ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 19 ตอนที่ 2
บทที่ 2 ฝันอีกครา
ก่อนหน้านี้ ตอนนั่งสนทนากันในห้องหนังสือ จู่ๆ เจิงจิ้งก็โพล่งถามขึ้นหลังดื่มน้ำชาไปได้ครึ่งถ้วยและตรึกตรองอยู่อีกพักใหญ่
‘ซังซังบอกว่าอีกไม่กี่วันพวกเจ้าก็จะออกเดินทางกันแล้ว’
หนิงเชวียพยักหน้ารับ
‘เทศกาลอวี๋หลัน* แม้จัดขึ้นในฤดูสารท แต่วัดลั่นเคออยู่ห่างไกล หากจะไปให้ทันก็ต้องออกเดินทางเสียตั้งแต่เนิ่นๆ’
วสันต์ฤดูปีที่แล้ว วัดลั่นเคอส่งเทียบเชิญไปงานเทศกาลอวี๋หลันมาที่สถานศึกษา โดยให้หลวงจีนกวนไห่เป็นผู้นำมาส่งให้กับหนิงเชวียด้วยตัวเอง ต่อมาเป็นเพราะความกังวลในบางเรื่อง หนิงเชวียจึงเลิกล้มความคิดที่จะไป แต่สถานศึกษาไม่เห็นด้วยกับความคิดของมัน
เจิงจิ้งกล่าว
‘หนทางยาวไกล ไปด้วยกันก็เป็นเรื่องที่สมควร เพียงแต่ถึงอย่างไรซังซังก็เป็นบุตรสาวของข้า อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่าง ไม่เหมาะที่จะติดตามเจ้าในฐานะสาวใช้อีก…เจ้าเคยคิดถึงปัญหานี้หรือไม่’
หนิงเชวียไม่เคยขบคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ จึงถามขึ้น
‘เช่นนั้นท่านมีคำแนะนำว่าอย่างไร’
เจิงจิ้งจ้องตามัน
‘ปีนี้ซังซังอายุเท่าไหร่แล้ว’
หนิงเชวียตอบ
‘สิบหก’
เจิงจิ้งกล่าวอย่างรวบรัด
‘ในเมื่ออายุสิบหกแล้วก็ไม่เห็นจะต้องรออะไรอีก ตบแต่งกันเสียให้สิ้นเรื่อง เดินทางไปด้วยกันในฐานะสามีภรรยาจะสะดวกกว่า จวนของข้าก็จะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอา’
หนิงเชวียถามอย่างไม่แน่ใจ
‘รีบร้อนเกินไปหรือไม่ ข้าต้องออกเดินทางภายในไม่กี่วันนี้แล้ว’
‘พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันมาตั้งสิบหกปีแล้ว ยังจะบอกว่ารีบร้อนได้อย่างไร แต่เอาเถอะ การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ จะทำอย่างลวกๆ ไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็หมั้นกันไว้ก่อน’
และแล้ว ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค หนิงเชวียก็ต้องรับปากไปอย่างมึนงง
มันอาศัยแสงดาวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างมองซังซังที่หลับอยู่ในอ้อมกอด เห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางคลายตัวออก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก็อดยิ้มขึ้นมามิได้ เอาเถอะ หมั้นก็หมั้น เพราะถึงอย่างไรก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าทารกหญิงที่มันเก็บมาจากข้างทางเมื่อสิบหกปีก่อนจะรอดตายเพื่อเติบโตมาเป็นภรรยาของมัน หลังตกลงใจเป็นมั่นเหมาะ หนิงเชวียก็หลับตาลงก่อนจมลงสู่ห้วงแห่งความฝัน
เดิมทีเวลานอนมันจะหลับสนิทไม่ค่อยฝัน ทว่าหลังจากมันเริ่มฝึกฌานตามวิธีที่บอกไว้ในคัมภีร์สนองตอบธรรมชาติซึ่งซื้อมาจากตลาด และได้ฝันเห็นมหาสมุทรผืนหนึ่งในกลางดึกคืนนั้น มันก็เริ่มมีนิสัยชอบฝันหลังนั่งฌานนับตั้งแต่นั้นมา แต่ความฝันเหล่านั้นมิได้มีแก่นสารอะไร กระทั่งวสันต์ฤดูของเมื่อสามปีก่อน มันติดตามขบวนรถม้าขององค์หญิงหลี่อวี๋ออกจากเมืองเว่ยมาที่ฉางอัน ระหว่างทางได้สนทนากับผู้เฒ่าหลี่ว์ชิงเฉิน และคืนนั้นเองหลังกอดเท้าซังซังเข้านอน มันก็ฝันประหลาด
ในความฝัน ขณะยืนอยู่ในทุ่งร้างที่หนาวเย็นและมืดมิดซึ่งเต็มไปด้วยทหารม้าของแคว้นต้าถัง นักรบแคว้นเยวี่ยหลุน มือธนูแคว้นหนานจิ้น และพวกคนเถื่อนจากดินแดนแห่งทุ่งหญ้า มันเห็นโลหิตจากซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนไหลย้อมทุ่งหญ้ารกร้างจนแดงฉาน เห็นควันดำสามสายลอยนิ่งอยู่เหนือซากศพเหล่านั้น เห็นความมืดกำลังจะเข้าครอบครองแผ่นฟ้า และเห็นผู้คนจำนวนมากมายกำลังแหงนหน้ามองดูอยู่ด้วยความหวาดกลัว ข้างกายมันยังมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นว่า ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว…
อีกครั้งหนึ่ง หลังฆ่าเหยียนซู่ชิงสำเร็จและวิ่งหนีไปบนถนนจูเชวี่ยจนเลือดบนตัวกับร่มดำกระตุ้นยันต์เทวะให้ตกใจตื่น ชี่ไห่เสวี่ยซานของมันถูกสร้างขึ้นใหม่ จุดบนร่างทะลุทะลวงถึงสิบจุด สามารถเดินไปบนเส้นทางของการฝึกฌานได้ในที่สุด มันก็ฝันถึงทุ่งร้างนั้นอีก ความมืดยังคงกลืนกินท้องนภา เพียงแต่ขณะที่มันเงยหน้ามองฟ้า คนรอบข้างกลับมองมาที่มันอย่างระแวดระวังและเศร้าสลด ทันใดนั้นบนฟ้าก็มีเสียงอสนีบาต ประตูบานหนึ่งเปิดออก นำพาแสงสว่างมาเยือนโลกอีกครั้ง มังกรทองตัวใหญ่มหึมาชะโงกหัวออกมา จ้องมองกลุ่มคนที่อยู่บนพื้นอย่างเย็นชา
ที่น่าแปลกคือตอนทดสอบเข้าชั้นสองของสถานศึกษา ระหว่างที่ปีนก้อนหินยักษ์บนยอดเขา ความฝันเหล่านั้นกลับกลายมาเป็นภาพลวงตา
ในภาพลวงตา ความมืดยังคงคืบคลานเข้ามา แสงสว่างที่ซ่อนตัวอยู่หลังชั้นเมฆเริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนบนทุ่งร้างรวมทั้งพ่อบ้านและนายน้อยที่ถูกมันฆ่าตายไปเมื่อหลายปีก่อนยังคงจับจ้องมองมาที่มัน บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ถามมันว่าจะเลือกอย่างไร มันตอบว่าไม่อยากเลือก บุรุษร่างสูงใหญ่ถามอีกว่าหากจำเป็นต้องเลือกเล่า สุดท้ายมันจึงเลือกฆ่าพ่อบ้านและนายน้อยอีกครั้ง จากนั้นคอนดาบไว้บนบ่าเดินเข้าหาความมืด
คืนนี้ หนิงเชวียมองควันดำสามสาย รับรู้ถึงกลิ่นอายเย็นชาที่ถ่ายทอดออกมา ร่างพลันเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้ มันรู้แล้วว่าตัวเองกำลังฝัน แต่มิรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะตื่นจากความฝันได้
ความมืดยิ่งนานยิ่งหนาวเหน็บ แสงสว่างยิ่งนานยิ่งร้อนแรง ท้องนภาถูกแบ่งเป็นสองส่วน มังกรทองตัวนั้นก้มมองสรรพสัตว์เบื้องล่างอย่างชืดชาไร้น้ำใจ บรรดาทหารบนทุ่งร้างยังคงสู้รบกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จนดูไม่ออกว่าใครสู้กับใคร ในขณะที่บนพื้นก็มีศพอยู่เกลื่อนกลาด
มันหันไปมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเห็นผมขาวที่แผ่สยายอยู่บนบ่า หัวใจมันก็เต้นแรงแทบระเบิด เพราะคราวนี้มันแน่ใจแล้ว บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในความฝันของมันก็คือ…จอมปราชญ์นั่นเอง
จอมปราชญ์มิได้หันมา ยังคงแหงนมองการต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดอย่างสงบนิ่ง หนิงเชวียรู้ดี จอมปราชญ์กำลังรอให้มันเลือก แต่มันไม่อยากเลือก ครั้งที่แล้วที่ตัดสินใจเลือกได้เป็นเพราะมันไม่รู้ จึงปราศจากความกลัว บัดนี้มันพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ความหวาดกลัวจึงเริ่มก่อตัวขึ้น
ในความฝัน หนิงเชวียเฝ้าถามตัวเอง เพราะเหตุใดจอมปราชญ์ถึงต้องการให้มันเลือก มันอยากหนีไปจากความฝันนี้ หนีไปจากทุ่งร้างที่นองไปด้วยเลือด ดังนั้นมันจึงหันกายวิ่งเข้าหามหาสมุทรสีขาวหม่น มหาสมุทรนี้สีขาวหม่นก็เพราะบนท้องน้ำล้วนเต็มไปด้วยดอกบัวขาว
มันจำได้ ปกติน้ำในมหาสมุทรผืนนี้จะอบอุ่น ทว่าวันนี้มิรู้เป็นเพราะเหตุใดจึงเย็นยะเยือกดั่งหิมะ กลีบบัวราวกับถูกสลักขึ้นจากน้ำแข็ง พอถูกมันเหยียบก็แตกหักเป็นเสี่ยงๆ จมลงสู่ก้นมหาสมุทรทันที โดยมีร่างมันจมลงไปด้วย มันเริ่มดิ้นรน คิดจะถีบตัวให้โผล่พ้นผิวน้ำ แต่ยิ่งกระเสือกกระสนก็ยิ่งจมดิ่งลงไปอีก
หนิงเชวียสะดุ้งตื่น มันหอบหายใจถี่กระชั้น ตามตัวมีแต่เหงื่อ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว หน้าซีดราวกับคนตาย มันแน่ใจว่าตัวเองตื่นจากความฝันแล้ว เพราะสามารถมองเห็นกระดาษยันต์ที่ปะอยู่บนเพดานห้องได้
ความฝันเหล่านี้เป็นความลับสุดยอดของมัน มันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ไม่แม้แต่เฉินผีผี จอมปราชญ์หรือศิษย์พี่ทั้งหลาย เพราะแม้จะอยากไขปริศนาเกี่ยวกับความฝันสักเพียงไร แต่ความรู้สึกบอกมันว่าความฝันเหล่านี้ซ่อนความลับบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวเอาไว้
สิบหกปีก่อน อาศรมเทพแห่งซีหลิงเคยสงสัยว่ามันคือบุตรของหมิงหวัง สิบหกปีให้หลังกลับเป็นรอบของนิกายพุทธบ้าง
แรกเริ่มเดิมทีหนิงเชวียรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่สุด ทว่าทุกครั้งที่เชื่อมโยงคำพูดของเว่ยกวงหมิงที่ซังซังบอกเล่าให้ฟังเข้ากับความฝันเหล่านี้ มันจะรู้สึกกลัวจับจิต หากบุตรของหมิงหวังในตำนานหมายถึงผู้ที่มาจากภพอื่น เช่นนั้นมิใช่มันแล้วจะเป็นใคร
ความมืดจะมาเยือน โลกแห่งความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา แม้ทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ตำนาน แต่ก็เป็นตำนานที่ทำให้ผู้ฝึกฌานทั่วทั้งแผ่นดินหวาดระแวงไม่สบายใจกันมานานนับพันปีหมื่นปี มันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตำนานนี้ แต่รู้ว่านี่จะต้องเกี่ยวข้องกับมหันตภัยครั้งใหญ่ที่ทำให้โลกต้องล่มสลายอย่างแน่นอน และหากมันคือบุตรของหมิงหวังจริง เช่นนั้นอะไรจะรอมันอยู่บ้าง
ต่อให้จอมปราชญ์ใจกว้างดุจดั่งผืนมหาสมุทร ไม่ใส่ใจที่อาจารย์อากับมันเข้าสู่วิถีแห่งมาร ก็ต้องไม่มีทางไม่สนใจเรื่องนี้ มิเช่นนั้นเหตุไฉนในความฝันของมันจอมปราชญ์ถึงต้องปรากฏตัวแทบทุกครั้งไปเล่า
หรือต่อให้เขาหลังสถานศึกษาเป็นสถานที่ที่อบอุ่นมีน้ำใจเพียงใด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ก็คงยากที่จะมีใจเมตตาให้มันอีก
มันเดาไม่ออกว่าศิษย์พี่ใหญ่จะทำอย่างไร ทว่าสำหรับศิษย์พี่รอง ทันทีที่รู้ว่ามันเป็นบุตรของหมิงหวังคงจะเอากระบองซักผ้าบนศีรษะไล่ทุบมันจนบี้แบนตายคามือแน่นอน
แล้วถ้ามันตกอยู่ในเงื้อมมือของอาศรมเทพกับนิกายพุทธเล่า ฝ่ายแรกจะมิจับมันมัดย่างไฟตายทั้งเป็นหรอกหรือ ส่วนฝ่ายหลังก็อาจจะจับมันโกนหัว บังคับให้มันสวดมนต์ท่องคัมภีร์อยู่แต่ในวัดเสวียนคงไปชั่วชีวิต แม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็เท่ากับว่ามันต้องบวชเป็นหลวงจีนไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
หนิงเชวียนอนเหงื่อแตก ถึงตอนนั้นผู้คนทั้งแผ่นดินคงทอดทิ้งมันกันหมด ปล่อยให้มันร่อนเร่หาที่หลบซ่อนอยู่คนเดียว ราวกับมุสิกที่หลบหนีจนหัวซุกหัวซุนอยู่ภายใต้แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน
ทันใดนั้นซังซังก็ขยับตัว สองคิ้วขมวดแน่น คล้ายกำลังฝันร้าย และก็คล้ายจะสัมผัสรับรู้ได้ถึงอารมณ์อันว้าวุ่นของหนิงเชวียในขณะนี้
หนิงเชวียมองวงหน้าเล็กๆ ของนางแล้วจิตใจก็สงบขึ้นโดยพลัน เพราะมันแน่ใจ ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปเป็นโจรขายชาติหรือกลายเป็นบุตรของหมิงหวังจริงๆ ก็จะมีคนผู้หนึ่งที่จะไม่มีวันหลีกหนีหรือทอดทิ้งมันอย่างเด็ดขาด
มันชะโงกหน้าไปจูบหว่างคิ้วที่กำลังขมวดแน่น หวังจะให้คลายออก ทว่าหัวคิ้วของซังซังกลับขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม
หนิงเชวียเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หน้าของซังซังซีดลงเรื่อยๆ จนดูขาวโพลนในความมืด คิ้วที่ขมวดแน่นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมาน เนื้อตัวนางบัดนี้เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
หนิงเชวียหัวใจกระตุกวูบ รีบเขย่าตัวอีกฝ่ายร้องเรียกเสียงดัง
ซังซังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า ท่าทางดูอ่อนเพลียยิ่ง ความเย็นเสียดกระดูกที่แผ่ออกจากร่างบางทำให้จิตใจหนิงเชวียถึงกับหนาวเหน็บ
เห็นนางตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด มือขยุ้มอกเสื้อมันไว้แน่น อ้าปากคล้ายต้องการจะพูดแต่พูดไม่ออก หนิงเชวียมีหรือจะกล้ารีรอ มันรีบลงจากเตียงผิวปากเสียงดังพร้อมกับกระชากผ้าห่มผืนหนามาห่อตัวนางไว้ แล้วช้อนอุ้มวิ่งออกไปจากห้องทั้งๆ ที่เท้ายังเปลือยเปล่า
ประตูร้านถูกมันเตะเปิดเสียงดัง ใกล้จะสว่างท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงดาว นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่รอบด้านมืดมิดที่สุด หนิงเชวียมองถนนหน้าร้านที่ว่างเปล่าพลางตวาดด้วยความเดือดดาล
“เจ้าสุกรเอ๊ย! ทำไมถึงชักช้าอย่างนี้!”
เจ้าดำถูกเสียงผิวปากเรียกขณะกำลังฝันหวาน เดิมทีคิดจะแสดงความไม่พอใจ แต่พอเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของเจ้านายแต่ไกลก็รู้ว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คิดถึงว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังร้อนใจเหมือนมีเพลิงสุมอยู่ในหัวอก สามารถฆ่ามันตายได้ทุกเมื่อ เท้าทั้งสี่ก็รีบตะกุยอย่างไม่คิดชีวิต ลากรถม้าหนักอึ้งมาหยุดอยู่หน้าร้านด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
หนิงเชวียอุ้มซังซังกระโดดขึ้นรถแล้วสั่งการทันที
“ไปสถานศึกษาเร็ว”
เจ้าดำควบเต็มฝีเท้าราวกับจะเหาะเหิน หลังอาศัยป้ายแขวนเอวสองอันให้ทหารเปิดประตูเมือง รถม้าสีดำก็พุ่งทะยานไปตามถนนหลวงที่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้โดยพลัน
หนิงเชวียมือหนึ่งกอดซังซังไว้แน่น อีกมือก็เร่งควานหาของบางอย่างจากข้างรถ อกของมันกระเพื่อมขึ้นลงเร็วแรงทั้งๆ ที่สภาพร่างกายของมันในตอนนี้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะหลังฝึกลมปราณสุดไพศาล ลมหายใจก็มีแต่จะช้าลง นี่เป็นเพราะแม้ผ้าห่มจะหนา ทว่ามันก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงไอเย็นเฉียบจากเนื้อตัวของซังซัง จึงรู้สึกหวาดกลัวจับจิตจับใจ
ในที่สุดก็ควานหาขวดเหล็กที่ใส่สุราพบ มันรีบหมุนฝาออกด้วยมือที่สั่นระริก ก่อนยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากของซังซัง กลิ่นสุราร้อนแรงตลบอบอวลไปทั่วประทุนรถทันที
ซังซังยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม ขนตาบางไหวระริก ริมฝีปากที่ซีดจนแทบเขียวเม้มสนิท นางกัดฟันแน่น สุราที่ป้อนจึงไม่สามารถผ่านเข้าไป ได้แต่ไหลย้อยตามมุมปากลงมาจนผ้าห่มเปียกเป็นด่างเป็นดวง
หนิงเชวียเห็นเช่นนั้นจิตใจก็ยิ่งถูกความกลัวเข้าครอบงำ มือเท้าอ่อนทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเจ็บปวดใจ ทำได้เพียงแค่กระชับอ้อมแขนกอดร่างเล็กบางให้แน่นขึ้น
อาการของซังซังไม่กำเริบมานานแล้ว ตั้งแต่ออกจากเมืองเว่ยมาเมืองฉางอันนางไม่เคยล้มป่วย แต่วันนี้อาการของนางกลับกำเริบอย่างหนักจนดูน่ากลัวกว่าทุกครา ดังนั้นสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในใจมันจึงมิใช่การพานางไปหาหมอ แต่เป็นการมุ่งหน้าไปยังสถานศึกษา
สถานศึกษาไม่มีหมอ แต่มีอาจารย์และบรรดาศิษย์พี่ หนิงเชวียเชื่อว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว ขอเพียงซังซังยังหายใจอยู่ นางจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
มันอุ้มซังซังวิ่งฝ่ากลุ่มหมอกมาถึงที่ราบริมหน้าผาแล้วตะโกนเรียกไปทางทะเลสาบ ปลุกบรรดาศิษย์พี่ที่กำลังหลับให้พากันสะดุ้งตื่น ทั้งหมดทยอยเดินออกจากเรือนของตัวเอง ศิษย์พี่เจ็ดมาถึงก่อนเป็นคนแรก คืนนี้นางปักผ้าเป็นรูปผีเสื้อกับแมว* จนถึงกลางดึกก่อนผล็อยหลับไป จึงยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กระทั่งว่าบนมวยผมก็ยังมีเข็มเล่มหนึ่งปักอยู่ ใบหน้างามทั้งง่วงงุนทั้งขุ่นเคืองที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทว่าพอเห็นสีหน้าหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกของหนิงเชวียกับสภาพของซังซัง ศิษย์พี่เจ็ดก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ความง่วงงุนขุ่นเคืองหายไป ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเครียดขรึมโดยพลัน ไม่รอให้หนิงเชวียพูดอะไรก็ดึงเข็มออกจากมวยผมแทงใส่ลำคอซังซังไปสี่ครั้ง
ซังซังร้องอืมเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สติ คิ้วยังคงขมวดแน่น ทว่าสีหน้าดูดีขึ้นหลายส่วน ความคล้ำเริ่มเข้ามาแทนที่ความขาวเผือด
“ศิษย์พี่…นางเป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงเชวียถามเสียงสั่น มันไม่เคยรู้มาก่อนว่าศิษย์พี่เจ็ดนอกจากจะเป็นวิชาค่ายกลแล้ว ยังเชี่ยวชาญวิชาฝังเข็มอีกด้วย เห็นสีหน้าซังซังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ในใจมันก็เริ่มมีความหวังเพิ่มขึ้นอีกอักโข
“ไอเย็นจู่โจมหัวใจ มีอันตรายอยู่บ้าง ตอนนี้ข้าแค่ใช้เข็มสะกดเอาไว้เท่านั้น”
ศิษย์พี่เจ็ดตอบ
การมาถึงของหนิงเชวียปลุกคนทั้งหมดที่พำนักอยู่ตรงริมทะเลสาบ ศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏตัวให้เห็นอยู่ไกลๆ เพียงแต่การเคลื่อนไหวของมันยังคงเนิบนาบเชื่องช้า คล้ายเรื่องใดๆ ในโลกก็ไม่สามารถทำให้มันร้อนรนกระวนกระวายได้
ศิษย์พี่เจ็ดพอเห็นศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าพลันผ่อนคลาย รีบตะโกนบอก
“ศิษย์พี่ ช่วยไปเอาตัวน้องสิบเอ็ดมาที่นี่ รีบหน่อย”
ศิษย์พี่ใหญ่ชะงักเท้าก่อนหันกายเดินหายเข้าไปในป่า
ศิษย์พี่เจ็ดกล่าวปลอบ
“เจ้าไม่ต้องห่วง รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่ รีบอุ้มซังซังไปที่กระท่อมอาจารย์ก่อน รอน้องสิบเอ็ดมาก็เรียบร้อยแล้ว”
หนิงเชวียไม่เข้าใจคำพูดของนาง หากอาจารย์ยอมช่วย ซังซังต้องไม่เกิดเรื่องแน่นอน เพียงแต่ทำไมถึงต้องให้รอศิษย์พี่สิบเอ็ดด้วย
แสงอรุณเริ่มสาดส่อง พอกระทบหญ้าเหลืองคล้ายหยกที่ใช้มุงหลังคาก็สะท้อนใส่ป่าเขาและลานทุ่งที่อยู่ไกลให้สว่างจ้าไปทั้งแถบ
หนิงเชวียกับเฉินผีผีรวมทั้งคนอื่นๆ ต่างยืนรอฟังข่าวอย่างเงียบกริบอยู่หน้ากระท่อม ซังซังขึ้นเขามาบ่อยครั้งนับตั้งแต่วสันต์ปีที่แล้ว อาศัยฝีมือการปรุงอาหารอันยอดเยี่ยมกับนิสัยที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่นานก็ได้รับความรักความเอ็นดูจากบรรดาศิษย์พี่ไปตามๆ กัน ยามนี้พอรู้ว่านางป่วยหนัก ทุกคนจึงอดเป็นห่วงมิได้ ถังเสี่ยวถังร้อนใจจนขอบตาแดงก่ำ ตรงข้ามกับหนิงเชวียที่ดูเยือกเย็นขึ้นกว่าเมื่อครู่มากมาย
นั่นเป็นเพราะจอมปราชญ์ตื่นแล้ว และตอนนี้กำลังอยู่ในกระท่อม หนิงเชวียเชื่อว่าต่อให้ซังซังก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในยมโลกแล้ว อาจารย์ของมันก็มีความสามารถพอที่จะลากตัวนางกลับมาได้
ไม่นาน หวังฉือก็เดินออกมาจากกระท่อม หนิงเชวียรีบสะอึกกายเข้าไปทันที หวังฉือเห็นหน้ามันก็บอกว่า
“นางมีร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ไอเย็นแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะภายในมานานหลายปีแล้ว โรคแบบนี้หากช่วงเวลาที่หลบซ่อนอยู่ยิ่งนาน เวลากำเริบก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น…เมื่อครู่ข้าตรวจดูชีพจร แน่ใจว่าก่อนหน้านี้นางเพิ่งได้รับไอเย็นจัดมา กอปรกับคงมีเรื่องให้ต้องคิดมาก อาการจึงหนักถึงเพียงนี้”
หนิงเชวียถาม
“ศิษย์พี่ นางจะเป็นอะไรหรือไม่”
“ศิษย์พี่เจ็ดใช้เข็มสะกดได้ทันเวลา ข้าต้มยาให้นางชุดหนึ่ง น่าจะลดไอเย็นลงได้บ้าง ไม่หนักหนาสาหัสแล้ว เพียงแต่ต่อไปต้องใส่ใจรักษาความอบอุ่นให้เพียงพอ อย่าให้นางถูกลมเย็นอีก”
หนิงเชวียได้ยินเช่นนั้นก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หวังฉือพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“จริงสิ ศิษย์น้องเล็ก อาการป่วยของซังซังเป็นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หลายปีที่ผ่านมาจะต้องกำเริบไปแล้วหลายครั้ง เมืองเว่ยไม่มีหมอมีชื่อ ส่วนบรรดาหมอในเมืองฉางอันก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกดีแต่พูด เจ้าใช้วิธีอะไรถึงยื้อชีวิตนางมาได้จนถึงบัดนี้”
ตอนซังซังยังเล็ก หนิงเชวียต้องพานางไปหาหมอบ่อยๆ เงินที่หามาได้อย่างยากเย็นล้วนต้องจ่ายให้กับร้านขายยาไปหมด ทว่ากลับไม่เกิดผลใดๆ ต่อมามันพบวิธีแก้ไขโดยบังเอิญ ยามนี้พอได้ยินศิษย์พี่สิบเอ็ดถามก็มิกล้าปิดบัง ตอบไปตามตรง
“เวลาอาการกำเริบ ข้าจะให้นางดื่มสุราแรงๆ”
ศิษย์พี่รองที่ยืนฟังอยู่อย่างเงียบๆ พอได้ยินว่าหลายปีมานี้หนิงเชวียใช้สุรารสชาติร้อนแรงรักษาอาการป่วยของซังซัง ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
หวังฉือขบคิดอยู่อึดใจก่อนพยักหน้า
“นี่กลับเป็นวิธีที่ถูกต้อง แม้สุราจะสะกดอาการได้แค่ชั่วคราว แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่ายาเลวๆ พวกนั้น”
โชคดีที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดให้ความเห็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นศิษย์พี่รองคงไม่ปล่อยหนิงเชวียเอาไว้แน่
มาถึงวันนี้หนิงเชวียจึงค่อยทราบว่าศิษย์พี่สิบเอ็ดที่งมงายในบุปผาที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์ทางด้านวิชาแพทย์คนหนึ่ง เพียงแต่พอนึกถึงภาพตอนพบกันครั้งแรกที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดหัวหูมีแต่กลีบดอกไม้เต็มไปหมดก็อดกังวลใจขึ้นเล็กน้อยมิได้ รอจนอีกฝ่ายเดินลับหายเข้าไปในป่าจึงค่อยถามกับศิษย์พี่เจ็ด
“ศิษย์พี่สิบเอ็ดนี่…เชื่อถือได้หรือไม่”
ศิษย์พี่เจ็ดตอบ
“จิตใจของน้องสิบเอ็ดทุ่มเทอยู่กับหมู่มวลพฤกษามาตลอดชีวิต ต่างกับผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยาที่งมงายอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เข้าใจถึงจิตวิญญาณของสิ่งที่งมงาย น้องสิบเอ็ดไม่เพียงรู้จักพฤกษาทุกชนิดที่มีอยู่ในแผ่นดิน ยังเข้าใจวิชาสมุนไพรอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ให้มันเป็นคนตรวจรักษาย่อมเชื่อถือได้อยู่แล้ว”
หนิงเชวียถอนหายใจดังเฮือก แต่ก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว เพราะในความคิดของมัน บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดในปฐพีย่อมต้องเป็นจอมปราชญ์ ดังนั้นมันจึงต้องการรอฟังก่อนว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร
กระท่อมหลังนี้เปิดโล่งรับลมทั้งสี่ด้าน มีแค่ฉากกันลมวางสะเปะสะปะเอาไว้ตรงนี้บ้างตรงโน้นบ้าง ด้านในสุดมีตั่งตัวใหญ่ซึ่งเป็นที่หลับนอนของจอมปราชญ์ ตอนนี้ซังซังกำลังนอนอยู่บนนั้น
ก่อนหน้านี้ซังซังฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ชั่วครู่ แต่ก็ต้องหลับไปอีกด้วยฤทธิ์ยา ถังเสี่ยวถังยกถ้วยยาไปวางไว้ข้างๆ ก่อนใช้ผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดๆ วางไว้บนหน้าผากที่ยังเย็นเฉียบ แล้วจับมือสหายไว้ พูดพึมพำเสียงเบา
หนิงเชวียมองดูด้วยความซาบซึ้งใจ มันหันไปถามจอมปราชญ์
“อาจารย์ขอรับ ตกลงนางจะเป็นอะไรหรือไม่”
วันนี้จอมปราชญ์ต้องตื่นก่อนไก่ อารมณ์จึงไม่ค่อยดี แต่ก็พอจะเข้าใจสภาพจิตใจของศิษย์คนเล็กในตอนนี้ได้ จึงอดกลั้นไม่บ่นด่าออกมา เพียงยกชามใส่โจ๊กเม็ดบัว* ขึ้นมาเป่า ตอบว่า
“จะเป็นอะไรได้อย่างไร แค่ตากแดดให้มากหน่อยก็พอแล้ว”
แม้คำตอบจะฟังเหมือนขอไปที แต่นี่กลับทำให้หนิงเชวียวางใจได้อย่างแท้จริง เพราะในเมื่อจอมปราชญ์บอกว่าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นซังซังก็จะต้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่…แค่ตากแดดจริงๆ หรือ
มันเดินไปรับชามโจ๊กมาจากจอมปราชญ์ ใช้ช้อนคนให้อย่างระมัดระวัง ถามด้วยท่าทางเคารพนบนอบมากเป็นพิเศษ
“อาจารย์ คราวที่แล้วท่านมิใช่บอกว่าร่างกายของซังซัง…ไม่มีปัญหาหรอกหรือ”
จอมปราชญ์พยักหน้า
“นางหยางพร่องมาตั้งแต่เกิด หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้รับการรักษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อวัยวะภายในและไขกระดูกมิรู้ว่าสะสมไอเย็นไปมากเท่าใดแล้ว ยังดีที่มีวาสนาได้กราบเว่ยกวงหมิงเป็นอาจารย์ แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนจึงช่วยสะกดไอเย็นเหล่านั้นเอาไว้ ขอเพียงหมั่นฝึกฝน แสงเจิดจรัสในร่างก็จะขจัดไอเย็นให้หมดไปได้เอง ข้าบอกกับเจ้าในวันนั้นว่าไม่เป็นอะไรก็ต้องไม่เป็นอะไรสิน่า เอ๊ะ หรือว่าเจ้าสงสัยในคำพูดของข้า”
หนิงเชวียแน่ใจว่าโจ๊กอุ่นพอเหมาะแล้วก็ยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม
“กล่าวหนักไปแล้วอาจารย์ ศิษย์เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น”
จอมปราชญ์ปรายตามองมัน กล่าวอย่างหมั่นไส้
“เกิดอะไรขึ้นต้องถามตัวเจ้าเอง เดิมทีนางก็ป่วยเรื้อรังอยู่แล้ว ยังมาถูกเจ้านายที่ไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างเจ้าพาไปสู้กับซย่าโหวอีก…คิดว่าคนอย่างซย่าโหวจะฆ่าให้ตายได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ เพื่อช่วยเจ้า คืนนั้นนางต้องปลดปล่อยแสงสว่างออกมา สูญเสียแสงเจิดจรัสที่มีอยู่ไปทั้งหมด ไอเย็นในตัวเมื่อไม่มีอะไรสะกดจึงย้อนกลับเข้าเล่นงาน และก็ไม่รู้ว่าระยะนี้เจ้าไปข่มเหงรังแกอะไรนางอีก ทำให้จิตใจนางสูญเสียการควบคุม ชีวิตถึงได้ตกอยู่ในอันตรายเยี่ยงนี้”
หนิงเชวียเงียบงันไป ทั้งหมดเป็นความผิดของมันจริงๆ เพียงแต่ซังซังมีนิสัยเยือกเย็น เรื่องที่สามารถทำให้จิตใจนางสูญเสียการควบคุม…จะใช่เรื่องการหมั้นหรือเปล่าหนอ
“อาจารย์ ในเมื่อเป็นโรคที่เป็นมาแต่กำเนิด แล้วจะกำจัดแบบถอนรากถอนโคนได้อย่างไรขอรับ”
จอมปราชญ์ตักโจ๊กเม็ดบัวใส่ปากเคี้ยวก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ
“ข้าบอกไปแล้ว วิธีรักษานั้นง่ายดายยิ่ง ตากแดดให้เยอะๆ ฝึกวิชาเทพให้มากหน่อย รอจนฝึกวิชาเทพสำเร็จแล้วอาการป่วยก็จะหายไปเอง”
หนิงเชวียนึกถึงว่าอีกไม่นานก็จะต้องออกเดินทางแล้ว จึงเลียบเคียงถาม
“ไปวัดลั่นเคอต้องเดินทางไกลยิ่ง ตอนนี้ร่างกายนางยังอ่อนแอ อาจารย์ ศิษย์…ไม่ไปได้หรือไม่”
คราวนี้จอมปราชญ์ตวาดอย่างเดือดดาล
“มารดามันเถอะ! เจ้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญของบ้านใดกัน พอไม่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติก็เดินทางไม่ได้รึ ในเมื่อนางต้องรักษาอาการป่วย เจ้าไปคนเดียวก็สิ้นเรื่อง ข้าจะบอกอะไรให้ นิกายพุทธนั้นมีจุดเด่นของตัวเอง ยิ่งวิชาแพทย์ของพวกหลวงจีนที่วัดลั่นเคอแม้แต่ข้าก็ยังเลื่อมใส เจ้าคิดเอาเองว่าจะไปหรือไม่ไป”
หนิงเชวียบ่นอุบอิบ
“ไปก็ได้ ไยต้องอาละวาดเสียงดังแบบนี้ด้วย”
เดิมทีคำโต้ตอบระหว่างจอมปราชญ์กับหนิงเชวียก็ทำให้คนอื่นๆ ในกระท่อมนึกขำอยู่แล้ว พอมาได้ยินประโยคนี้ พวกมันก็กลั้นไม่ไหวอีก ต้องปล่อยเสียงหัวร่อออกมาพร้อมกันโดยมิได้ตั้งใจ
ศิษย์พี่ใหญ่มิได้หัวร่อตาม เพียงแต่มองซังซังที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ากังวลและเวทนา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Related
Comments
