”
หนิงเชวียตอบพาลๆ ก่อนย้อนถาม
“หรือต้องสู้รบเพื่อแย่งคน”
เฉิงลี่เสวี่ยจ้องตากลับ ตอบเสียงราบเรียบ
“หากผู้สืบทอดของจ้าวบัลลังก์แสงสว่างยังระหกระเหินอยู่ที่อื่น ต่อให้ปฐพีนี้ต้องหลั่งโลหิตไปทุกหย่อมหญ้า อาศรมเทพก็จะไม่ลังเลที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวนางกลับไปซีหลิงให้ได้”
หนิงเชวียกล่าวเสียงเย็น
“แต่คำว่าที่อื่นของเจ้าตอนนี้ก็คือเมืองฉางอัน คือข้างกายข้า”
เฉิงลี่เสวี่ยเงียบงันไปก่อนกล่าวว่า
“ดังนั้นพวกเราถึงได้มาเชิญศิษย์น้องซังซังอย่างไรเล่า”
“คำว่าเชิญค่อยน่าฟังหน่อย แต่ข้าอยากรู้นักว่าความตั้งใจของอาศรมเทพจะหนักแน่นมั่นคงแค่ไหน”
เฉิงลี่เสวี่ยขมวดคิ้ว
“เจ้าอยากรู้ว่าอาศรมเทพจะประกาศสงครามกับต้าถังและสถานศึกษาเพราะเรื่องนี้หรือไม่อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าต้าถังกับสถานศึกษาจะยอมเปิดศึกกับอาศรมเทพเพียงเพราะเรื่องของศิษย์น้องซังซัง”
หนิงเชวียนึกถึงมรสุมโลหิตที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันเมื่อสิบกว่าปีก่อนกับแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวที่ตอนนี้ยังอยู่ดีกินดี ก็นิ่งเงียบไปนาน ก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า
“ต้าถังกับสถานศึกษาย่อมไม่เปิดศึกกับอาศรมเทพเพราะสาวใช้คนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าข้าเป็นใคร หากพวกเจ้าคิดจะบีบบังคับเอาตัวนางไปจากข้า ข้าสาบานได้เลยว่าต้าถังกับสถานศึกษาจะต้องถูกม้วนเข้ามาในความขัดแย้งนี้อย่างแน่นอน”
เฉิงลี่เสวี่ยหน้าเครียด ถึงตอนนี้มันรู้แล้วว่าฐานะของศิษย์น้องซังซังในใจของหนิงเชวียมิใช่เป็นเพียงแค่สาวใช้ที่อยู่ร่วมกันมานานธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพื่อนาง หนิงเชวียถึงกับตั้งใจที่จะปล่อยให้มรสุมโลหิตกวาดม้วนกลืนกินชีวิตผู้คนไปทั่วทุกแห่งหนโดยไม่นำพา มันกล่าวประณามอย่างรุนแรง
“ต้าถังกับสถานศึกษาไยต้องทำสงครามกับอาศรมเทพเพราะความป่าเถื่อนไร้เหตุผลของเจ้า หรือจอมปราชญ์กับโอรสสวรรค์ของต้าถังก็ไร้ซึ่งความละอายเช่นเดียวกันกับเจ้า ยอมให้เรื่องส่วนตัวของคนคนหนึ่งมาทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ”
แทนที่จะนึกละอาย หนิงเชวียกลับกล่าวย้ำ
“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดไป หากถึงวันนั้นจริงๆ ข้ามีวิธีการมากมายที่จะดึงสถานศึกษากับต้าถังลงมาในน้ำครำด้วย”
ภายในร้านเหล่าปี่ไจเงียบสนิท ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉิงลี่เสวี่ยค่อยพยายามฝืนยิ้มอีกครั้ง กล่าวโน้มน้าวว่า
“ไฉนเจ้าถึงไม่นึกถึงเรื่องนี้ในด้านดีเล่า ศิษย์น้องซังซังมิได้ไปซีหลิงเพื่อเป็นนักโทษหรือเพื่อไปรับความทุกข์ยากลำบากอันใด ตรงกันข้าม นางจะได้รับการสั่งสอนชี้แนะอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์จากนิกายเฮ่าเทียน นางจะกลายเป็นจ้าวบัลลังก์แสงสว่างซึ่งเป็นที่เคารพนับถือที่สุดบนเขาเถาซาน ไม่ว่าจะต่อต้าถัง ต่อสถานศึกษา หรือว่าต่อเจ้า เรื่องนี้ล้วนมีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย เช่นนั้นพวกเราจะต้องขัดแย้งกันไปทำไม”
เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวจริงๆ หรือ มันถึงต้องการให้ซังซังติดตามปรนนิบัติรับใช้มันไปตลอดชีวิต ไม่ต้องการให้นางไปอาศรมเทพแห่งซีหลิง ไม่ต้องการให้นางกลายเป็นจ้าวบัลลังก์แสงสว่าง?
หนิงเชวียมองใบชาในถ้วย ครุ่นคิดอยู่นาน จึงค่อยเงยหน้ากล่าวว่า
“ให้เวลาข้าคิดอีกหน่อย”
เฉิงลี่เสวี่ยกล่าวเสียงขรึม
“จ้าวบัลลังก์โองการฟ้ามิอาจพำนักอยู่ที่ฉางอันนานเกินไป หวังว่าเจ้าจะขบคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง อย่าใช้คำว่า ‘คิด’ มาเป็นข้ออ้างถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ”
กลางดึกคืนนั้น หนิงเชวียพาซังซังไปจวนต้าเสวียซื่อ เจิงฮูหยินได้พบกับบุตรีที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาหลายวันก็ดีอกดีใจ รีบจูงมือซังซังเข้าไปยังเรือนด้านหลัง ทิ้งห้องหนังสืออันเงียบสงบไว้ให้หนิงเชวียกับสามี
“เรื่องนี้ใต้เท้ามีความคิดเห็นเป็นอย่างไร”
หนิงเชวียถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันอยากเห็นสีหน้าอาลัยอาวรณ์ไม่ยินยอมให้บุตรสาวจากไปของอีกฝ่าย ทว่าอึดใจต่อมา มันก็พบว่านี่เป็นความคิดที่เพ้อเจ้อสิ้นดี
เจิงจิ้งแม้มีสีหน้าอาลัยตัดใจไม่ลง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ที่เห็นได้ชัดกลับเป็นสีหน้าแตกตื่นยินดีเสียมากกว่า แม้จะเป็นชาวถัง ทว่าสำหรับสานุศิษย์ของเฮ่าเทียนการที่บุตรสาวของตัวเองจู่ๆ ก็มีโอกาสได้เป็นถึงต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างของอาศรมเทพ ต้องนับเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของวงศ์ตระกูลอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าพ้นปีหน้าไปจะกลับบ้านเกิดไปบูรณะซ่อมแซมศาลบรรพบุรุษ เพราะหากมิได้บรรพบุรุษบนสวรรค์คอยปกป้องคุ้มครอง พวกข้ามีหรือจะได้พบลูกที่พลัดพรากจากไปนาน ตอนนี้ยังมามีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้อีก เห็นทีต้องทำให้ใหญ่โตกว่าที่คิดเอาไว้เสียแล้ว พูดถึงเรื่องบูรณะซ่อมแซมศาลบรรพบุรุษ แม้กฎระเบียบของต้าถังจะมิได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่หากเอาตระกูลชุยเขตชิงเหอที่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเคยมีคนในตระกูลได้รับการแต่งตั้งเป็นต้าเสินกวนมาเป็นตัวอย่าง ศาลบรรพบุรุษของตระกูลเจิงข้าสามารถสร้างได้เทียบเท่ากับของชินอ๋องเชียวนะ เหอะๆ”
เจิงจิ้งพูดพล่ามด้วยแววตาสดใสเป็นประกาย โดยมิทันสังเกตสีหน้าของหนิงเชวีย
“หากเป็นแคว้นหนานจิ้นหรือแคว้นซ่งที่จักรพรรดิมิได้มีพระราชอำนาจสูงสุดในแคว้นเหมือนกับฝ่าบาทของพวกเรา ศาลบรรพบุรุษของข้าสามารถถูกบูรณะซ่อมแซมให้มีรูปแบบและขนาดเท่ากับของจักรพรรดิได้เลย เซียนเซิงสิบสาม เจ้าว่าข้ามีความดีอะไร ถึงได้มีโชควาสนาถึงเพียงนี้”
ถึงตอนนี้มันค่อยสังเกตเห็นว่าหนิงเชวียเงียบไป จึงหัวเราะอย่างขัดเขิน
“เสียกิริยาแล้วๆ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังดีกว่าหัวหน้าตระกูลชุยเขตชิงเหอในสมัยนั้น ลือกันว่าตอนได้รับข่าวมงคลจากอาศรมเทพ เจ้านั่นถึงกับดีใจจนสติแตกกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเลย”
หนิงเชวียยิ้มเฝื่อนๆ ถามขึ้น
“ได้เป็นต้าเสินกวนแห่งซีหลิง…ดีถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ”
เจิงจิ้งตะลึงลาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่น คิดในใจ ศิษย์ของจอมปราชญ์เหตุไฉนจึงถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้
ในโลกที่เต็มไปด้วยแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน การได้เป็นต้าเสินกวนของอาศรมเทพแห่งซีหลิงถือเป็นเรื่องดีงามยิ่งกว่าการได้เป็นจักรพรรดิเสียอีก ดังนั้นในโลกนี้ยังจะมีเรื่องใดดีงามไปมากกว่านี้อีกเล่า
ทันใดนั้นเจิงจิ้งก็นึกเอะใจ โพล่งถามว่า
“เจ้าไม่อยากให้ซังซังไปซีหลิงใช่หรือไม่”
หนิงเชวียตอบ
“ไม่ใช่ไม่อยาก เพียงแต่ข้ายังคิดไม่ตก”
เจิงจิ้งกล่าวเสียงสั่นด้วยความร้อนใจ
“เซียนเซิงสิบสามช่วยชีวิตบุตรสาวข้า และยังเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดีจนเติบใหญ่ พระคุณนี้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก และข้าก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนางมิใช่นายบ่าวธรรมดา เพียงแต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ขอให้เจ้าไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าทำอะไรวู่วามตามอำเภอใจเด็ดขาด”
หนิงเชวียนิ่งเงียบ
เจิงจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ดึงทึ้งหนวดเคราตัวเองอย่างกระวนกระวายใจ สุดท้ายก็เปรยขึ้นเป็นการหยั่งเชิง
“ได้ยินว่าตามบทบัญญัตินิกายเฮ่าเทียนมิได้ห้ามต้าเสินกวนไม่ให้แต่งงาน”
หนิงเชวียเงยหน้าขวับถามขึ้นทันที
“จริงหรือ”
เจิงจิ้งเห็นดวงตาอีกฝ่ายเป็นประกายก็นึกในใจ เห็นทีเรื่องที่ฮูหยินคาดเดาไว้จะเป็นความจริง พอคิดได้เช่นนี้มันก็ลืมความจริงที่ว่าหนิงเชวียเป็นศิษย์ชั้นสองของสถานศึกษา วางท่าเป็นผู้อาวุโสของอีกฝ่ายไปทันที ลูบเคราถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หากไม่ให้ซังซังไปซีหลิง แล้ววันหน้าเซียนเซิงสิบสามมีแผนจะจัดการกับอนาคตของบุตรสาวผู้อาภัพของข้าอย่างไร”
หนิงเชวียมิทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของชายชราตรงหน้า จึงตอบไปตามตรง
“รอให้นางอายุครบสิบหก ข้าจะแต่งนางเป็นภรรยา”
มือที่กำลังลูบเคราของเจิงจิ้งกระตุกทันที เคราบางถึงกับหลุดติดนิ้วไปสามเส้น มันกำลังคิดอยู่ว่าหากอีกฝ่ายเอ่ยปากให้เป็นที่ขัดใจ มันจะไม่ไว้หน้าทั้งยังจะก่นด่าให้เจ็บแสบ คิดไม่ถึงว่าหนิงเชวียจะโพล่งออกมาตรงๆ ว่าต้องการแต่งงานกับซังซัง!
“เป็นภรรยาหลวง?”
เจิงจิ้งถามเสียงสั่น
หนิงเชวียส่ายหน้าอย่างระอาใจ
เจิงจิ้งเห็นเช่นนั้นโทสะก็พุ่งพรวด ทว่ายังไม่ทันได้อาละวาด หนิงเชวียก็กล่าวขึ้นมาก่อน
“แน่นอนต้องเป็นภรรยาหลวงสิ”
ครานี้เจิงจิ้งลูบเคราอย่างปลาบปลื้ม ยิ้มแย้มถามอย่างโล่งอกโล่งใจ
“แล้วต่อไปจะรับอนุภรรยาหรือไม่”
หนิงเชวียตอบเสียงขมขื่น
“ข้าเองก็อยาก แต่ท่านคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ”
รอยยิ้มของเจิงจิ้งขยายกว้างกว่าเดิมจนแทบจรดใบหู บุตรสาวมันมีโอกาสแต่งเป็นภรรยาหลวงให้แก่ศิษย์ของจอมปราชญ์ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังพูดเป็นเชิงว่าจะไม่รับอนุภรรยา นี่ล้วนเป็นเรื่องมงคลทั้งสิ้น ดังนั้นหากซังซังจะไม่ได้เป็นต้าเสินกวนของอาศรมเทพแห่งซีหลิงก็มิใช่เรื่องที่น่าเสียดายอะไรนัก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องซังซังจะไปซีหลิงหรือไม่ ข้ายกให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน”
เจิงจิ้งเป็นคนเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร มิเช่นนั้นตอนซังซังยังเป็นทารก ถูกภรรยาหลวงของมันที่มาจากตระกูลมีอิทธิพลของเขตชิงเหอวางแผนทำร้าย มันคงไม่กล้าหย่าขาดจากภรรยา สังหารบ่าวไพร่ที่ร่วมลงมือ ดังนั้นพอฟังหนิงเชวียพูดจบจึงรีบดึงตัวเองกับภรรยาออกนอกวง โยนปัญหาและความกดดันทั้งหลายแหล่กลับไปที่หนิงเชวียทันที
หนิงเชวียโอดครวญ
“เรื่องแบบนี้มิใช่ต้องร่วมปรึกษาหารือกันหรอกหรือ”
เจิงจิ้งลูบคางที่ยังคงเจ็บๆ คันๆ เล็กน้อย ส่ายหน้าตอบว่า
“ตอนนี้ซังซังยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของเจ้า อีกทั้งพวกเจ้ายังมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่เหตุและผลหรือความรู้สึก เรื่องนี้สมควรให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ”
พริบตานั้นหนิงเชวียจึงค่อยรู้ว่าพ่อตาในอนาคตของมันเป็นบุรุษที่แม้แต่มันก็ยังล่อหลอกไม่ได้
เจิงจิ้งยิ้มเยาะในใจ เจ้าเป็นศิษย์ชั้นสองของสถานศึกษาก็จริง แต่อย่าคิดว่าจะสามารถหลอกให้ข้าเอ่ยปากปฏิเสธคำขอของอาศรมเทพได้
ดึกมากแล้ว เจิงฮูหยินจูงซังซังเดินกลับเข้ามาในห้องหนังสือ สีหน้าเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ กระทั่งเจิงจิ้งดึงมือเข้าไปกระซิบกระซาบหลายประโยค นางจึงค่อยยกมือปิดปากด้วยความแตกตื่น สายตาที่มองหนิงเชวียเปลี่ยนไปจากเดิมทันที มีแววเอ็นดูชอบใจขึ้นมาหลายส่วน
นางยิ้มแย้มจนตาหยี กล่าวกับมันว่า
“คิดว่าต่อไปเจ้าคงจะมาที่จวนนี่บ่อยๆ ถ้าเช่นนั้นข้าจะรีบไปสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมห้องพักไว้ให้ที่เรือนด้านหลัง ส่วนคืนนี้เจ้าก็ค้างที่นี่เถอะ”
หนิงเชวียไม่คุ้นกับสีหน้ายิ้มแย้มของเจิงฮูหยิน พลันรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าไปในโลกของ ‘บันทึกเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ’ บังเกิดความคิดชั่ววูบอยากวิ่งหนีไป
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องรีบไปจัดการ”
ว่าแล้วมันก็ลุกขึ้นบอกซังซังให้ค้างคืนอยู่ที่จวน สนทนากับบิดามารดาให้สมกับที่คิดถึง ก่อนเดินจ้ำอ้าวราวกับวิ่ง
สถานที่ที่มันมุ่งหน้าไปคือซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาชุนเฟิง และก็เป็นที่ตั้งของบ้านเฉาเสี่ยวซู่ด้วย