• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 16 ตอนที่ 2

    บทที่ 2 ให้ยืมกระบี่

     

    ฉีซื่อยืนรออยู่หน้าบ้านสกุลเฉานานแล้ว พอเห็นหนิงเชวียปรากฏตัวก็เป่าปากอย่างโล่งอก ก่อนบอกเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดให้ฟังตลอดทางที่เดินนำเข้าไปข้างใน

    ดึกมากแล้ว แต่ภายในห้องโถงใหญ่ของบ้านสกุลเฉายังคงจุดตะเกียงสว่างไสว บุรุษหลายคนนั่งรออยู่ในห้องไม่พูดไม่จากัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ทว่ายามพวกมันหันไปทางชายชราซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน ใบหน้าจะผุดรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นทันที เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูฝืนใจอย่างเห็นได้ชัด

    พอฉีซื่อเดินนำหนิงเชวียเข้ามา พวกมันก็รีบลุกขึ้นคารวะด้วยท่าทีขึงขัง พร้อมกับประกาศชื่อแซ่ของตัวเองเสียงดัง

    “ข้าฉางซาน ฉางซือเวย”

    “ข้าหลิวอู่ หลิวซือ”

    “ข้าเฟ่ยลิ่ว เฟ่ยจิงเหว่ย”

    “ข้าเฉินชี”

    คนเหล่านี้ในอดีตล้วนเป็นบุคคลระดับผู้นำของพรรคมัจฉามังกร หลังศึกที่ศาลาชุนเฟิง ฐานะของพวกมันก็ถูกเปิดเผย จึงจำต้องออกจากพรรคกลับเข้ารับราชการตามเดิม รับผิดชอบหน้าที่สำคัญอยู่ในค่ายเซียวฉีบ้าง หน่วยองครักษ์บ้าง บัดนี้พวกมันมารวมตัวกันที่บ้านสกุลเฉาอีกครั้ง ย่อมต้องเป็นเพราะเรื่องเรื่องเดียว

    ก่อนเฉาเสี่ยวซู่จะออกจากเมืองฉางอัน เคยพาพี่น้องเหล่านี้ไปซอยสี่สิบเจ็ดเพื่อให้หนิงเชวียได้รู้จักไว้ หนิงเชวียจึงทราบฐานะของคนเหล่านี้เป็นอย่างดี หากนับความสัมพันธ์ที่มันมีกับหน่วยองครักษ์ลับ สามารถพูดได้ว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นคนในเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น

    สายตาที่ฉางซานกับพวกมองหนิงเชวียนั้นเต็มไปด้วยความหลากหลาย เฉาเสี่ยวซู่เคยบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องการฝากพรรคมัจฉามังกรกับพวกมันไว้กับหนิงเชวีย เพียงแต่หนิงเชวียไม่ยอมรับ ตอนนั้นพวกมันรู้สึกงุนงง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพี่รองเฉาถึงได้เชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ถึงเพียงนี้ ทว่าเวลาสองปีที่ผ่านไปช่วยให้พวกมันเข้าใจได้กระจ่างขึ้น ที่แท้พี่รองเฉาดูออกแต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้มิใช่ธรรมดา

    “ท่านผู้นี้คือเฉาเหล่าไท่เหยีย (นายผู้เฒ่าใหญ่แซ่เฉา)”

    ฉีซื่อแนะนำ

    ขณะมองหน้าชายชราผมขาวโพลนที่สีหน้ามีแต่ความกังวล มิทราบว่าทำไม จู่ๆ หนิงเชวียก็บันดาลโทสะ ขมวดคิ้วกล่าวว่า

    “บิดามารดายังอยู่ ไม่ควรเดินทางไกล มันไม่เพียงเดินทางไกล ยังท่องเที่ยวอย่างสุขสำราญใจอีกด้วย”

    เฉาเหล่าไท่เหยียถอนใจยาว กล่าวแก้ตัวแทนบุตรชาย

    “ตอนแรกต้องการให้มันสอบเข้ารับราชการ ต่อมาก็ต้องการให้มันไต่เต้าเลื่อนตำแหน่ง ข้าควบคุมมันมาครึ่งชีวิตแล้ว กว่ามันจะสลัดหลุดมิใช่เรื่องง่าย ปล่อยให้มันไปเถอะ”

    หนิงเชวียนิ่งงันไป คิดไม่ถึงว่าเฉาเหล่าไท่เหยียจะคิดตกได้ แต่แล้วก็ฉุกใจคิด เฉาเสี่ยวซู่เป็นหัวหน้าใหญ่ในวงการนักเลงของเมืองฉางอันมานานหลายปี ทว่าเฉาเหล่าไท่เหยียรับรู้แต่ไม่ห้ามปราม แสดงว่าน่าจะเป็นเพราะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังในงานการที่เฉาเสี่ยวซู่ทำเป็นอย่างดี

    พอเข้าใจถึงจุดนี้แล้วมันก็ไม่คิดจะปิดบังชายชรา บอกกล่าวกับทุกคนในที่นั้นว่า

    “จอมกระบี่จากหนานจิ้นยอมบอกความจริงแล้วว่าพี่รองเฉาได้ประมือกับหลิ่วไป๋”

    เสียงอุทานแตกตื่นดังขึ้น ใบหน้าของฉางซือเวยเต็มไปด้วยความกังวล พวกมันร่วมเป็นร่วมตายกับเฉาเสี่ยวซู่มานาน มีความมั่นใจในตัวเฉาเสี่ยวซู่มากจนถึงขั้นไร้เหตุผล ทว่าพอได้ยินว่าคนลงมือคือเทพกระบี่หลิ่วไป๋ ก็ยังอดตื่นตระหนกตกใจมิได้ ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

    เทพกระบี่หลิ่วไป๋คือยอดคนอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ต่อให้ด่านฌานของเฉาเสี่ยวซู่บรรลุถึงด่านรู้ชะตาก่อนออกจากฉางอัน แต่ก็ยังไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย มิรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างพวกมันจบลงอย่างไร

    หนิงเชวียคล้ายอ่านความคิดของพวกมันออก

    “หลิ่วอี้ชิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าการต่อสู้จบลงอย่างไร หากดูจากที่กระบี่ของพี่รองเฉาพลัดพรากจากเจ้าของ ข้าเดาว่าพี่รองเฉาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่สุดที่จะรู้ได้ว่าตอนนี้คนอยู่ที่ใด”

    ฉีซื่อเกาศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าวิตกทุกข์ร้อน

    “พี่รองเฉามิใช่คนที่ยึดติดกับหลักการที่ว่ากระบี่หายคนม้วย ข้าจึงไม่คิดว่ามันจะดึงดันสู้ต่อจนตัวตาย น่าจะเป็นอย่างที่เจ้าว่ามากกว่า คือได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ตามหมู่บ้านในป่าเขา หรือถูกคนของแคว้นหนานจิ้นกักขังไว้”

    หนิงเชวียตอบ

    “หลิ่วอี้ชิงบอกว่าพี่รองเฉามิได้อยู่ที่ศาลากระบี่ มันไม่มีทางโกหกในเรื่องนี้ เพราะหากหาตัวพี่รองเฉาไม่พบ สถานศึกษาก็จะไม่ปล่อยตัวมัน อีกอย่าง ทางสถานศึกษาได้เขียนจดหมายสอบถามไปยังหลิ่วไป๋แล้ว”

    เหล่าชายฉกรรจ์ในห้องแม้จะเคยมีชื่อโด่งดังอยู่ในวงการนักเลงของเมืองฉางอัน มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนัก แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็มิได้เป็นคนในโลกของการฝึกฌาน จึงมิรู้ว่าควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี บัดนี้พอได้ยินว่าสถานศึกษาถึงกับออกหน้าเอง ก็ค่อยคลายความกังวลลงไปไม่น้อย

    ฉางซานกล่าวเสริมมา

    “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่พี่รองเฉาหายตัวไปแล้ว พรุ่งนี้จะทรงส่งสาสน์ไปถึงจักรพรรดิแคว้นหนานจิ้นอย่างเป็นทางการเพื่อทวงคน ข้าคิดว่าแคว้นหนานจิ้นจะอย่างไรก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสีย ไม่กระทำการวู่วาม”

    เฉินชีที่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้อง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

    “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีปัญหา”

    ทุกคนหันไปมองมันพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่หนิงเชวีย

    หนิงเชวียสังเกตอยู่ก่อนแล้วว่าตอนแนะนำตัวมีเพียงเฉินซีคนเดียวที่มิได้ประกาศชื่อแซ่ออกมา ขณะเดียวกันมันก็นึกถึงฉายาที่คนในวงการนักเลงตั้งให้แก่คนเหล่านี้ ฉางซานเหลิ่ง ฉีซื่อเหิ่น หลิวอู่เหิง เฟ่ยลิ่วซยง เฉินชีอิน

    ตกลงสมองของคนผู้นี้มีความคิดอันใดซุกซ่อนอยู่บ้าง

    “ไม่ว่าการที่เทพกระบี่หลิ่วไป๋ลงมือกับพี่รองเฉาจะเป็นเพราะมันคันไม้คันมืออยากลอง หรือเป็นเพราะต้องการข่มอานุภาพของแคว้นต้าถังเรา หรือเป็นเพราะพี่รองเฉาขโมยกินข้าวโพดในศาลากระบี่ไปหนึ่งฝัก”

    เฉินชีก้มหน้ารำพึงรำพันคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาที่มองมาของคนทั้งห้อง คำพูดของมันน่าหัวร่ออยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับเครียดขรึมจริงจัง

    “ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเพราะเหตุใดหลิ่วอี้ชิงจึงต้องพกกระบี่พี่รองเฉามาท้าสู้ เพราะเหตุใดมันถึงต้องการให้คนทั่วหล้ารู้เรื่องนี้ ข้ามิใช่ผู้ฝึกฌาน จึงไม่รู้ว่าปกติผู้ฝึกฌานคิดอะไรกัน แต่ในเมื่อผู้ฝึกฌานก็เป็นคน เช่นนั้นวิธีคิดของพวกมันก็ไม่น่าจะแตกต่างไปจากพวกเราสักเท่าใด”

    หนิงเชวียพยักหน้า

    “ข้าสามารถยืนยันได้ในเรื่องนี้”

    เฉินชีเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาตี่เล็กสาดประกายเจิดจ้า

    “หลิ่วไป๋คือยอดคนอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ดังนั้นมันย่อมไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เป็นไปได้ที่ตัวมันจะส่งน้องชายมา เพราะแม้จะพ่ายแพ้ก็ยังถือว่าได้ยืมมือสถานศึกษาขัดเกลาน้องชายของตัว และก็เป็นไปได้ที่มันจะคิดแค้นเรื่องศิษย์ที่ตายไปที่ศาลาชุนเฟิง จึงคิดจะเล่นงานพี่รองเฉากับเจ้า แต่การเอากระบี่ของพี่รองเฉามาหลอกให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าพี่รองเฉาตายไปแล้ว นั่นเท่ากับเป็นการทำร้ายน้องชายของตัวเอง ข้ามั่นใจว่ามันไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”

    หนิงเชวียเงียบงันไป นึกย้อนถึงการต่อสู้ที่หน้าประตูข้างของสถานศึกษา แล้วก็รู้สึกว่าที่เฉินชีพูดมานั้นมิใช่ไม่มีเหตุผล หากมิใช่เพราะเห็นกระบี่ของเฉาเสี่ยวซู่อยู่ในมือหลิ่วอี้ชิง มันไม่มีทางลงมืออย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น เพราะการทำให้น้องชายของเทพกระบี่หลิ่วไป๋ตาบอดไม่ก่อประโยชน์อันใดให้แก่มันแม้แต่น้อย

    “หากข้าเป็นหลิ่วไป๋ ก่อนอื่นจะเอาชนะพี่รองเฉา จากนั้นส่งน้องชายตัวเองมาเอาชนะเจ้า นี่ก็เพียงพอที่จะชดเชยความแค้นที่ศาลาชุนเฟิงแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องสร้างความแค้นลึกล้ำกับสถานศึกษาและแคว้นต้าถังอีก”

    เฉินชีกล่าวต่อ

    “ที่น่าแปลกก็คือจากรายงานของหน่วยองครักษ์ หลังจากเจ้าเข้าชั้นสองของสถานศึกษา ชื่อเสียงก็เลื่องระบือไปทั่วในหมู่ผู้ฝึกฌาน กระทั่งพวกเราที่มิใช่ผู้ฝึกฌานก็ยังทราบข่าวที่ว่านามของเจ้าได้ไปปรากฏอยู่ในคัมภีร์สวรรค์ ไม่เพียงเท่านี้ รายละเอียดของเหตุการณ์ที่ศาลาชุนเฟิงยังถูกถ่ายทอดไปไกลอย่างไม่มีการตกหล่นอีกด้วย

    ปกติคำเล่าลือปากต่อปากจะไม่แพร่สะพัดไปได้รวดเร็วอย่างนี้ นี่แสดงว่าต้องมีคนคอยกระพือข่าวอยู่เบื้องหลัง เพื่อที่จะดึงความสนใจของศาลากระบี่มาที่ตัวพี่รองเฉากับเจ้า ข้าจึงเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดรวมถึงเรื่องที่หลิ่วอี้ชิงพกกระบี่ของพี่รองเฉามาที่นี่ จะต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน”

    เฉินชีกวาดตามองทุกคนก่อนสรุปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ

    “ผู้ที่มีความสามารถและกล้าที่จะยุแยงให้สถานศึกษาแคว้นต้าถังกับศาลากระบี่แคว้นหนานจิ้นขัดแย้งกัน อีกทั้งยังจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ กวาดตามองไปทั่วทั้งแผ่นดินคงมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คืออาศรมเทพแห่งซีหลิง”

     

    บริเวณหน้าผาของเขาลูกหนึ่งห่างจากเมืองหลวงของแคว้นหนานจิ้นไปประมาณเจ็ดสิบลี้ มีศาลาเก่าโบราณสีขาวตัดดำตั้งอยู่ ที่นี่ก็คือศาลากระบี่

    ส่วนหนึ่งของศาลาที่อยู่ลึกเข้าไปในหน้าผาเป็นถ้ำขนาดใหญ่ เพดานถ้ำทะลุเป็นช่องขึ้นไปถึงยอดเขา แสงตะวันจึงส่องลงมาได้ ก้นถ้ำมีสระน้ำเล็กๆ กับกระท่อมหลังหนึ่ง มองไปคล้ายโลกเล็กๆ ที่แยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย รอบด้านมีแต่ความวิเวกวังเวง

    หลิ่วไป๋นั่งอยู่ในโลกเล็กๆ ที่ว่านี้ มองฟองอากาศละเอียดยิบที่พ่นออกจากปากปลาหมังอวี๋ในสระ ก่อนใช้มือปัดเส้นผมยาวประบ่าไปไว้ด้านหลัง ถามเสียงราบเรียบ

    “ใครสามารถให้คำอธิบายกับข้าได้”

    หลังข่าวที่หลิ่วอี้ชิงพ่ายแพ้และกลายเป็นคนตาบอดถูกถ่ายทอดมาถึงแคว้นหนานจิ้นแล้ว ก็ยังมีจดหมายจากแคว้นต้าถังตามมาอีกสองฉบับ หนึ่งเป็นพระราชหัตถเลขาของจักรพรรดิหลี่จ้งอี้ซึ่งตอนนี้ถูกวางไว้ในตำหนักบรรทมของจักรพรรดิแคว้นหนานจิ้นที่หลังทอดพระเนตรก็ทรงกริ้วอย่างหนัก ส่วนอีกฉบับมาจากสถานศึกษา เขียนโดยหญิงชรานางหนึ่ง ตอนนี้ถูกตัดเปิดวางไว้ข้างตัวหลิ่วไป๋ เข้าใจว่ามันคงผ่านตาไปแล้ว

    ข้างสระน้ำ ศิษย์รุ่นสองของศาลากระบี่ที่มีตำแหน่งสำคัญกำลังนั่งคุกเข่าอยู่สิบกว่าคน พอได้ยินคำถามของอาจารย์ก็พากันก้มหน้าเงียบ หลิ่วอี้ชิงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ตัวต่อตัวกับผู้ที่เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษา แล้วจะให้พวกมันอธิบายอะไรอีกเล่า

    หลิ่วไป๋ถามอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

    “น้องชายข้าพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนต้องตาบอด หรือจะไม่มีใครสามารถบอกอะไรข้าได้เลยรึ”

    ศิษย์ศาลากระบี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล

    “สถานศึกษาลงมืออำมหิตเกินไปแล้ว พวกเราจะต้อง…”

    “จะต้องทำไม ล้างแค้นอย่างนั้นรึ เพราะเหตุใดจึงต้องล้างแค้น มรรคากระบี่อยู่ที่จิตวิญญาณอันหาญกล้าพร้อมที่จะบุกตะลุยไปข้างหน้า ในเมื่อข้าให้มันไป มันจะถูกหนิงเชวียเอาชนะหรือฆ่าทิ้งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎกติกา สำมะหาอะไรกับที่ข้าให้มันไปท้าสถานศึกษาก็เพื่อต้องการให้มันได้ลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้ จะได้ชำระล้างขัดเกลาจิตวิญญาณกระบี่ของตัวเอง”

    เหล่าศิษย์ได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันไป ค่อยทราบว่าที่แท้อาจารย์คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าหลิ่วอี้ชิงจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้

    หลิ่วไป๋เหลือบตามองจดหมายที่วางอยู่ข้างกายอีกครั้ง พลางกล่าวเสียงเย็นยะเยียบ

    “เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ข้าให้อี้ชิงไปชำระล้างกระบี่ของตัวเอง เหตุไฉนกระบี่ที่มันเอาไปกลับเป็นกระบี่ของเฉาเสี่ยวซู่ไปได้”

    ทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวหลิ่วไป๋คือกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นผมที่ยาวประบ่า สายรัดเอว อาภรณ์ที่สวมใส่ สายตา เงาร่าง รวมทั้งเสียงของมัน

    ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่เสียงของมันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบ เหล่าศิษย์ที่คุกเข่าอยู่ริมสระก็คล้ายเห็นเงากระบี่เล่มหนึ่งถูกชักออกจากก้อนน้ำแข็งอายุหมื่นปี ยังไม่ทันผงะถอยหลัง สองตาก็ถูกเจตนารมณ์กระบี่อันแหลมคมทิ่มแทงใส่จนต้องน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด รีบพากันหมอบกรานไปกับพื้นอย่างหวาดกลัว มิกล้าโผล่หัวขึ้นมา

    หลิ่วไป๋เลื่อนสายตาอันเย็นชากลับมา

    “นอกจากมรรคากระบี่แล้ว น้องชายข้าค่อนข้างปัญญาอ่อนในเรื่องอื่นๆ และเพราะเหตุนี้ เรื่องใช้กระบี่ของเฉาเสี่ยวซู่ไปยั่วยุหนิงเชวียให้เกิดโทสะจึงต้องมิใช่มันคิดออกมาเองอย่างแน่นอน ดังนั้นเป็นใครกันที่ช่วยคิดให้มัน”

    ภายในถ้ำเงียบกริบ มิทราบผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งลุกยืนช้าๆ ก่อนเดินออกมาข้างหน้าสองก้าว ค้อมคารวะจนศีรษะแทบจรดพื้น

    หลิ่วไป๋มองมันพลางถามเสียงเย็นชา

    “หน่วยพิพากษาดีกว่าศาลากระบี่อย่างนั้นหรือ”

    ปลาหมังอวี๋ในสระยังคงพ่นฟองอากาศออกมา ต้นหญ้าริมสระยังคงเหลืองแห้งไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างจากสหายที่ถูกมุงอยู่บนหลังคากระท่อม

    พอได้ยินคำถาม ศิษย์คนนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน มันตัดสินใจที่จะบอกความจริง แต่คิดไม่ถึงว่าอาจารย์กลับล่วงรู้ฐานะของมันอยู่ก่อนแล้ว

    หลิ่วไป๋เอ่ยขึ้น

    “ข้าเลี้ยงดูสั่งสอนเจ้ามาเจ็ดปี ต่อให้เป็นกระบี่ที่เย็นยะเยียบเล่มหนึ่งก็ยังต้องรู้จักอุ่นขึ้นบ้าง คิดไม่ถึงคนของหน่วยพิพากษาธาตุแท้จะเป็นน้ำแข็งก้อนหนึ่ง”

    ศิษย์ศาลากระบี่คนนั้นนิ่งเงียบไปนาน ก่อนค้อมคารวะจนศีรษะแทบจรดพื้นอีกครั้ง กล่าวจากใจจริง

    “ขออภัย ศิษย์แค่ต้องการยืมกระบี่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้”

    หลิ่วไป๋กล่าวเสียงราบเรียบ

    “หากหน่วยพิพากษาต้องการยืมกระบี่ของศาลากระบี่ไปฆ่าคน สมควรแจ้งให้ข้ารู้ก่อน การเอาไปโดยไม่ถามเท่ากับเป็นการขโมย มิใช่การยืม”

    ศิษย์ศาลากระบี่คนนั้นทอดถอนใจกล่าวว่า

    “ศิษย์เองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่จนใจที่มีภารกิจอยู่กับตัว”

    “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำ”

    หลิ่วไป๋กล่าวเสียงเฉื่อยชา

    ศิษย์ศาลากระบี่คนนั้นยืดตัวยืนตรง สบตาหลิ่วไป๋ด้วยท่าทางสงบนิ่ง การที่มันสามารถต้านทานเจตนารมณ์กระบี่อันคมกริบบนตัวหลิ่วไป๋ได้ บ่งบอกว่าด่านฌานที่แท้จริงของมันแข็งแกร่งกว่าที่แสดงออกมากมายนัก แต่แน่นอน ต่อให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่อีกหลายขั้นก็ไม่มีทางต่อกรกับหลิ่วไป๋ได้ ทว่าที่น่าแปลกคือใบหน้ามันยามนี้กลับไม่มีวี่แววว่าจะหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

    นั่นเป็นเพราะแม้เทพกระบี่หลิ่วไป๋จะเป็นยอดคนอันดับหนึ่งและเป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าผู้ฝึกฌานทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ตัวมันเองก็เป็นผู้คุ้มกฎของอาศรมเทพแห่งซีหลิง ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาจากวิหารสีดำบนเขาเถาซาน ในความคิดของมัน มันก็เพียงใช้อำนาจหน้าที่ในการสอดส่องดูแลศาลากระบี่ ยืมกระบี่ของเฉาเสี่ยวซู่ จากนั้นก็ให้หลิ่วอี้ชิงนำไปฉางอันพร้อมกับคำพูดอีกหลายประโยคเท่านั้น

    ก็ในเมื่ออาศรมเทพต้องการเอากระบี่ไปฆ่าคน เช่นนั้นต่อให้คนอื่นยึดถือว่านี่คือการขโมย แต่มันกับอาศรมเทพจะเรียกว่าเป็นการยืม แล้วจะทำไม อีกอย่าง หลิ่วไป๋ถึงอย่างไรก็เป็นเค่อชิงของอาศรมเทพ ย่อมต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเฮ่าเทียน จะสามารถเอาผิดอะไรกับมันได้

    “ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ ไม่ว่าองค์ชายหลงชิ่งจะตายหรือยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”

    อยู่ๆ หลิ่วไป๋ก็เอ่ยถึงหลงชิ่งขึ้นมา

    ศิษย์คนนั้นตอบ

    “ถูกต้อง”

    หลิ่วไป๋ยังถามต่อ

    “ได้ยินว่าเยี่ยหงอวี๋หลังกลับจากทุ่งร้าง ก็เป็นฟืนเปียกๆ ที่ใช้การไม่ได้ใช่หรือไม่”

    “ถูกต้อง”

    หลิ่วไป๋ยิ้มเย็น

    “เช่นนั้นเจ้ากลับเขาเถาซานไปครั้งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของนางคงจะตกเป็นของเจ้าแน่แล้ว?”

    ศิษย์คนนั้นยิ้มเป็นการตอบรับ

    หลิ่วไป๋ยิ้มกว้างขึ้นขณะถามมาอีก

    “จากนั้นตำแหน่งต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม?”

    คราวนี้รอยยิ้มของศิษย์คนนั้นซ่อนความลำพองใจเอาไว้ไม่อยู่

    ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วไป๋กลับหายวับ

    “จริงๆ แล้ว หากศิษย์ศาลากระบี่ได้เป็นถึงจ้าวบัลลังก์ สำหรับข้าผู้เป็นอาจารย์ต้องถือเป็นเกียรติอันสูงส่ง แต่แล้วจู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ หากเจ้าเป็นจ้าวบัลลังก์ไปจริงๆ ถึงตอนนั้นจะฆ่าเจ้า ข้าอาจไม่สะดวกที่จะลงมือก็ได้”

    ศิษย์คนนั้นตัวแข็งทื่อ จ้องหน้าหลิ่วไป๋อย่างตื่นตัว

    “ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่ได้เป็นต้าเสินกวน เป็นเพียงแค่ขโมยคนหนึ่ง เช่นนั้นเมื่อถูกจับได้ก็ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา”

    ศิษย์คนนั้นหน้าเปลี่ยนสี ขณะจะกล่าวอะไรออกมาพลันรู้สึกหวานปะแล่มๆ ในปาก คล้ายมีอะไรลื่นๆ หยุ่นๆ จุกอยู่ จึงค่อยรู้ว่านั่นคือลิ้นของตัวเอง

    พริบตาต่อมา ศีรษะของมันก็หลุดกระเด็นตกจากบ่า กลิ้งหลุนๆ หล่นลงสระ ไม่กี่อึดใจน้ำในสระก็กลายเป็นสีแดง ปลาหมังอวี๋พอรับรู้ถึงกลิ่นอาหารก็เริ่มพ่นฟองอากาศออกมาอย่างเบิกบานใจ

    บรรดาศิษย์คนอื่นที่คุกเข่านิ่งเงียบมาตลอดรีบลุกขึ้นแล้วช่วยกันหามศพออกไป พวกมันสังเกตเห็นว่ารอยขาดตรงคอของศิษย์ทรยศบัดนี้เรียบเสมอปราศจากเลือด คล้ายถูกเยื่อบางๆ ใสแจ๋วทาบปิดไว้ สามารถมองเห็นหลอดลม หลอดอาหาร กระดูก เส้นเอ็นและเนื้อหนังได้อย่างชัดเจน ชวนให้รู้สึกผะอืดผะอมอยู่บ้าง

    สำหรับหลิ่วไป๋ การฆ่าบุคคลสำคัญของหน่วยพิพากษาอาศรมเทพตายไปคนหนึ่งดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจ คล้ายฆ่ามุสิกน้อยตายไปหนึ่งตัวเท่านั้น สีหน้ามันจึงไม่แปรเปลี่ยน เพียงแต่ตอนสายตาตกลงบนจดหมายที่มาจากสถานศึกษา หัวคิ้วกลับยับย่นเล็กน้อย

    “ตามหาเฉาเสี่ยวซู่ให้พบ แล้วส่งมันกลับไปฉางอันอย่างปลอดภัย แลกเอาตัวน้องชายข้ากลับมา”

    ศิษย์ศาลากระบี่มองตากันแล้วรีบรับคำอย่างแข็งขัน จากนั้นค่อยแยกย้ายกันไป

    เวลาเดียวกันนั้นเองก็มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา มันมองน้ำในสระที่กลายเป็นสีแดงแล้วทอดถอนใจเบาๆ ก่อนเดินไปหยุดลงที่ด้านหลังหลิ่วไป๋ ถามว่า

    “ศิษย์พี่ ปัญหาคลี่คลายแล้วหรือ”

    หลิ่วไป๋ตอบ

    “หากฆ่าคนแล้วสามารถคลี่คลายปัญหาได้ โลกในสายตาข้าคงจะสวยงามขึ้นกว่าเดิมอีกมากมาย”

    บุรุษวัยกลางคนกล่าวอย่างเป็นกังวล

    “ได้ยินว่าต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย ถึงกับเตรียมให้มันกลับเขาเถาซานไปรับตำแหน่งของเยี่ยหงอวี๋ อันที่จริงศิษย์พี่แค่ตัดมือมันข้างเดียวก็พอ ไยต้องสังหารมันให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา”

    หลิ่วไป๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนสั่งว่า

    “เอากระดาษกับพู่กันมา”

    เมื่อได้ของที่ต้องการครบ หลิ่วไป๋ก็นั่งขบคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนหยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนอย่างช้าๆ

    มันมิได้เขียนตัวอักษร แต่กำลังวาดภาพ!

    ปลายพู่กันอันอ่อนนุ่มเคลื่อนไปมาอยู่บนกระดาษ ลายเส้นที่ได้บิดๆ เบี้ยวๆ ทั้งยังขมวดเป็นปมในบางจุด ระหว่างที่วาดมือของมันสั่นกระตุกอยู่เป็นระยะ จากนั้นลายเส้นไม่กี่เส้นนั้นก็ค่อยๆ ประกอบกันขึ้นเป็นรูปที่มีความเรียวยาวและมีความกลวงตรงกลาง ยากจะบอกได้ว่าคืออะไร

    ภาพนี้วาดขึ้นมาอย่างหยาบๆ ปราศจากความประณีต มองแล้วเหมือนภาพที่เด็กซุกซนคนหนึ่งหลับหูหลับตาวาดออกมา เพียงแต่หลิ่วไป๋ดูจะสิ้นเปลืองสมาธิและจิตใจไปกับภาพนี้มากทีเดียว แสงที่สะท้อนขึ้นจากผิวน้ำส่องให้เห็นถึงใบหน้าที่ดูซูบเซียวไปถนัดตาของมัน

    บุรุษวัยกลางคนพอเห็นภาพนั้นก็ตัวแข็งทื่อ

    “เจ้าดูออกหรือไม่ว่าเป็นภาพอะไร”

    หลิ่วไป๋ถาม

    บุรุษวัยกลางคนพยักหน้าตอบเสียงแหบพร่า

    “เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง”

    หลิ่วไป๋พยักหน้ากล่าวอย่างพึงพอใจ

    “สามารถดูออก แสดงว่าด่านฌานของเจ้ารุดหน้าขึ้นบ้างแล้ว”

    บุรุษวัยกลางคนข่มกลั้นความแตกตื่นในใจ ถามว่า

    “ศิษย์พี่ กระบี่เล่มนี้จะมอบให้ใคร”

    หลิ่วไป๋ตอบด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

    “เยี่ยหงอวี๋”

    บุรุษวัยกลางคนไม่สามารถทำใจให้เยือกเย็นได้อีก รีบคุกเข่าถามเสียงสั่น

    “ศิษย์พี่ เพราะเหตุใดถึงทำเช่นนี้! ท่านจะให้นางไปทำไม”

    หลิ่วไป๋เพ่งมองภาพบนกระดาษขณะตอบ

    “เพราะหลังจากจ้าวบัลลังก์แสงสว่างจากโลกนี้ไป บนเขาเถาซานก็มีแต่นางที่ข้ายังนึกชื่นชมอยู่หลายส่วน”

    บุรุษวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

    “แต่…ความสัมพันธ์ระหว่างศาลากระบี่กับหน่วยพิพากษาได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว หากเยี่ยหงอวี๋สามารถทำความเข้าใจในเจตนารมณ์กระบี่ของศิษย์พี่ได้ วันข้างหน้าเมื่อนางแข็งแกร่งขึ้นจะมิกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราไปหรอกหรือ”

    หลิ่วไป๋ตอบ

    “ต่อให้ไม่มีกระบี่เล่มนี้ของข้า นางก็ยังจะสามารถเดินข้ามธรณีประตูบานนั้นไปได้อีกครั้งอยู่ดี ข้าก็แค่ช่วยให้นางเดินข้ามได้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น”

    มันเงยหน้าขึ้นมองแสงตะวันบนเพดานถ้ำ กล่าวต่อว่า

    “เจ้าเฒ่าหน่วยพิพากษานั่นยืมกระบี่เล่มนั้นไปให้อี้ชิง ข้าก็จะให้เยี่ยหงอวี๋ยืมกระบี่เล่มนี้ไปเช่นกัน”

    คนเราให้ยืมกระบี่ก็เพื่อให้เอาไปฆ่าคน!

     

    เขาเถาซาน ภายในห้องศิลาเปล่าเปลี่ยววังเวง

    “หัวหน้าใหญ่ ผู้น้อยเป็นเพียงแค่คนส่งข่าว ขอท่านโปรดอย่าได้ตำหนิ”

    เฉินปาฉื่อไล้สายตาไปตามเสื้อนักพรตตัวหลวมสีฟ้าอมเขียวบนตัวเยี่ยหงอวี๋แวบหนึ่ง ก่อนเลื่อนไปที่ใบหน้าสะคราญโฉมของนาง

    มันเคยเป็นถงหลิ่งของทหารม้าอาศรมเทพ แม้จะถูกหนิงเชวียประจานเรื่องไม่เข้าไปช่วยศิษย์สวนโม่ฉือขณะถูกโจรขี่ม้าโจมตี จนทำให้ต้องรับโทษโดนตีด้วยกระบองหนามและถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่ด่านฌานสู่พิสดารของมันยังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มันยังมีตำแหน่งอยู่ในหน่วยพิพากษา

    ที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาโดยตรงของมันคือองค์ชายหลงชิ่ง แต่ผู้ที่มันให้ความเคารพยำเกรงที่สุดกลับเป็นเยี่ยหงอวี๋ แม้บัดนี้นางจะตกต่ำ แต่ยามพบนาง มันก็ยังรู้สึกหายใจได้ลำบาก จึงใช้คำเรียกขานเหมือนอย่างแต่ก่อนโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่ใช้ก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง

    ทว่าถึงอย่างไรสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว คนในอาศรมเทพทุกคนต่างก็รู้ว่าต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาได้สั่งให้เยี่ยหงอวี๋หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าใหญ่ของหน่วยพิพากษา เพื่อให้นางฝึกฌานและทบทวนการกระทำของตัวเอง เพราะเหตุนี้ สายตาของเฉินปาฉื่อจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นกำเริบเสิบสาน ฉวยโอกาสที่เยี่ยหงอวี๋มองออกนอกห้อง ใช้สายตาลูบไล้ไปตามนวลแก้มและเรือนร่างของนาง

    สาเหตุที่ทำให้เยี่ยหงอวี๋ โม่ซันซันและลู่เฉินจยาถูกขนานนามว่าสามผู้งมงายในปฐพี นอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องที่พวกนางลุ่มหลงงมงายอยู่กับสิ่งที่ชอบกับเรื่องของด่านฌานที่สูงส่งแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือพวกนางล้วนเป็นโฉมสะคราญ

    เยี่ยหงอวี๋นั้นงามไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีเสน่ห์เย้ายวนใจ แม้ตอนนี้ร่างของนางจะอยู่ภายใต้เสื้อนักพรตตัวหลวม แต่ภาพที่นางสวมกระโปรงสั้นสีแดงยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเฉินปาฉื่อ จนเมื่อมองไปที่นางครั้งใด เสื้อนักพรตก็คล้ายจะอันตรธานหายวับ เผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาวกลมกลึงคู่นั้น

    ความงามที่ยังคงติดตราตรึงใจ ผนวกกับสีหน้าเศร้าหมองหลังจากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันมืดมน บันดาลให้เป็นความงามที่อ่อนแอเปราะบางจนทำให้คนบางคนเกิดความกล้าคิดจะครอบครอง

    สายตาของเฉินปาฉื่อเจือแววลามกอยู่เล็กน้อย แต่ใจมันยังไม่กล้าคิดสกปรก นี่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับความน่าเกรงขามของนางในอดีตที่ยังอยู่ในความทรงจำ แต่เกี่ยวกับเรื่องที่มันจะพูดในวันนี้

    “ใต้เท้าหลัวเค่อตี๋คือถงหลิ่งขององครักษ์เทพ และยังเป็นคนสนิทของเจ้านิกาย หัวหน้าใหญ่ ท่านสมควรทราบถึงระดับด่านฌานของมันดี หากมันยอมเข้าร่วมช่วงชิงตำแหน่งจ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษา โอกาสจะชนะมีสูงยิ่ง”

    เห็นเยี่ยหงอวี๋หันกลับมา เฉินปาฉื่อก็รีบค้อมตัวลงอย่างนอบน้อม

    “หากท่านเห็นว่าเรื่องนี้มีทางเป็นไปได้ มันจะมาพบท่านด้วยตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความจริงใจ และยังบอกอีกด้วยว่าขอเพียงท่านตอบตกลง มันจะรีบไปขอกับท่านเจ้านิกายทันที”

    เยี่ยหงอวี๋มองอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำทีเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนก่อนตอบเสียงเรียบ

    “ให้เวลาข้าคิดสักหน่อย”

    เฉินปาฉื่อผงกศีรษะรับคำติดๆ กัน

    “แน่นอนๆ”

    คล้อยหลังเฉินปาฉื่อ เยี่ยหงอวี๋ก็ปิดประตู เดินกลับไปนั่งบนเตียงศิลาที่มืดสลัว สำหรับสตรีนางหนึ่งที่สูญเสียทั้งเกียรติยศและอำนาจ เหลือเพียงรูปโฉมและเรือนร่างที่งดงาม การมีถงหลิ่งขององครักษ์เทพมาขอแต่งงานด้วย มิใช่เรื่องที่ควรจะลังเล แต่เป็นเรื่องที่ควรจะรับปากอย่างยินดีปรีดา

    สีหน้านางยังคงราบเรียบ ทว่าเรือนร่างงดงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อนักพรตสีฟ้าอมเขียวกลับสั่นสะท้าน ตอนอยู่ในสำนักพรรคมาร เหลียนเซิงไม่เพียงทำให้เลือดเนื้อของนางสกปรก ยังทำให้มรรคจิตของนางแปดเปื้อนอีกด้วย และเป็นเพราะต้องฝืนบังคับลดด่านฌานของตัวเองลง โอกาสที่มรรคจิตจะฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้

    หากเป็นผู้ฝึกฌานทั่วไป เมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคระดับนี้คิดว่าคงหมดหวังถอดใจไปนานแล้ว แต่นางไม่ นางคือผู้งมงายยุทธ์ที่รักการฝึกยุทธ์เป็นชีวิตจิตใจ

    นางรู้ดี อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นบททดสอบของเฮ่าเทียน ขอเพียงจิตใจเข้มแข็งพอ ก็จะสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องเผชิญให้กลายเป็นภาพทิวทัศน์อันสวยงามที่ต้องเดินผ่านบนเส้นทางการฝึกฌานที่ยาวไกลไม่สิ้นสุดได้

    ในทุ่งร้าง นางได้เห็นค่ายกลทรมานจิตที่จ้าวบัลลังก์แสงสว่างคนนั้นวางไว้เมื่อพันปีก่อน ได้เห็นเพลงกระบี่สุดไพศาลที่เคอเซียนเซิงใช้ตัดขาดความสัมพันธ์จากฟ้าดิน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทิวทัศน์ให้นางชื่นชมและซึมซับอย่างเงียบๆ

    ทว่าคนในอาศรมเทพต่างก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาไม่รู้ หลัวเค่อตี๋ถงหลิ่งองครักษ์เทพที่คิดจะบีบบังคับให้นางแต่งงานด้วยก็ไม่รู้ ผลของการไม่รู้ก็คือคนทั้งอาศรมเทพแห่งซีหลิงบัดนี้ไม่เพียงลบหลู่ดูแคลนและเย็นชากับนาง ยังคิดจะชิงสิ่งที่นางต้องการที่สุดในตอนนี้ไปอีกด้วย นั่นก็คือเวลา

    เยี่ยหงอวี๋ต้องการเวลามองภาพทิวทัศน์เหล่านั้นให้เข้าใจ ดังนั้นนางจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาดูถูกเหยียดหยาม แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ชวนบาดใจ และยังแกล้งทำเป็นถ่อมตัวอ่อนแอจนถึงขั้นคุกเข่าให้กับจ้าวบัลลังก์อย่างนอบน้อมจนเหมือนกับเศษสวะที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ทุกอย่างกำลังราบรื่นเข้าทางนาง แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นมา

    แม้หลัวเค่อตี๋จะเป็นยอดผู้ฝึกฌานที่หาได้ยาก เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้านิกายเชื่อใจที่สุด แต่เยี่ยหงอวี๋ไม่คิดจะแต่งให้มัน นี่มิใช่เป็นเพราะอายุหรือรูปร่างหน้าตาของมัน และมิใช่เป็นเพราะนางไม่มีความรักให้ใคร แต่เป็นเพราะ…หลัวเค่อตี๋ต้องการให้นางแต่งกับมัน

    หลัวเค่อตี๋ต้องการให้นางแต่งกับมัน มิใช่ขอร้องให้นางแต่งกับมัน! นี่จึงเป็นความอัปยศอดสูที่นางยอมรับไม่ได้!

    สองมือของเยี่ยหงอวี๋ขยุ้มเสื้อนักพรตบนตัวจนข้อนิ้วปูดโปนขณะพึมพำกับตัวเอง

    “หรือต้องกลับไปอารามจริงๆ เฉินผีผี…เจ้าอ้วนน่าตาย เจ้าตัวอุบาทว์ เจ้าคนปัญญาอ่อน ตอนเป็นเด็กข้าก็แค่ขู่เจ้าคำสองคำ ไฉนจึงต้องเตลิดหนีไปไกลขนาดนั้น แล้วเพราะเหตุใดจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ยอมกลับมาเสียที เจ้าไม่กลับอาราม พี่ก็ไม่ยอมให้อภัยข้า แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร”

    มิทราบเป็นเพราะนึกถึงเฉินผีผีขึ้นมา หรือเป็นเพราะนึกถึงพี่ชายของตัวเอง เยี่ยหงอวี๋ซึ่งหลายวันมานี้สามารถเผชิญหน้ากับการถูกลบหลู่ดูหมิ่นได้อย่างสงบนิ่ง ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป นางนั่งก้มหน้าคอตก สีหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้น เศร้าสลดและอ่อนแอ

    ตอนนี้นางมิใช่ผู้งมงายยุทธ์อีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง สตรีที่ถูกคนบังคับให้แต่งงานย่อมเกิดโทสะได้ง่าย ดังนั้นเยี่ยหงอวี๋ในยามนี้จึงรู้สึกเดือดดาลเป็นกำลัง สายตาโกรธแค้นของนางจ้องประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดในใจ เฉินปาฉื่อ หลัวเค่อตี๋ และทุกคนที่กล้าใช้สายตาแบบนั้นมองนางสมควรฆ่าทิ้งให้หมด

    ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมา สายตาโกรธแค้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นท้อแท้และเย้ยหยันตัวเอง เพราะตอนนี้นางไม่มีเวลาแล้ว ทั้งยังไม่มีที่จะไป ที่นางทำได้มีเพียงนั่งมองประตูอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่อย่างนี้เท่านั้น

    ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู

    “ใต้เท้า มีจดหมายมาถึงท่านฉบับหนึ่ง”

    คนที่อยู่หน้าประตูมิได้เรียกนางว่าหัวหน้าใหญ่ มิได้จงใจแสดงความเคารพนบนอบ ทว่าคำเรียกสั้นๆ และเรียบง่ายของมันกลับแสดงออกถึงการให้เกียรติอย่างแท้จริง เป็นการให้เกียรติที่มีเพียงนางเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสรับรู้ได้

    เยี่ยหงอวี๋ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ นานแล้วที่นางไม่ได้ถูกให้เกียรติเช่นนี้ พอเปิดประตูก็จำได้ว่าคนผู้นี้คือผู้คุ้มกฎธรรมดาๆ คนหนึ่งของหน่วยพิพากษา

    ผู้คุ้มกฎใช้สองมือประคองจดหมายฉบับหนึ่งยื่นส่งให้นางอย่างนอบน้อม จากนั้นหมุนกายเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

    ประตูห้องถูกปิด ความมืดสลัวหวนกลับมาอีกครั้ง

    เยี่ยหงอวี๋เดินกลับไปนั่งบนเตียง มองจดหมายในมืออย่างแปลกใจ ซองจดหมายเป็นกระดาษเหนียวสีน้ำตาลธรรมดาๆ ไม่มีจุดพิเศษอะไร และบนซองก็ไม่มีตัวหนังสือ

    นางเคยเป็นหัวหน้าใหญ่ของหน่วยพิพากษา แม้จะไม่ค่อยจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ในหน่วยด้วยตัวเอง แต่ก็มีสายตาอันเฉียบคม สามารถค้นพบเงื่อนงำและเบาะแสมากมายจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้

    ซองจดหมายสีน้ำตาลที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ทำจากเยื่อกระดาษยาวประมาณสองนิ้วมือ ซึ่งเป็นวิธีทำกระดาษที่พบเห็นได้ในเมืองตันโจว เช่นนั้นจดหมายฉบับนี้จะต้องมาจากแคว้นหนานจิ้น

    เยี่ยหงอวี๋มั่นใจว่าตัวเองไม่รู้จักใครในแคว้นหนานจิ้น แต่ก็ยังฉีกซองดึงกระดาษที่อยู่ข้างในออกมาคลี่ดู

    บนนั้นมีภาพอยู่ภาพหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้วาดมิได้มีความชำนาญในด้านนี้ ลายเส้นจึงบิดๆ เบี้ยวๆ ทั้งยังสะดุดเป็นจุดเป็นปมในบางที่ ดูแล้วขัดนัยน์ตาเป็นที่สุด

    เยี่ยหงอวี๋เพ่งมองได้สักพัก มือที่จับกระดาษก็เริ่มสั่นเทา นางรู้แล้วว่าภาพบนกระดาษคืออะไร

    มันคือกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่ของเทพกระบี่หลิ่วไป๋!

     

    แคว้นเยวี่ยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นหนานจิ้นและทางตะวันออกของแคว้นต้าเหอ ตัวแคว้นยังติดกับทะเลหนานไห่ที่ค่อนข้างสงบปลอดภัยจากมรสุม ดังนั้นเมื่อเทียบกับแคว้นซ่ง สะพานปลาของที่นี่จึงคึกคักและเฟื่องฟูกว่าอย่างเห็นได้ชัด

    บุรุษหนุ่มคนหนึ่งกระโดดขึ้นจากเรือประมง บิดขี้เกียจให้กับแสงตะวันในยามเช้า ก่อนส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้ลูกน้องไปจัดการเรื่องต่อให้เสร็จ

    บุรุษหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลายิ่ง รอยแผลเป็นตรงข้างแก้มมิอาจบั่นทอนรูปโฉมมัน ตรงกันข้าม กลับทำให้มันดูสุขุมลุ่มลึกขึ้น

    มันหรี่ตามองตะวันยามเบิกฟ้าที่แดงฉานไปทั้งดวง รับรู้ถึงลมทะเลชื้นๆ ที่พัดมาปะทะหน้า แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันกล่าวกับตัวเองเบาๆ ว่า

    “ใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดท่าจะไม่เลว”

    ลูกน้องของมันกำลังต่อรองราคากับพ่อค้าปลาและพ่อค้าเกลืออย่างดุเดือด แต่เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมัน เพราะมันเอาแต่ยืนมองดวงตะวันยามเช้าอยู่อย่างเงียบๆ

    ผู้คนแถวสะพานปลารู้แต่เพียงว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คือพ่อค้าที่มาจากทางเหนือ ขายปลาหมักเกลือ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าก่อนหน้าที่มันจะทำการค้า มันเคยมีชีวิตที่มีสีสันฉูดฉาดบาดตาเท่าใด และมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงไหน

    บุรุษหนุ่มผู้นี้เคยเป็นองค์ชายแคว้นเยี่ยน เคยเป็นผู้ฝึกฌานรุ่นเยาว์ที่มีหน้ามีตาที่สุดของอาศรมเทพแห่งซีหลิง และเคยเป็นบุตรของเฮ่าเทียนที่เคยปลูกกิ่งท้อบนธรณีประตูของด่านรู้ชะตามาแล้ว

    แม้จะถูกหนิงเชวียยิงธนูทะลุหน้าอก ทำลายด่านฌานและพลังฝึกปรือที่มีอยู่ทั้งหมด ตกต่ำจนถึงขั้นต้องแย่งของกินกับเหล่าขอทานในวัดร้าง แต่ถึงกระนั้นมันก็เคยเป็นถึงองค์ชายหลงชิ่ง

    ไม่มีด่านฌานและพลังฝึกปรือก็ยังมีกำปั้น หากกำปั้นยังไม่สามารถต้านทานแรงลมแรงฝนในโลกนี้ได้ มันก็ยังมีมันสมอง ที่สำคัญที่สุดคือ ในเมื่อยังไม่ตาย มันก็อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างสบายขึ้นมาอีกหน่อย

    จากเดิมที่ต้องร่อนเร่ขอทานอยู่กลางถนนอย่างไร้จุดมุ่งหมาย มันใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนก็สามารถรวบรวมขอทานจากทั้งในและนอกเมืองเฉิงจิ่งของแคว้นเยี่ยนเข้าด้วยกัน ตั้งตัวเป็นประมุขพรรคนำคนในพรรคหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คน ต่อมาก็แบ่งเงินของพรรคไปเปิดเหลาสุราในแคว้นซ่งกับลูกน้องจำนวนหนึ่งที่จงรักภักดีเต็มใจติดตามมัน ใช้เวลาแค่ช่วงสั้นๆ ก็สามารถโค่นคู่แข่งบนถนนสายเดียวกันได้ทั้งหมด

    จากนั้นมันก็นำเหลาสุรา ร้านน้ำชา รวมทั้งร้านอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดกึ่งขายกึ่งยกให้แก่ขุนนางคนหนึ่งในแคว้นซ่ง ได้เงินมาพันตำลึงไปทำการค้า โดยเอาปลาหมักเกลือจากแคว้นเยวี่ยไปขายที่แคว้นหนานจิ้นหรือไม่ก็แคว้นเยี่ยน ได้กำไรดียิ่ง

    บางครั้งหลงชิ่งยังอดถอนใจชื่นชมตัวเองมิได้ ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ล้วนทำได้ดีไปเสียทุกอย่าง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นพ่อค้าใหญ่ไปแล้ว เช่นนี้มันยังจะมีอันใดให้ไม่พอใจอีกเล่า

    ทว่าขณะมองปลาเค็มที่หมักดีแล้วในหลัวไม้ไผ่ มันกลับอดคิดไม่ได้ ต่อให้มันกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน ชีวิตมันก็หาได้แตกต่างอะไรกับปลาเค็มที่อยู่ในหลัวไม่

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook