• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 17 ตอนที่ 1

    บทที่ 1 กระบี่สายฟ้า

     

    วันนี้หนิงเชวียรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉินผีผีกับถังเสี่ยวถัง

    ระหว่างเดินลงเขามันแวะหอจิ้วซูขึ้นไปหาตำราอ่าน พอเห็นศิษย์พี่สามอวี๋เหลียนนั่งคัดตัวอักษรอยู่ที่เดิมก็เข้าไปคารวะและสอบถาม คิดไม่ถึงนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าถังเสี่ยวถังไปไหน

    ไม่แน่เฉินผีผีอาจจะพาถังเสี่ยวถังไปหาที่สงบนั่งพลอดรักกันอยู่ก็เป็นได้ มันนึกอย่างขำขัน แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

    อวี๋เหลียนวางพู่กันในมือ เงยหน้ากล่าวกับมัน

    “เรื่องบางเรื่องต้องให้เจ้าตัวจัดการเอง กังวลแทนไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างเช่นเรื่องของเจ้าในตอนนี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าควรต้องทำอย่างไร”

    ช่วงนี้เป็นปลายวสันต์ฤดู หน้าต่างฝั่งทิศตะวันออกไร้แสงแดด ลมที่พัดผ่านแมกไม้เข้ามาเริ่มชุ่มชื้นและอบอุ่น ป่าข้างบึงแว่วเสียงจักจั่นมาเป็นระยะ

    หนิงเชวียเข้าใจความหมายที่นางต้องการสื่อ ขณะมองใบหน้าสดใสอ่อนวัยซึ่งขัดกับดวงตาที่สงบนิ่งเคร่งขรึมของนาง จู่ๆ มันก็รู้สึกว่าตัวเองคล้ายลืมสิ่งสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับนางไป

     

    ในที่สุดลมร้อนก็พัดจากทะเลเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ แคว้นเทพซีหลิงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นต้าถัง ใกล้ทะเลมากกว่า ฤดูคิมหันต์จึงมาถึงก่อน

    สายฝนและอากาศอันอบอุ่นทำให้หมู่มวลพฤกษาบนเขาเถาซานเจริญงอกงาม มองไปเห็นแต่ความเขียวขจี เพิ่มความสดชื่นให้กับบรรยากาศรอบด้าน ขณะเดียวกันก็ลดความน่าเกรงขามให้แก่หมู่วิหารอารามจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนหน้าผา

    บริเวณค่อนข้างเปล่าเปลี่ยววังเวงบนหน้าผาแถบที่สามมีห้องศิลาอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อเทียบกับความเขียวชอุ่มที่อยู่รายรอบห้องศิลานี้ไม่เพียงให้ความรู้สึกแห้งแล้ง ยังให้ความรู้สึกหดหู่เหงาหงอยอีกด้วย หันมองไปทางใดไม่เจอะเจอแม้เงาของวิหค อย่าว่าแต่เงาของผู้คน

    ห้องศิลาที่ว่ามิได้ถูกปิดตาย ด้านที่ติดกับหน้าผาเจาะช่องลมเอาไว้หลายสิบช่อง แสงตะวันสามารถส่องลอดเข้ามาได้ แม้จะไม่ทำให้ห้องสว่างแจ้ง แต่อย่างน้อยก็ลดความมืดสลัวลงได้บ้าง

    ใต้แนวช่องลมมีโต๊ะหนังสือวางไว้ตัวหนึ่ง เยี่ยหงอวี๋กำลังนั่งมองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าจดจ่อ สมาธิทั้งหมดล้วนอยู่บนกระดาษแผ่นนี้

    นี่ก็คือจดหมายที่มาจากศาลากระบี่แคว้นหนานจิ้น บนนั้นวาดรูปกระบี่ไว้เล่มหนึ่งอย่างหยาบๆ!

    หลายวันที่ผ่านมานางหมกตัวอยู่แต่ในห้องมองภาพนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมย่างกรายออกไปข้างนอก อาหารการกินล้วนให้บ่าวไพร่ในหน่วยพิพากษาจัดส่งเข้ามา ไม่รับรู้ว่าที่ด้านนอกฤดูกาลกำลังแปรเปลี่ยน ต้นท้อกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ต้นหลิวกำลังผลิใบเขียวขจี และยิ่งไม่สนใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนในอาศรม

    กลางดึกของคืนวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู

    ประตูถูกผลักเข้ามาช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ปั้นแต่งความสุภาพอ่อนน้อมของเฉินปาฉื่อ มันใช้สายตากวาดมองเรือนร่างอรชรในชุดนักพรตอย่างรวดเร็วก่อนก้มหน้ากล่าวว่า

    “ใต้เท้าถงหลิ่งรอฟังคำตอบของท่านอยู่”

    เฉินปาฉื่อเป็นคนของหน่วยพิพากษา และยังเคยเป็นถงหลิ่งของทหารม้าอาศรมเทพก่อนถูกถอดออกจากตำแหน่ง ใต้เท้าถงหลิ่งที่มันพูดถึงจึงย่อมมิใช่ตัวมัน แต่เป็นหลัวเค่อตี๋ ถงหลิ่งขององครักษ์เทพที่มีฐานะสูงส่งเป็นพิเศษ

    เยี่ยหงอวี๋ยังคงนั่งพลิกตำราตรงหน้าอย่างสงบ จดหมายที่มีภาพกระบี่ถูกนางสอดเก็บไว้ในตำราแต่แรกแล้ว

    เห็นนางยังคงเย็นชาไม่แสดงท่าทีใดๆ เฉินปาฉื่อก็มิได้รู้สึกผิดคาด มันยิ้มเยาะก่อนกล่าวต่อ

    “เมื่อวานใต้เท้าถงหลิ่งคุกเข่าขอร้องท่านเจ้านิกายทั้งคืน”

    นิ้วเรียวยาวของเยี่ยหงอวี๋ที่กำลังพลิกเปิดตำราชะงักเล็กน้อย สายตาที่ตกลงบนหน้ากระดาษเปลี่ยนเป็นเฉยเมยยิ่งขึ้น

    “ใต้เท้าถงหลิ่งมีความจริงใจต่อท่านมาก แม้แต่ท่านเจ้านิกายก็ยังรับรู้ได้ถึงจุดนี้ ใต้เท้าถงหลิ่งให้ข้ามาถ่ายทอดวาจา หวังว่าท่านจะรับรู้ถึงความจริงใจของมัน”

    เฉินปาฉื่อไม่พูดอะไรอีก ตามความคิดของมัน แม้แต่เจ้านิกายยังแสดงออกอย่างเงียบๆ ว่าอนุญาต เจ้ามันก็แค่ผู้งมงายยุทธ์ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ยังมีคุณสมบัติอะไรมาปฏิเสธหรือคัดง้าง

    เยี่ยหงอวี๋มิได้ปฏิเสธหรือคัดง้าง มิได้บอกว่าขอเวลาคิดเหมือนครั้งที่แล้ว ทั้งยังมิได้หันไปใช้สายตาเดือดดาลแต่เย็นชาผนึกกระบี่เต๋าขึ้นมาฟาดฟันอีกฝ่าย นางยังคงนั่งอ่านตำราบนโต๊ะ พลิกเปิดไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าที่มีจดหมายฉบับนั้นสอดอยู่ นางมองดูลายเส้นโย้ๆ เย้ๆ ที่ประกอบกันเป็นรูปกระบี่ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

    “แม้จะมีเจ้าอยู่ในมือ แต่เวลากลับไม่เข้าข้างข้า”

    เฉินปาฉื่อไม่เข้าใจว่านางกำลังรำพึงรำพันถึงเรื่องอะไร

    เยี่ยหงอวี๋ดึงจดหมายออกมาฉีก นางมิได้ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ค่อยๆ ฉีกไปตามลายเส้นโย้ๆ เย้ๆ นั้นอย่างแคล่วคล่องจนได้กระบี่กระดาษออกมา

    “เจ้าลองดู นี่คืออะไร”

    เยี่ยหงอวี๋ใช้สองนิ้วคีบกระบี่กระดาษเล่มนั้นขึ้นแล้วถามเฉินปาฉื่อ

    เฉินปาฉื่อขมวดคิ้วเพ่งมอง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่ออก

    เยี่ยหงอวี๋กล่าวเยาะๆ

    “แม้แต่นี่ก็ยังดูไม่ออก สมควรแล้วที่นับจากนี้ไปเจ้าจะต้องกลายเป็นคนตาบอด”

    พูดจบนางก็เสือกกระบี่กระดาษในมือแทงใส่หว่างคิ้วของเฉินปาฉื่อ

    เฉินปาฉื่อมีพลังฌานอยู่ในด่านสู่พิสดารขั้นปลาย ปกติต่อให้เป็นตอนที่เยี่ยหงอวี๋ยังรุ่งโรจน์ชัชวาลมันก็เพียงด้อยกว่านางเล็กน้อยเท่านั้น บัดนี้ด่านฌานของเยี่ยหงอวี๋เสื่อมถอยจนเข้าสู่ระดับสู่พิสดารขั้นต้น ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะถดถอยลงจนถึงด่านไร้ฉงนแล้ว มิใช่ผู้งมงายยุทธ์คนเดิมอีก แล้วมีหรือที่มันยังจะต้องหวาดกลัวนางอยู่เช่นเดิม

    ดังนั้นพอเห็นเยี่ยหงอวี๋ใช้เศษกระดาษในมือแทงใส่หว่างคิ้วตน เฉินปาฉื่อจึงทั้งประหลาดใจและขุ่นเคือง ใบหน้าผุดรอยยิ้มเย้ยหยัน ในความคิดของมันเศษกระดาษยาวประมาณหนึ่งนิ้วมือนี่ช่างน่าหัวร่อเสียจริง ในเมื่อยอมตายแต่ไม่ยอมก้มศีรษะ เช่นนั้นก็รอรับการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเถอะ

    ทว่าวินาทีต่อมารอยยิ้มเย้ยหยันของมันก็ต้องผนึกค้าง ทั้งนี้เพราะมันรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีกลิ่นอายที่ทรงพลังขุมหนึ่งทะลักพรั่งพรูออกจากเศษกระดาษเข้าปกคลุมร่างมันไว้ภายในพริบตา

    นี่คือเจตนารมณ์กระบี่ที่พิสดารพันลึก!

    เฉินปาฉื่อคล้ายมองเห็นสายน้ำสีเหลืองขุ่นคลั่กตรงรอยต่อระหว่างพรมแดนแคว้นหนานจิ้นกับแคว้นต้าเหอยกตัวขึ้นโหมซัดใส่ดวงตาทั้งสองข้างของมัน

    ความหวาดกลัวจู่โจมมรรคจิตของมันในทันที ถึงตอนนี้มันเข้าใจแล้วว่าเศษกระดาษชิ้นนั้นมิได้น่าหัวร่อ ที่น่าหัวร่อคือตัวมันต่างหาก

    ม่านตาดำของมันหดวูบตามสัญชาตญาณการป้องกันตัว ทว่าเจตนารมณ์กระบี่ได้แผ่พุ่งมาถึงหว่างคิ้วก่อนที่มันจะทันได้ขยับ

    ฉึก…ฉึก รอยเลือดจางๆ สองรอยปรากฏขึ้นบนดวงตาทั้งคู่ของเฉินปาฉื่ออย่างน่าอัศจรรย์ใจ รอยทั้งสองกรีดผ่านตาดำและตาขาวจนเลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลทะลักออกมา ความเจ็บปวดและความมืดเข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของมันในทันที

    “โอ๊ย! นี่มันอะไรกัน!”

    มันยกมือขึ้นปิดตาทรุดฮวบลงนอนดิ้นอยู่บนพื้นพร้อมกับแผดเสียงร้องโหยหวนเหมือนสัตว์ที่กำลังถูกเชือด

    เยี่ยหงอวี๋ลุกขึ้นยืนแหวกอกเสื้อ แก้เงื่อนเอี๊ยมออกแล้วซุกเก็บกระบี่กระดาษไว้ที่หว่างอกอันอวบหยุ่น พอรับรู้ถึงสัมผัสที่แนบติดผิวเนื้อจิตใจก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นมั่นคง นางมองเฉินปาฉื่อที่ดิ้นพราดๆ อยู่แทบเท้า กล่าวเสียงเบานุ่มว่า

    “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบมองเรือนร่างของข้า ตอนนี้อกเสื้อข้าเปิดอยู่”

    เฉินปาฉื่อแผดร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดแดงฉานกับของเหลวในลูกตาไหลซึมออกจากหว่างนิ้วที่สั่นระริก

    เยี่ยหงอวี๋กล่าวต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

    “น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็น”

    กลางดึกของคืนนั้นเฉินปาฉื่ออดีตถงหลิ่งทหารม้าอาศรมเทพถูกจู่โจมทำร้ายจนตาบอดโดยผู้งมงายยุทธ์เยี่ยหงอวี๋ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นความภาคภูมิใจของอาศรมเทพ หลังเกิดเรื่องเยี่ยหงอวี๋ได้อาศัยความมืดแอบหนีลงจากเขา ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางจะไปยังที่ใด

    หลายวันต่อมาคณะทูตของอาศรมเทพที่เดินทางไปเยือนเมืองฉางอันแคว้นต้าถังก็กลับถึงซีหลิง จากการคำนวณเวลา คณะทูตสมควรมาถึงตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่มิทราบเป็นเพราะเหตุใด ระหว่างทางได้แวะหยุดพักที่แคว้นหนานจิ้นก่อนจึงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย

    ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวช้าๆ มาตามทางหินลาดชันแต่ไม่อันตราย บรรดาผู้คุ้มกฎที่อยู่ในขบวนล้วนสังเกตเห็นถึงบรรยากาศแปลกๆ ของวันนี้

    บริเวณที่รถม้าหรูหราสีดำสลักลวดลายสีทองแล่นผ่านผู้คนจะพากันหลบเข้าข้างทางก่อนคุกเข่าแสดงความเคารพ เพียงแต่คราวนี้นอกจากความเคารพยำเกรงแล้วสีหน้าของแต่ละคนยังฉาบทาไว้ด้วยความรู้สึกอื่นๆ อีกด้วย

    เฉิงลี่เสวี่ยเลิกม่านมองดูผู้คนที่คุกเข่าลงต้อนรับ อดขมวดคิ้วมิได้เมื่อเห็นสีหน้ากระวนกระวายไม่สบายใจเหล่านั้น

    “หรือจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”

    มันพึมพำกับตัวเองก่อนหันไปกล่าวกับจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าซึ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่

    “ศิษย์จะลงไปดูก่อน”

    จ้าวบัลลังก์โองการฟ้านิ่งเฉยไม่พูดว่ากระไร

    ตอนนี้ขบวนรถม้าแล่นมาถึงหมู่วิหารด้านล่างซึ่งยังอยู่ห่างจากวิหารใหญ่ของหน่วยโองการฟ้าอีกชั้นหนึ่ง เฉิงลี่เสวี่ยพอลงจากรถม้าเห็นที่ด้านหน้ามีทหารม้าอาศรมเทพอยู่กลุ่มหนึ่งก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม เดินตรงเข้าไป

    เหล่าทหารม้าเห็นมันเดินตรงเข้ามาก็รีบแสดงความเคารพ แต่เป็นเพราะบนตัวสวมชุดเกราะจึงมิได้ลงจากหลังม้า

    เฉิงลี่เสวี่ยเห็นสีหน้าของเฉินปาฉื่อเต็มไปด้วยความเคียดขึ้งดุร้าย อีกทั้งตาทั้งสองข้างยังถูกปิดด้วยผ้าพันแผลก็อดถามอย่างแปลกใจมิได้

    “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

    เฉินปาฉื่อกัดฟันกรอดตอบว่า

    “เยี่ยหงอวี๋ทรยศต่อหน่วยพิพากษา ทรยศต่ออาศรมเทพ ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากหลัวถงหลิ่งให้รวบรวมกำลังคนออกประกาศจับตายนาง”

    เยี่ยหงอวี๋ทรยศต่ออาศรมเทพ?

    เฉิงลี่เสวี่ยขมวดคิ้ว เส้นผมที่ขาวราวกับหิมะดูเป็นประกายเย็นเฉียบ

    ตั้งแต่จ้าวบัลลังก์โองการฟ้าทำนายว่าหน่วยพิพากษาจะเกิดเรื่องใหญ่มันก็กังวลใจมาตลอด ที่คณะทูตแวะไปที่แคว้นหนานจิ้นก่อนเดินทางกลับก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ ทว่ามันคิดไม่ถึง สุดท้ายแล้วก็ยังเกิดเรื่องขึ้นจนได้

    มันถามเฉินปาฉื่อเสียงเรียบ

    “ข้าจำได้ว่าเจ้าถูกปลดจากตำแหน่งถงหลิ่งทหารม้าตั้งแต่ปีที่แล้วตอนอยู่ในทุ่งร้าง แล้วนี่กลับมารับตำแหน่งเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “เมื่อวันก่อนขอรับ”

    “หลัวเค่อตี๋เป็นถงหลิ่งขององครักษ์เทพ เมื่อใดกันที่มันสามารถสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในหน่วยพิพากษา ส่วนตัวเจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยพิพากษา แต่กลับกล้าไร้มารยาทเรียกชื่อหัวหน้าใหญ่เยี่ยหงอวี๋ตรงๆ นี่ไม่เรียกว่าล่วงเกินผู้บังคับบัญชาแล้วเรียกว่าอะไร”

    ในอาศรมเทพ เฉินปาฉื่อเป็นคนของหน่วยพิพากษาจึงมิค่อยเกรงกลัวหัวหน้าใหญ่ของหน่วยโองการฟ้าสักเท่าใดนัก สำมะหาอะไรกับมันยังถูกเยี่ยหงอวี๋ทำร้ายจนตาบอด ในใจคิดแต่จะแก้แค้น ต้องการนำตัวเยี่ยหงอวี๋กลับมาอาศรมเทพให้ได้รับการเหยียดหยามดูถูกและลงทัณฑ์ทรมานอย่างหนัก ดังนั้นมีหรือที่มันจะสนใจในท่าทีของเฉิงลี่เสวี่ย

    มันตอบเสียงเย็นชา

    “นี่เป็นความต้องการของจ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษาด้วยเช่นกัน”

    เฉิงลี่เสวี่ยเงียบงันไป หากเป็นคำสั่งของต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาจริง เช่นนั้นมันก็หมดคำพูดที่จะว่ากล่าว ชั่วขณะนั้นเองรถม้าสีดำก็แล่นมาถึง เสียงแหบเครือด้วยความชราดังขึ้นจากภายในรถ

    “หน่วยพิพากษามิได้เป็นตัวแทนของอาศรมเทพ”

    คราวนี้ทหารม้าอาศรมเทพที่แสนจะทระนงเหล่านั้นมิกล้านั่งวางท่าอยู่บนหลังม้าอีก เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวบัลลังก์ย่อมไม่มีข้ออ้างเรื่องสวมชุดเกราะมิต้องลงจากหลังม้าแสดงความเคารพ พวกมันรีบลงมาคุกเข่าคารวะอยู่กับพื้นทันที

    สีหน้าเฉินปาฉื่อเปลี่ยนเป็นขัดตาขณะคุกเข่าลงช้าๆ ภายใต้การช่วยเหลือของผู้ติดตาม

    “เยี่ยหงอวี๋ไปจากหน่วยพิพากษา แต่นี่มิได้หมายความว่านางทรยศต่ออาศรมเทพ นางแค่จากไปชั่วคราวเท่านั้น”

    คนในรถม้ากล่าวจบก็ถอนใจเบาๆ

    เฉิงลี่เสวี่ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหดหู่เศร้าใจของจ้าวบัลลังก์ ในใจจึงเศร้าสลดและเดือดดาลขึ้นมาโดยพลัน มันกล่าวกับเฉินปาฉื่อที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

    “ไปขอรับโทษทัณฑ์เดี๋ยวนี้”

    เฉินปาฉื่อเงยหน้าขวับ หากดวงตาไม่ถูกผ้าพันเอาไว้จะต้องได้เห็นแววอาฆาตมาดร้ายจากมันอย่างแน่นอน

    ปีที่แล้วในดินแดนของราชสำนักจั่วจั้งก็เป็นเฉิงลี่เสวี่ยนี่เองที่สั่งลงทัณฑ์มันด้วยกระบองหนาม ตอนนี้มันกลายเป็นคนตาบอดไปแล้วด้วยน้ำมือของเยี่ยหงอวี๋ อีกทั้งเรื่องที่เยี่ยหงอวี๋ทรยศต่ออาศรมเทพใครๆ ก็รู้ก็เห็น แล้วอาศัยอะไรมาสั่งให้มันไปขอรับโทษ

    ลมต้นฤดูพัดม่านหน้าต่างรถม้าให้ไหวพะเยิบพะยาบ มือเหี่ยวชราข้างหนึ่งยื่นออกมาวางบนกรอบหน้าต่าง

    เหล่าทหารม้าและผู้คุ้มกฎทุกคนในที่นั้นพอเห็นต่างก็รีบก้มหน้าจนคางจรดอก มิกล้าเหลือบมองแม้แต่แวบเดียว แต่เฉินปาฉื่อมองไม่เห็น สีหน้าจึงยังเต็มไปด้วยความอาฆาต

    มือเหี่ยวย่นเริ่มเคาะกรอบหน้าต่างช้าๆ พริบตานั้นกลิ่นอายจางๆ หอบหนึ่งก็แผ่เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์พอได้ยินเสียงเคาะใจก็กระตุกวูบ บังเกิดความกลัวอย่างประหลาด

    มีบางคนเหลือบมองไปทางเฉินปาฉื่อ ครั้นแล้วก็ต้องตกใจจนแทบทรุดนั่งลงกับพื้น แต่เฉินปาฉื่อเองกลับไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงแสดงสีหน้าเคียดขึ้ง กระทั่งยังคิดจะถกเถียงออกไป

    ทว่าพออ้าปากมันกลับพูดไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกหวานเอียนในลำคอ มันรู้สึกเอะใจจึงยกมือขึ้นลูบปากตัวเอง ค่อยสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปียกชื้นเหนอะหนะ

    และแล้วแววเคียดแค้นบนใบหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด มันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่มีลิ้นแล้ว สิ่งที่อยู่ในปากเป็นเพียงเศษเลือดเศษเนื้อเละๆ เท่านั้น

    คนที่เหลือเห็นมุมปากเฉินปาฉื่อมีเลือดไหลไม่หยุดก็พากันสูดหายใจเข้าเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก สองสามคนในนั้นผวาจะเข้าไปช่วยพยุง แต่แล้วก็ฉุกใจคิดได้ รู้ว่านี่ต้องเป็นการลงโทษของจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าในรถม้าอย่างแน่นอนจึงรีบหยุดเท้าเอาไว้

    เสียงจ้าวบัลลังก์ดังขึ้นอีกครา

    “พูดไม่เป็น แต่ยังคิดจะช่วยถ่ายทอดวาจาให้คนอื่น เช่นนั้นต่อไปก็ไม่ต้องพูดแล้ว”

    หลังจัดการเรื่องราวเสร็จรถม้าสีดำก็ไม่รีรอ แล่นตรงไปยังวิหารขนาดใหญ่โตมโหฬารสี่หลังซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนสุดของเขาเถาซานทันที

    ภายในรถม้ามืดสลัว จ้าวบัลลังก์โองการฟ้ามองทิวทัศน์ต้นฤดูเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า

    “เรื่องของหน่วยพิพากษาข้าไม่อยากยุ่งและไม่ควรไปยุ่ง แต่เห็นทีจะไม่ยุ่งด้วยไม่ได้แล้ว”

    เฉิงลี่เสวี่ยเงียบงัน มันมองสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของจ้าวบัลลังก์แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกไม่พอใจผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หยกดำตัวนั้นอย่างรุนแรง

    ขบวนรถม้าของคณะทูตแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงรถม้าสีดำสลักลวดลายสีทองของจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าเท่านั้นที่แล่นช้าๆ ขึ้นไปยังวิหารอาศรมเทพซึ่งอยู่ชั้นบนสุด และจอดลงตรงหน้าวิหารสีดำน่าเกรงขามหลังหนึ่ง

    เมื่ออยู่เบื้องหน้าวิหารเทพอันโอ่อ่าโอฬารรถม้าสีดำก็ดูเล็กกระจ้อยร่อยและโดดเดี่ยวไปถนัดตา ทว่าพอเห็นคนในรถม้าไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มกฎของวิหารเทพหลังใดต่างก็ต้องออกอาการแตกตื่นตกใจและมีสีหน้ายำเกรงกันทุกคน ที่ยำเกรงคือจ้าวบัลลังก์ในรถม้า ที่แตกตื่นตกใจคือคิดไม่ถึงว่าจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าจะมาปรากฏตัวที่หน้าวิหารหน่วยพิพากษา

    หลายปีมาแล้วที่ต้าเสินกวนทั้งสามไม่เคยเดินเข้าวิหารเทพของกันและกัน ทั้งนี้เพราะความเคารพที่ต่างฝ่ายต่างมีให้แก่กันบวกกับความทระนงถือดีในตัวเอง

    บรรดาคนที่คุกเข่าอยู่หน้าบันไดทางขึ้น ข้างเสาและสองฟากทางต่างมองรถม้าคันนั้นด้วยความกระวนกระวาย มิรู้ว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น

    ยิ่งเมื่อเห็นจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าลงจากรถม้าเดินขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้าเข้าไปในวิหารสีดำ ในใจพวกมันก็มิทราบว่าส่งเสียงอุทานด้วยความตกอกตกใจไปแล้วกี่ครั้ง

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าทั้งแก่ชราทั้งซูบผอม แต่เมื่อมันเดินเข้าไปในวิหาร มิรู้เป็นอย่างไร คนกลับดูสูงใหญ่จนศีรษะแทบสัมผัสเพดาน

    ไม่ว่าการมาเยือนหน่วยพิพากษาของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าจะมีจุดประสงค์อะไร จะมาเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ มาเพื่อลบหลู่ดูหมิ่นหรือมาเพื่อท้าทาย นอกจากต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาแล้วไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะแสดงความรู้สึกอะไรออกมา

    พอถึงหน้าประตูโถงวิหารอันโล่งกว้าง เห็นม่านไข่มุกอยู่ไกลลิบ ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าก็หยุดเท้า มิได้ก้าวเดินต่อ

    มันมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะว่ากล่าว ดังนั้นจึงต้องเดินเข้ามาในวิหาร แต่หากมันเดินลึกเข้าไปอีก คนอารมณ์ร้อนที่นั่งอยู่หลังม่านไข่มุกผืนนั้นจะต้องเข้าใจผิดคิดว่ามันมาเพื่อหาเรื่องต่อยตีเป็นแน่

    ต้าเสินกวนเป็นคน ในเมื่อเป็นคนก็ย่อมต้องมีอารมณ์ความรู้สึก

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ากล่าวกับคนที่อยู่หลังม่านไข่มุก

    “ข้าไปแคว้นหนานจิ้นมา และยังได้นำเถ้ากระดูกของคนผู้หนึ่งกลับมาด้วย”

    ภายในโถงวิหารปราศจากลม แต่ม่านไข่มุกกลับส่ายไหวจนสามารถมองเห็นบัลลังก์หยกดำตัวนั้นได้รำไร ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าส่ายหน้ากล่าวต่อ

    “เจ้าไม่ควรทำเรื่องเหล่านั้น”

    ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาไม่เงยหน้าขณะกล่าวเสียงเย็นชา

    “แล้วจะทำไม ใต้เฮ่าเทียนคือจ้าวบัลลังก์ หรือก่อนข้าจะทำเรื่องใดต้องคอยดูสีหน้าหลิ่วไป๋ ค้อมศีรษะให้มัน”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเงียบไปนานก่อนถอนใจกล่าวว่า

    “จริงอยู่เจ้าไม่เคยค้อมศีรษะให้ผู้ใด แต่หลังศิษย์พี่กวงหมิงจากไปเจ้าก็ได้แต่ต้องนั่งก้มหน้าคอตกอยู่บนบัลลังก์ตัวนั้นแล้ว”

    เรื่องที่ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างหนีออกจากศาลามืดจนก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้นในอาศรมเทพแห่งซีหลิงถูกผู้คนโจษจันไปทั่ว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจ้าวบัลลังก์แสงสว่างที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในรอบหลายร้อยปีผู้นั้นยังได้โค่นทำลายค่ายกลดักวิญญาณที่ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาใช้พลังเทพแก่นฐานชีวิตของตัวเองสร้างขึ้น

    และดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้ด้วยว่าต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาได้รับความบอบช้ำทางร่างกายจากการนี้ไปมากมาย กระทั่งว่าแม้เวลาจะล่วงเลยไปได้ระยะหนึ่งแล้วมันก็ยังไม่มีปัญญาลุกห่างจากบัลลังก์หยกดำตัวนั้น

    ทว่าในโลกนี้ไม่เคยมีความลับใดๆ ดังนั้นต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าจึงได้พูดเช่นนี้

    ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเงยหน้าที่เคยเชิดสูงอย่างเย่อหยิ่งทระนงขึ้นช้าๆ แววตาลุ่มลึกที่อัดแน่นไปด้วยความอำมหิตโหดร้ายจับจ้องร่างที่อยู่ห่างออกไป กล่าวเสียงเย็นชา

    “ศีรษะของข้าสามารถเงยขึ้นได้ตลอดเวลา”

    ภายในวิหารว่างโล่งบังเกิดลมกระโชกขึ้นอย่างฉับพลัน

    คนในอาศรมเทพมิรู้ว่าภายในวิหารเกิดอะไรขึ้น มิรู้ว่าหลังจากต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเดินเข้าไปแล้วมันได้พูดหรือทำอะไรกับต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาบ้าง และยังมิรู้ว่าการพบหน้าซึ่งยากจะเกิดขึ้นได้ในครั้งนี้มีความหมายว่าอย่างไร

    พวกมันได้ยินแต่เสียงลมกระโชกที่รุนแรงและน่ากลัวกว่าเสียงพายุในทะเลตงไห่เท่านั้น คล้ายมีอสุรกายจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังขู่กรรโชกคำรามใส่กันและกัน

    ลมที่ว่านี้กวาดม้วนออกมาถึงด้านนอก หอบเอากรวดทรายซัดใส่เสาวิหารระลอกแล้วระลอกเล่า บรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกถึงกับร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

    มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเดินออกจากวิหารด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่ารอยย่นตรงหางตาดูเหมือนจะลึกขึ้นกว่าเดิมอยู่หลายส่วน

    ทุกคนมองตามหลังมันไปอย่างกริ่งเกรงและไม่สบายใจ และเมื่อเห็นมันเดินมุ่งหน้าไปยังวิหารสีขาวซึ่งตั้งอยู่ด้านบนสุดแทนที่จะเดินกลับไปขึ้นรถม้า ในใจก็ยิ่งแตกตื่นคาดเดากันไปต่างๆ นานา

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าออกจากวิหารหน่วยพิพากษาแล้วไม่กลับไปที่วิหารของตัวเอง แต่เดินขึ้นไปยังสถานที่ที่น่าครั่นคร้ามที่สุดของนิกายเฮ่าเทียนซึ่งย่อมเป็นสถานที่ใดไปไม่ได้นอกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเจ้านิกายอาศรมเทพ!

    ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเพราะเหตุใดต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าหลังไปพบต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาแล้วยังขึ้นไปพบกับเจ้านิกายอีก และก็เช่นเดียวกันพวกมันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ด้านบนสุด พวกมันเพียงได้ยินแต่เสียงฟ้าผ่าดังสะท้อนสะท้านไปมาทั่วทั้งหุบเขาอยู่หลายครั้งเท่านั้น

    ด้านในสุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์มีม่านแสงซึ่งก่อตัวขึ้นจากแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนอยู่แถบหนึ่ง ม่านแสงแถบนี้มีพลังและแรงคุกคามมหาศาลอย่างที่มิอาจจะจินตนาการได้ ทั้งยังเป็นตัวแทนของการปกครองโลกของเฮ่าเทียน บนม่านแสงมีเงาร่างคนผู้หนึ่งทาบอยู่ เงาร่างนี้สูงใหญ่ยิ่งจนส่วนศีรษะคล้ายกำลังค้ำยันท้องนภาเอาไว้ ราวกับต้องการแยกผืนฟ้าและผืนดินให้ออกจากกัน เงาที่ว่านี้ก็คือผู้ปกครองสูงสุดของนิกายเฮ่าเทียน เจ้านิกายอาศรมเทพแห่งซีหลิง!

    ทันทีที่ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าค้อมตัวคารวะ เสียงหนึ่งก็ดังออกจากม่านแสง

    “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

    เสียงนี้แท้จริงสงบราบเรียบ แต่พริบตาที่ทะลุผ่านม่านแสง ประกายแสงเจิดจรัสที่กระเพื่อมสั่นไหวอยู่บนม่านก็เปลี่ยนเสียงราบเรียบนี้ให้กลายเป็นเสียงกึกก้องกัมปนาทดุจเสียงฟ้าผ่า ดังทะลุทะลวงถึงเมฆาชั้นที่เก้าไปในทันที

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ากล่าว

    “ผู้งมงายยุทธ์คืออนาคตของอาศรมเทพเรา คนโง่เขลาเหล่านั้นบีบคั้นจนนางต้องจากไป นี่คือเรื่องที่ข้ารับไม่ได้ ที่ผ่านมาท่านรักษาความเงียบยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ในความคิดข้านับว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง”

    แม้ว่าฐานะของต้าเสินกวนแห่งอาศรมเทพจะสูงส่งยิ่ง ทว่าการตำหนิเจ้านิกายซึ่งๆ หน้าว่าโง่เขลาก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือแทนที่จะบันดาลโทสะ เจ้านิกายกลับจมดิ่งลงสู่ภวังค์ความคิด

    “ผู้งมงายยุทธ์กลับไปที่อารามไม่ได้”

    “ข้าทราบ”

    “นางกลายเป็นเศษสวะไปแล้ว”

    “ก็อาจเป็นไปได้”

    “อาศรมเทพต้องการพลัง”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ากล่าวเสียงราบเรียบ

    “นางอาจจะยังเป็นพลังที่พวกเราต้องการก็ได้ ข้ามองได้ไกลกว่าพวกท่านเล็กน้อย”

    หลังต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างจากไปแล้ว บนเขาเถาซานย่อมมีเพียงต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าที่เห็นเรื่องราวได้ไกลและแม่นยำกว่าทุกคน จุดนี้แม้แต่เจ้านิกายก็ยังต้องยอมรับ

    “บางทีเจ้าอาจจะพูดถูกก็ได้”

    เสียงฟ้าผ่าค่อยๆ เงียบหายไป

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเดินจากมา

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook