• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 17 ตอนที่ 2

    บทที่ 2 ปลูกบัว

     

    หลัวเค่อตี๋ถงหลิ่งขององครักษ์เทพเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปกายสูงใหญ่ เมื่ออยู่ในชุดเกราะสีทองมันดูตระหง่านเงื้อมดั่งป้อมปราการโลหะที่สามารถเคลื่อนที่ได้

    ทว่าเมื่อคุกเข่าลงตรงหน้าม่านแสงให้กับเงาร่างสูงใหญ่นั้น คนกลับดูต่ำเตี้ยและต่ำต้อย เพราะแท้จริงมันก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ที่จงรักภักดีต่อเจ้านิกายมากที่สุดเท่านั้น

    “ตอนนี้อาศรมเทพต้องการพลังมากกว่าครั้งใดๆ ดังนั้นเจ้าจงรับหน้าที่ไปนำมัจฉาสีแดงตัวนั้นกลับมา แต่หากนางกลายเป็นเศษสวะไปแล้วจริงๆ เพื่อเกียรติยศของอาศรมเทพข้าอนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ แล้วค่อยไปค้นหาพลังอื่นกลับมาให้ข้า”

    เจ้านิกายสั่งการด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    หลัวเค่อตี๋ก้มลงโขกศีรษะ มองเผินๆ ประหนึ่งเป็นบรรพตทองที่เอียงล้มคว่ำ

     

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ามองดูเหล่าผู้คุ้มกฎและผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางลูบฝ่ามือไปมาอยู่บนบัลลังก์ตัวเองที่สานขึ้นจากก้านต้นเซี่ยงหยาง* รอยย่นตรงหางตาของมันบัดนี้กดลึกดั่งรอยแตกของผนังผาบนเขาเถาซาน

    เฉิงลี่เสวี่ยโบกมือเป็นสัญญาณให้คนที่มาต้อนรับแยกย้ายกันกลับออกไปก่อนเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างบัลลังก์ ถอนใจกล่าวว่า

    “ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าส่ายหน้า

    “นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ข้าทำนายเอาไว้”

    เฉิงลี่เสวี่ยนิ่งงันไป คิดในใจ หากกระทั่งเรื่องที่ผู้งมงายยุทธ์ทรยศต่อเขาเถาซานยังไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นเรื่องใหญ่ที่จ้าวบัลลังก์ทำนายว่าจะเกิดขึ้นกับหน่วยพิพากษาจะน่าตระหนกตกใจถึงเพียงไหนกัน

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

    “โชคชะตาของสรรพสิ่งในโลกหล้ามีเฮ่าเทียนเป็นผู้กำหนด นี่ก็คือวงล้อชีวิตหรือธรรมจักรที่นิกายพุทธเอ่ยถึง เรื่องที่ถูกกำหนดให้เกิด สุดท้ายก็จะต้องเกิด เพียงแต่ต้องรอเวลาของมันเท่านั้น”

    อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้า หรืออาจเป็นเพราะต้องเผชิญหน้ากับต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาและเจ้านิกายติดๆ กัน รอยย่นตรงหางตาของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าจึงลึกกว่าที่เคยจนน่าตกใจ

    เฉิงลี่เสวี่ยมองอย่างเป็นห่วง แต่มิกล้าเอ่ยทัก จึงเปลี่ยนเป็นเลียบเคียงถามเรื่องของเยี่ยหงอวี๋

    “มิทราบว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้ายิ้มน้อยๆ

    “เรื่องแบบนี้ไม่ต้องทำนาย…ผู้งมงายนั่นในเมื่อล่าถอยจากซีหลิงย่อมต้องไปฉางอัน”

    เฉิงลี่เสวี่ยรู้สึกงุนงง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจ้าวบัลลังก์ของมันถึงได้แน่ใจในเรื่องนี้นัก

    “แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนส่องสว่างไปทั่ว นอกจากเมืองฉางอันแล้วยังจะมีที่ใดให้นางใช้เป็นที่กบดานได้อีก”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าพูดถึงตรงนี้ก็ถอนใจยืดยาว

    “ยังดีที่ฉางอันเป็นสถานที่ที่ไม่เลว มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายให้ได้พบเห็นและเรียนรู้”

    เฉิงลี่เสวี่ยฟังคำวิจารณ์เกี่ยวกับเมืองฉางอันของจ้าวบัลลังก์แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ได้พบเห็นตรงประตูข้างของสถานศึกษา จึงกล่าวอย่างเห็นพ้อง

    “ที่นั่นเป็นเมืองที่น่าสนใจและมีเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงอยู่มากจริงๆ อย่างเช่นการต่อสู้ระหว่างหนิงเชวียกับหลิ่วอี้ชิง เหอหมิงฉือสามารถรับรู้ได้ก่อนศิษย์ว่าหนิงเชวียใช้พลังเทพออกมา นี่ไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ”

    เหอหมิงฉือคือศิษย์ของหลี่ชิงซานราชครูแคว้นต้าถัง

    ตอนนั้นที่ประตูข้างของสถานศึกษา ดาบที่หนิงเชวียฟันใส่หลิ่วอี้ชิงเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าแสบนัยน์ตา ผู้ฝึกฌานทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีผู้ใดดูออกว่านี่คือแสงเจิดจรัสของนิกายเฮ่าเทียน ยกเว้นเฉิงลี่เสวี่ยกับเหอหมิงฉือสองคน

    เฉิงลี่เสวี่ยถึงกับทำผนังรถม้าแตกเป็นช่อง ส่วนเหอหมิงฉือก็เผลอใช้กรงเล็บกระชากล้อรถม้าจนแหลกละเอียดคามือ

    เฉิงลี่เสวี่ยคือหัวหน้าใหญ่ของหน่วยโองการฟ้า การที่มันสามารถแยกแยะได้ในทันทีว่าหนิงเชวียใช้วิชาเทพย่อมมิใช่เรื่องแปลก ที่แปลกคือเหตุไฉนเหอหมิงฉือจึงสามารถรู้ได้ก่อนมันอีก

    ยิ่งนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วเฉิงลี่เสวี่ยก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

    “ศิษย์มั่นใจ ด่านฌานของเหอหมิงฉือจะต้องสูงกว่าของศิษย์ มิได้อ่อนด้อยอย่างที่เล่าลือกัน”

    “หลายร้อยปีที่ผ่านมาความปรารถนาอันสูงสุดของเจ้านิกายทุกรุ่นคือต้องการเชิญเฮ่าเทียนฝ่ายใต้กลับมา สาเหตุนั้นนอกจากจะเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติยศและศักดิ์ศรีอันน่าเหม็นเบื่อแล้วยังเป็นเพราะเฮ่าเทียนฝ่ายใต้เองก็มีจุดพิเศษที่ไม่ธรรมดา ศิษย์น้องชิงซานในเมื่อเป็นถึงราชครูของแคว้นต้าถัง ผู้สืบทอดของมันจะเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างที่เล่าลือกันได้อย่างไร”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

    “การไปเมืองฉางอันในคราวนี้ของผู้งมงายยุทธ์มิรู้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาศรมเทพกับเฮ่าเทียนฝ่ายใต้หรือไม่ ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า”

    เฉิงลี่เสวี่ยนึกถึงข่าวที่สอบถามมาได้เกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในอาศรมเทพเมื่อเร็วๆ นี้ กับท่าทีของเจ้านิกายและจ้าวบัลลังก์พิพากษา ก็กล่าวเสียงเจื่อนขม

    “เกรงว่าผู้งมงายยุทธ์คงยากที่จะได้กลับมาเขาเถาซานอีก”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าส่ายหน้า

    “สุดท้ายแล้วนางจะกลับมา”

    เฉิงลี่เสวี่ยถามอย่างงุนงง

    “เพราะเหตุใดท่านถึงเชื่อมั่นเช่นนี้”

    ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าถอนใจเฮือกอีกคราก่อนตอบว่า

    “หากนางไม่กลับ แล้วเรื่องใหญ่ที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นกับหน่วยพิพากษาจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า”

     

    ในที่สุดฉางอันก็เข้าสู่ฤดูคิมหันต์

    แม้ในช่วงต้นฤดูอากาศจะยังไม่ร้อนอบอ้าว ทว่าแสงตะวันกลับร้อนแรงจนทำให้ผู้คนเริ่มรังเกียจ ทั้งยังทำให้ทางเดินหินเขียวหลังเที่ยงร้อนระอุจนเดินเท้าเปล่ามิได้

    งานแก้ไขปรับปรุงพื้นที่บริเวณริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงยังคงดำเนินต่อไป และเพื่อให้งานเสร็จก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลางฤดู กลุ่มคนงานจึงพากันเร่งมืออย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยโดยมีเงินและพรรคมัจฉามังกรเป็นตัวช่วยผลักดัน

    เสียงเคาะเสียงขัดเสียงตอกเสียงทุบดังขึ้นไม่หยุดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ยังดีที่บรรดาเจ้าบ้านเดิมได้ย้ายออกไปกันหมดแล้ว มิฉะนั้นมิรู้ว่าการถูกเคี่ยวกรำด้วยเสียงเอะอะโครมครามเหล่านี้จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอะไรขึ้นมาบ้าง

    พองานทั้งหมดดำเนินมาถึงช่วงปลาย หนิงเชวียก็หยิบเอาแผนที่ค่ายกลที่ศิษย์พี่เจ็ดบรรจงวาดขึ้นมาศึกษาก่อนเริ่มทำการจัดวางกับสถานที่จริง

    เป็นเพราะเงินถึง กอปรกับชื่อเสียงและอิทธิพลของฉีซื่อเหยียแห่งพรรคมัจฉามังกรนั้นมีมากเกินไป ดังนั้นแม้บรรดานายช่างจะคิดว่าการออกแบบของหนิงเชวียหาหลักการอันใดมิได้ แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยปากทักท้วง

    ด้วยเหตุนี้ ขณะที่งานปรับปรุงพื้นที่และบ้านเรือนริมทะเลสาบค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ค่ายกลของศิษย์พี่เจ็ดก็ค่อยๆ เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเพราะมันถูกซุกซ่อนไว้ตามชายคา กำแพงและพุ่มไม้ใบหญ้า

    เนื่องจากงานทั้งหมดยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ หนิงเชวียกับซังซังจึงยังคงอาศัยอยู่ในร้านเหล่าปี่ไจ พวกพ่อค้าในซอยสี่สิบเจ็ดพอรู้ข่าวว่าสองนายบ่าวกำลังจะย้ายออกไปก็พากันเป่าปากด้วยความโล่งอก ทว่าอีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกอาลัยอาวรณ์มิได้เพราะนับจากนี้ไปคงไม่ได้เห็นเหล่าชายฉกรรจ์ชุดเขียวของพรรคมัจฉามังกรกับบรรดามือปราบของที่ว่าการเมืองฉางอันมาลาดตระเวนที่นี่กันวันละหลายๆ รอบเพื่อคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้อีก

    หนิงเชวียมิรู้ว่าคนเหล่านั้นคิดอะไร อีกทั้งไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียนกล่าวอำลาเพราะระยะนี้มันยุ่งกับการต้องขึ้นเขาหลังสถานศึกษาไปร่ำเรียน ยุ่งกับการจัดวางค่ายกล และยังต้องยุ่งกับการเข้าวัง

    จุดหมายปลายทางในวังของมันแน่นอนย่อมต้องเป็นหอไม้เล็กๆ หลังนั้นเพราะนอกจากจะแบกรับภาระการปกป้องคุ้มครองเมืองฉางอันเอาไว้บนบ่า มันยังมีแผนการอื่นอีกอยู่ในใจ ดังนั้นมันจึงต้องทำความคุ้นเคยกับค่ายกลสยบเทวะชุดนี้ให้ได้โดยเร็ว

    คนอื่นล้วนชมว่ามันมีพรสวรรค์ในมรรคาแห่งยันต์ และยันต์กับค่ายกลก็เป็นศาสตร์ที่มีความเชื่อมโยงกัน ว่ากันตามเหตุผลมันควรทำความเข้าใจค่ายกลชุดใหญ่ที่เหยียนเซ่อซือฟูทิ้งไว้ให้อย่างไม่ลำบาก แต่น่าเสียดายพรสวรรค์ของมันดูเหมือนจะใช้ไปกับมรรคาแห่งยันต์หรือเรื่องอื่นมากเกินไป จึงเหลือให้กับค่ายกลแค่ไม่กี่ส่วน

    ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาหนิงเชวียมิใช่คนที่พอพบเจออุปสรรคความยากลำบากก็จะถอยหลังหลบเลี่ยง ในเมื่อมีความจำเป็นต้องเข้าใจและควบคุมค่ายกลชุดนี้ให้ได้ เช่นนั้นมันก็จำเป็นต้องกำจัดอุปสรรคเหล่านี้ให้หมดไปโดยยึดหลักการ ‘ใช้ความขยันชดเชยความโง่เขลา’ ‘ใช้ดาบผ่าบรรพตตำรา’ ดังนั้นขอเพียงมีเวลาว่างมันจะเดินทางเข้าวังเพื่อศึกษาค้นคว้าทันที

    จักรพรรดิทรงชื่นชมในความเพียรพยายามของมันจึงทรงอนุญาตให้มันเข้าวังได้ตลอดเวลา แต่ที่ทำให้มันต้องปวดเศียรเวียนเกล้าคือในแต่ละวันหลังเดินออกจากหอไม้อย่างเหนื่อยล้า จักรพรรดิจะต้องทรงส่งคนมาคว้าตัวมันเข้าห้องทรงพระอักษรอยู่ร่ำไป

    หลังเข้าวังติดๆ กันสิบกว่าครั้งมันก็มีความสนิทสนมกับหัวหน้ากองกำลังอวี่หลินเป็นอย่างดี ยิ่งกับพวกราชองครักษ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้แม้แต่บรรดาขันทีและเหล่านางกำนัล หรือแม้แต่พระอัครมเหสีที่คอยฝนหมึกให้ในห้องทรงพระอักษร มันก็เริ่มคุ้นเคยด้วยไม่น้อย มีเพียงค่ายกลสยบเทวะเท่านั้นที่มันยังไม่มีปัญญาจะคุ้นเคยด้วย

    แต่นี่มิได้หมายความว่ามันไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการเข้าวัง นอกจากประโยชน์ที่ไม่สามารถบอกใครได้แล้ว ประโยชน์สูงสุดที่ได้รับก็คือต้นไม้โบราณจำนวนมากมายหลายต้นริมทะเลสาบ รวมถึงของกำนัลที่ถูกลำเลียงส่งเข้าบ้านอย่างไม่ขาดสาย

    สัญญาซื้อขายโฉนดบ้านและที่ดินริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงล้วนทำภายใต้ชื่อของเฉาเสี่ยวซู่ แต่การเคลื่อนไหวที่อึกทึกครึกโครมเช่นนี้ยากที่จะเล็ดลอดสายตาผู้คนไปได้ หลี่อวี๋เป็นคนแรกที่รู้เรื่อง ดังนั้นนางจึงส่งของกำนัลซึ่งเหมาะสมกับฐานะขององค์หญิงแคว้นต้าถังมาให้ก่อนใคร

    ต้นไม้โบราณจำนวนมากมายที่ถูกย้ายมาปลูกที่ริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงในตอนนี้ล้วนขุดมาจากที่ดินศักดินาของนาง นี่จึงนับเป็นของกำนัลที่ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ เพราะถึงมีเงินก็หาซื้อมิได้

    พระอัครมเหสีพอทรงทราบเรื่องที่มันกำลังปรับปรุงบ้านที่เพิ่งซื้อมาก็ทรงคัดเลือกเครื่องกระเบื้องลายครามในวังประทานให้หลายชุด ส่วนจักรพรรดิก็พระราชทานภาพอักษรลายพู่กันอันล้ำค่าให้มากมาย ซึ่งนี่เป็นของกำนัลเพียงอย่างเดียวที่หนิงเชวียรับไว้อย่างไม่กระตือรือร้นนัก

    วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป จากต้นฤดูคิมหันต์เข้าสู่ช่วงกลางฤดู เสียงจักจั่นในสถานศึกษาดังหนวกหูมากขึ้นทุกที อากาศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร้อนอบอ้าว

    ในที่สุดงานปรับปรุงพื้นที่และบ้านเรือนริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงก็เสร็จสิ้น บ้านเรือนสิบกว่าหลังที่เคยแยกประตูแยกลานบ้านถูกตีทะลุเชื่อมต่อถึงกัน กำแพงที่เคยท้าแดดท้าฝนจนสีร่อนถูกทาสีใหม่ ตรอกแคบๆ ที่ตัดผ่านบ้านเรือนเหล่านั้นถูกแก้ไขให้เป็นทางเดินในสวน สองฟากทางปลูกไม้ดอกซึ่งตอนนี้แข่งกันออกดอกบานสะพรั่ง ทั้งงดงามและเงียบสงบ

    เหล่าพ่อค้าในซอยสี่สิบเจ็ดรวบรวมความกล้าจัดงานเลี้ยงส่งหนิงเชวียกับซังซัง พวกมันให้เถ้าแก่อู๋เจ้าของร้านขายของเก่าปลอมกับภรรยาเป็นตัวตั้งตัวตีออกหน้าเชิญ หลังงานเลี้ยง การใช้ชีวิตในซอยสี่สิบเจ็ดของหนิงเชวียกับซังซังก็เป็นอันยุติลง

    คืนวันนั้นหนิงเชวียกับซังซังย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านริมทะเลสาบ เครื่องเรือนเครื่องใช้ทั้งหมดล้วนมีพี่น้องพรรคมัจฉามังกรจัดหามา ไม่ต้องให้ซังซังปวดหัวว่าจะเติมบ้านที่มีขนาดใหญ่เท่ากับบ้านสิบกว่าหลังนี้ให้เต็มได้อย่างไร

    และด้วยการขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตายของฉีซื่อเหยีย หนิงเชวียตัดสินใจเก็บร้านเหล่าปี่ไจเอาไว้เพราะถึงอย่างไรสัญญาเว้นค่าเช่าที่เฉาเสี่ยวซู่ทำไว้ก็ยังเหลืออยู่ เพียงแต่ร้านเหล่าปี่ไจจะไม่ขายภาพเขียนอีกเท่านั้น

    จากนี้ไปในวันฝนตกของฤดูวสันต์ ในร้านเหล่าปี่ไจคงจะไม่มีภาพหนุ่มน้อยนักเขียนพู่กันที่ยังไม่บรรลุความฝันกับชายวัยกลางคนที่ยืนถือร่มอยู่นอกร้านให้เห็นอีกแล้ว

    ท่ามกลางเสียงจักจั่นเรไร หนิงเชวียกับซังซังเดินเล่นไปตามทางเดินริมทะเลสาบ คฤหาสน์อันสวยงามที่อยู่ด้านหลังคือบ้านใหม่ของพวกมัน

    ต้นไม้โบราณที่ปลูกอยู่ตามริมฝั่งทำให้ทางเดินกับตัวบ้านร่มเย็นยิ่ง ยามลมจากทะเลสาบพัดผ่าน ความร้อนก็ดูเหมือนจะคลายลง เทียบกับบรรยากาศอุดอู้ตามตรอกซอกซอยในตัวเมือง พวกมันมีความรู้สึกเสมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

    ซังซังนึกถึงคิมหันต์ของปีกลายที่หนิงเชวียยังต้องยกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกไปนอนในตรอกนอกประตูหลัง ใช้น้ำบ่อราดรดตัวเองไปพลางพูดคุยกับเพื่อนบ้านไปพลาง แล้วก็อดทอดถอนใจออกมามิได้

    “ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเราจะมีโอกาสได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่โตแบบนี้”

    ตอนระหกระเหินอยู่บนเขาหมินซานพวกมันต้องอาศัยอยู่ในถ้ำหรือไม่ก็อยู่บนต้นไม้ ครั้นมาถึงเมืองเว่ยก็ต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ พวกมันเคยวาดฝันกันนับครั้งไม่ถ้วนว่าต่อไปหากมีเงินจะอยู่ในบ้านลักษณะอย่างไรบ้าง บัดนี้พอได้มาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ริมทะเลสาบที่เป็นของตัวเองจึงค่อยรู้ว่าบ้านที่เคยวาดฝันไว้นั้นช่างซอมซ่อเสียนี่กระไร

    “ดีมากใช่หรือไม่”

    หนิงเชวียถาม

    ซังซังพยักหน้า

    “ยิ่งกว่าดีมากอีก”

    หนิงเชวียหันกลับไปมอง ท่ามกลางต้นไม้สูงเสียดฟ้ามันเห็นชายคาสีดำและกำแพงที่ทาสีใหม่ได้รำไร ภาพตรงหน้าคือความหรูหราในความเงียบสงบอย่างแท้จริง เมื่อคิดว่านี่คือบ้านของตัวเอง ความรู้สึกภาคภูมิใจก็แผ่พุ่งขึ้นมา กล่าวกับซังซังว่า

    “ต่อไปพวกเราจะต้องมีบ้านที่หลังใหญ่กว่านี้อีก”

    ซังซังขมวดคิ้ว เงยหน้าท้วง

    “ใหญ่กว่านี้ก็มีเพียงตำหนักองค์หญิงกับวังต้องห้ามเท่านั้น”

    หนิงเชวียรวบร่างนางเข้ามากอด ลูบศีรษะอย่างนึกเอ็นดู กล่าวปนหัวเราะ

    “ตำหนักองค์หญิงกับวังต้องห้ามพวกเราก็ไปกันออกบ่อยๆ ต่อไปหากคิดจะอยู่ที่นั่น ข้าจะไปทูลขอฝ่าบาท”

    ซังซังเอนศีรษะพิงอกมันพลางหัวเราะเสียงดังสดใส

    แสงตะวันที่ส่องลอดร่มเงาลงมาจู่ๆ ก็มืดสลัวลง หนิงเชวียเงยหน้าขึ้นมอง เห็นท้องฟ้าเหนือยอดไม้มีเมฆหลายก้อนลอยมาบดบังดวงตะวัน

    มันดันซังซังออกห่าง กล่าวชวน

    “ไปพายเรือกันเถอะ”

    ซังซังรับคำดังอืม แล้วเดินตามไปที่สะพานไม้ซึ่งทำเป็นท่าขึ้นลงเรือแบบง่ายๆ เอาไว้

    สะพานที่ว่ายื่นเข้าไปในทะเลสาบประมาณสองสามจั้ง หัวสะพานผูกเรือเล็กไว้สองลำ ท้ายเรือมีพาย กลางเรือมีประทุน สภาพใหม่เอี่ยม นี่ก็คือเรือที่หนิงเชวียเพิ่งซื้อมา

    ไม้พายจ้วงลงไปในท้องฟ้าและก้อนเมฆสีขาวซึ่งเป็นภาพสะท้อนบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นเล็กๆ แผ่กระจายไปทั่ว หญ้าน้ำใต้ทะเลสาบพลันส่ายไหว หมู่มัจฉาที่กำลังแหวกว่ายอย่างเป็นสุขต่างโบกหางผลุบหนีกันอย่างแตกตื่นตกใจ

    เรือน้อยลอยออกจากฝั่ง มุ่งหน้าไปยังนาบัวกลางทะเลสาบ

    หนิงเชวียนอนเอกเขนกอยู่ตรงหัวเรือ อกเสื้อเปิดกว้าง มันสูดกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัวที่ลอยมาตามลมในขณะที่ซังซังยืนจ้วงพายอยู่ตรงท้ายเรือเป็นจังหวะช้าๆ

    “เจ้าก็ลองมาหลับตารับรู้ดูสักหน่อยสิ”

    หนิงเชวียชักชวน

    ซังซังวางไม้พายในมือลงแล้วเดินมุดประทุนไปนั่งลงข้างกายมันก่อนหลับตาพริ้ม ขนตาบางไหวระริก เส้นผมสีเหลืองอ่อนปลิวเล็กน้อยตามแรงลม

    “สามารถรับรู้อะไรบ้างหรือไม่”

    “ลมพัดเย็นสบายดี”

    “ข้าหมายถึงลมหายใจแห่งฟ้าดิน”

    “ดูเหมือน…ที่นี่จะเข้มข้นกว่าบนฝั่งเล็กน้อย”

    ซังซังลืมตามองนาบัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อย

    หนิงเชวียล้วงแผ่นภาพออกจากอกเสื้อ ชี้ไปยังวงกลมที่มีขนาดเท่าปลายนิ้วบนกระดาษแล้วกล่าวว่า

    “ตรงนี้ของทะเลสาบเยี่ยนหมิงคือช่องลมกิ่งซ้ายของค่ายกลสยบเทวะ ปีที่แล้วราชสำนักให้กรมโยธามาทำการขุดลอกทะเลสาบโดยอ้างว่าเป็นคำขอของที่ว่าการเมืองฉางอัน แท้ที่จริงกลับเป็นการบำรุงรักษาค่ายกลสยบเทวะตามปกติของหน่วยเทียนซู”

    ซังซังถามอย่างนึกฉงน

    “แล้วที่เราทำแบบนี้ราชสำนักจะไม่ว่าเอาหรอกหรือ”

    “ตอนนี้ค่ายกลเมืองฉางอันถูกโอนมาอยู่ในความดูแลของข้าแล้ว ทะเลสาบแค่ผืนเดียวจะนับเป็นอย่างไรได้”

    หนิงเชวียอธิบายต่อ

    “ที่ข้าต้องทุบหม้อทุบไหขายภาพเขียนจนกระอักเลือดเพื่อเอาเงินมาซื้อบ้านริมฝั่งทะเลสาบทั้งหมดก็เพราะข้าต้องการทะเลสาบผืนนี้ ค่ายกลเมืองฉางอันแม้ไม่เคยถูกกระตุ้นให้ทำงาน แต่ก็หมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลา ทะเลสาบเยี่ยนหมิงทำหน้าที่เป็นช่องลมกิ่งซ้ายจึงย่อมต้องผนึกพลังปฐมแห่งฟ้าดินเอาไว้ แม้จะบอกว่าธรรมชาติมีความเท่าเทียม ความเข้มข้นของพลังปฐมแห่งฟ้าดินบริเวณนี้มิอาจเข้มข้นกว่าที่อื่นมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในระดับที่เหมาะกับการฝึกฌานเป็นอย่างยิ่ง”

    ซังซังพยักหน้าเออออตามไปอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

    “ที่สำคัญที่สุดคือหากควบคุมค่ายกลเมืองฉางอันได้ ข้าก็จะสามารถนำค่ายกลที่ศิษย์พี่เจ็ดออกแบบให้มาต่อเชื่อมเข้าไป

    ถึงตอนนั้นข้าไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนค่ายกลสยบเทวะสร้างความแตกตื่นไปทั่วปฐพีก็ยังสามารถหยิบยืมพลังจากเมืองฉางอันจับใครบางคนมาทำเป็นปุ๋ยปลูกบัวได้”

    ซังซังขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น

    “ฟังดูแล้วยากเย็นไม่น้อยเลย”

    หนิงเชวียนึกถึงที่หลายวันมานี้ตัวเองต้องคร่ำเคร่งศึกษาค่ายกลอยู่แต่ในวังเพียงคนเดียวแล้วก็กล่าวอย่างขมขื่น

    “ยากเย็นมากเลยต่างหากล่ะ”

    “ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องทำได้”

    น้ำเสียงของซังซังเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

    “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

    หนิงเชวียมองนาบัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงว่าพอถึงฤดูสารทสีของใบบัวที่เขียวขจีดุจหยกงามก็จะเปลี่ยนเป็นแห้งเหลือง และคนผู้นั้นก็จะกลับมาฉางอัน

    “ไปตรงโน้นกัน”

    มันชี้มือไปที่นาบัว

    ซังซังลุกเดินไปที่ท้ายเรือ หยิบไม้พายขึ้นมาอีกครั้ง

    “ให้สองเราโยกพายเรือ…”

    เสียงขับลำนำเพลงของหนิงเชวียดังไปไกล

    ทะเลสาบเยี่ยนหมิงเป็นเขตพื้นที่สงวนของทางการ ไม่อนุญาตให้ทำการซื้อขาย กอปรกับผู้คนที่มาเที่ยวชมเขาเยี่ยนหมิงเดิมทีก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อยอยู่แล้วเพราะที่นี่ไม่มีชื่อเรื่องทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา ดังนั้นการที่หนิงเชวียกว้านซื้อบ้านเรือนริมทะเลสาบไปหมดจึงทำให้ทะเลสาบเยี่ยนหมิงเท่ากับตกเป็นของมันไปโดยปริยาย วันนี้บนทะเลสาบอันเงียบสงบจึงมีเพียงเรือน้อยของพวกมันลอยกระเพื่อมไปอย่างช้าๆ อยู่แค่ลำเดียว

    การเปลี่ยนทิวทัศน์ที่มีความงดงามให้กลายเป็นสวนในบ้านที่ตัวเองเท่านั้นมีสิทธิ์ได้ชื่นชม ปิดกั้นโอกาสมิให้ชาวฉางอันได้เข้าถึง แน่นอนย่อมต้องดูเหมือนเป็นการกระทำของคนมีปัญหาด้านศีลธรรม จิตใจคับแคบชอบเอารัดเอาเปรียบ เพียงแต่หนิงเชวียสองนายบ่าวที่เพิ่งยกฐานะเป็นคหบดีมาหยกๆ เดิมทีก็หาใช่คนใจกว้างไม่ ยิ่งเรื่องคุณธรรมความดียิ่งไม่เคยมีอยู่ในหัว ไหนเลยจะเก็บเอามาใส่ใจ

    นาบัวพื้นที่สิบกว่าหมู่กลางทะเลสาบล้วนเป็นหนิงเชวียจ่ายเงินจ้างคนมาปลูกทั้งสิ้น ผ่านไปหลายวัน ได้รับอาหารจากโคลนเลนก้นทะเลสาบ ใบบัวไม่เพียงดกงาม ดอกบัวยังเบ่งบานกลายเป็นสีชมพูตัดกับสีเขียว ให้ภาพอันสวยงามน่าประทับใจ

    เรือน้อยลอยเข้าไปในนาบัวตามจังหวะโยกพาย เบื้องหน้าสายตานอกจากดอกและใบบัวก็ไม่เห็นอะไรอีก คล้ายพวกมันหลงเข้าไปในเขาวงกตหรือไม่ก็หลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีแต่ความเย็นระรื่น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับอากาศอันร้อนผะผ่าวในโลกภายนอก

    ใบบัวกลมเขียวที่แผ่ปริ่มผิวน้ำบ้าง ชูขึ้นเหนือน้ำบ้าง ระกราบเรืออยู่เป็นระยะเกิดเป็นเสียงดังแสกๆ กลีบดอกสีชมพูและชมพูแซมขาวที่นุ่มละมุนราวกับหยกเนื้อดีอยู่ใกล้แค่เอื้อมจนสามารถสูดได้กลิ่นหอมจรุงใจ

    หนิงเชวียยังคงนอนตาหรี่ปรืออยู่ในท่าเดิม มองใบบัวระผ่านตัวไปราวกับมีพัดกลมอันใหญ่ลูบไล้อยู่ตามร่างกาย มือที่ถือพัดใบลานของมันโบกไปมาเบาๆ ทางหนึ่งชื่นชมความงามของทิวทัศน์รอบด้าน อีกทางหนึ่งเริ่มเพาะเลี้ยงลมปราณตามวิธีที่เรียนรู้เมื่อตอนถูกกักตัวอยู่ในถ้ำ

    ลมปราณสุดไพศาลที่ผนึกตัวกลายเป็นหยดของเหลวในตัวมันบัดนี้ยิ่งเพิ่มความกลมเกลี้ยงอิ่มเต็ม คล้ายหยดน้ำที่กลิ้งไปมาอยู่บนใบบัว สามารถตกสู่ผิวน้ำได้ทุกเมื่อ

    หลังเรือน้อยลอยลึกเข้าไปในนาบัว คฤหาสน์ริมทะเลสาบและเขาเยี่ยนหมิงทางทิศใต้ก็ถูกใบบัวบดบังไว้จนมิด ซังซังวางไม้พาย เดินกลับไปนั่งข้างหนิงเชวียก่อนยื่นมือออกนอกกราบเรือหักฝักบัวมาฝักหนึ่ง

    มือน้อยออกแรงบีบฝักบัวใหม่สดแงะเอาเมล็ดบัวสีเขียวอ่อนออกมา จากนั้นค่อยบรรจงลอกเปลือกแกะดีบัวออก แล้วยื่นส่วนที่เป็นเนื้อไปถึงปากของหนิงเชวีย

    หนิงเชวียอ้าปากรับ เคี้ยวหยับๆ ไปได้ครู่หนึ่งก็ถามขึ้น

    “ดีบัวอ่อนรสชาติไม่ขม ไยต้องลำบากแกะออก”

    ซังซังป้อนให้มันอีกหลายเมล็ดโดยที่ยังคงแกะดีบัวออก

    “ได้ยินว่าดีบัวใช้เข้ายาได้ พวกเราสามารถเอาไปขาย”

    นางตอบเบาๆ

    หนิงเชวียนิ่งงันไปเป็นครู่ค่อยทอดถอนใจออกมา

    “ตอนนี้พวกเราก็เรียกได้ว่าเป็นคหบดีแล้ว ไยต้องตระหนี่ถี่เหนียวอีก หากต้องการเงินมิสู้ให้ข้าไปเขียนภาพอักษรลายพู่กันสักหลายภาพจะดีกว่า”

    ซังซังฟังแล้วรู้สึกว่าคำพูดของมันมีเหตุผล นางมองดีบัวที่วางไว้บนหัวเข่าอย่างเสียดายก่อนตัดใจปัดทิ้งแล้วล้างมือในทะเลสาบ เดินกลับไปที่ท้ายเรือ

    “นั่นเจ้าจะไปไหน”

    หนิงเชวียเห็นนางขะมักเขม้นพายเรือก็ถามอย่างนึกฉงน

    ซังซังตอบ

    “กลับบ้านไปให้ท่านเขียนภาพน่ะสิ ตอนซื้อบ้านกับที่ดินพวกเราใช้เงินไปหมดแล้ว แม้ในวังจะส่งของกำนัลมาไม่น้อย แต่เมื่อคืนลองคำนวณดูพวกเรายังติดฉีซื่อเหยียอีกหลายพันตำลึง”

    หนิงเชวียพูดอย่างอ่อนใจ

    “ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ได้หรือไม่”

    ซังซังยิ้มละไม

    “ข้าล้อท่านเล่นหรอก รีบบอกมา ต้องการไปที่ใดอีก”

    หนิงเชวียตอบ

    “แค่พายไปเรื่อยๆ ก็พอ”

    ระหว่างที่ซังซังพายเรือไปเรื่อยๆ ตามคำบอกของมัน หนิงเชวียก็แก้ห่อผ้าที่วางอยู่ข้างตัว หยิบขวดเหล็กเล็กๆ ออกมา มันลูบผิวของขวดเหล็กพลางคิดในใจ ความสามารถของมันในด้านนี้เทียบกับศิษย์พี่หกไม่ได้แม้สักกระผีกริ้น จากนั้นค่อยโยนขวดเหล็กลงในทะเลสาบไป

    หลายวันมานี้ศิษย์พี่หกทำขวดเหล็กได้สามสิบกว่าใบแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เลิกทำ มีเวลาเมื่อใดเป็นต้องจัดส่งมาให้อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย

    หลังผ่านการทดลองไปหลายครั้ง ในที่สุดก็รู้ว่าควรใส่เศษเหล็กไว้ในขวดเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดขวดเหล็กจึงจะมีอานุภาพมากขึ้น และเมื่อถูกโยนลงในทะเลสาบก็จะไม่ลอยขึ้นมาอีก

    ปัญหาที่ทำความยุ่งยากให้กับหนิงเชวียกลับเป็นยันต์อัคคี แม้มันจะมีพลังจิตมากกว่าผู้ฝึกฌานทั่วไป แต่การทำกระดาษยันต์ให้อัดแน่นไปด้วยเจตนารมณ์เป็นจำนวนถึงสามสิบกว่าแผ่นติดต่อกันยังคงทำให้มันรู้สึกกินแรงอยู่บ้าง

    ทุกช่วงระยะทางหนึ่งที่เรือแล่นหนิงเชวียจะโยนขวดเหล็กลงน้ำไปขวดหนึ่งโดยไม่สนใจว่าจะสร้างความแตกตื่นตกใจให้แก่ฝูงปลาในบริเวณนั้นหรือไม่

    และเป็นเพราะเรือน้อยล่องลอยไปอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง การโยนขวดเหล็กลงน้ำของหนิงเชวียจึงดูเหมือนเป็นไปอย่างสะเปะสะปะตามใจชอบด้วย ทว่าไม่มีใครรู้ว่าหนิงเชวียกลับจดจำตำแหน่งที่โยนลงไปได้อย่างแม่นยำ

    เสียงพายจ้วงน้ำสลับกับเสียงขวดเหล็กตกน้ำดังตุ๋มๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเกิดเป็นเสียงอันไพเราะเสนาะหู คล้ายมีกบน้อยจำนวนมากมายหลายตัวกระโดดจากเรือลงน้ำไปเป็นระยะๆ

    กว่าเรือน้อยจะลอยพ้นนาบัว ขวดเหล็กที่เตรียมมาก็จมอยู่ก้นทะเลสาบหมดแล้ว ท้องฟ้ายามนี้ถูกพยับเมฆปกคลุมไปทั่ว

    หนิงเชวียยืนเท้าสะเอวอยู่ที่หัวเรือ มองไปยังเขาเยี่ยนหมิงที่ใกล้เข้ามาทุกทีพลางหรี่ตาลง ปล่อยให้ลมเย็นสดชื่นพัดใส่ใบหน้า ท่าทางสบายอกสบายใจยิ่ง

    พอเรือเข้าเทียบฝั่งทางทิศใต้พวกมันก็ลงเดินเข้าป่า แหวกหญ้าค้นหาเส้นทางไปตลอดจนขึ้นถึงยอดเขาในที่สุด แม้ยอดเขานี้จะไม่สูง แต่ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบได้ทั้งหมด

    หนิงเชวียมองบ้านซึ่งอยู่บนริมฝั่งทางทิศเหนือ มองลายเส้นที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ตามชายคา กำแพงและพุ่มไม้แล้วเทียบในใจกับแผ่นภาพค่ายกลที่ศิษย์พี่เจ็ดวาดให้ จนมั่นใจว่าไม่มีที่ใดผิดพลาดก็ค่อยกล่าวว่า

    “หากเฮ่าเทียนประทานเวลาให้มากพอจนข้าสามารถต่อเชื่อมทะเลสาบและภูเขานี้เข้ากับค่ายกลสยบเทวะได้สำเร็จ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถฆ่าทุกคนที่ต้องการฆ่าได้”

    ดูเหมือนเฮ่าเทียนก็มิอาจทนความอวดโอ่โอหังของมันได้ เมฆฝนที่ลอยทะมึนอยู่เบื้องบนพลันบังเกิดอสนีบาตแลบแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงในทันที

    ฝนตกลงมาโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านฝนหนาหนักปกคลุมฉางอันไปทั้งเมือง ทะเลสาบกับภูเขาเยี่ยนหมิงก็เงียบงันอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยเช่นกัน

    วินาทีที่อสนีบาตฟาดเปรี้ยง ซังซังก็กางร่มดำดังพรึบ หนิงเชวียเหลือบตามองร่มที่กางอยู่เหนือศีรษะ

    “กางร่มตอนมีฟ้าร้องฟ้าแลบระวังจะถูกฟ้าผ่าตายเอาได้”

    ซังซังเถียง

    “ตอนเป็นเด็กท่านก็พูดอย่างนี้ แต่พวกเราไม่เห็นจะถูกฟ้าผ่าตายสักที”

    หนิงเชวียถอนใจ

    “ช่างเป็นโลกที่แปลกประหลาดจริงๆ เช่นนั้นพวกเรามาหลับตารับรู้ถึงความประหลาดมหัศจรรย์นี้กันเถอะ”

    ฝนกระหน่ำลงมาดั่งฟ้ารั่ว ฟ้าแลบสลับกับฟ้าผ่า ซังซังหันไปมองทะเลสาบที่บัดนี้ผิวน้ำมีแต่รอยสั่นกระเพื่อมแล้วหลับตากำด้ามร่มไว้แน่น

    มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดหนิงเชวียค่อยถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “รับรู้อะไรได้บ้าง”

    ซังซังลืมตา ประกายในดวงตาสุกสว่างยิ่งกว่าสายฟ้าในพยับเมฆ

    “ข้าสัมผัสรับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 3

    บทที่ 8 จั๋วโม่สะท้านเทพ   เหยียนเชียนซุ่ยย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทว่าก้าวนี้ทำเอาซือคงฉางเฟิงกับไป๋ตงจวินถอยหลังไปส...

    Facebook