• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 19 ตอนที่ 1

    บทที่ 1 เรื่องในฤดูวสันต์

     

    เวลาผันผ่าน ในที่สุดก็มาถึงรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบหกของแคว้นต้าถังซึ่งตรงกับรัชสมัยต้าจื้อปีที่สามพันสี่ร้อยสี่สิบเจ็ดของแคว้นซีหลิง และก็เป็นปีที่ในวสันต์ฤดูเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย

    หลังหลบออกจากอาศรมเทพแห่งซีหลิงไปถึงหนึ่งปีเต็ม ในที่สุดผู้งมงายยุทธ์เยี่ยหงอวี๋ก็กลับมา ท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงของบรรดาเสินกวนและผู้คุ้มกฎ นางมิได้ออกแรงแม้แต่น้อยก็สังหารเฉินปาฉื่อไปราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เศษสวะตัวหนึ่ง ก่อนเดินเข้าวิหารดำ

    ทันทีที่ก้าวเข้าไป น้ำเสียงดุดันน่าเกรงขามก็ดังขึ้น พลังเสียงอันแหลมคมดุจเข็มเหล็กหมื่นเล่มพุ่งเข้าครอบคลุมร่างนางไว้ภายในชั่วพริบตา อานุภาพของพลังเสียงกระแทกใส่ผนังห้องจนหินดำแตกกะเทาะร่วงกราว

    “เจ้าคือศิษย์คนแรกที่ทรยศต่ออาศรมเทพแล้วยังกล้ากลับมา หรือคิดจะมาขอรับโทษทัณฑ์”

    แม้เสียงนั้นจะเสียดแทงแก้วหูสักเพียงใด แต่นอกจากนิ่วหน้าเล็กน้อยเยี่ยหงอวี๋ก็ไม่แสดงอากัปกิริยาอื่นใดอีก

    ลึกเข้าไปในตัววิหารหลังม่านไข่มุกที่แวววาวเป็นประกายงดงาม สามารถมองเห็นบัลลังก์หยกดำตัวใหญ่มหึมากับเงาร่างที่นั่งอยู่บนนั้นได้รำไร และเช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา เสียงของจ้าวบัลลังก์พิพากษายังคงให้ความรู้สึกอำมหิตอหังการและเย้ยหยันดูแคลน คล้ายทุกอย่างตรงหน้ามันต่ำต้อยดั่งเช่นมดปลวก

    ความเลื่อมใสศรัทธาเฮ่าเทียนของเยี่ยหงอวี๋มิแปลกปลอม ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าการที่ตัวเองจากอาศรมเทพแห่งซีหลิงไปเป็นการชั่วคราวคือการทรยศ ทว่านางก็ไม่คิดจะให้คำอธิบายใดๆ กับบุคคลหลังม่าน นางแค่อยากเดินไปหน้าม่านไข่มุกแล้วทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ให้เสร็จก็เท่านั้น

    นางเดินต่อเงียบๆ ไม่ตอบคำถาม ชุดนักพรตสีฟ้าอมเขียวบนกายพลิ้วไหวอยู่บนพื้นสีดำเป็นมัน มองไปคล้ายใบไม้ที่ล่องลอยอยู่ในความมืด ไม่มีอะไรสะดุดตาแต่กลับดึงดูดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

    เสินกวนที่ยืนอยู่ข้างเสาตวาดเสียงกร้าว

    “บังอาจ!”

    เสินกวนอีกคนตวาดตาม

    “บังอาจ!”

    จากนั้นเสินกวนอีกหลายคนก็พากันกรูออกมา ชายเสื้อคลุมสีแดงของพวกมันเรี่ยไปกับพื้นวิหาร คล้ายโลหิตไหลนองอยู่บนพื้นก่อนรวมตัวเป็นสระโลหิตผืนหนึ่ง

    “บังอาจ!”

    เสียงตวาดด้วยความโกรธแค้นทยอยดังขึ้น แต่สีหน้าเยี่ยหงอวี๋ไม่แปรเปลี่ยน ยังคงสงบนิ่งเย็นชา สาวเท้าเดินอย่างหนักแน่นมั่นคง เดิมทีนางก็เป็นคนทระนงถือดีอยู่แล้ว ดังนั้นมีหรือที่นางจะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนต่อเสียงตวาดเหล่านี้

    เหล่าเสินกวนในวิหารเดือดดาลแทบคลั่ง ต่างแผดเสียงคำรามจนหน้าดำหน้าแดง แต่แปลกที่ไม่มีผู้ใดกล้าสะอึกกายเข้าไปขวางทางแม้แต่คนเดียว มิหนำซ้ำขณะที่เยี่ยหงอวี๋เดินฝ่าเข้าไป พวกมันยังรีบถอยหลบกันให้จ้าละหวั่น มองไปคล้ายใบไม้ใบหนึ่งร่วงตกลงไปในสระโลหิต เพียงแต่โลหิตในสระกลับแหวกหนีเข้าหาฝั่ง มิกล้าสัมผัสถูกใบไม้นั่นเลยแม้แต่น้อย

    ในที่สุดนางก็เดินมาถึงม่านไข่มุก มองจ้าวบัลลังก์ที่ยังคงนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ ท่าทางเหมือนกำลังขบคิดถึงปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนอยู่

    เยี่ยหงอวี๋ก้มศีรษะแสดงคารวะ สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเช่นทุกครั้ง

    ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเงยหน้าขึ้น สายตาแรงกล้ามองทะลุผ่านม่าน กล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินยอมให้ผู้ใดปฏิเสธ

    “คุกเข่า”

    เสียงนี้ไม่ดังไม่ค่อย แต่กลับทำให้เหล่าเสินกวนทั้งหลายตื่นขึ้นจากภวังค์ ทั้งนี้เพราะในใจพวกมันความหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่มีต่อจ้าวบัลลังก์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกมันครุ่นคิด ต่อให้นางโชคดีได้พลังฌานกลับคืนมา กลายเป็นผู้งมงายยุทธ์ที่น่ากลัวคนเดิม แต่ที่นี่คือวิหารของหน่วยพิพากษา ผู้ที่นั่งอยู่หลังม่านคือจ้าวบัลลังก์ที่ไร้ผู้เทียมทาน ฉะนั้นนอกจากคุกเข่าลง นางยังมีปัญญาทำอะไรได้อีก

    เหล่าเสินกวนยกมือชี้เยี่ยหงอวี๋ที่ยังคงยืนก้มหน้านิ่ง ตวาดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

    “คุกเข่า!”

    “คุกเข่า!”

    “คุกเข่า!”

    เสียงของพวกมันดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วตัววิหาร

    ตอนยังเป็นผู้งมงายยุทธ์ เยี่ยหงอวี๋ไม่เคยคุกเข่าให้กับจ้าวบัลลังก์ผู้นี้ ต่อมาเมื่อสูญเสียด่านฌาน มิใช่ผู้งมงายยุทธ์คนเดิมอีก นางเคยคุกเข่าให้มันครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นนางถูกมันกดดันและสบประมาทอย่างไม่ไว้หน้า นับจากวันนั้นเป็นต้นมานางจึงสาบานกับตัวเอง หากยังไม่สามารถครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่พอที่จะไม่ต้องคุกเข่าให้กับผู้ใดอีก นางจะไม่ขอเหยียบย่างเข้ามาในวิหารหน่วยพิพากษาแม้แต่ก้าวเดียว

    ดังนั้นการที่นางเดินเข้ามาในวันนี้ ย่อมหมายถึงว่านางไม่คิดจะคุกเข่าให้ผู้ใดอีก

    “ข้าจะคุกเข่าให้เฉพาะคนที่คู่ควรเท่านั้น”

    เยี่ยหงอวี๋ตอบ

    จ้าวบัลลังก์ยืดตัวนั่งตรง ถามเสียงเรียบ

    “อย่างเช่นผู้ใด”

    เยี่ยหงอวี๋ตอบ

    “อย่างเช่นเฮ่าเทียน เจ้าอาราม เจ้านิกาย จ้าวบัลลังก์โองการฟ้า จ้าวบัลลังก์เหลียนเซิง”

    “นี่เจ้ากล้าเอาข้าไปเทียบกับอสูรพรรคมารอย่างเหลียนเซิงเชียวรึ!”

    น้ำเสียงของจ้าวบัลลังก์เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบ

    เยี่ยหงอวี๋ยิ้มหยัน

    “ท่านยังสู้กลีบบัวเหี่ยวๆ กลีบหนึ่งของจ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงไม่ได้ เอาไปเทียบกันนับว่าไม่สมควรจริงๆ”

    จ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษาพลันหัวร่อ เสียงหัวร่อของมันเต็มไปด้วยความเดือดดาลไร้ปรานี

    “อย่าคิดว่ามีหน่วยโองการฟ้ากับพี่ชายคอยปกป้องแล้วข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า! อย่าลืม ที่นี่คือวิหารหน่วยพิพากษา พวกเรามีกฎที่เฮ่าเทียนประทานให้!”

    เยี่ยหงอวี๋เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “ความเดือดดาลของหน่วยพิพากษาสมควรเป็นอัคคีเทพของเฮ่าเทียน แต่ความเดือดดาลของท่านในตอนนี้สามารถเป็นได้แค่เสียงหัวร่อเท่านั้น ช่างน่าขบขันสิ้นดี”

    หลังม่านมีเสียงอุทานดังเอ๊ะ นั่นเป็นเพราะจ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษาเพิ่งค้นพบเรื่องเหนือความคาดหมายจากแววตาของนาง น้ำเสียงของมันเปลี่ยนเป็นอ่อนลงทันที

    “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับคืนสู่ด่านฌานเดิมได้ นับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้า เอาเถอะ หน่วยพิพากษาไม่ปฏิเสธคนมีความสามารถ เช่นนั้นเจ้าก็กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยตามเดิมก็แล้วกัน”

    จ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษาเป็นตัวแทนเฮ่าเทียนลงโทษผู้กระทำผิดต่อนิกาย รักษาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้อย่างเย็นชาไร้น้ำใจ สำหรับหน่วยพิพากษา พลังความสามารถอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่อ่อนแอสมควรถูกกดขี่ข่มเหง ผู้ที่เข้มแข็งสมควรได้รับทั้งอำนาจและเกียรติยศ หากสูญสิ้นความสามารถความเข้มแข็งก็ย่อมไม่มีคุณสมบัติได้รับอำนาจและเกียรติยศที่ว่านี้อีก และไม่แน่ว่ากระทั่งชีวิตก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ แต่หากได้พลังความสามารถกลับคืนมาก็ย่อมกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้อีกครั้ง

    สำหรับคนนอก นี่คือเรื่องเหลือเชื่อ แต่สำหรับคนในหน่วยพิพากษา นี่คือเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรมยิ่ง บรรดาเสินกวนในชุดเสื้อคลุมสีแดงพอได้ยินคำของจ้าวบัลลังก์ก็พากันล่าถอยไปยืนด้านข้างอย่างสงบ ตามความคิดของพวกมัน สิ่งที่เยี่ยหงอวี๋ต้องการก็คือคำพูดประโยคนี้ของจ้าวบัลลังก์เท่านั้น

    เยี่ยหงอวี๋ฝืนลดด่านฌานของตัวเองจนพลังความสามารถเสื่อมถอยอย่างหนัก ไม่มีหวังที่จะกลับมาเป็นผู้งมงายยุทธ์คนเดิมอีก ดังนั้นนางจึงได้เห็นความเย็นชาอำมหิต และยังถูกเหยียดหยามดูแคลนต่างๆ นานา บัดนี้พลังฌานของนางไม่เพียงแค่หวนกลับคืน ซ้ำยังแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิม นางจึงมีคุณสมบัติได้รับอำนาจและเกียรติยศเหมือนแต่ก่อนเก่า ทว่าจะให้นางลืมความอัปยศที่ผ่านมา ปล่อยให้จ้าวบัลลังก์หน่วยพิพากษาลบทิ้งด้วยคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเสมือนเรื่องราวทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างนั้นหรือ

    ต้องรู้ว่าต้าเสินกวนของอาศรมเทพแห่งซีหลิงอยู่ใต้เฮ่าเทียนเพียงหนึ่งเดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับล้าน ฐานะจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เจ้านิกายก็มิอาจตำหนิหรือซักไซ้ไล่เลียงตามใจชอบ การที่ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษายินยอมให้เยี่ยหงอวี๋หวนคืนสู่อาศรมเทพ กลับคืนสู่ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่หน่วยพิพากษาในทันทีก็นับว่าใจกว้างมากพอแล้ว ทว่าจะให้มันกล่าวคำขอโทษด้วยนั้น เมินเสียเถอะ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหน่วยพิพากษาของอาศรมเทพแห่งซีหลิงมิใช่สถานที่ที่มีน้ำใจ

    เยี่ยหงอวี๋เองก็มิใช่คนมีน้ำใจ พอฟังอีกฝ่ายกล่าวจบ มุมปากก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ช่วงเวลาที่รอยยิ้มงามผุดผาดคลี่ขยาย เบื้องหน้าสายตานางพลันผุดภาพขึ้นมากมาย

    ท่ามกลางม่านหิมะบนทะเลสาบเยี่ยนหมิง ขณะต้านรับการจู่โจมของหอกเหล็ก หนิงเชวียรั้งดาบกลับ จากนั้นใช้ดาบแทนกระบี่แทงใส่ท้องของซย่าโหว

    ภายในห้องศิลาใต้แสงสลัวของตะเกียง นางฉีกซองจดหมายดึงกระดาษออกมา ภาพกระบี่บนนั้นกลายเป็นมหานทีขุ่นคลั่กที่เชี่ยวกรากสายหนึ่ง

    ในสำนักพรรคมาร บนเขาโครงกระดูก จ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงที่ผอมแห้งจนมีสภาพคล้ายโครงกระดูกจับไหล่ทั้งสองของนางไว้แน่น ก่อนก้มลงกัดทึ้งเนื้อหนังนวลเนียนของนางกินด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตา

    ที่ก้นทะเลสาบต้าหมิง ก้อนหินที่มีเหลี่ยมคมจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนขวางทางข้างหน้าเอาไว้ หลังเช็ดตะไคร่น้ำที่จับอยู่บนหินก้อนหนึ่งออก นางก็พบเห็นรอยกระบี่สองรอยที่เคอเซียนเซิงของสถานศึกษาทิ้งไว้

    ภาพทั้งหมดผ่านสายตานางไปอย่างรวดเร็ว รอยกระบี่สองรอยสุดท้ายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ตกลงบนกระดาษสีเหลือง ตกลงบนทะเลสาบน้ำแข็ง ตกลงในสายตาและจิตใจนาง แล้วเข้าไปในฝักกระบี่ที่ห้อยไว้ข้างเอว

    เยี่ยหงอวี๋ชักกระบี่ออกจากฝัก แทงใส่ม่านไข่มุกด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ!

    วิหารดำของหน่วยพิพากษาซึ่งถูกสาดส่องด้วยแสงตะวันจนดูงดงามน่าเกรงขามจู่ๆ ก็สั่นไหว ฝุ่นดินฝุ่นหินจำนวนมากมายมหาศาลฟุ้งกระจายออกจากตัววิหาร บดบังทัศนียภาพภายนอกจนมองอะไรแทบไม่เห็น

    แทบจะในเวลาเดียวกัน ภายในวิหารสีขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดก็เกิดเสียงอสนีบาตดังลั่นไปไกลทั่วทั้งหุบเขา ราวกับเทพบนสวรรค์ได้รับความแตกตื่นตกใจอันใด ส่วนในวิหารเทพอีกหลังกลับมีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ของต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเท่านั้น

    สภาพภายในวิหารดำหน่วยพิพากษาบัดนี้ดูน่าตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เสินกวนในชุดเสื้อคลุมสีแดงต่างก็ทยอยล้มลง ม่านไข่มุกผืนนั้นถึงกับแหลกละเอียดเป็นผุยผง

    เยี่ยหงอวี๋ยืนอยู่หน้าบัลลังก์หยกดำ มือขวาที่ถือกระบี่สั่นเล็กน้อย ใบหน้าขาวเผือดดูเฉยชาเป็นอย่างยิ่ง

    นางดึงกระบี่ที่แทงลึกอยู่ในอกของต้าเสินกวนออกช้าๆ เลือดมากมายฉีดพุ่งออกมา ย้อมเสื้อคลุมเทพให้เปียกชุ่มทั้งยังกระเซ็นเลอะชุดนักพรตบนตัวนางเป็นดอกดวง

    ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาขมวดคิ้วขณะก้มหน้ามองแผลที่หน้าอก รำพึงเสียงแผ่วเบา

    “ไม่มีเหตุผล”

    เยี่ยหงอวี๋กล่าว

    “ท่านพูดเอง นี่คือกฎที่เฮ่าเทียนประทานให้แก่พวกเรา เช่นนั้นขอเพียงข้ามีความสามารถพอ ก็ฆ่าท่านได้โดยไม่มีความผิด”

    ใบหน้าของต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาปรากฏแววเจ็บปวดและโกรธแค้น มันยกมือขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็สะท้านเฮือกขาดใจตายไปเสียก่อน

    เยี่ยหงอวี๋กระชากร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตลงจากบัลลังก์ ก่อนขึ้นไปนั่งแทน ตอนก้าวขึ้นบัลลังก์นางเหยียบย่ำลงบนศพของต้าเสินกวนหน่วยพิพากษา ใช้ร่างที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรต่างบันได

    นับจากนี้ไป อาศรมเทพแห่งซีหลิงมีต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาคนใหม่แล้ว

    บัลลังก์หยกดำบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต หยดเลือดเล็กๆ บนชุดนักพรตของนางจึงไม่มีอันใดสะดุดตา แต่ก็กลับให้ความรู้สึกเย็นชาอำมหิตอย่างถึงที่สุด

     

    ภายใต้แสงดาว อารามจือโส่วดูเงียบเหงาวังเวง คล้ายไม่มีผู้คนพักอาศัยอยู่นานชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว หญ้าเหลืองทิ้งตัวห้อยอยู่ตรงชายคา องค์ชายหลงชิ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง อ่านม้วนตำราตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น มิได้สนใจไยดีกับทิวทัศน์รอบด้านที่งดงามดั่งสรวงสวรรค์ แววตาของมันมีแต่ความกระหายที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งมุ่งมั่นและจดจ่อ

    วันนั้นตอนเห็นชื่อของผู้งมงายยุทธ์ ผู้งมงายอักษรและหนิงเชวียในคัมภีร์สวรรค์เล่มตะวัน อารมณ์ริษยา โกรธแค้นและไม่ยอมรับก็พลันบังเกิดขึ้นในใจมัน เพราะแต่เดิมมันคือบุตรของเฮ่าเทียน อย่างน้อยที่สุดก็สมควรได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับคนทั้งสาม ทว่าบนหน้าผาหิมะในทุ่งร้าง ชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อมของมันกลับถูกทำลายไปสิ้นด้วยธนูเพียงดอกเดียว แม้ที่ริมทะเลหนานไห่มันจะได้พบกับโอกาสทำให้ได้กลับมาเดินบนเส้นทางของการฝึกฌานอีกครั้ง ทว่าก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จึงทำให้ยังอยู่ในด่านสู่พิสดาร ห่างจากสิ่งที่มันควรเป็นอีกไกล

    แต่ใช้เวลาไม่นานมันก็ขจัดความรู้สึกในด้านลบทิ้งไป เพราะมีแต่ปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้นจึงจะจมดิ่งและทุกข์ทรมานอยู่กับอารมณ์เหล่านั้น นี่มิได้หมายความว่ามันไม่ชิงชังโกรธแค้นหนิงเชวียหรืออิจฉาริษยาเยี่ยหงอวี๋กับโม่ซันซันอีก เพียงแต่มันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องกระทำ เพราะผลลัพธ์ต่างหากที่สำคัญที่สุด ขอเพียงมันสามารถอ่านคัมภีร์สวรรค์ที่มีอยู่ทั้งหมดได้จนกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม มันก็จะสามารถช่วงชิงสิ่งที่สูญเสียไปทั้งหมดกลับคืนมา ทั้งไม่แน่ว่าอาจจะได้ครอบครองมากกว่าที่เคยมีเฉกเช่นเดียวกับเยี่ยหงอวี๋ก็เป็นได้

    คัมภีร์สวรรค์ที่หลงชิ่งกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้คือคัมภีร์สวรรค์เล่มที่สาม…เล่มทราย

    สาเหตุที่คัมภีร์สวรรค์เล่มนี้ถูกเรียกว่าเล่มทรายเป็นเพราะในคัมภีร์จดบันทึกวิธีการฝึกฌานเอาไว้มากมายหลายแขนง ดุจดั่งเม็ดทรายในสายนทีที่ไม่มีปัญญานับได้ถ้วนทั่ว มีทั้งที่กำเนิดเกิดจากสำนักและพรรคตามป่าเขา มีทั้งที่มาจากหลักการของนิกายเฮ่าเทียนและแนวทางปฏิบัติของนิกายพุทธแบบหวาเหยียน* ซึ่งทั้งหมดล้วนยอดเยี่ยมลึกล้ำยากจะบรรยาย หรือแม้กระทั่งวิธีการฝึกที่ชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียนและลึกลับที่สุดของพรรคมารก็ยังถูกบันทึกเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านจำนวนหรือความเป็นเลิศจึงมีเพียงถ้ำบนเขาหลังสถานศึกษาเท่านั้นที่สู้ได้ แม้แต่หอเก็บตำราของเขตชิงเหอที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแผ่นดินก็ยังมิอาจเทียบเทียม

    แสงดาวส่องลงบนหน้ากระดาษทำให้ภาพคนที่วาดขึ้นด้วยหมึกสีดำข้นกระจ่างตา ระหว่างภาพคนมีขีดหลายขีดลากไปมา ด้านล่างยังจดสาระสำคัญของการฝึกรวมถึงเรื่องที่ต้องให้ความสนใจเอาไว้อย่างละเอียดยิบ เคล็ดวิชาที่ดูแปลกพิสดารนี้มีชื่อว่าดวงเนตรสีเทา

    ดวงเนตรสีเทามิใช่เคล็ดวิชาดั้งเดิมของนิกายเต๋าและมาร แต่เป็นผลมาจากการคิดค้นของยอดคนในอดีตของอารามจือโส่ว ยอดคนผู้นี้หลังฆ่าผู้อาวุโสพรรคมารที่ฝึกวิชาเทาเที่ยได้ก็ขบคิดใคร่ครวญอยู่นานสามวันสามคืน อาศัยความรู้ที่มากมายดั่งน้ำในมหาสมุทรกับสติปัญญาอันล้ำเลิศของตัวเอง พลิกแพลงเคล็ดวิชาเทาเที่ยไปอีกขั้นหนึ่ง

    ในเมื่อเคล็ดวิชานี้มีรากฐานมาจากเคล็ดวิชาเทาเที่ย ตามหลักจึงยังคงเป็นการแย่งชิงพลังจิตของผู้ฝึกฌานคนอื่นมาเสริมสร้างให้ร่างกายตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดกินเนื้อคนอีก แม้จะเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เหม็นกลิ่นคาวเลือดเหมือนอย่างเคล็ดวิชาเทาเที่ย แต่อันที่จริงก็ยังโหดเหี้ยมอำมหิตไม่ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่

    หากมันยังเป็นองค์ชายหลงชิ่งคนเดิมที่ทระนงถือดีและชิงชังความสกปรกโสมม จะต้องไม่มีทางยอมฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายเยี่ยงนี้แน่ ทว่าหลังผ่านเรื่องราวมามากมายและเคยตกอับจนถึงที่สุดจนต้องทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเพื่อเอาตัวรอด การฝึกวิชาที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้สำหรับมันจึงไม่นับว่าเป็นกระไรได้

    แสงดาวสุกสกาวดุจสายน้ำ ส่องลานกว้างในอารามให้เย็นระรื่นไปทั้งแถบ ภายในกระท่อมซึ่งมืดสลัว หลงชิ่งยังคงนั่งอ่านคัมภีร์สวรรค์เล่มทราย ความนึกคิดเคลื่อนไปตามเคล็ดวิชา ใบหน้ายิ่งนานยิ่งซีดเผือด

     

    หลายวันก่อน ขณะเรือน้อยลอยกระเพื่อมอยู่กลางคลื่นในทะเลหนานไห่ ดวงตะวันเหนือผืนทะเลร้อนแรงมากเป็นพิเศษ หมู่มวลมัจฉาจึงพากันดำดิ่งหนีความร้อนลงไปยังใต้ทะเลกันหมด นกนางนวลทะเลก็หายหน้าไปไม่เห็นร่องรอย หลงชิ่งนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังนักพรตชุดเขียว แม้จะโดนแดดแผดเผา ทว่าใบหน้ามันกลับไม่ดำคล้ำ ยังคงขาวซีดเหมือนคนป่วยไข้

    ตรงนี้คือกลางทะเลลึก ห่างจากชายฝั่งมิรู้กี่หมื่นลี้ มองไม่เห็นเส้นแผ่นดินนานแล้ว นักพรตชุดเขียวยืนอยู่ตรงหัวเรือมองคลื่นที่กำลังม้วนตัวขึ้นลง ร่างแน่วนิ่งไม่ซวนเซแม้แต่น้อย ราวกับกำลังยืนมองจากบนฝั่ง

    “ความยึดติดคืออุปสรรค ไม่ว่าจะยึดติดต่อแสงสว่างหรือต่อความมืดก็ตาม”

    พื้นกระดานเรือถูกแดดเผาจนร้อนลวก แต่หลงชิ่งไม่กล้าขยับ แม้จะรู้สึกว่าเข่าตัวเองเหมือนกำลังจะไหม้เกรียม เพียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

    “ศิษย์เคยลองไม่ยึดติด เดินเข้าหาความมืดที่อยู่ทางทิศเหนือของทุ่งร้าง ทว่าแม้จะเดินไปไกลแสนไกลก็ยังไม่เห็นแสงสว่างในความมืดอยู่ดี”

    นักพรตชุดเขียวยังคงเอามือไพล่หลังขณะกล่าว

    “เจ้าคิดจะค้นหาบางอย่าง ดังนั้นจึงต้องเลือก และการเลือกก็เป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง”

    หลงชิ่งถาม

    “แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ยึดติด”

    นักพรตชุดเขียวตอบ

    “นิกายพุทธให้ความสำคัญกับการนั่งกรรมฐานเพื่อทำให้จิตใจสงบและว่างเปล่า โดยใช้หลักที่ว่าไม่ครุ่นคิดคือไม่ยึดติด หากเจ้ามัวแต่ครุ่นคิดถึงแสงสว่าง ถึงความมืด เจ้าก็จะเกิดความลังเลซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฌาน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเลือก แค่ทำตามที่เฮ่าเทียนเลือกก็พอ”

    “แต่…ศิษย์ไม่ใช่จ้าวบัลลังก์โองการฟ้า ไม่สามารถรับรู้ถึงโองการของเฮ่าเทียน จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่เฮ่าเทียนเลือก จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ได้เลือกผิด”

    นักพรตชุดเขียวตอบ

    “เจ้าคิดอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น”

    หลงชิ่งยิ่งงุนงงหนักขึ้น

    “นั่นมิใช่เป็นการทำตามใจปรารถนาหรอกหรือ”

    นักพรตชุดเขียวหัวร่อ

    “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนถูกเฮ่าเทียนกำหนดไว้แล้ว การดำเนินไปของทุกสรรพสิ่งต่างก็อยู่ในมือของเฮ่าเทียน รวมถึงจิตใจของคนเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เจ้าทำทุกอย่างตามใจปรารถนาจึงมิใช่การทำอย่างไร้กฎเกณฑ์ แต่เป็นการทำตามที่เฮ่าเทียนกำหนดไว้แล้วนั่นเอง”

    ได้ยินเช่นนั้น หลงชิ่งพลันรู้สึกเหมือนมีหิมะพร่างพรมลงบนตัว ชะล้างความร้อนอบอ้าวของแสงตะวันให้หมดสิ้นไป รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งขึ้นอักโข ทั้งยังเข้าใจเรื่องราวได้มากมาย มันหมอบคารวะจนหน้าผากแนบกับพื้นกระดานอันร้อนระอุ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าที่เต็มไปด้วยความกระหาย

    “ศิษย์ต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”

    นักพรตชุดเขียวพยักหน้า

    “วันก่อนข้าโยนเจ้าเข้าไปกลางน้ำพุอัคคี ใช้ความอบอุ่นที่เฮ่าเทียนประทานให้ด้วยความเมตตาสร้างชี่ไห่เสวี่ยซานในตัวเจ้าขึ้นมาใหม่ บัดนี้เจ้าสามารถฝึกฌานได้แล้ว หากเจ้าต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่งได้รวดเร็วกว่านี้ พอขึ้นฝั่งก็จงเดินทางไปที่ซีหลิง ไปยังอารามเก่าโทรมหลังนั้น”

    ตอนนี้หลงชิ่งรู้แล้วว่านักพรตชุดเขียวมีฐานะสูงส่งถึงระดับใด จึงคาดเดาออกว่าอารามเก่าโทรมที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก็คืออารามจือโส่วที่เคยได้ยินแต่ในคำเล่าลือ มันดีใจปานคลุ้มคลั่ง ก้มลงโขกศีรษะติดๆ กันหลายครา

    “ในอารามตอนนี้มีคัมภีร์สวรรค์อยู่หกเล่ม เมื่อใดที่เจ้าอ่านคัมภีร์ทั้งหกเข้าใจก็จะกลายเป็นผู้มีความเข้มแข็งเกรียงไกร ทว่าการอ่านคัมภีร์สวรรค์นั้นยากลำบากไม่น้อย…สมัยนั้นเยี่ยซูก็ยังต้องใช้กระบี่แทงตัวเองจึงจะสามารถเลื่อนสายตาไปจากหน้ากระดาษได้ ด้วยจิตปณิธานของเจ้าต้องไม่มีทางทนความเย้ายวนใจของคัมภีร์สวรรค์ได้แน่ ถึงตอนนั้นการที่มรรคจิตถูกทำลายและก่อตัวขึ้นมาใหม่จะนำความเจ็บปวดอย่างมหันต์มาสู่เจ้า”

    สีหน้าหลงชิ่งเด็ดเดี่ยวขณะตอบ

    “ศิษย์ไม่กลัวความเจ็บปวดและความลำบากใดๆ”

    นักพรตชุดเขียวพยักหน้า

    “ศิษย์นิกายเต๋ามีเป็นพันเป็นหมื่น แต่ที่มีวาสนาได้เข้าไปในอารามจือโส่วกลับมีจำนวนเพียงน้อยนิด เจ้ามิใช่ต้าเสินกวน และมิใช่ศิษย์ที่ทำความดีความชอบใหญ่หลวงให้กับนิกาย ฉะนั้นเมื่อเจ้าเข้าไปจะมีฐานะเป็นเพียงแค่คนงานทั่วไปเท่านั้น เจ้ารังเกียจหรือไม่”

    หากให้ผู้ฝึกฌานทั่วแผ่นดินรู้ถึงโอกาสที่จะได้เข้าอารามจือโส่วไปอ่านคัมภีร์สวรรค์ อย่าว่าแต่ให้เป็นคนงานทั่วไป ต่อให้พวกมันต้องกอบอุจจาระไปทิ้งทั้งวันก็คงจะเต็มอกเต็มใจ ไม่แน่อาจจะรู้สึกว่ากลิ่นอุจจาระนั้นหอมเสียด้วยซ้ำ

    หลงชิ่งเองก็คิดเช่นนี้ จึงตอบโดยไม่ลังเล

    “ศิษย์ยินยอมทำทุกอย่างเพื่อนิกาย”

    นักพรตชุดเขียวกล่าวทิ้งท้าย

    “ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเจ้า แต่ในอารามมีเฒ่าชราที่อารมณ์ฉุนเฉียวดุร้ายอาศัยอยู่หลายคน แม้แต่ข้าก็ยังไม่อยากจะสนใจพวกมัน ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ากลัวก็แล้วกัน”

    หลงชิ่งตะลึงงัน คิดในใจ เจ้าอารามจือโส่วเป็นบุคคลระดับใดแล้ว หรือนอกจากจอมปราชญ์ของสถานศึกษายังมีคนที่สามารถทำให้เจ้าอารามรู้สึกยากจะรับมือได้อยู่อีก

     

    อารามจือโส่วในยามวิกาลมีเพียงเสียงแมลงร้องให้ได้ยินเป็นระยะๆ

    ใบหน้าหลงชิ่งบัดนี้ขาวเผือด เหงื่อเม็ดโตเท่าเมล็ดถั่วผุดขึ้นจากหน้าผากไหลย้อยลงมาไม่หยุด แววตามันเริ่มแตกซ่าน ดูอ่อนล้ากะปลกกะเปลี้ยจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานยิ่ง

    ทุกครั้งที่เปิดคัมภีร์สวรรค์เล่มทราย มันจะได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส คืนนี้ก็เช่นกัน หลังเริ่มฝึกเคล็ดวิชาดวงเนตรสีเทา ความเจ็บปวดนั้นก็ทวีมากขึ้นจนน่าหวั่นใจ หน้ากระดาษที่ดูปกติธรรมดาคล้ายปรากฏกระบี่ที่ไม่มีตัวตนขึ้นมากมายแทงใส่มรรคจิตของมันไม่หยุด ราวกับต้องการจะทะลุทะลวงมรรคจิตของมันให้เป็นรูพรุน

    พออ่านตัวอักษรสุดท้ายของเคล็ดวิชาดวงเนตรสีเทาจบ มรรคจิตของมันก็แหลกละเอียด ความหวาดกลัวและความเจ็บปวดเหมือนถูกคมมีดนับพันนับหมื่นกรีดเฉือนทำให้มันสิ้นสติไป

    มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด หลงชิ่งค่อยฟื้นคืนสติขึ้นมา แสงอรุณเริ่มปรากฏให้เห็นทางหน้าต่าง มันรีบสำรวจเนื้อตัว แต่ก็ไม่พบร่องรอยบาดเจ็บอันใด อีกทั้งมรรคจิตของมันก็ยังแข็งแกร่งมั่นคงเหมือนเดิม คล้ายเจตนารมณ์กระบี่นับพันนับหมื่นที่ปรากฏขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

    มันเดินออกจากกระท่อมอย่างมึนงงสับสน ไปที่ทะเลสาบเพื่อวักน้ำล้างหน้า พอสติสัมปชัญญะแจ่มใสขึ้นบ้างก็เดินไปล้างเนื้อตัวลวกๆ ที่กระท่อมของตัวเอง แล้วเริ่มตักน้ำก่อไฟหุงข้าว หลังรับใช้อาจารย์อาทั้งสามที่เป็นผู้ดูแลคัมภีร์สวรรค์กินข้าวเช้าเสร็จ มันก็หาบน้ำสะอาดสองถังกับสะพายของหลายกล่องไปยังด้านหลังของอาราม

    ตลอดช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี่ ทุกวันหลงชิ่งจะต้องเก็บกวาดทำความสะอาดลานด้านใน หุงหาอาหาร เช็ดโต๊ะฝนหมึก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นงานจิปาถะ จนกระทั่งกลางดึกจึงค่อยมีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ฝึกฌาน ผ่านวันเวลาไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทว่าจิตใจของมันกลับสงบนิ่ง ไม่เคยปริปากบ่น ก้มหน้าก้มตาทำเงียบๆ พยายามให้งานเสร็จเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านคัมภีร์ในตอนกลางคืน

    ที่น่าแปลกก็คือหนิงเชวียศัตรูคนสำคัญที่สุดของมัน ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะหลังเข้าสถานศึกษาได้ก็ต้องผ่านวันคืนที่เต็มไปด้วยความยากลำบากเช่นกัน มิทราบว่านี่เป็นการตอบรับกับคำพูดของอาจารย์อาของสถานศึกษาหรือไม่ ที่ว่าหากโชคชะตาเลือกผู้ใด ผู้นั้นก็จะมีเรื่องมากมายให้ต้องกระทำ

    หลงชิ่งคอนไม้หาบเดินออกจากอารามมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง

    ที่ผ่านมา แม้จะเป็นความเจ็บปวดทรมานที่ยากจะทนทานรับได้ มันก็ยังยิ้มรับอย่างเต็มใจ ทว่าขณะแหงนมองหน้าผาที่อยู่ตรงหน้า แววตามันกลับเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงคิดอยากจะหนีไปให้พ้น

    เชิงผาคือป่ารกชัฏ ตามผนังผามีต้นชิงเถิงขนาดเท่านิ้วมือเลื้อยเกาะเต็มไปหมด มองไปตามช่องว่างระหว่างต้นชิงเถิงจะเห็นผนังหินสีเหลืองเทารวมถึงปากถ้ำน้อยใหญ่มากมาย ถ้ำที่ดำมืดเหล่านี้คล้ายมีกลิ่นอายลึกลับแฝงอยู่

    หน้าผาแห่งนี้สูงชันยิ่ง ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการแก่ผู้คน หลงชิ่งที่กำลังแหงนหน้ามองจึงดูเหมือนมดปลวกไปทันที ต้นไม้แถบนี้แผ่กิ่งก้านและใบดกครึ้มจนบดบังแสงตะวัน รอบด้านจึงดูมืดสลัววังเวงและน่ากลัว ดีที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเดินพ้นแนวป่าบริเวณนี้แล้ว

    มันขยับไม้คานบนไหล่ พยายามไม่ให้กดทับบาดแผลที่ได้รับเมื่อสองสามวันก่อน แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจ จากนั้นก้มหน้าเดินไต่ไปตามทางขึ้นเขาที่แคบและสูงชัน

    การหาบของหนักเดินไต่ขึ้นหน้าผาเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจ กว่าหลงชิ่งจะไปถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง เอวมันก็แทบจะหักออกจากกัน ดีที่ตรงนั้นมีที่โล่งกว้างประมาณสามสี่ก้าวให้วางหาบ มันจำได้ว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีน้ำพุ แต่มันมิได้เข้าไปตักน้ำเพิ่ม แค่ล้วงกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา ก่อนใช้มือแหวกต้นชิงเถิงให้เปิดออกเป็นช่องแล้วเดินเข้าไป

    เพดานถ้ำต่ำเตี้ย มันต้องก้มตัวลงจึงจะเดินเข้าไปได้ ข้างในแทนที่จะมืดสลัวกลับสว่างไสวเจิดจ้า ทั้งนี้เพราะทุกสองสามก้าวบนผนังถ้ำจะมีไข่มุกราตรีฝังเอาไว้เม็ดหนึ่ง ไข่มุกเหล่านี้เม็ดกลมเกลี้ยง ขนาดเท่าไข่ไก่ มีประกายแวววาวกระจ่างตา หากนำออกไปขายจะต้องมีค่าควรเมือง คิดไม่ถึงว่าภายในถ้ำบนภูเขาหลังอารามจือโส่วจะมีคนเอามาใช้แทนตะเกียงอย่างไม่เสียดาย

    นี่มิใช่ครั้งแรกที่หลงชิ่งมาถ้ำนี้ จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด ผิดกับครั้งแรกที่เข้ามา มันถึงกับตะลึงพูดไม่ออก เพราะแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในวังมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็เคยเชยชมไข่มุกราตรีที่มีขนาดเท่านี้มาแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั้น

    ถ้ำนี้มองจากภายนอกดูต่ำเตี้ยและคับแคบ ทว่าภายในกลับเป็นเหมือนดั่งสวรรค์บนโลกมนุษย์ ตามผนังถ้ำมีการแกะสลักลวดลายแต่งแต้มด้วยหยกเป็นรูปบุปผาและวิหคอย่างงดงาม บนพื้นยังปูด้วยอิฐทอง ส่วนผนังกำแพงก็คาดด้วยแถบเงิน รอจนเดินเข้าไปถึงโถงถ้ำที่อยู่ด้านในสุด สายตาก็ต้องปะทะเข้ากับบุปผาหน้าตาประหลาดนานาชนิด รวมทั้งภาพอักษรลายพู่กันโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ดูหรูหราล้ำค่าไม่มีสิ่งใดเปรียบ เป็นความฟุ้งเฟ้อที่อยู่เหนือจินตนาการของผู้คน คิดว่ากระทั่งจักรพรรดิของแคว้นต่างๆ ก็ยังไม่มีวาสนาได้เสพสุขถึงเพียงนี้ นั่นเป็นเพราะนอกจากนิกายเฮ่าเทียนที่แผ่อำนาจและบารมีไปสุดไพศาลจนมีขุมสมบัติให้ใช้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น ก็มิมีขุมกำลังใดสามารถกระทำเรื่องฟุ้งเฟ้อหรูหราได้ถึงขั้นนี้อีกแล้ว

    กลางโถงถ้ำมีตั่งเตี้ยขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษอยู่ตัวหนึ่ง บนตั่งปูหนังหมาป่าหิมะไว้หลายสิบผืน มองเผินๆ ราวกับพื้นที่เต็มไปด้วยปุยหิมะ บนปุยขนขาวเป็นเงินยวงมีพรตเฒ่าใบหน้าซูบตอบนั่งอยู่คนหนึ่ง รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าลึกชัด ชุดนักพรตบนร่างดูสกปรกและยับย่น คล้ายไม่ได้ผลัดเปลี่ยนมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว

    หมาป่าหิมะมีความดุร้ายและทรหดอดทนเป็นเลิศ กว่าจะล่าได้สักตัวนับเป็นเรื่องยาก ทว่าที่นี่กลับมีหนังของพวกมันอยู่มากมาย พรตเฒ่าผู้นี้ต้องมีพลังฌานสูงส่งไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

    หลงชิ่งเดินไปถึงหน้าตั่งก็คุกเข่าลง ประคองกล่องใบเล็กยื่นส่งให้ด้วยสองมือ มันก้มหน้ามิกล้าสบตาพรตเฒ่าแม้แต่แวบเดียว ท่าทางดูเคารพนบนอบถ่อมเนื้อถ่อมตัวยิ่ง

    ยามนอนก็นอนบนหนังหมาป่าหิมะ ยามตื่นก็อยู่ท่ามกลางของล้ำค่าควรเมือง คิดว่านี่คงเป็นชีวิตที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องใฝ่ฝันถึง ทว่าใบหน้าซูบตอบของพรตเฒ่ากลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เหมือนผีตายซาก สิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่คือดวงตาที่นานๆ จึงจะกลอกกลิ้งไปมาสักครา ดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วยความดุร้าย ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยความบ้าคลั่งและความกระหายเลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    การถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนานหลายสิบปี วันๆ ต้องนั่งอยู่อย่างอับเฉาไม่เห็นหน้าตาผู้คน แม้จะอยู่ในวังหลวง ก็ต้องมีความรู้สึกเสมือนอยู่ในคุก สำมะหาอะไรกับความจริงที่ว่าที่นี่เป็นเพียงถ้ำเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แววตาดุร้ายน่าหวาดสะพรึงของพรตเฒ่าก็คงมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้

    การที่พรตเฒ่าต้องนั่งอย่างโดดเดี่ยวอับเฉาเป็นเวลาถึงค่อนชีวิตย่อมมิใช่เพราะมันถูกจับขังเอาไว้ ในปฐพีนี้คนที่สามารถกักขังมันมีจำนวนแทบนับนิ้วได้ อีกทั้งนิกายเต๋าต้องไม่มีทางปฏิบัติต่อผู้อาวุโสคนสำคัญของตัวเองเยี่ยงนี้ ดังนั้นนอกจากเหตุผลที่ยังไม่แน่ชัดก็มีเหตุผลที่สำคัญที่สุดอีกข้อหนึ่ง นั่นคือมันพิการเดินไม่ได้

    ความพิการของพรตเฒ่าสาหัสสากรรจ์ยิ่ง มันไม่มีเท้า ไม่มีขา กระทั่งว่าไม่มีก้น เข้าใจว่ามันคงเคยถูกกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งฟันเอวขาดจนเหลืออยู่เพียงครึ่งตัว มีสภาพเหมือน ‘นั่ง’ ขี่อยู่บนหลังของหมาป่าหิมะก็มิปาน

    การตัดเอวขาดเป็นหนึ่งในโทษตายที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุด เพราะหลังถูกตัดเอวจะต้องสูญเสียอวัยวะภายในที่สำคัญไปมาก อีกทั้งโลหิตในร่างจะต้องไหลทะลักออกมาจนแทบหมดตัว ก่อนตายต้องร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ทว่าพรตเฒ่าผู้นี้กลับรอดตาย ทั้งยังอยู่ต่อมาได้จนถึงบัดนี้ เพียงแต่มันต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานยิ่ง ทำได้แค่หายใจเข้าออกไปวันๆ

    ครั้งแรกที่หลงชิ่งเข้ามาในถ้ำ มันแตกตื่นตกใจจนแทบสิ้นสติ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนเราเมื่อพิการถึงขั้นนี้แล้วยังมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร สุดท้ายจึงค่อยคาดเดาว่าพรตเฒ่าผู้นี้คงใช้วิธีดื่มแต่น้ำในสระกลางถ้ำมาหลายสิบปีโดยไม่กินอาหารเพื่อให้ร่างกายมีของเสียน้อยที่สุด แล้วใช้เคล็ดวิชาบางอย่างขับไล่ของเสียที่มีอยู่เพียงน้อยนิดให้ออกมาทางผิวหนัง สาเหตุที่มันคิดเช่นนี้เพราะมันไม่เคยถูกสั่งให้เอาอาหารมาส่งที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว

    การคาดคะเนนี้กลับทำให้มันแตกตื่นยิ่งขึ้น เพราะคนเราจำเป็นต้องกินธัญพืชทั้งห้าจึงจะดำรงชีพอยู่ได้ นี่คือกฎเกณฑ์ที่เฮ่าเทียนประทานให้แก่โลกมนุษย์ ไม่ว่าผู้ใดก็ฝ่าฝืนไม่ได้ ต่อให้เป็นยอดคนด่านรู้ชะตาก็ไม่มีทางอดอาหารได้นานหลายสิบปี ตามที่จดบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณของซีหลิง มีเพียงผู้หยั่งรู้ที่ก้าวข้ามห้าด่าน ได้รับการเบิกนภาจนความสกปรกโสมมในร่างถูกขจัดไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงกายเทพเท่านั้น จึงจะสามารถเอาพลังปฐมแห่งฟ้าดินมาเป็นชีวิตและดื่มน้ำค้างเพื่อยังชีพได้!

    หรือพรตเฒ่าที่ร่างเหลือเพียงแค่ครึ่งท่อนคนนี้ได้ก้าวข้ามธรณีประตูของห้าด่านที่สูงลิบลิ่วเทียมฟ้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน!

    หากเป็นดั่งที่มันคาดเดา พรตเฒ่าผู้นี้ก็จะเป็นเทพเซียนคนแรกที่มันเคยได้พบเจอ แน่นอน นี่ย่อมไม่นับเจ้าอารามอาจารย์มันที่มิรู้ว่ามีด่านฌานสูงถึงระดับใดแล้ว

    ด้วยเหตุนี้ พอเดินเข้ามาในถ้ำมันจึงไปคุกเข่าอยู่หน้าตั่ง แสดงความนอบน้อมถ่อมตัวอย่างถึงที่สุดโดยมิอาจปิดบังความยำเกรงและความหวาดหวั่นในใจ นอกจากความรู้สึกเหล่านี้มันยังมีความหิวกระหายอีกด้วย เป็นความหิวกระหายต่อความเป็นเทพเซียนซึ่งรออยู่ตรงปลายสุดของเส้นทางการฝึกฌาน หิวกระหายต่อความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในปฐพี

    ในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าอารามถึงให้มันมาเป็นคนงานในอารามจือโส่ว เพราะมีแต่คนงานเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นมาบนถ้ำและได้พบกับยอดคนระดับนี้

    ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับจินตนาการอันสวยหรูของมัน พรตเฒ่ามองมันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังขึ้น

    “เจ้ามันอ่อนแอเกินไป! เจ้ามันเป็นเพียงแค่เศษสวะตัวหนึ่งเท่านั้น!”

    พรตเฒ่าพูดจบก็ยกมือที่สั่นเทาขึ้นบีบคอเหี่ยวย่นของตัวเอง ราวกับต้องการจะฆ่าตัวตายไปเสียเดี๋ยวนั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

    “เจ้ามันเศษสวะ! มีคุณสมบัติอะไรเข้ามาในอารามจือโส่ว! มีคุณสมบัติอะไรมาสนทนากับข้า! เจ้ามันแค่เศษสวะ! ข้าเองก็เป็นเศษสวะ! คนที่มุดหัวอยู่ในเขาลูกนี้ล้วนเป็นเศษสวะด้วยกันทั้งนั้น มารดามันเถอะ!”

    พรตเฒ่าขยับตัวดุกดิกอยู่ท่ามกลางกองขนสัตว์อย่างเดือดดาล ร่างที่เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวคล้ายหนอนที่กำลังคืบคลานไปบนพื้นอย่างเชื่องช้า ดูขบขันน่าหัวร่อและน่าอเนจอนาถในเวลาเดียวกัน

    เสียงร้องโหยหวนของพรตเฒ่าดังก้องอยู่ในถ้ำ กลิ่นอายน่ากลัวขุมหนึ่งแผ่กระจายไปในอากาศ กดดันใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถสัมผัสได้

    ต้นชิงเถิงตรงปากถ้ำสะบัดเหวี่ยงออกไปด้านนอก ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หลงชิ่งกระอักเลือดเป็นฟูฝอย ร่างลอยกระเด็นออกมาตกกระแทกพื้นหินตรงปากถ้ำจนเกือบกลิ้งตกหน้าผาไป หลงชิ่งลุกขึ้นนั่งมองไปยังปากถ้ำอันมืดสลัว แววตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

    มันรู้ว่าพรตเฒ่าไม่ได้ต้องการจะฆ่ามัน เพียงแต่กลิ่นอายเมื่อครู่บังเอิญรั่วไหลออกมาพร้อมกับอารมณ์โกรธแค้น แค่รั่วไหลก็ยังมีอานุภาพร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากพรตเฒ่าสำแดงพลังฌานทั้งหมดออกมา น่ากลัวคงไม่มีผู้ใดสามารถต้านรับได้

    หลงชิ่งนั่งพักเช็ดเลือดที่มุมปาก รอจนจิตใจกลับคืนสู่ความสงบจึงค่อยคอนไม้ขึ้นบ่า สะพายกล่องและห่อผ้าเดินขึ้นหน้าผาต่อ

    ภูเขาลูกนี้มีถ้ำอยู่มากมายซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีผู้อาวุโสของนิกายอาศัยอยู่ ผู้อาวุโสเหล่านี้แม้จะมีด่านฌานแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่มีพลังฝึกปรือล้ำเลิศยากจะหาผู้ใดเทียบด้วยได้ ทว่าก็เหมือนกับพรตเฒ่าครึ่งร่าง พวกมันต่างก็เคยได้รับบาดเจ็บหนักจนร่างกายพิกลพิการ ดังนั้นจึงอารมณ์แปรปรวนคุ้มดีคุ้มร้าย

    ใครกันที่สามารถทำร้ายผู้อาวุโสของนิกายเต๋าจำนวนมากมายให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ คนเหล่านี้บางคนก้าวข้ามห้าด่านไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน นี่มิเท่ากับว่าคนที่ทำร้ายพวกมันจะต้องด่านฌานสูงกว่าหรอกหรือ และไม่น่าจะสูงกว่าเพียงแค่หนึ่งหรือสองขั้นด้วย

    หลงชิ่งพอจะมองเห็นคำตอบได้รำไร แต่มันไม่อยากจะขบคิดต่อ เพราะคัมภีร์สวรรค์ในอารามกับภูเขาหลังอารามคือความหวังทั้งหมดของมันในตอนนี้ เรื่องอื่นสามารถรอก่อนได้

    มันเดินต่อไปเงียบๆ เข้าออกถ้ำลึกลับเหล่านั้นราวกับเป็นมดงานที่เดินเข้าออกรังเป็นว่าเล่น ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจกับทิวทัศน์อันงดงามของฤดูวสันต์

     

    เมืองฉางอัน

    หนิงเชวียกับซังซังไปกินข้าวเย็นที่จวนต้าเสวียซื่อ หลังกินเสร็จเจิงฮูหยินกับซังซังก็ขอตัวไป ปล่อยให้หนิงเชวียกับเจิงจิ้งอยู่ในห้องหนังสือกันตามลำพัง การสนทนาดำเนินไปเป็นเวลานาน ดังนั้นตอนออกจากจวนจึงเป็นเวลาดึกมากแล้ว บนถนนมีคนเดินอยู่ไม่กี่คน หนิงเชวียจึงตัดสินใจพาซังซังกลับไปค้างที่ร้านเหล่าปี่ไจ

    ร้านเหล่าปี่ไจยังอยู่ในสภาพเดิม เครื่องเรือนเครื่องใช้ยังอยู่ครบ ซังซังจัดการต้มน้ำ หลังพวกมันล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็เข้านอน

    ล่วงเข้าปลายวสันต์ ลมยามวิกาลติดจะร้อนอบอ้าว แมวตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่บนกำแพงเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าพลางส่งเสียงแหลมเศร้าร้องหาคู่

    เสียงนั้นบาดหูยิ่ง หนิงเชวียจึงนอนไม่หลับ มันลืมตาโพลงมองคานเหนือศีรษะอยู่เป็นนาน ก่อนเอ่ยปากถาม

    “เจ้ารู้หรือไม่ ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาถูกเยี่ยหงอวี๋สังหารแล้ว”

    ซังซังตอบเบาๆ มาจากปลายเท้า

    “ไม่รู้”

    หนิงเชวียพบว่านางไม่ได้รู้สึกแตกตื่นเหมือนตอนตนได้ยินข่าวก็คิดในใจ ซังซังของมันช่างไม่เหมือนใครจริงๆ

    “ได้ยินว่าหลังฆ่าจ้าวบัลลังก์แล้วนางยังทำร้ายหลัวเค่อตี๋องครักษ์เทพจนบาดเจ็บสาหัส หากเจ้านิกายไม่ห้ามไว้ นางคงฆ่ามันไปแล้ว”

    ซังซังเพียงร้องอืมเบาๆ

    “ข้าหลงเข้าใจว่าจะตามนางทันแล้ว คิดไม่ถึงเผลอแผล็บเดียวนางก็สลัดข้าทิ้งไว้ข้างหลังอีก…ตอนนี้นางคือต้าเสินกวน ต่อไปหากต้องต่อยตีกันขึ้นมา ข้าสู้นางไม่ได้ และก็ใช้ฐานะต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างของเจ้าไปข่มนางไม่ได้ พวกเราควรทำอย่างไรดี”

    ซังซังตอบสั้นๆ

    “ก็อย่าต่อยตี”

    หนิงเชวียเงียบไปสักพัก แล้วกล่าวขึ้นอีก

    “พ่อเจ้าบอกว่าหนทางไปวัดลั่นเคอยาวไกล หากจะให้เจ้าตามข้าไปด้วย ไม่เหมาะที่จะไปในฐานะของสาวใช้ ต้องการให้พวกเราหมั้นกันไว้ก่อน เจ้าจะว่าอย่างไร”

    ซังซังย้อนถามเสียงเบา

    “แล้วท่านล่ะจะว่าอย่างไร”

    หนิงเชวียตอบ

    “เช่นนั้นก็หมั้นกันเถอะ”

    เสียงซังซังดังจากใต้ผ้าห่ม ฟังดูอู้อี้คล้ายคนเป็นหวัด

    “ตกลง”

    “ขยับมาหน่อย ข้ารู้สึกร้อนแล้ว”

    ซังซังลุกขึ้นนั่ง หันตัวมาทางหัวเตียงแล้วเอนกายลงสู่อ้อมแขนของมัน

    ทุกปีพอเข้าใกล้คิมหันต์ หนิงเชวียจะชอบนอนกอดซังซัง เพราะนางตัวเย็นมาตั้งแต่เกิด เวลากอดจะให้ความรู้สึกเหมือนกอดหยกเย็นที่นุ่มนิ่มก้อนหนึ่ง คืนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ตัวนางยังคงเย็นลื่นกอดสบาย แต่ซังซังเองกลับรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

    หนิงเชวียก็เช่นกัน พอได้ยินเสียงร้องหาคู่ของแมวจึงยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ สบถเบาๆ ว่า

    “ร้อนจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาร้องหาคู่อะไรอีก”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook