ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 18 ตอนที่ 2
วันเวลาผันผ่าน กลิ่นอายฤดูสารทค่อยๆ จางหาย
หลังอารามเล็กๆ หลังหนึ่งในเมืองฉางอันถล่มลงมา ชาวบ้านในละแวกนั้นก็ร่วมมือร่วมใจช่วยกันสร้างขึ้นใหม่ พวกมันยังได้รู้จักนักพรตชุดขาวผู้มากไปด้วยน้ำใจเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไรล้วนได้รับการช่วยเหลือจากมัน ราวกับไม่มีเรื่องใดในโลกที่มันทำไม่ได้
บนเขาหลังสถานศึกษาก็มีเรือนหลังหนึ่งถล่มลงมาเช่นกัน ศิษย์พี่รองผู้อาศัยอยู่ในนั้นย้ายไปนั่งฌานอยู่ที่หน้าน้ำตกสีเงินนานหลายวัน โดยระหว่างนั้นเฉินผีผีต้องแบกทั้งดิน หินและไม้ตามหลังศิษย์พี่หกไปช่วยสร้างเรือนขึ้นใหม่ ทุกๆ วันจะต้องได้ยินเสียงทอดถอนใจอย่างขื่นขมของมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา
เยี่ยซูผู้สืบทอดของอารามจือโส่วยังคงเดินไปบนเส้นทางการฝึกฌานอย่างสงบเยือกเย็นอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของโลกิยะและชาวเมืองฉางอันที่แสนอบอุ่นมีน้ำใจ ในขณะที่ศิษย์พี่รองซึ่งนั่งฌานอยู่เพียงลำพัง หลังรับการชำระล้างร่างกายและจิตใจจากละอองน้ำที่กระเซ็นขึ้นมา ใบหน้าก็ยิ่งเฉยชาขึ้นเรื่อยๆ แต่สองคิ้วกลับยิ่งตรงแน่วราวกับพู่กัน
แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวหลังกลับจากชายแดนก็ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลเป็นการใหญ่ และยังถูกเชิญไปเป็นแขกในงานเลี้ยงที่ตำหนักอ๋องและจวนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่เว้นแต่ละวัน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่ออยู่ตามลำพังในยามค่ำคืน มันชอบที่จะนั่งเหม่อมองต้นไม้ทิ้งใบจนเหลือแต่กิ่งก้านกับเกล็ดหิมะที่ตกลงมาในสวนเงียบๆ
ส่วนหนิงเชวียก็ไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างสถานศึกษากับบ้านริมทะเลสาบ ฝึกฌานอย่างสงบ บางครั้งก็จะประลองฝีมือกับเยี่ยหงอวี๋ แต่ส่วนใหญ่มันจะใช้เวลาหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ในนาบัวที่เริ่มเหี่ยวเฉา
เมืองฉางอันดูเงียบสงบยิ่ง ผู้คนในเมืองก็เช่นกัน ในความคิดของคนส่วนใหญ่ ความเงียบสงบที่ว่านี้อย่างน้อยจะต้องดำเนินไปจนเหมันต์ของรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบห้าสิ้นสุดลง เพราะไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใดก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายความสงบนี้ลงไปได้
ฤดูสารทผ่านไป ในที่สุดก็ถึงวันตงจื้อ
วันนี้แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวจะเข้าวังไปถวายบังคมลาจักรพรรดิ และจักรพรรดิก็จะทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้กับความดีความชอบของมันอีกครั้ง ก่อนจะพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างมีเกียรติเป็นการภายใน จากนั้นเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักก็จะส่งมันเดินทางออกจากเมืองฉางอัน
ในที่สุดวันนี้การก่อสร้างอารามหลังใหม่ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เยี่ยซูที่เช้านี้ตั้งใจหวีผมเป็นอย่างดีกำลังยืนอยู่ด้านหลังนักพรตผอม กล่าวขอบคุณขณะรับเป็ดไก่และสุราที่พวกชาวบ้านหิ้วมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อนำไปเก็บไว้ในห้องครัว ท่าทางราวกับเป็นเจ้าภาพงานแต่งในชนบท
ริมหน้าต่างบนชั้นสองของหอจิ้วซู ศิษย์พี่สามอวี๋เหลียนกำลังยิ้มแย้มสั่งงานถังเสี่ยวถัง เรือนตีเหล็กริมทะเลสาบผิวกระจกบัดนี้เริ่มมีไอน้ำลอยโขมง ศิษย์พี่เจ็ดที่มานั่งอยู่ในเก๋งกลางทะเลสาบตั้งแต่เช้าตรู่กำลังปักผ้าดั่งเช่นที่ทำอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ที่ริมสระใต้น้ำตกกลับมองไม่เห็นร่างศิษย์พี่รองกับหมวกสูงชะลูดเหมือนกระบองซักผ้า ศิษย์พี่ใหญ่เองก็มิได้อยู่บนเขาเช่นกัน แต่เข้าไปเป็นอาคันตุกะในเมือง
หน้าอารามเต๋า ศิษย์พี่ใหญ่เดินขึ้นบันไดไปหาเยี่ยซู กล่าวยิ้มๆ ว่า
“ขอแสดงความยินดีด้วย”
เยี่ยซูหันไปมองอารามที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยมกับชายคากันฝนของเหล่าเพื่อนบ้านที่มันเป็นคนลงมือซ่อมด้วยตัวเอง ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มจากใจ น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นขณะกล่าวว่า
“ขอบใจ”
ผู้คนในบ้านริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงก็ตื่นนอนกันหมดแล้ว
หนิงเชวียมีซังซังช่วยปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสถานศึกษาสีดำตัวใหม่ หลังซังซังบรรจงมุ่นมวยสวมหมวกครอบให้คนก็ดูกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้นมาทันควัน
เสร็จจากช่วยนายน้อย ซังซังก็รีบล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นใช้กรรไกรตัดผมตัวเองให้สั้นลงเล็กน้อย ถักเป็นเปียเส้นเล็กๆ แล้วส่องกระจกผัดแป้งอย่างพิถีพิถัน ทั้งยังวาดคิ้วอีกด้วย
“น่ามองยิ่ง”
หนิงเชวียมองใบหน้าสดใสสบายตาของสาวน้อยพลางกล่าวชม
ซังซังหันมาเห็นเส้นผมที่ตกอยู่บนไหล่ของหนิงเชวียก็ปัดทิ้ง
“วันนี้เป็นวันสำคัญ แต่งตัวให้ดูดีหน่อยเป็นเรื่องที่สมควร”
พอเดินออกจากห้องหนิงเชวียก็ดีดนิ้วเรียกเจ้าดำที่ยืนเคี้ยวดอกล่าเหมยอยู่ตรงลานบ้านอย่างเบื่อหน่ายให้เดินเข้ามา ก่อนตบสะโพกเจ้าม้าจอมเกเรเบาๆ สั่งว่า
“ไป กลับไปสถานศึกษา”
เจ้าดำเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้จะสงสัยแต่ก็เอ่ยปากถามมิได้ จึงได้แต่วิ่งออกจากบ้านมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองตามคำสั่ง
เยี่ยหงอวี๋มิใช่เจ้าดำ
นางยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าประตูสวน พอเห็นหนิงเชวียกับซังซังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดใหม่ด้วยกันทั้งคู่ก็ชี้นิ้วขึ้นฟ้า เลิกคิ้วถามสองนายบ่าว
“ดูท่าวันนี้หิมะจะตกหนัก พวกเจ้ายังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ”
ท้องฟ้ายามนี้มีแต่เมฆสีทึมเทาลอยต่ำ มองเผินๆ คล้ายขุนเขาอันทึบทะมึน เป็นสัญญาณว่าหิมะสามารถตกลงมาได้ทุกเมื่อ
หนิงเชวียแหงนหน้ามองฟ้าก่อนตอบ
“ฝนสามารถรั้งตัวคนได้ แต่หิมะรั้งไม่ได้”
เยี่ยหงอวี๋ยิ้มเย็น
“หิมะรั้งตัวคนไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะลงมือรั้งเอาไว้เสียเอง?”
หนิงเชวียกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
เยี่ยหงอวี๋ถามอีก
“เช่นนั้นทำไมเมื่อคืนเจ้าต้องไล่พ่อบ้านและสาวใช้ให้กลับบ้านไปจนหมด”
หนิงเชวียย้อนถามยิ้มๆ
“นี่มิใช่พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้คิดจะรั้งตัวใครไว้หรอกหรือ”
“เจ้ารู้ดีว่าข้าหมายถึงอะไร”
หนิงเชวียอธิบายอย่างใจเย็น
“วันนี้เป็นวันตงจื้อ พ่อบ้านกับสาวใช้ทั้งหลายสมควรได้กลับบ้านไปอยู่กับคนในครอบครัว”
เยี่ยหงอวี๋แค่นเสียง
“แต่ข้าไม่มีบ้านจะกลับ แล้วเหตุไฉนเจ้าถึงต้องการให้ข้าออกไปจากที่นี่ด้วยเล่า อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่เลิกล้มความคิดที่จะฆ่าซย่าโหว ยังดันทุรังจะไปฆ่ามัน”
หนิงเชวียถาม
“เจ้ากังวลด้วยหรือว่าข้าจะเป็นหรือตาย”
เยี่ยหงอวี๋ส่ายหน้า
หนิงเชวียตีหน้าเศร้า ถอนหายใจดังเฮือก
“เฮ้อ แม้จะรู้สึกช้ำใจอยู่บ้าง แต่นี่จึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นห่วงข้า เช่นนั้นไยต้องมาสนใจว่าข้าจะไปทำอะไร”
“ซย่าโหวคือเค่อชิงของนิกายเรา ที่พี่ชายข้ามาฉางอันก็เพราะเรื่องนี้ พี่ไม่มีทางยอมให้เจ้าทำเสียเรื่องแน่ ข้าเองก็เช่นกัน ดังนั้นหากเจ้าจะไปฆ่ามัน ข้าก็ต้องรั้งตัวเจ้าไว้ที่นี่”
เยี่ยหงอวี๋พูดจบก็เอื้อมมือไปในอากาศ ทำท่าคว้าจับกระบี่
หนิงเชวียมองมือขวาของนางเขม็ง เงียบไปเป็นครู่ค่อยกล่าวว่า
“ผู้คนทั้งแผ่นดินรวมถึงคนในสำนักอาจารย์ข้าไม่เห็นด้วยที่ข้าจะฆ่าซย่าโหว”
ถึงตรงนี้มันก็เลื่อนสายตาขึ้นสบตานาง กล่าวเสียงเฉื่อยชา
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนอย่างไร หากสู้ไม่ได้ข้าจะไม่ยอมลงมืออย่างเด็ดขาด ที่ข้าให้เจ้าไปก็เพราะอารามที่เยี่ยซูพำนักอยู่สร้างเสร็จแล้ว วันนี้มันจัดงานเลี้ยงฉลอง และก็บังเอิญเป็นวันตงจื้อพอดี เจ้าสมควรไปร่วมฉลองที่นั่นสักครา”
เยี่ยหงอวี๋ไม่สนใจวาจาของมัน ถามเสียงกร้าว
“บอกมา เจ้าจะไปลอบฆ่าซย่าโหวใช่หรือไม่”
หนิงเชวียตอบ
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของจอมปราชญ์ ข้าไม่เคยคิดที่จะไปลอบฆ่าซย่าโหว”
เยี่ยหงอวี๋ส่ายหน้า
“สาบานด้วยชื่อคนอื่น”
“หากข้าไปลอบฆ่าซย่าโหว ขอให้ข้ากับซังซังไม่มีวันได้อยู่ร่วมกันตลอดชีวิต”
เยี่ยหงอวี๋ตะลึงลาน นางคิดไม่ถึงว่ามันจะกล้าใช้ถ้อยคำสาบานที่รุนแรงเยี่ยงนี้ คิ้วเรียวงามขมวดเป็นปมขณะโพล่งถาม
“แล้วเพราะเหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงต้องแต่งตัวกันอย่างพิถีพิถัน ไฉนถึงให้ความสำคัญกับวันตงจื้อถึงเพียงนี้”
หนิงเชวียตอบยิ้มๆ
“พวกเราจะไปกินต้มเครื่องในแพะกันที่เรือนหงซิ่วเจา”
เยี่ยหงอวี๋เงียบงันไป พริบตาเดียวชุดนักพรตสีฟ้าอมเขียวก็พลิ้วไหว ก่อนหายลับไปในสวนต้นล่าเหมยที่ถูกเจ้าดำทึ้งดึงกัดเคี้ยวจนกิ่งหักหล่นเกลื่อนกลาดไปทั่ว
เจ้าดำยังเคี้ยวดอกล่าเหมยหยับๆ ขณะวิ่งหน้าเชิดไปตามถนน บรรดาทหารที่ยืนเฝ้าประตูเมืองทางทิศใต้เคยได้รับการบอกเล่าจากคนในพรรคมัจฉามังกร รู้ว่าเจ้าดำเป็นอาชาคู่กายใคร จึงมิได้ขัดขวาง ซ้ำยังจุ๊ปากจิ๊กจั๊กชมเปาะถึงความเร็วขณะมองเจ้าดำห้อตะบึงไปบนถนนหลวงจนเห็นเป็นแค่เงาดำสายหนึ่ง
เจ้าดำใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานศึกษา พอเข้าประตูข้างก็วิ่งขึ้นเนินฝ่าหมอกควันไปปรากฏตัวอยู่บนที่ราบริมทะเลสาบผิวกระจก มันหอบหายใจแรง ก้มหน้าดูเงาตัวเองบนทะเลสาบแล้วดื่มน้ำอย่างกระหายเพื่อให้ความชุ่มชื่นแก่ลำคอและปอดที่กำลังร้อนลวกเป็นไฟ
เจ้าดำมิรู้ว่าหนิงเชวียคิดจะทำอะไร และมิรู้ว่าเพราะเหตุใดตัวมันถึงได้รู้สึกกระวนกระวายใจพิกล รู้แต่เพียงว่าจะต้องกลับมาถึงสถานศึกษาให้เร็วที่สุด ทำเช่นนี้จึงจะสามารถทำให้คนบนเขาคาดเดาออกว่าที่ทะเลสาบเยี่ยนหมิงกำลังจะเกิดอะไรขึ้น ประหนึ่งตัวมันเป็นผู้มาส่งสาร
เฉินผีผีกำลังยืนอยู่ที่อีกฟากของทะเลสาบ พอเห็นเจ้าดำใบหน้าอวบกลมก็ปรากฏแวววิตกกังวล ถังเสี่ยวถังเงยหน้ามองมัน ถามขึ้นว่า
“มีอะไรหรือ”
“ว่ากันตามเหตุผลน่าจะไม่มีอะไร เพราะด้วยนิสัยของศิษย์น้องเล็ก หากรู้ว่าต้องพ่ายแพ้จะไม่เสี่ยงทำอะไรอย่างแน่นอน แต่ไฉนเจ้าดำถึงกลับมาเล่า”
เฉินผีผีนิ่วหน้าครุ่นคิดก่อนกล่าวต่อ
“ข้าเพิ่งค้นพบเอาตอนนี้ว่าที่ผ่านมาข้าไม่เคยเข้าใจมันอย่างแท้จริง ข้าทึกทักเอาเองมาตลอดว่ามันเป็นคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง เย็นชาไร้น้ำใจ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมากไปด้วยน้ำใจ ทำเรื่องที่ต้องอาศัยความกล้าเท่านั้นจึงจะทำออกมาได้”
ถังเสี่ยวถังพยักหน้า
“หนิงเชวียเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอายก็จริง แต่ก่อนที่ข้าจะมาฉางอันพี่ข้าเคยบอก คนที่จะทำเรื่องไร้ยางอายอย่างถึงที่สุดได้จริงๆ แล้วต้องมีความกล้ามากกว่าผู้ใด”
จู่ๆ เฉินผีผีก็พูดโพล่งออกมา
“ข้าจะเข้าเมืองฉางอัน”
“ข้าไปด้วย”
ถังเสี่ยวถังรีบบอก
เฉินผีผีส่ายหน้า
“ศิษย์พี่สามจะต้องไม่เห็นด้วยแน่”
“เช้านี้พอเรียนเสร็จอาจารย์ก็บอกให้ข้าพักได้แล้ว”
ถังเสี่ยวถังกล่าวกับเฉินผีผีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“ซย่าโหวคือศิษย์ทรยศที่ร้ายกาจที่สุดในรอบพันปีของนิกายหมิง พี่ชายข้าคิดหาทางฆ่ามันมาตลอด ข้าเองก็เช่นกัน เพียงแต่ข้าไร้ความสามารถ ดังนั้นหากอาจารย์อาจะสู้กับมันในวันนี้ อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้ดูอยู่ข้างๆ เถอะ”
ภายในวังต้องห้าม เสียงมโหรีดังขึ้นไม่ขาดสาย กลิ่นกำยานกรุ่นกำจายเป็นพักๆ
เหล่านางกำนัลและขันทีที่ยืนอยู่ในตำหนักใบหน้าล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตามที่ถูกฝึกมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้ามองหน้าแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว และยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าเหลือบมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ
จักรพรรดิทอดพระเนตรซย่าโหวที่นั่งอยู่เบื้องล่างพลางรับสั่งด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ
“ในเมื่อปัญหาคลี่คลายไปแล้วก็อย่าก่อเรื่องขึ้นอีก เราไม่สนว่าหนิงเชวียมีความเกี่ยวข้องอะไรกับแม่ทัพเซวียนเวย และไม่อยากรู้เรื่องคดีฆ่าคนตายที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เพราะถึงอย่างไรมันก็คือศิษย์ของจอมปราชญ์ วันนี้หลังออกจากเมืองฉางอันไปแล้วเจ้ากับมันคงยากจะได้พบหน้ากัน ดังนั้นขอให้เรื่องทุกอย่างยุติลงเพียงแค่นี้ อย่าสร้างความลำบากใจให้แก่เราอีก”
ซย่าโหวลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าลงรับพระบัญชาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
รับสั่งเสร็จจักรพรรดิก็พระดำเนินออกจากตำหนัก ยุติงานเลี้ยงส่งมันไว้เพียงแค่นี้ บรรดาขันทีและนางกำนัลที่อยู่ในห้องต่างก็ตามเสด็จออกไปด้วย ยกตำหนักข้างหลังนี้ให้กับพระอัครมเหสีที่ทรงประทับนั่งเงียบๆ กับแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว
การทิ้งให้พระอัครมเหสีกับแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอยู่กันตามลำพัง ตามราชประเพณีแล้วเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่านี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ จึงย่อมไม่มีผู้ใดกล้าทูลคัดค้าน
พระอัครมเหสีทอดพระเนตรบุรุษตรงหน้าเงียบๆ ก่อนถอนพระทัยรับสั่งถาม
“คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”
ใบหน้าคล้ำแดดแข็งกระด้างดุจเหล็กไหลของซย่าโหวปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนที่หาดูได้ยาก
“จะกลับบ้านอยู่แล้วยังจะเกิดเรื่องอันใดได้อีก ตอนนี้ข้ารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลับเป็นเจ้าที่ต่อไปจะต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำอะไรต้องระมัดระวังรอบคอบไว้ให้มาก หากพบเจอเรื่องยุ่งยากอันใดต้องรีบส่งข่าวให้ข้ารู้”
พระอัครมเหสีแย้มสรวลตรัสว่า
“ดูจากท่าทีของสถานศึกษา สมควรไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“นี่คือข้อตกลงที่เซียนเซิงใหญ่ทำกับข้า จึงน่าจะเป็นความประสงค์ของจอมปราชญ์…ส่วนหนิงเชวีย พวกเราต่างรู้ดีว่ามันเป็นคนเช่นไร ดังนั้นต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
พูดถึงตรงนี้มันก็นิ่วหน้า พยายามข่มกลั้นความรู้สึกอยากไอเอาไว้ มันไม่ต้องการให้น้องสาวต้องคอยพะวงห่วงใยหลังมันออกจากเมืองไปแล้ว
สายพระเนตรอ่อนโยนของพระอัครมเหสีคล้ายสามารถมองทะลุเข้าไปถึงอาการบาดเจ็บในกายมัน จึงรับสั่งเบาๆ
“ตอนอยู่ในทุ่งร้างถังทำให้พี่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงเพียงนี้ คิดว่าตัวมันเองคงไม่มีสภาพดีไปกว่าพี่สักเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสฆ่ามันเสียในตอนนั้นเลยเล่า”
ซย่าโหวไอเบาๆ สองทีอย่างกลั้นไม่อยู่ก่อนตอบ
“มันทำร้ายข้าได้ ข้าก็ทำร้ายมันได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากคิดจะฆ่ามันจะต้องใช้ชีวิตคนอีกมากไปแลกมา ทหารม้าชุดเกราะเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีติดตามข้ามานานหลายปี ไยต้องให้พวกมันเอาชีวิตไปทิ้งด้วยเล่า”
พระอัครมเหสีทรงสดับเช่นนั้นสีพระพักตร์ก็แช่มชื่นขึ้น รับสั่งว่า
“พี่เปลี่ยนไปมาก”
“หึๆ ไม่โหดเหี้ยมอำมหิตกระหายเลือดเหมือนเมื่อก่อนใช่หรือไม่”
ซย่าโหวย้อนถามพลางยิ้มเยาะตัวเอง คิดในใจ สมัยก่อนตอนพวกมันสองพี่น้องออกจากทุ่งร้างเดินทางมาแคว้นต้าถัง ไม่มีทั้งคนหนุนหลังและตำแหน่งฐานะใดๆ จักรพรรดิทรงยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ยังไม่ได้เป็นพระอัครมเหสี การที่คนต่างแคว้นสองคนต้องการปักหลักยืนอยู่ในแคว้นที่ทรงอิทธิพลอย่างต้าถัง นอกจากจะสำแดงความโหดเหี้ยมอำมหิตให้ศัตรูที่มีอยู่ทั้งหมดต้องประหวั่นพรั่นพรึงแล้วยังจะมีวิธีใดอีก
หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมกำแพงวังต้องห้ามไว้จนเป็นชั้นบางๆ ภายในลานด้านหน้าตำหนักข้าง ปุยหิมะปลิวไปทั่ว มองไปคล้ายใยของต้นหลิวก็มิปาน
หิมะที่กำลังตกอยู่นอกตำหนักทำให้ใจของซย่าโหวนึกกระหวัดไปถึงเถ้ากระดูกสีขาวในกล่องเหล็กที่แย่งมาจากหนิงเชวียตอนอยู่ริมทะเลสาบฮูหลัน พริบตานั้นมันคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มิใช่เสียงลมเหนือที่พัดดังหวีดหวิว แต่เป็นเสียงร้องของจักจั่น
มันรู้ว่ามันกำลังคิดไปเอง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีจักจั่นตัวใดร้องในฤดูเหมันต์ แต่ถึงกระนั้นใบหน้ามันก็ยังคงบิดเบี้ยวขัดตาอยู่บ้าง
ตอนออกจากเขาเทียนชี่มาแคว้นต้าถัง จิตใจมันมีแต่ความฮึกเหิมห้าวหาญ คิดแต่จะบุกตะลุยไปข้างหน้า มั่นใจว่าตัวเองแน่ที่สุดในปฐพี ไม่มีผู้ใดหาญเทียบได้ ทว่าหลังมันตัดสินใจทรยศต่อนิกายหมิง ต้มมู่หรงหลินซวงตายทั้งเป็น ความห้าวหาญฮึกเหิมในใจมันก็สูญหายไปจนหมด หลายปีมานี้มันจึงต้องใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิตมาปิดบังอำพรางความขลาดกลัวเอาไว้
เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมา มันก็คือศิษย์ทรยศของพรรคมาร
เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ในใจมันก็มีเมฆดำทะมึนกดทับอยู่สองก้อน ไม่ยอมลอยไปที่ไหนสักที
เมฆดำทะมึนก้อนแรกคืออาจารย์ผู้มีพระคุณประสิทธ์ประสาทวิชาให้กับมัน เหลียนเซิงต้าซือ
เมฆดำทะมึนก้อนที่สองคือหัวหน้าพรรคมารคนปัจจุบัน จักจั่นยี่สิบสามวรรษ
ซย่าโหวแม้เข้มแข็งเกรียงไกรและมีความมั่นใจในตัวเอง แต่มันรู้ดี วันใดที่เมฆดำสองก้อนนั้นลอยมาจริงๆ มันก็ไม่มีทางรอด ต้องตายสถานเดียว
ตอนที่เคอเฮ่าหรานถือกระบี่บุกเข้าถล่มพรรคมาร มันมิได้เห็นอาจารย์ตายไปกับตา และตลอดเวลาที่ผ่านมามันก็ไม่เคยเชื่อว่าคนอย่างอาจารย์ของมันจะตายไปอย่างเงียบเชียบแบบนั้น
จักจั่นยี่สิบสามวรรษเร้นกายฝึกวิชาอยู่ตอนเกิดเหตุ มันถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลกของการฝึกฌาน แม้จะมีข่าวลือว่าตายไปนานแล้ว แต่ซย่าโหวจะกล้าเชื่อหรือถ้าไม่ได้เห็นกับตา ดังนั้นที่ผ่านมามันจึงใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวมาตลอด
ริมทะเลสาบฮูหลัน ซย่าโหวแย่งกล่องเหล็กมาจากมือของหนิงเชวีย ภายในกล่องเหล็กมิใช่คัมภีร์สวรรค์เล่มแสงสว่าง แต่เป็นเถ้ากระดูกของเหลียนเซิง ความรู้สึกแรกของมันในตอนนั้นคือผิดหวัง จากนั้นก็เศร้าเสียใจ ตามมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ คล้ายยกก้อนเมฆดำทะมึนที่กดทับในอกอยู่นานปีให้ออกไปได้ และก็คงเป็นตอนนั้นที่มันพลันบังเกิดความคิดอยากปลดระวางตัวเอง ไม่อยากถามไถ่เรื่องราวทางโลกอีก
“ข้าไม่รู้ว่าตอนหนิงเชวียเดินเข้าประตูสำนัก มันพบกับเหตุการณ์แปลกพิสดารอะไรบ้าง”
ซย่าโหวมองปุยหิมะที่ลอยเคว้งคว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายขณะกล่าวว่า
“ไม่แน่ว่ามันอาจได้รับการถ่ายทอดอะไรบางอย่างจากอาจารย์ก็ได้ เพราะเถ้ากระดูกของอาจารย์อยู่ในมือมัน ส่วนท่านประมุข…ใครจะไปรู้ว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใด แม้ทุกคนเข้าใจว่ามันจะต้องไม่กล้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองฉางอัน แต่ในโลกนี้มีที่ใดบ้างที่มันไม่กล้าไป”
พระอัครมเหสีทรงตระหนักดีว่าพี่ชายของนางกลัวอะไรที่สุด นางเสด็จไปยืนข้างกายมัน รับสั่งปลอบใจ
“แต่เหลียนเซิงต้าซือก็ตายไปแล้ว ส่วนท่านประมุขหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาจักจั่นยี่สิบสามวรรษซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่วิปริตพิสดารที่สุดในแผ่นดิน ไม่ใช่ว่าจะฝึกสำเร็จได้โดยง่าย หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นคนของนิกายเฮ่าเทียนหรือสถานศึกษาล้วนหาร่องรอยของมันไม่พบ ไม่แน่ว่ามันอาจจะตายไปนานแล้วก็ได้ เพราะหากยังมีชีวิตอยู่มีหรือจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่มาเอาเรื่องกับพี่”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
ซย่าโหวถอนใจยาว
“เฮ้อ เยี่ยซูของนิกายเฮ่าเทียนมาถึงที่นี่แล้ว คนของนิกายพุทธก็คงใกล้จะมาถึงเช่นกัน บัดนี้สามนิกายใหญ่ในแผ่นดินมีเพียงนิกายหมิงเราเท่านั้นที่ร่วงโรย คิดแล้วอดสะท้อนใจมิได้”
บทที่ 2 ทางเลือกเดียว
หนิงเชวียมิได้โกหกเยี่ยหงอวี๋ มันพาซังซังไปเรือนหงซิ่วเจาจริงๆ เพียงแต่วันนี้พวกมันมิได้ไปขลุกอยู่ที่เรือนของสุ่ยจูเอ๋อร์ และมิได้ไปแอบดูคณิกาดาวเด่นที่เพิ่งมาใหม่ แต่เดินอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นชั้นบนไปที่ห้องของหัวหน้าเจี่ยน จากนั้นม้วนแขนเสื้อลงนั่งเตรียมสวาปามต้มเครื่องในแพะที่กำลังส่งควันฉุย
โถดิน ถ้วยชามที่เข้าชุด พอจัดวางรวมกับผักและเครื่องเคียงอีกสิบกว่าจานที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะก็บันดาลให้เป็นภาพศิลปะอย่างหนึ่ง ควันหอมกรุ่นยังแทรกกลิ่นสดใหม่ของผักเขียว ชวนให้จิตใจปลอดโล่ง ช่างเป็นบรรยากาศของวันตงจื้อที่งดงามสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
หนิงเชวียคีบกระเพาะจิ้มกระเทียมสับส่งเข้าปากเคี้ยว แล้วสาดสุราจิ่วเจียงสองกลั่นลงคอไป ความเผ็ดร้อนทำให้มันถึงกับต้องขมวดคิ้วทำหน้ายับยู่ยี่ มองไปคล้ายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหายุ่งยากแก้ไม่ตก
หัวหน้าเจี่ยนรับผ้าเช็ดหน้าจากมือเสี่ยวเฉ่าไปซับเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวกับมันว่า
“พระอัครมเหสีทรงให้ข้ามาบอกว่า ขอเพียงเจ้าปล่อยให้วันนี้ผ่านไปอย่างสงบ พระองค์ทรงยินดีให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ และพระองค์ยังจะรับสั่งขอโทษเจ้าแทนซย่าโหวอีกครั้งด้วย”
หนิงเชวียชี้หว่างคิ้วที่ยับย่นจนเป็นขีดสามขีดของตัวเอง
“ตอนนี้หว่างคิ้วข้ายับย่นจนคลายไม่ได้ ยังจะมีสมองไปคิดทำอะไรอีก”
“มันยับย่นเพราะฤทธิ์สุราต่างหาก เจ้าน่ะสู้ซังซังไม่ได้ แม้นางจะดื่มได้สบายๆ แต่ก็ยังรู้จักเลือกดื่มที่รสชาติไม่ร้อนแรงนัก”
คำพูดของหัวหน้าเจี่ยนคล้ายแฝงความนัยเอาไว้ นางนิ่งเงียบไปนานก่อนเตือนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สามารถอดทนอดกลั้นจึงจะเป็นผู้มีสติปัญญา”
หนิงเชวียพยักหน้า
“ข้าเข้าใจดี”
หัวหน้าเจี่ยนยิ้มปลาบปลื้ม จากนั้นถอนใจกล่าวว่า
“ก่อนเจ้ามา ข้ากังวลใจจริงๆ ว่าเจ้าจะสมองเลอะเลือนเหมือนกับมัน”
ตามการคาดเดาของศิษย์พี่ทั้งหลาย หัวหน้าเจี่ยนน่าจะมีศักดิ์เป็นน้องภรรยาของอาจารย์อา
“ข้าไม่มีความสามารถเหมือนอาจารย์อาหรอก”
หนิงเชวียออกตัว นัยน์ตาเริ่มปรือจากฤทธิ์สุรา
“หากข้ามีความสามารถเหมือนอาจารย์อาคงไม่จำเป็นต้องอดกลั้นอีก คงต้องสู้กับมันให้ตายไปข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติของอาจารย์และเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของอาจารย์อาต้องด่างพร้อย”
หัวหน้าเจี่ยนนิ่วหน้าตำหนิ
“จุดประสงค์ของการเข้าสู่โลกิยะมิใช่เพื่อให้ไปฆ่าคน แต่เพื่อให้ตระหนักรับรู้ด้วยตัวเอง”
หนิงเชวียพูดเสียงอ้อแอ้
“การฆ่าคนมิใช่เป็นการตระหนักรับรู้ด้วยตัวเองอย่างหนึ่งหรอกหรือ”
พูดจบหนิงเชวียก็ซบหน้าลงกับโต๊ะ มิทราบว่าเป็นสุราสองกลั่นจากเขตเหอเป่ยทำให้มันเมา หรือเพราะมันค้นพบว่าตัวเองไม่มีปัญญากระชากหน้ากากเปิดโปงความผิดของผู้ยิ่งใหญ่บางคนในเมืองฉางอัน จึงรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มมิอาจไม่เมา หรือเพราะมันต้องการปิดบังความในใจบางอย่างของตัวเองไว้จึงต้องแสร้งเมา
ไม่นานมันก็เดินโซซัดโซเซไปนอนบนเตียงอันอบอุ่นและหอมกรุ่นที่เรือนของสุ่ยจูเอ๋อร์ตามเคย ซังซังตามไปนั่งลงตรงหัวเตียงก่อนวางผ้าชุบน้ำหมาดๆ ไว้บนหน้าผากมัน นางรู้ดีว่าหนิงเชวียแกล้งเมา ดังนั้นจึงปฏิเสธที่จะต้มน้ำแกงแก้เมาตามที่สุ่ยจูเอ๋อร์แนะนำ
ขณะหลับตาลงด้วยความมึนเล็กน้อย หนิงเชวียไม่ได้ฝัน ไม่ได้เห็นความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ได้เห็นควันดำสามสาย และไม่ได้เห็นแสงสว่างอันไร้ขอบเขตบนท้องนภา มันเพียงแต่กดความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้จมลึกลงไปในห้วงแห่งความนึกคิด แล้วเก็บเศษเสี้ยวความทรงจำที่ได้รับจากเหลียนเซิงต้าซือขึ้นมาจากจุดที่ลึกที่สุดเพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง
เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้คือสิ่งที่เหลียนเซิงต้าซือทิ้งไว้ในห้วงแห่งความนึกคิดของมันก่อนตาย นับจากวันนั้นเป็นต้นมามันพยายามที่จะทำความเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รับผลสำเร็จอะไรเป็นเรื่องเป็นราวสักที
ทว่ามันตระหนักดี เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้มีประโยชน์และสำคัญยิ่งต่อมัน เพราะตอนเผชิญหน้ากับกำปั้นที่อำมหิตดุดันของซย่าโหวตรงทะเลสาบฮูหลัน เศษเสี้ยวความทรงจำที่ผุดขึ้นมาแวบหนึ่งช่วยให้มันสามารถคาดเดาการจู่โจมของซย่าโหวในขณะนั้นได้ทันการณ์
มือขวาของหนิงเชวียเลื่อนไปที่สายรัดเอวโดยไม่รู้ตัว ตรงนั้นมีของแข็งๆ เสียบอยู่หลายชิ้นซึ่งก็คือป้ายแขวนเอวของสถานศึกษากับป้ายอื่นๆ อีกหลายอัน
ป้ายเหล่านี้เหมือนจะทำให้จิตใจมันสงบ การรับรู้ของจิตเดิมเริ่มแจ่มชัดขึ้น แม้ด่านฌานของมันในตอนนี้ยังไม่สูงพอที่จะรับรู้ถึงความหมายทั้งหมดที่แฝงเร้นอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำนั่น แต่อย่างน้อยขณะสู้กับซย่าโหวเศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้ก็น่าจะช่วยให้มันไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมากนัก เพราะตอนอยู่ที่ริมทะเลสาบเยี่ยนหมิง เยี่ยหงอวี๋เคยบอกกับมัน ยอดคนที่บรรลุด่านรู้ชะตาสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุดของพลังปฐมแห่งฟ้าดิน ดังนั้นไม่ว่าคู่ต่อสู้จะลงมืออย่างไรก็จะไม่มีทางเล็ดลอดสัมผัสรับรู้ของพวกมันไปได้ ความสามารถในการเดาทางคู่ต่อสู้จึงเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของยอดคนด่านรู้ชะตา
บัดนี้หนิงเชวียมีพลังฌานอยู่ในด่านสู่พิสดารขั้นปลาย คิดจะสู้กับซย่าโหวซึ่งเป็นยอดคนด่านรู้ชะตา แค่ความแตกต่างเรื่องการเดาทางคู่ต่อสู้ที่ห่างกันลิบลับนี้ก็ทำให้มันรู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ทว่าเศษเสี้ยวความทรงจำจำนวนมากมายที่เหลียนเซิงต้าซือทิ้งไว้ให้กลับทำให้มันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง!
ยอดคนที่เคยเป็นถึงต้าเสินกวนของอาศรมเทพแห่งซีหลิงและมหาเถระพิทักษ์กฎของนิกายพุทธผู้นี้ด่านฌานบรรลุถึงด่านรู้ชะตาขั้นสูงสุด หากมิใช่เป็นเพราะเหตุผลลึกลับบางอย่างทำให้ไม่กล้าก้าวข้ามธรณีประตูบานนั้นออกไป เกรงว่าคงฝ่าทะลุด่านทั้งห้ากลายเป็นเทพเซียนหลุดพ้นจากวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตายไปนานแล้ว แล้วอย่างนี้เศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลียนเซิงต้าซือทิ้งไว้จะไม่ลึกล้ำน่ากลัวจนคู่ต่อสู้ต้องขวัญกระเจิงหรอกหรือ
หนิงเชวียไม่รู้ เรื่องแบบนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อต้องอยู่ในสมรภูมิการต่อสู้เท่านั้น
พอตื่นขึ้นมาอาการมึนเล็กน้อยของหนิงเชวียก็หายเป็นปลิดทิ้ง สีหน้าสดชื่นกระชุ่มกระชวย หลังแน่ใจว่าร่างกายและจิตใจล้วนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในชีวิต มันก็พาซังซังออกจากเรือนหงซิ่วเจาไป
ลมหนาวพัดแรงขึ้นกว่าตอนย่ำรุ่ง เกล็ดหิมะเบาหวิวลอยฟ่องราวกับขนห่าน ก่อนตกลงปกคลุมเมืองทั้งเมืองให้ขาวโพลน หนิงเชวียกับซังซังเดินกางร่มอยู่ภายใต้เกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์ เห็นเป็นจุดดำโดดเด่นสะดุดตาไปไกล
ชาวเมืองฉางอันกำลังฉลองเทศกาลโดยมีกลิ่นต้มเครื่องในแพะเป็นเพื่อน หิมะที่ตกสะสมอยู่ตามชายคามองไปขาวสะอาดราวกับเนื้อแพะที่เพิ่งลวกสุกใหม่ๆ บรรดาอ๋องและขุนนางผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายย่อมต้องฉลองเทศกาลด้วยเช่นกัน ทว่าจวนและตำหนักของพวกมันที่ตั้งอยู่ในเขตนครเหนือกลับเงียบเชียบ ไม่มีเสียงครึกครื้นเฮฮาเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย
หนิงเชวียรู้ถึงสาเหตุของความเงียบ นี่เป็นเพราะคนเหล่านี้บ้างออกไปรอส่งแม่ทัพซย่าโหวที่หน้าวัง บ้างออกไปรอส่งที่หน้าประตูเมือง
หนิงเชวียมือขวาถือร่ม มือซ้ายจูงมือซังซังเดินฝ่าหิมะ ฝ่ากลิ่นอายที่แสนจะวิเศษของตลาดร้านถิ่น ฝ่าความหรูหราโอ่อ่าของย่านที่อยู่อาศัยของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ตั้งแต่ฤดูคิมหันต์ของรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบห้าเป็นต้นมา เมืองฉางอันมีแต่ความสงบสุข ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลอีก ผู้คนมากมายรวมถึงบรรดาศิษย์ชั้นสองของสถานศึกษาล้วนเข้าใจว่าความสงบสุขเยี่ยงนี้ยังจะดำเนินต่อไป เข้าใจว่าหนิงเชวียได้เลิกล้มความคิดนั้นไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเค้นสมองคิดอย่างไรก็ไม่มีใครช่วยมันหาวิธีที่ดีงามออกมาได้
แต่หนิงเชวียมิอาจเลิกล้มความคิด ก็เหมือนกับที่มันบอกต่อซังซัง หากรอต่อไปซย่าโหวก็จะชราไปจริงๆ เพราะแท้ที่จริงแล้วการฆ่าซย่าโหวยังไม่สำคัญเท่ากับความปรารถนาที่จะสลัดหลุดจากปมในใจ หากไม่ทำเช่นนี้ชีวิตของมันจะไม่มีวันสมบูรณ์ได้อีก
ในสายตาคนอื่นมันต้องตายแน่นอน เพราะซย่าโหวนั้นเข้มแข็งเกรียงไกรอย่างแท้จริง แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังเคยบอกกับมันตอนอยู่ในทุ่งร้างว่าไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะฆ่าคนผู้นี้ได้ แต่หนิงเชวียไม่คิดว่าตัวเองจะตาย เพราะนอกจากจอมปราชญ์แล้วในโลกนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันก็เข้มแข็งเกรียงไกรเช่นกัน
สิบห้าปีที่ผ่านมาหนิงเชวียต้องแก้ปัญหาต่างๆ ไปมากมาย จุดประสงค์ก็เพื่อการต่อสู้ในวันนี้ การต่อสู้ที่มันมั่นใจว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายชนะ