• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 17 ตอนที่ 3

    บทที่ 3 ฝึกเหยี่ยว

     

    แม้ซังซังจะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ แต่ก็หาใช่สาวใช้ธรรมดาทั่วไปไม่ ความจำของนางดีเลิศจนน่าตกใจ นับตั้งแต่เริ่มนับเลขเป็นนางก็สามารถจดจำตัวเลขที่เคยผ่านตาไว้ได้ทั้งหมด เรื่องนี้พวกทหารและชาวบ้านในเมืองเว่ยสามารถเป็นพยานได้

    นอกจากนี้นางยังมีสติปัญญาฉลาดปราดเปรื่องจนเฉินผีผีที่ถูกคนในนิกายเฮ่าเทียนและสถานศึกษาเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะก็ยังต้องยอมแพ้เดินคอตกออกจากร้านเหล่าปี่ไจมาแล้ว

    สาเหตุที่ซังซังทึ่มทื่อจนแลดูเหมือนคนโง่งมอยู่บ้างมิใช่เพราะสมองของนางไม่ดี หากใช้คำพูดของหนิงเชวียมาอธิบายก็ต้องบอกว่านางแค่ขี้เกียจใช้สมองเท่านั้น

    หนิงเชวียรู้ดีกว่าใครในโลกนี้ถึงความพิเศษในตัวซังซัง ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือความสามารถที่ไม่เหมือนใครของนาง เพียงแต่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้มันไม่ยอมแม้แต่น้อยที่จะขบคิดหรือทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งในสิ่งที่นางเป็น

    มันเลือกที่จะทำแบบนี้เพราะมันไม่รู้ว่าเหตุไฉนทารกหญิงที่มันเก็บมาจากกองซากศพข้างทางในเขตเหอเป่ยจึงเหมือนจะซุกซ่อนความลึกลับไว้มากมาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ

    ต่อมาเมื่อต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างหลบหนีจากซีหลิงมาฉางอันแล้วรับซังซังไว้เป็นศิษย์จนนางได้กลายเป็นว่าที่ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างคนต่อไปของอาศรมเทพ หนิงเชวียจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้นี่คือโชคชะตาที่ประทับติดตัวซังซังมาตั้งแต่เกิด

    เมื่อความลับของฟ้าถูกเปิดเผยอยู่ตรงหน้า มันหวาดกลัวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ครึ่งปีที่ผ่านมามันจึงเลิกหลบหนีความจริง เริ่มทำใจยอมรับ บ่มเพาะฝึกฝนซังซัง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือขุดค้นพลังและศักยภาพในด้านการฝึกฌานให้กับนาง

    สองปีก่อน ระหว่างการเดินทางจากเมืองเว่ยมายังฉางอัน ผู้เฒ่าหลี่ว์ชิงเฉินเคยบอกกับหนิงเชวียว่าตอนผู้ฝึกฌานเข้าสู่สภาวะตื่นรู้ ขอบเขตของพลังปฐมแห่งฟ้าดินที่สัมผัสรับรู้ได้จะบ่งบอกถึงศักยภาพในการเรียนรู้ของคนผู้นั้น ทั้งยังสามารถทำนายได้อีกด้วยว่าคนผู้นั้นจะเดินไปบนเส้นทางของการฝึกฌานได้ยาวไกลเพียงไร

    ผู้ฝึกฌานบางคนสามารถรับรู้ได้ถึงหนองบึง บางคนรับรู้ได้ถึงทะเลสาบ ส่วนยอดคนอันดับหนึ่งของแผ่นดินอย่างเทพกระบี่หลิ่วไป๋ตอนเข้าสู่สภาวะตื่นรู้สามารถรับรู้ได้ถึงแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง

    หนิงเชวียนั้นรับรู้ได้ถึงมหาสมุทรอันอบอุ่น เพียงแต่นอกจากผู้เฒ่าหลี่ว์ชิงเฉินแล้วมันมิได้บอกเล่าให้ผู้ใดฟังอีก เพราะแม้แต่ตัวมันก็ไม่เชื่อว่าศักยภาพในการฝึกฌานของตัวเองจะเหนือล้ำไปกว่าเทพกระบี่หลิ่วไป๋ และเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอครั้งแล้วครั้งเล่าในเส้นทางของการฝึกฌานก็พิสูจน์ว่าการสัมผัสรับรู้ของมันดูเหมือนจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง

    วันนี้ทะเลสาบเยี่ยนหมิงฝนตกฟ้าร้องอย่างหนัก ซังซังยืนกางร่มอยู่บนยอดเขา บอกว่าตัวเองสามารถสัมผัสรับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คำพูดของนางมิได้หมายความว่านางเหนือล้ำไปกว่าหลิ่วไป๋ นางแค่ต้องการจะบอกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งที่มีเพียงมันกับนางเท่านั้นที่จะเข้าใจได้

    “ท่านลองดูสิ”

    ซังซังบอกพลางส่งร่มให้ หนิงเชวียรับไปถือไว้แล้วปลดปล่อยพลังจิตออกจากห้วงแห่งความนึกคิดให้เคลื่อนผ่านฝ่ามือสู่ด้ามร่ม จากด้ามร่มสู่ผิวร่ม ก่อนกระจายออกสู่สายฝนและทะเลสาบที่อยู่ด้านล่าง

    หนิงเชวียเองก็สัมผัสรับรู้ได้มากมาย มันสัมผัสได้ถึงทะเลสาบที่ถูกสายฝนตีกระหน่ำจนท้องน้ำปั่นป่วนราวกับเป็นน้ำที่กำลังเดือดคลั่ก สัมผัสถึงใบบัวที่ถูกห่าฝนตกใส่เกิดเป็นเสียงดังราวกับเสียงย่ำกลอง สัมผัสถึงกบน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ใบบัวด้วยความหวาดกลัว สัมผัสถึงขวดเหล็กที่มีสภาพเหมือนก้อนหินจมลึกอยู่ใต้น้ำ

    หนิงเชวียเอียงร่มไปด้านหลังแล้วแหงนหน้ามองฟ้าปล่อยให้สายฝนตกใส่ใบหน้าและร่างกายจนเปียกชุ่ม

    ก้อนเมฆดำทะมึนซ้อนตัวกันเป็นชั้นๆ ทั้งพลิกตัวทั้งบีบอัดชั้นอากาศด้านบนให้สายฝนเทลงมาดุจดั่งฟ้ารั่ว ทันใดนั้นเหนือเมืองฉางอันทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เกิดสายฟ้าขนาดมหึมาพาดผ่านท้องนภา ฉีกเมฆฝนที่กำลังปั่นป่วนไม่อยู่นิ่งให้ขาดกระจุย

    ครืน…ครืน! เสียงฟ้าคำรณคำรามตามมาติดๆ

    มิทราบว่าเป็นเพราะอานุภาพของอสนีบาตหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น น้ำในทะเลสาบเยี่ยนหมิงพลันกระฉอกฉานซ่านกระเซ็น ก้านบัวจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนส่ายไหวอย่างรุนแรงก่อนหักขาดกะรุ่งกะริ่ง

    หนิงเชวียมองภาพนั้นแล้วพูดสั้นๆ

    “ใช้ได้แล้ว”

    ซังซังเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า ไม่ได้พูดว่ากระไร

    หลังอสนีบาตที่น่าสะพรึงกลัวเส้นนั้นปรากฏขึ้น ฟ้าเบื้องบนก็ดูเหมือนจะเริ่มพิโรธอย่างจริงจัง สายฟ้าทยอยแลบแปลบปลาบจนสว่างจ้าแสบตา ผิดกับเมืองฉางอันที่อยู่ข้างใต้ซึ่งถูกเมฆฝนกดต่ำจนดำมืดไปทั้งแถบ เสียงฟ้าลั่นอย่างกราดเกรี้ยวไม่มีวี่แววว่าจะยุติ คล้ายไม่ต้องการให้ชาวเมืองฉางอันได้พักหายใจ

    ท่ามกลางเสียงเปรี้ยงปร้างอย่างบ้าคลั่งของอสนี หนิงเชวียไล่สายตาจากคฤหาสน์ของมันไปยังทะเลสาบจนมาถึงบริเวณที่พวกมันกำลังยืนอยู่

    มันชี้ลงไปที่ตัวบ้านก่อนตะเบ็งเสียงกล่าวกับซังซังว่า

    “เริ่มจากกลางบ้าน”

    จากนั้นก็เลื่อนนิ้วไปที่ทะเลสาบซึ่งกำลังปั่นป่วนเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่

    “ไปที่ทะเลสาบ”

    จากนั้นค่อยหันมามองซังซังแล้วชี้ไปที่ฝ่าเท้าของตัวเอง

    “แล้วมาจบลงที่นี่”

    ซังซังรับร่มมาจากหนิงเชวีย กล่าวเตือนว่า

    “จะปล่อยให้มันขึ้นเขามาไม่ได้”

    หนิงเชวียพยักหน้า

    “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ หากไม่มีปัญญาฆ่ามันให้ตายในทะเลสาบข้าก็จะลงไป จะไม่ปล่อยให้มันขึ้นมาที่นี่ได้อย่างแน่นอน”

    ซังซังถาม

    “หากท่านลงเขาไป แล้วข้าล่ะ”

    หนิงเชวียตอบ

    “เจ้าก็อยู่บนเขาคอยมองข้า”

    ซังซังเงียบไปก่อนพูดว่า

    “ข้าสามารถช่วยท่านได้”

    “เจ้าช่วยข้าได้แน่ แต่นั่นต้องก่อนที่ข้าจะลงไป ข้าเชื่อว่าวันนั้นจะต้องมีคนมาเฝ้าดูอยู่มากมาย อย่างเช่นศิษย์พี่รอง ดังนั้นพอข้าลงไปแล้วเจ้าก็ยังจะปลอดภัย”

    พูดจบหนิงเชวียก็จูงมือซังซังลงจากเขา

    สายฝนกลางฤดูมาเยือนอย่างกะทันหัน แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ เมื่อหนิงเชวียกับซังซังเดินไปถึงทะเลสาบ ฝนก็หยุดตกแล้ว

    หนิงเชวียใช้มือเดียวเอียงเรือเทน้ำฝนทิ้ง เรือน้อยกลับไปลอยเอื่อยอยู่ในทะเลสาบที่ตอนนี้หวนกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

    หลังฝนตกอากาศสะอาดสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง ความร้อนระอุของฤดูคิมหันต์อันตรธานหายไปจนหมด ในสายลมยังมีกลิ่นของดอกบัวลอยตามมาจางๆ

    เรือน้อยลอยลำเข้าไปในนาบัว ที่นั่นเต็มไปด้วยดอกและก้านใบที่หักกระจุยกระจาย ส่วนน้ำก็ขุ่นคลั่กเต็มไปด้วยโคลนตม ดูแล้วน่าสลดหดหู่ยิ่ง

    แม้อสนีบาตจะมีอานุภาพรุนแรงมากก็จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดความเสียหายถึงเพียงนี้

    หนิงเชวียมองสะเก็ดเหล็กชิ้นเล็กๆ ที่ติดอยู่ตามเศษใบบัวซึ่งลอยอยู่บนผิวน้ำ ใบหน้าเผยรอยยิ้มลึกลับก่อนเอ่ยคำในโคลงบทหนึ่งออกมา

    “มองเศษซากใบบัว…สดับเสียงฟ้าคำรณ* ”

     

    เมืองถู่หยางตั้งอยู่ตรงชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้าถัง ติดเขาหมินซาน ใกล้กับทุ่งร้าง แม้จะอยู่ในฤดูคิมหันต์อากาศก็ยังเย็นสบาย หลังฤดูกาลเปลี่ยนผ่านฝนตกชุกขึ้น แต่น้อยครั้งนักที่จะมีเสียงอสนีบาตดังเปรี้ยงปร้าง

    แม้น้ำฝนจะมาก แต่ก็มิได้หมายความว่าคนที่นี่จะใช้น้ำอย่างสุรุ่ยสุร่ายถึงขั้นขุดสระเลี้ยงบัวเหมือนคนในแดนใต้ ในเมืองถู่หยางนอกจากจวนแม่ทัพก็ไม่มีที่อื่นอีกที่มีสระบัว จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นคนในเมืองนี้ทอดถอนใจให้กับซากเศษบัวดั่งเช่นปราชญ์กวีทั้งหลาย

    ทว่ายามชาวเมืองถู่หยางเห็นสภาพของกองกำลังทหารม้าแคว้นต้าถังที่อยู่ในลานทุ่งนอกเมือง พวกมันไม่เพียงสูดลมหายใจเข้าอย่างแตกตื่น ยังทอดถอนใจออกมาเสียงดังกว่าปราชญ์กวีเหล่านั้นเสียอีก

    นี่เป็นเพราะในความทรงจำของชาวถัง กองทัพต้าถังโดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังชายแดนประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวบัญชาการ ที่ผ่านมามีแต่ได้รับชัยชนะในสนามรบ ไม่เคยมีสารรูปเหมือนทหารพ่ายศึกอย่างเช่นในวันนี้

    อันที่จริงกองกำลังทหารม้าต้าถังกลุ่มนี้มิได้พ่ายศึกเหมือนที่ชาวเมืองถู่หยางเข้าใจ เพียงแต่พวกมันต้องเดินทางไกลเป็นพันลี้ ม้าศึกจึงหมดแรง ผู้คนอ่อนล้า ชุดเกราะไม่เพียงขมุกขมัวเต็มไปด้วยฝุ่น ที่สำคัญคือสีหน้าแต่ละคนยังล้วนชาด้าน ปราศจากความตื่นเต้นยินดี คล้ายเป็นทหารที่รบแพ้มา

    ต้นเหตุที่ทำให้เหล่าทหารหาญของต้าถังต้องตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้ก็คือบุรุษชาวฮวงที่ยืนอยู่ตรงชายป่าห่างออกไปไม่ไกล ชุดหนังสัตว์ที่มันสวมใส่ยามนี้ขาดวิ่นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นดินและคราบโลหิตเกรอะกรัง ท่าทางของมันดูเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน คล้ายสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้มันก็ยังตามกองทัพต้าถังมาตั้งแต่อยู่ในทุ่งร้างโดยที่ไม่ล้มลงแม้แต่ครั้งเดียว

    ทหารต้าถังมองบุรุษผู้นี้ด้วยสีหน้าชาด้าน แต่แววตากลับฉาบทาไว้ด้วยประกายเลื่อมใส ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาบุรุษผู้นี้ตามหลังพวกมันมาไม่ห่าง พยายามจู่โจมสังหารแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวถึงเจ็ดครั้ง และแม้จะประสบความล้มเหลวทั้งเจ็ดครั้งก็ยังดึงดันไม่ยอมเลิกรา

    มิใช่ว่ากองทัพต้าถังไม่คิดจะฆ่ามัน แต่อีกฝ่ายใช้ความสามารถและความทรหดอดทนเป็นเลิศมาพิสูจน์ว่ามันยังไม่เป็นที่ต้องการของพญามัจจุราช กอปรกับกองทัพต้าถังเองก็ไม่คิดจะจ่ายค่าตอบแทนถึงขั้นยอมพังพินาศไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

    การลอบสังหารกับการปะทะซึ่งๆ หน้า การจู่โจมกับการล้อมจับ เกิดขึ้นไม่หยุดระหว่างการเดินทางอันยาวนาน จากนั้นก็ยุติลงอย่างเงียบเชียบ บุรุษชาวฮวงไม่สามารถสังหารแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว ซย่าโหวกับทหารม้าทั้งกองก็ไม่มีปัญญาฆ่าบุรุษชาวฮวง ประสบการณ์ครั้งนี้ถึงกับทำให้ทหารม้าต้าถังซึ่งจิตใจเปี่ยมไปด้วยความทระนงถือดีต้องคอตกรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับผลงานของตัวเอง

    เสียงเกือกม้าดังขึ้นจากด้านหลัง ทหารที่คอยเฝ้าคุมเชิงพากันขยับม้าเปิดทางออกเป็นช่องให้ซย่าโหวกระตุ้นม้าออกมาจนถึงแถวหน้าสุด มองถังที่ยืนอยู่บนทุ่งหญ้า

    ช่วงเวลาที่ผ่านมาทหารม้าต้าถังพยายามทุกวิถีทางที่จะสังหารยอดคนพรรคมารผู้นี้ หลายครั้งเกือบทำได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวทุกคราวไป ถังเองก็มีอยู่หลายครั้งที่สามารถเข้าใกล้ตัวซย่าโหว บีบคั้นจนซย่าโหวต้องประมือด้วย ทว่าซย่าโหวมิได้ตัวคนเดียว มันมีทหารม้าจำนวนมากมายคอยช่วยกลุ้มรุม ดังนั้นหลังจากปะทะกันไปหลายครั้งถังก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้รับบาดเจ็บสาหัส ปราศจากท่วงท่าของยอดคนพรรคมารอีก มีสภาพเหมือนกระยาจกที่น่าสมเพช

    ส่วนซย่าโหวก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ภายใต้การจู่โจมอันหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าของดาบยักษ์สีโลหิต ชุดเกราะบนร่างมันที่สร้างขึ้นโดยสถานศึกษาในที่สุดก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ยากที่จะซ่อมแซมได้อีก

    “ด้านหลังข้าคือเมืองถู่หยาง เจ้าหมดโอกาสแล้ว”

    ใบหน้าของซย่าโหวราบเรียบขณะกล่าว

    ถังหัวเราะในลำคอ

    “หึๆ เจ้าชราแล้วจริงๆ”

    ซย่าโหวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “อย่างที่ข้าเคยพูดเอาไว้ คำกล่าวที่ว่าแก่ชราแล้วร่างกายต้องเสื่อมถอยใช้ไม่ได้กับคนอย่างเจ้าและข้า”

    ถังส่ายหน้า

    “ปัญหาอยู่ที่จิตใจของเจ้าต่างหาก นับตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัดสินใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ เจ้าก็ชราลงอย่างแท้จริง เมื่อจิตใจปราศจากการดิ้นรน ร่างกายก็ย่อมต้องอ่อนแอลง หากเมืองถู่หยางยังอยู่ห่างออกไปอีกสักร้อยลี้ เจ้าจะต้องตายในเงื้อมมือข้าแน่นอน”

    ซย่าโหวรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด

    “แต่ตอนนี้ข้าอยู่หน้าประตูเมือง รอบกายรายล้อมไปด้วยทหารม้าชุดเกราะที่จงรักภักดี ส่วนเจ้ายืนอยู่ตัวคนเดียว คนที่จะตายจึงต้องเป็นเจ้า”

    ถังยิ้มเย็น

    “สมัยนั้นหากเจ้าเข้าใจว่าการต่อสู้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องของคนคนเดียว บางทีเจ้าอาจจะไม่ทำผิดพลาดมากมาย ไม่แก่ชราก่อนอายุขัยดั่งเช่นในตอนนี้”

    ต้นหญ้ากลางฤดูเริ่มยาว บนนภามีเหยี่ยวกำลังถลาร่อนลม บาดแผลมากมายบนตัวถังยังมีโลหิตหยาดหยด เมื่อตกลงสู่พื้นหญ้าก็ลุกไหม้เป็นเปลวไฟขึ้นมา

    ซย่าโหวยกกำปั้นขึ้นปิดปากไอ โลหิตไหลซึมผ่านง่ามนิ้ว สภาพของมันในตอนนี้เหมือนเหยี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่ง ผู้คนเรียกเหยี่ยวว่าเหล่าอิง เพียงแต่คำว่าอิงพอเติมคำว่าเหล่าก็ยังเป็นเหยี่ยว แต่คำว่าเหรินเติมคำว่าเหล่ากลับหมายถึงคนชรา*

    เมื่อพันปีก่อนบนแผ่นดินใหญ่ชาวฮวงคือเจ้าของทุ่งหญ้าทางเหนือ ดังนั้นทุ่งหญ้าแถบนี้จึงยังถูกเรียกว่าทุ่งร้าง** มาจนถึงทุกวันนี้ เหนือทุ่งหญ้ามีเหยี่ยว ชาวฮวงจึงมีความชำนาญในการเลี้ยงเหยี่ยว แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่แคว้นต้าถัง ถูกบีบให้ต้องอพยพไปยังดินแดนหนาวเย็นทางเหนือสุด ชาวฮวงก็ยังไม่ละทิ้งความชำนาญนี้ ซย่าโหวเป็นชาวฮวง ถังก็เป็นชาวฮวง ดังนั้นพวกมันจึงคุ้นเคยกับการเลี้ยงเหยี่ยวเป็นอย่างดี

    จู่ๆ ซย่าโหวก็นึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก มันเคยทรมานลูกเหยี่ยวตัวหนึ่งไม่ให้หลับนอน*** ภาพของถังในตอนนี้เหมือนกับลูกเหยี่ยวตัวนั้นไม่มีผิดเพี้ยน แม้จะเกาะคอนไว้แทบไม่อยู่ โอนไปเอนมาทำท่าจะล้ม แต่ก็ยังดื้อรั้นไม่ยอมก้มหัวให้

    ตลอดการเดินทางที่ยาวเป็นพันลี้จากทุ่งร้างมาถึงที่นี่ซย่าโหวเชื่อว่าตัวเองกำลังเคี่ยวกรำถังให้มีสภาพเหมือนลูกเหยี่ยว มันพยายามใช้ประโยชน์จากโทสะและความเคียดแค้นทำให้อีกฝ่ายไม่หลับไม่นอน สิ้นเปลืองใจกายไปกับการต่อสู้ที่ไม่มีวี่แววจะชนะวันแล้ววันเล่า

    ทุกครั้งที่ประมือกันซย่าโหวคิดว่าตัวเองใกล้จะทำสำเร็จแล้ว เพราะมันเห็นกับตาว่าลมปราณในตัวถังแห้งเหือดลง จิตวิญญาณเปลี่ยนเป็นอ่อนล้า สังขารที่แข็งแกร่งดุจเหล็กไหลค่อยๆ ได้รับบาดเจ็บจนเริ่มหลั่งโลหิต มันคิดว่าต้องมีสักวันที่โลหิตของถังจะเหือดแห้งหมดตัวจนต้องล้มลง

    ทว่ามันคิดไม่ถึง ถังมิได้ล้มลง ตรงกันข้ามกลับเป็นมันที่รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแออย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หรือแท้ที่จริงเป็นมันต่างหากที่กำลังถูกเคี่ยวกรำเหมือนอย่างลูกเหยี่ยวตัวนั้น?

    ซย่าโหวไอไม่หยุด เลือดจากมุมปากไหลซึมจากหว่างนิ้วถึงข้อมือ แต่สีหน้ามันยังคงสงบนิ่ง แววตาในเบ้าลึกดูเย็นยะเยียบราวกับน้ำแข็ง

    ความแก่ชรามิใช่เรื่องน่ากลัว เพราะไม่ว่าจะอยู่ในทุ่งหญ้าหรือบนหน้าผาริมทะเลเร่อไห่ เหยี่ยวก็ยังเป็นเหยี่ยวอยู่วันยังค่ำ

    มันลดมือลง ล้วงผ้ามาเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กล่าวกับถังว่า

    “ความทรหดอดทนของเจ้าแม้จะทำให้ข้าต้องประหลาดใจ แต่ก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็มิใช่อาจารย์ของเจ้า ก่อนที่จะข้ามธรณีประตูบานนั้นออกไปได้สำเร็จเจ้าไม่มีทางคุกคามข้าได้หรอก”

    ถังก้มหน้ามองหญ้าที่ไหม้เกรียมเพราะโลหิตของตัวเอง การเข้าปะทะหักหาญหลายครั้งหลายหนติดๆ กันทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส ทหารม้าต้าถังที่ปกติในสายตามันไม่นับเป็นตัวอะไรกลับอาศัยวินัยทหารที่เข้มงวดและทักษะการสู้รบที่ยอดเยี่ยมมาสร้างปัญหาให้มันอย่างไม่จบไม่สิ้น จนพลังในกายมันค่อยๆ แห้งเหือด สังขารที่แข็งแกร่งจนเหมือนจะไม่มีวันล้มลงเริ่มหลั่งโลหิตใต้คมดาบและคมธนูในที่สุด

    พรรคมารล่มสลายไปแล้ว มันซึ่งมีฐานะเป็นศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของพรรคตกอยู่ในสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ มิต้องพูดถึงการรับมือกับอาศรมเทพแห่งซีหลิงที่มีเหล่านักพรตผู้ฝึกฌานจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่จะฆ่าซย่าโหวศิษย์ทรยศเพียงคนเดียวมันก็ยังดูโดดเดี่ยวไร้พละกำลังถึงเพียงนี้

    แต่พรรคมารในตอนนี้คือมัน ส่วนมันก็คือจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจสุดท้ายของพรรคมาร ดังนั้นมันจึงล้มไม่ได้ ถึงแม้สังขารจะบอบช้ำเพียงไร มองไม่เห็นความหวังถึงเพียงไหน มันก็ยังพยายามสู้กับคนเหล่านี้จนมาถึงที่นี่ ที่หน้าประตูเมืองถู่หยาง

    ถังเงยหน้ามองซย่าโหวซึ่งอยู่ท่ามกลางการอารักขาอย่างหนาแน่น กล่าวเย้ยว่า

    “สังขารเจ้าเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่อันที่จริงกลับมีสภาพเหมือนขอนไม้ผุท่อนหนึ่ง ลองถามจิตใจที่อ่อนปวกเปียกเหมือนโคลนเลนของตัวเองดู หากข้าคุกคามเจ้าไม่ได้แล้วเหตุไฉนตอนนี้เจ้าถึงต้องมาเสียเวลาพูดคุยกับข้าในเรื่องพวกนี้เล่า”

    ซย่าโหวไม่สนใจวาจายั่วโทสะของอีกฝ่าย กล่าวเสียงเรียบ

    “เจ้าไม่สามารถตามข้าไปถึงเมืองฉางอันเพราะจงหยวนคือดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน เฮ่าเทียนไม่มีทางปล่อยเจ้า แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”

    ในฐานะที่เป็นเศษเดนพรรคมารที่เข้มแข็งที่สุด ถังยังสามารถยืนคุมเชิงเยี่ยซูอยู่บนหน้าผาคนละด้านได้ตราบเท่าที่มันยังอยู่ในทุ่งร้าง แต่มันรู้ดี ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปในแผ่นดินจงหยวน มันจะต้องถูกยอดผู้ฝึกฌานของอาศรมเทพแห่งซีหลิงรุมไล่ล่าสังหารอย่างไม่ยอมเลิกราแน่นอน สุดท้ายคงมีแต่ต้องตายสถานเดียว

    “ถูกต้อง ข้าไม่สามารถเข้าไปในจงหยวน”

    ถังมองเมืองถู่หยางซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วกล่าวต่อ

    “กระทั่งเมืองนี้ข้าก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่ข้าทำร้ายเจ้าแล้ว ข้าทำให้เจ้าอ่อนแอและตื่นกลัว ดังนั้นข้ารู้ว่าวันตายของเจ้ากำลังใกล้เข้ามา”

    ซย่าโหวส่ายหน้า

    “ไยต้องพิรี้พิไรกล่าววาจาเหลวไหลไร้ความหมายเช่นนี้”

    “เรื่องที่ไม่มีความหมายข้าจะไม่ทำ วาจาเหลวไหลข้าจะไม่พูด ในโลกนี้มิได้มีเพียงข้าคนเดียวที่ต้องการเด็ดศีรษะเจ้า หลังกลับไปต้าถังวิญญาณอาฆาตในหม้อต้มและวิญญาณของคนที่ตายไปโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจะต้องเกาะติดเจ้าเพื่อทวงถามชีวิต พวกมันจะต้องซาบซึ้งข้าที่ไล่ล่าสังหารเจ้ามาตลอดทาง ส่วนข้าก็ย่อมต้องซาบซึ้งที่พวกมันจะตามราวีเจ้าจนตกตายไปในที่สุดเช่นกัน”

    ถังพยักหน้าให้ซย่าโหวก่อนกล่าวทิ้งท้าย

    “ขออวยพรให้เจ้ากลับไปใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข แล้วตายอย่างกึกก้องเกรียงไกรเถอะ”

    พูดจบมันก็ดีดตัวพุ่งสูงจากทุ่งหญ้า หายลับเข้าไปในป่าเขา

    ซย่าโหวมองทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่าไร้เงาผู้คน มองป่าเขาที่ถูกสายลมลูบไล้ จากนั้นค่อยกระตุกเชือกบังเหียนควบขับอาชากลับเข้าเมืองถู่หยาง

    ลมพัดใบไม้ในป่าให้ไหวพลิ้ว พัดธงที่ปักเป็นทิวแถวบนกำแพงเมืองถู่หยางให้สะบัดดังพึ่บพั่บ และยังพัดผมขาวที่โผล่พ้นขอบหมวกของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถังให้ปลิวไสว

    นับแต่โบราณกาลมาแม่ทัพเลื่องชื่อกับโฉมสะคราญมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เหมือนกันคือจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้เห็นผมขาวของตัวเอง ทว่าผมของซย่าโหวในตอนนี้เริ่มขาวประปรายแล้ว

     

    บ้านที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ริมทะเลสาบได้ต้อนรับองค์หญิงหลี่อวี๋กับลูกเลี้ยงของนางและซือถูอีหลันเป็นอาคันตุกะกลุ่มแรก

    หนิงเชวียยินดีกับการมาเยือนของซือถูอีหลัน ส่วนอ๋องน้อยสายเลือดคนเถื่อนที่มีความเป็นมาน่าสงสารนั้นมันรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้มันรู้สึกถึงความยุ่งยากก็คือการมาเยือนขององค์หญิงสี่แห่งต้าถัง

    อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างมันกับองค์หญิงสี่นับว่าไม่เลว แต่มันรู้ดี นางจะต้องนำความยุ่งยากมาให้มันแน่ และก็จริงดังคาด ทันทีที่ห้องหนังสืออันเงียบสงบเหลือเพียงมันกับนาง ความยุ่งยากก็โผล่หน้ามาเยือนทันที

    ต้นไม้โบราณที่ปลูกไว้เป็นแนวช่วยบังแสงแดด ทั้งยังช่วยกลั่นกรองสายลมที่พัดเข้ามาให้เย็นสดชื่น จนแม้แต่เสียงจักจั่นในป่าที่น่ารำคาญก็เปลี่ยนมาเป็นความน่ารื่นรมย์ได้

    หลี่อวี๋ยืนถือถ้วยชาทอดสายตามองไปยังทะเลสาบที่ผลุบๆ โผล่ๆ ตามการส่ายไหวของแมกไม้ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

    “เสียงจักจั่นใต้เงาไม้ยิ่งเน้นถึงความเงียบสงบของป่าเขาบริเวณนี้ ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ มิน่าเล่าปีศาจขี้เหนียวอย่างเจ้าถึงได้ยอมจ่ายเงินก้อนโต”

    หนิงเชวียถอนใจเบาๆ คิดในใจ ในที่สุดเจ้าก็เอ่ยปากออกมาจริงๆ

    “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ส่งต้นไม้เหล่านี้มาให้”

    ต้นไม้โบราณในบ้านริมทะเลสาบล้วนมาจากที่ดินศักดินาของหลี่อวี๋ซึ่งอยู่บนเขา แค่ค่าขนส่งก็เป็นตัวเลขที่น่ากลัวแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือในบรรดานี้มีต้นไม้โบราณหายากอยู่หลายต้นที่แม้มีเงินก็ยังหาซื้อไม่ได้

    ฐานะของหนิงเชวียในตอนนี้สูงส่งก็จริง แต่หลี่อวี๋เป็นถึงองค์หญิงแคว้นต้าถัง การที่นางทำเช่นนี้จึงย่อมต้องหวังสิ่งตอบแทน

    “ถึงอย่างไรก็เป็นของจากป่าดง ไม่มีราคาค่างวดสักเท่าใดหรอก”

    หลี่อวี๋เดินไปที่ชั้นวางของ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะเพ่งพิศชุดกระเบื้องลายครามที่วางเรียงราย

    “ที่ล้างพู่กันอันนี้ตอนเด็กๆ ข้าเคยทูลขอจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อรับสั่งว่ามอบให้นางไปแล้ว คิดไม่ถึงวันนี้กลับได้มาเห็นในห้องหนังสือของเจ้า”

    หนิงเชวียมองที่ล้างพู่กันทำจากหินลักษณะเหมือนหยกดำอันนั้นก่อนค้อมศีรษะกล่าวว่า

    “หากถูกพระทัยก็ทรงนำกลับไปเถอะ”

    หลี่อวี๋ยิ้มเล็กน้อย

    “ของที่นางเป็นคนให้ ข้าจะแย่งชิงไปทำไม”

    คนในเมืองฉางอันที่กล้าเรียกพระอัครมเหสีว่านางมีแค่หลี่อวี๋กับน้องชายสองคน แน่นอนนี่ย่อมเป็นการเรียกในที่รโหฐานเท่านั้น

    เห็นได้ชัดว่าหลี่อวี๋ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกแท้จริงที่มีต่อพระอัครมเหสี นางเห็นหนิงเชวียนิ่งเงียบก็กล่าวต่อ

    “ได้ยินว่าหมู่นี้เจ้าเข้าวังบ่อย คงจะสนิทกับนางมากแล้วกระมัง?”

    หนิงเชวียยอมรับ

    “นับว่าสนิทสนมขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”

    หลี่อวี๋ถาม

    “เจ้าคิดว่านางเป็นคนอย่างไร”

    หนิงเชวียตอบตามความจริง

    “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”

    หลี่อวี๋เงียบไปอึดใจก่อนยิ้มเยาะตัวเอง

    “ก็จริง ข้าเป็นปฏิปักษ์กับนางมานานก็ยังดูไม่ออกว่านางคิดอะไรอยู่ สำมะหาอะไรกับเจ้า”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “ไยต้องคิดให้ยุ่งยากไป”

    หลี่อวี๋จิบชา คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นก่อนยิ้มกว้าง

    “ชาดี นี่คือชาผลต้นหม่อนของซังซังกระมัง ได้ยินนางพูดถึงหลายครั้งแล้ว”

    เห็นนางหยิบยกเรื่องสัพเพเหระมาพูดคุย หนิงเชวียก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ตระเตรียมจะบอกว่าวิธีทำชาจากผลต้นหม่อนแท้ที่จริงคือความคิดของมันเอง คิดไม่ถึงประโยคต่อมาของหลี่อวี๋กลับทำให้บรรยากาศเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิม

    “ความคิดของข้านั้นเรียบง่ายยิ่ง เจ้าก็รู้”

    หลี่อวี๋จ้องตามันขณะเอ่ยปาก

    หนิงเชวียมิได้หลบสายตานางขณะตอบ

    “กระหม่อมก็เคยบอกความคิดของกระหม่อมไปแล้ว”

    หลี่อวี๋พยักหน้า

    “ได้ยินว่าตอนนี้เจ้ากับกรมทหารมีเรื่องกันเล็กน้อย”

    “พ่ะย่ะค่ะ แต่ปัญหาสามารถคลี่คลายได้ อีกอย่างกระหม่อมไม่จำเป็นต้องสนใจพวกมัน”

    “ข้าไม่คิดว่าหลังจากเจ้าฆ่าหวงซิงกับอวี๋สุ่ยจู่ไปแล้วเจ้ากับซย่าโหวจะยังยิ้มแย้มสนทนากันได้ และยิ่งไม่เชื่อว่าแม่ทัพเฒ่าจะคิดว่าเจ้าเป็นคนดีไม่มีอันตราย

    ปัญหาเหล่านี้คลี่คลายไม่ได้หรอก เจ้าอาจไม่ต้องสนใจพวกมัน แต่หากสมองน้อยๆ ของเจ้ายังคิดจะทำอะไรต่อไป เช่นนั้นก็มิอาจไม่ระมัดระวังแล้ว”

    หนิงเชวียพยายามเฉไฉ

    “กระหม่อมไม่เข้าใจว่าองค์หญิงกำลังรับสั่งถึงเรื่องอะไร ส่วนเรื่องความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกระหม่อมกับแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว กระหม่อมเชื่อว่าจะไม่ดำรงอยู่นาน”

    “ทุกคนรู้ว่าซย่าโหวเป็นคนของพระอัครมเหสี ตอนนี้พระอัครมเหสีพยายามผูกมัดใจเจ้าย่อมต้องเป็นเพราะไม่อยากให้ความขัดแย้งระหว่างซย่าโหวกับสถานศึกษาลุกลามใหญ่โตขึ้น แต่เจ้าจะยินยอมพร้อมใจหรือ”

    หนิงเชวียนึกเถียงอยู่ในใจ ซย่าโหวไม่ใช่คนของพระอัครมเหสี แต่พระอัครมเหสีเป็นน้องสาวของซย่าโหวต่างหาก ทว่ามันจะบอกความลับนี้กับหลี่อวี๋ไม่ได้เพราะศิษย์พี่ใหญ่เคยสั่งห้ามมันเอาไว้

    หลี่อวี๋กล่าวต่อ

    “หากความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับซย่าโหวมีเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในทุ่งร้างเท่านั้น เช่นนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะยอมทำตามแนวทางที่เซียนเซิงใหญ่ได้กำหนดไว้”

    หนิงเชวียขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นนางเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับพระอัครมเหสีในเรื่องนี้

    หลี่อวี๋ลดเสียงลง

    “ในกองทัพมีเพียงแม่ทัพรุ่นเยาว์เท่านั้นที่ยอมยืนอยู่ข้างข้า ฐานกำลังของฮว่าซานเยวี่ยคือกองกำลังทหารประจำเขตกู้ซานในดินแดนเหอเป่ย ที่นั่นแผ่นดินสุขสงบ สั่งสมความดีความชอบทางการทหารได้ยาก ด้วยคุณสมบัติของมันในตอนนี้ไม่มีทางได้บัญชาการกองกำลังชายแดนประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อจากซย่าโหวแน่ ทว่าเรื่องที่ซย่าโหวยอมถอดชุดเกราะลาออกจากราชการ สำหรับข้านับว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องราวพลิกผันขึ้น”

    นางอธิบายอย่างตรงไปตรงมาไม่เก็บงำ หนิงเชวียตะลึงงันไป สักพักจึงค่อยถอนใจกล่าวว่า

    “เรื่องนี้ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย”

    หลี่อวี๋แค่นเสียง

    “เฮอะ สมแล้วที่เป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับบัลลังก์มังกรก็ยังรู้สึกไม่น่าสนใจ”

    หนิงเชวียกล่าวออกตัว

    “ก่อนหน้านี้กระหม่อมก็เคยบอกองค์หญิงแล้วว่าอย่าให้ความสำคัญกับท่าทีของผู้เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษาอย่างกระหม่อมมากเกินไป เหนือกระหม่อมยังมีอาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลาย ในวังยังมีฝ่าบาท ในอารามยังมีราชครู ในวัดยังมีหลวงจีนหวงหยาง ในกองทัพยังมีแม่ทัพเฒ่าสวีซื่อ บัลลังก์มังกรตัวนั้นจะตกเป็นของพระอนุชาของพระองค์หรือตกเป็นของพระโอรสของพระอัครมเหสีล้วนแต่ต้องขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของบุคคลเหล่านี้ ไหนเลยจะถึงรอบให้กระหม่อมกล่าววาจา”

    หลี่อวี๋มองมันด้วยสายตาสมเพช

    “แต่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเสด็จพ่อ จอมปราชญ์ หรือแม่ทัพเฒ่า สักวันก็จะต้องจากโลกนี้ไป

    สถานศึกษาไฉนถึงต้องการให้เจ้าเข้าสู่โลกิยะ เสด็จพ่อไฉนจึงทรงให้ความสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดสวีซื่อถึงได้ระแวงเจ้า อันที่จริงทั้งหมดนี้ล้วนมาจากสาเหตุเดียวกันหมด

    นั่นคือไม่มีผู้ใดสามารถขัดขืนโชคชะตาที่เฮ่าเทียนเป็นผู้กำหนดได้ ต้าถังถึงที่สุดแล้วก็จะต้องสูญเสียบุคคลเหล่านี้ไปให้กับกาลเวลา มีบางคนกังวลว่าหากสิ้นยุคสมัยของคนเหล่านี้เจ้าก็จะกลายเป็นเหยี่ยวร้ายที่ไม่มีนายพรานคอยกำราบ เป็นภัยต่อโลกของพวกมัน แต่จอมปราชญ์กับเสด็จพ่อก็ยังเอาแต่เงียบ ทั้งยังคอยปกป้องเจ้า เคี่ยวกรำทรมานเจ้า อยากให้เจ้าเปลี่ยนจากลูกเหยี่ยวเป็นพญาเหยี่ยว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจุดประสงค์เดียวคือให้เจ้าคอยปกป้องต้าถังเมื่อตัวเองจากไปแล้วเท่านั้นเอง”

     

    โปรดติดตามตอนไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook