• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 19 ตอนที่ 3

    บทที่ 3 ความมืดที่ปลายทาง

     

    หนิงเชวียเองก็มีที่พักอยู่บนเขา ในเมื่อซังซังป่วย มันย่อมต้องค้างคืนอยู่ที่นี่ ตอนซังซังได้สติขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะยังดูอิดโรย แต่อย่างน้อยอาการก็ทรงตัวไม่น่าตกใจเหมือนเมื่อคืน หนิงเชวียทั้งเล่าเรื่องตลกทั้งร้องเพลงกล่อมนางเหมือนตอนยังเป็นเด็ก ถังเสี่ยวถังเห็นมันเหนื่อยล้าไม่น้อยก็อาสาช่วยดูแลแทนให้ ทั้งยังบอกให้มันไปพักผ่อนเอาแรง

    ย่างเข้าพลบค่ำ แสงสายัณห์สีแดงส้มปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขา หนิงเชวียเดินออกจากเรือน เห็นเฉินผีผียืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างทะเลสาบ ใบหน้ากลมยุ้ยแลดูเงื่องหงอยอ้างว้าง ก็ถามอย่างนึกฉงน

    “เป็นอะไรไปเล่า”

    เฉินผีผีมองประกายสีทองระยิบระยับบนผิวน้ำ ตอบเสียงแห้งแล้ง

    “เห็นความรักความผูกพันของเจ้ากับซังซังแล้ว ข้ารู้สึกซาบซึ้งจริงๆ”

    หนิงเชวียคิดในใจ หรือเจ้ากับถังเสี่ยวถังทะเลาะกันอีก จึงตบไหล่สหายพลางกล่าวปลอบใจ

    “อย่าเอาตัวเองมาเปรียบกับข้าในเรื่องนี้”

    เฉินผีผีถอนใจ

    “ข้าไม่ได้อิจฉาพวกเจ้าหรอก”

    ใต้แสงสายัณห์ ดินแถวริมทะเลสาบมองดูแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับทองคำก้อนเล็กๆ เฉินผีผีก้มหน้าใช้เท้าเขี่ยเล่นเบาๆ

    “แม้ข้ากับถังถังจะไม่เหมือนเจ้ากับซังซังตรงที่ว่าพวกเราไม่มีประสบการณ์ร่วมฝ่าฟันอันตรายมาด้วยกัน แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเราก็วิเศษยิ่ง เวลาเห็นนางกระโดดน้ำตก ข้าก็เจ็บปวดใจแทน เวลาพานางไปเดินเล่นในเมือง ข้าก็มีความสุข…”

    หนิงเชวียไม่คิดจะทำตัวเป็นกุนซือในเรื่องความรัก จึงถามออกไปตรงๆ

    “ตกลงเจ้าต้องการพูดเรื่องอะไรกันแน่”

    เฉินผีผีไม่ตอบ แต่เงยหน้ามองมันด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนถามกลับ

    “วันนี้ซังซังป่วยหนัก เจ้ากลัวมากใช่หรือไม่”

    หนิงเชวียตอบ

    “แน่นอน ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาง”

    เฉินผีผีกล่าว

    “ข้าก็เช่นกัน ข้านึกถึงภาพตัวเองต้องอยู่โดยที่ไม่มีถังถังไม่ออก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะกลับไปอารามจือโส่วสักครา”

    หนิงเชวียไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี มันคาดเดาความเป็นมาของสหายได้แล้วตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน และมันมั่นใจว่าที่เฉินผีผีคิดจะกลับอารามจือโส่วคงเป็นเพราะต้องการบอกกล่าวเรื่องของถังเสี่ยวถังอย่างตรงไปตรงมา

    “มีคำกล่าวว่า สะใภ้อัปลักษณ์จะอย่างไรก็ต้องพบหน้าบิดามารดาของสามี…มารดาข้าตายไปนานแล้ว แต่บิดายังมีชีวิตอยู่ ถังถังแม้มิใช่คนอัปลักษณ์ ทว่าในสายตาของบิดาข้า คนพรรคมารล้วนอัปลักษณ์ขัดตา ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นปัญหาที่ข้าต้องเผชิญ ดังนั้นข้าจึงต้องกลับไป”

    หนิงเชวียขมวดคิ้ว

    “เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้ากลับไปอาจไม่ได้กลับมาอีก ถึงตอนนั้นถังเสี่ยวถังจะทำอย่างไร”

    เฉินผีผีสบตามัน

    “ศิษย์น้อง เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า หากข้ากลับมาไม่ได้จริงๆ รบกวนเจ้าช่วยดูแลถังถังแทนข้าด้วย”

    หนิงเชวียปฏิเสธทันควัน

    “อย่าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วข้าจะตกปากรับคำ ภรรยาของเจ้า เจ้าต้องดูแลเอง อย่าฝากความหวังไว้กับข้าอย่างเด็ดขาด”

    เฉินผีผีโกรธจัด สะบัดแขนเสื้ออย่างขัดใจ

    “เพ้ย ไหนเลยจะมีศิษย์น้องไร้น้ำใจอย่างเจ้า อีกอย่าง ขอเพียงอาจารย์พูดออกมาคำเดียว มีหรือข้าจะไม่ได้กลับมา”

    หนิงเชวียโบกมือกล่าวตัดบท

    “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องรอให้ข้ากลับมาจากวัดลั่นเคอเสียก่อน ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยปรึกษาหารือกันอีกที อันที่จริงตามความเห็นของข้า ให้อาจารย์ช่วยตบแต่งให้พวกเจ้าซะก็สิ้นเรื่อง จะต้องกลับอารามจือโส่วไปทำไมให้มากเรื่อง”

     

    จอมปราชญ์แม้จะทำตัวไม่น่าเชื่อถือ แต่วาจาที่กล่าวออกมากลับเชื่อถือได้อยู่หลายส่วน นอกจากนี้ยาหม้อที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดต้มให้ก็ได้ผลดีเยี่ยม ตกดึกสีหน้าของซังซังจึงกลับคืนสู่ปกติ เนื้อตัวไม่เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งอีก

    หนิงเชวียนั่งข้างโต๊ะหนังสือ อาศัยแสงตะเกียงอ่านตำรา พร้อมกับชำเลืองมองไปที่เตียงเป็นพักๆ ที่นั่นถังเสี่ยวถังกำลังคุยอยู่กับซังซังที่นั่งพิงหัวเตียง พอเห็นใบหน้าที่ยังมีเค้าความเป็นเด็กของอีกฝ่ายก็อดนึกเวทนาอยู่ในใจมิได้

    ลมพัดโชยมา พาให้แสงตะเกียงไหววูบ ส่งผลให้ใบหน้ามันบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง หนิงเชวียนึกถึงความฝันแปลกประหลาดเมื่อคืน อาการป่วยของซังซัง และคำพูดที่อาจารย์กล่าวในกระท่อม จิตใจก็ไหวหวั่นขึ้นมาอีก จึงไหว้วานถังเสี่ยวถังให้ช่วยดูแลซังซังก่อนเดินออกจากเรือนไป

    มันเดินจากทะเลสาบผิวกระจก ตัดผ่านป่าทึบ ก่อนอ้อมน้ำตกไปยังหลังเขา เพื่อไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผาที่มีแต่ทะเลเมฆ ตอนนี้ดึกแล้ว นอกจากสายน้ำที่ยังคงกระโจนลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายล้วนสงบนิ่ง มันยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยเดินขึ้นทางหินแคบชันไปยังถ้ำที่ตัวเองเคยถูกขังอยู่สามเดือนเต็มๆ

    ระเบียงกันฝนที่พวกศิษย์พี่ช่วยกันสร้างผ่านแดดผ่านฝนมาหนึ่งปีแล้ว มิได้ใหม่เอี่ยมเหมือนเช่นในตอนแรก ผลจื่อเถิงที่ห้อยอยู่ตามระเบียงแกว่งไกวไปมา คล้ายกระดิ่งเล็กๆ ยามต้องลม พอก้าวพ้นระเบียงหนิงเชวียก็เห็นจอมปราชญ์

    จอมปราชญ์นั่งอยู่ริมผา กำลังมองไปทางเมืองฉางอันที่ตอนนี้ยังมีแสงตะเกียงระยิบระยับ มือถือกล่องอาหารใส่เนื้อวัวหนักหลายตำลึงเอาไว้ ที่ข้างกายยังวางกาสุราดินเผาไว้กาหนึ่ง

    หนิงเชวียเดินเข้าไปค้อมตัวคารวะ ใจกระหวัดไปถึงคืนหนึ่งในปลายวสันต์ของปีที่แล้ว ตอนนั้นมันเคยสนทนากับอาจารย์อย่างยาวนานบนหน้าผาแห่งนี้

    จอมปราชญ์รู้ว่ามันยืนอยู่ข้างหลัง และก็เหมือนจะรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกวักมือเรียกให้มันมานั่งลง จากนั้นกล่าวว่า

    “อยากพูดเมื่อไหร่ก็สุดแต่ใจเจ้า”

    หนิงเชวียอยากขอให้จอมปราชญ์ชี้แนะปัญหามากมาย แต่พอเห็นแผ่นหลังสูงใหญ่ก็นึกเชื่อมโยงไปถึงความฝัน จึงเกิดความลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก

    การได้ใช้ชีวิตอยู่ในแคว้นต้าถังนับเป็นเรื่องดี และการได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันก็ถือเป็นความโชคดีอย่างมหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่อยู่ในสถานศึกษาเป็นช่วงเวลาที่มันมีความสุขที่สุด มันจึงกลัวว่าพอบอกเล่าความฝันให้คนอื่นรู้ก็จะสูญเสียความสุขทั้งหมดไป

    จอมปราชญ์คีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งเข้าปากก่อนเคี้ยวช้าๆ ด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มเมามาย หลังกลืนลงท้องก็เอ่ยขึ้น

    “ชีวิตที่มีสุรามีเนื้อ จะกังวลไปไย”

    พูดเสร็จก็ยกสุราขึ้นจิบ

    หนิงเชวียลงนั่งข้างๆ ใช้นิ้วหยิบเนื้อวัวใส่ปากไปชิ้นหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเนื้อวัวในปากไร้ซึ่งรสชาติใดๆ ทว่าไม่นานมันก็เปลี่ยนความคิด เพราะพอได้เริ่มเคี้ยว มันกลับรู้สึกถึงความหยุ่นนุ่มและรสชาติที่หอมหวานไร้สิ่งปรุงแต่ง

    “วิเศษ!”

    หนิงเชวียอุทานเสียงดัง

    “อาจารย์ นี่คือสุราดีเนื้อดี”

    จอมปราชญ์หยิบขวดสุราใบเล็กๆ ทำด้วยเหล็กออกจากข้างกล่องโยนให้มัน กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

    “ไม่ต้องมาใช้ลูกไม้ขอสุราข้าดื่มหรอก สุรานี่รสชาติธรรมดา แต่เนื้อวัวสิอร่อยจริงข้าไม่เถียง จะกินเนื้อวัวต้องขึ้นมากินบนนี้ ที่นี่ยังมีหม้อมีเตาพร้อมที่จะทำเนื้อตุ๋นหม้อไฟกินได้ ที่สำคัญคือเจ้าเหลืองไม่สามารถปีนขึ้นมาขวิดข้าถึงที่นี่”

    หนิงเชวียรู้ดีว่าเจ้าเหลืองที่อาจารย์พูดถึงก็คือวัวเทียมเกวียนตัวนั้น นึกถึงภาพนั่งกินเนื้อสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของเจ้าเหลืองต่อหน้าต่อตามัน หนิงเชวียก็เห็นด้วยที่จอมปราชญ์ต้องหนีขึ้นมากินถึงบนนี้ มิเช่นนั้นทั้งคนทั้งวัวคงจะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ทันใดนั้นมันพบว่าขวดสุราในมือดูคุ้นตาอยู่บ้าง พอยกขึ้นดู เห็นรอยที่สลักอยู่บนผิวหน้าของขวดก็คิดในใจ นี่มิใช่ขวดเหล็กที่มันใช้ทำเป็นระเบิดฆ่าซย่าโหวหรอกหรือ

    “อย่ามองข้าอย่างนั้น ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าขวดเหล็กเล็กๆ นี่เหมาะเอามาใช้ใส่สุรามากกว่า ไม่ต้องห่วง เพื่อกันไม่ให้กลิ่นเหล็กปนกับกลิ่นสุรา ข้าทาของบางอย่างเอาไว้ที่ผนังขวดด้านในแล้ว”

    จอมปราชญ์ยกกาสุราดินเผาขึ้นกรอกปาก ก่อนกล่าวต่อ

    “ดาบสามารถใช้ฆ่าคน แล้วก็สามารถใช้หั่นผัก อยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกใช้ทำอะไร ปากคนสามารถใช้กินเนื้อดื่มสุรา แล้วก็สามารถใช้พูดจาถามปัญหาที่สงสัย ก็ต้องดูเช่นกันว่าเจ้าจะเลือกทำอะไร เรื่องนี้ไม่มีผิดหรือถูก”

    หนิงเชวียมีหรือจะไม่รู้ถึงความหมายในวาจานี้ มันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า

    “อาจารย์ หลายปีมานี้ศิษย์ฝันซ้ำๆ ซากๆ อยู่บ่อยครั้ง และความฝันก็ดูเหมือนจะต่อเนื่องปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย”

    จอมปราชญ์ถาม

    “แล้วทำไมถึงต้องมาบอกข้า”

    “เพราะในความฝันมีท่านอยู่ด้วย”

    จอมปราชญ์ยิ้ม

    “ข้าไม่ใช่ซังซังสักหน่อย เจ้ามาฝันถึงข้าทำไม”

    หนิงเชวียกล่าวอย่างขัดใจ

    “อาจารย์ ศิษย์กำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่ ท่านอย่าล้อเล่นได้หรือไม่”

    “ก็ได้ๆ เจ้าพูดต่อไป”

    ขณะสบตาคู่ที่คล้ายจะมองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ทะลุปรุโปร่งของจอมปราชญ์ หนิงเชวียพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมา กล่าวเสียงแหบพร่า

    “เรื่องที่ศิษย์จะบอกคิดว่าอาจารย์คงพอรู้ เพราะปีที่แล้วบนหน้าผานี้ ตอนที่พวกเราสนทนาถึงเรื่องโลกแห่งความมืดเข้ารุกราน ท่านเคยถามว่าในความฝันของศิษย์ โลกแห่งความมืดอยู่ทางทิศใด”

    จอมปราชญ์มองศิษย์คนเล็กของตัวเอง

    “นั่นเป็นคำถามที่ข้าก็ยังอยากได้คำตอบอยู่”

    “ความมืดที่ศิษย์เห็น…มาจากทางทิศเหนือ”

    จอมปราชญ์พยักหน้า

    “ก็นับว่าสอดคล้องกับที่ข้าคาดการณ์ไว้จากการออกท่องเที่ยวไปทั่วนานหลายปี”

    หนิงเชวียถาม

    “ตกลงที่ว่าโลกแห่งความมืดเข้ารุกราน ความมืดจะมาเยือน เป็นเรื่องอะไรกันแน่ขอรับ ตอนนั้นอาจารย์แค่บอกว่าตำนานเคยกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงรายละเอียด”

    จอมปราชญ์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว

    “รายละเอียดรึ เมื่อโลกถูกความมืดปกคลุม ยังจะเห็นรายละเอียดได้อย่างไร อีกอย่าง เมื่ออารยธรรมทั้งหมดถูกตัดขาด ต่อให้มีรายละเอียดก็ไม่มีทางถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลังได้หรอก

    ตามตำนานกล่าวว่า กลางวันกับกลางคืนหมุนเวียนเปลี่ยนสลับอยู่บนโลกนี้ บางครั้งสว่างไสวไปนานหลายหมื่นปี บางครั้งมืดมิดอยู่นานหลายหมื่นปี การต่อสู้ระหว่างความสว่างกับความมืดดำเนินมานานนับอสงไขย คราใดที่เฮ่าเทียนเป็นฝ่ายชนะ โลกก็จะสว่างไสวอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่หากคราใดที่หมิงหวังชนะ ความมืดก็จะเข้าแทนที่ทันที

    เมื่อโลกแห่งความมืดรุกรานเข้ามา จะไม่มีดวงตะวันในตอนกลางวัน จะไม่มีดวงดาวในตอนกลางคืน อากาศจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นจนทุกอย่างจับตัวเป็นน้ำแข็ง สรรพสิ่งทั้งหลายได้แต่อาศัยความอบอุ่นจากความร้อนใต้ผืนดิน ถึงตอนนั้น ภูเขาไฟ น้ำพุร้อนและกระแสน้ำอุ่นในทะเลหนานไห่ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เพื่อช่วงชิงสิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดศึกสงครามขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

    เมื่อศึกสงครามดำเนินไปนานเข้า ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะล้มหายตายจากไปเพราะความหิวโหย ความหนาวเย็นและการเข่นฆ่ากันเนื่องจากความสิ้นหวัง โลกจะกลายเป็นที่ที่มีแต่ความโหดเหี้ยมอำมหิตยากที่จะอยู่อาศัยได้ ไม่นานหลังจากนั้น ทุกที่ก็จะมีแต่ความเงียบ คล้ายโลกได้เข้าสู่ห้วงนิทราไม่ฟื้นตื่นขึ้นอีกตลอดกาล ทั้งคนและสัตว์มีเพียงพวกที่แข็งแรงที่สุด ทรหดอดทนที่สุด จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้

    ช่วงเวลาที่ว่านี้ นิกายพุทธเรียกว่า ยุคสิ้นสุดของพุทธกาล* ส่วนนิกายเต๋าก็เรียกว่า การจุติมาของหมิงหวัง”

    จอมปราชญ์หยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

    “แต่ข้าเคยชินกับการเรียกว่า…ราตรีชั่วนิรันดร์”

    หนิงเชวียมองเหวลึกหมื่นจั้งใต้ฝ่าเท้า มองน้ำตกที่ดูสวยงามมากเป็นพิเศษใต้แสงดาว แล้วนึกถึงราตรีที่ไร้แสงสว่าง อีกทั้งยังยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ก็อดตัวสั่นเยือกขึ้นมามิได้

    มันเงยหน้ามองจอมปราชญ์

    “หากราตรีอันมืดมิดกับกลางวันอันสว่างไสวเคยหมุนเวียนเปลี่ยนสลับกันมานานนับอสงไขยจริง โดยที่คนยังไม่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ นี่ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าที่อาจารย์พูดเมื่อครู่เป็นความจริง มีคนที่แข็งแรงที่สุด ทรหดอดทนที่สุดสามารถอยู่รอดจากราตรีอันยาวนานนั้นมาได้ เพียงแต่ศิษย์ไม่เข้าใจ คนเหล่านี้เท่ากับผ่านการคัดเลือกจากธรรมชาติมาแล้ว จึงควรเป็นผู้ฝึกฌานที่มีความเข้มแข็งเกรียงไกรที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์นิกายของซีหลิง หรือเรื่องเล่าของนิกายพุทธ เหตุไฉนจึงไม่ปรากฏเรื่องราวของคนเหล่านี้เลย”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “เจ้าน่าจะเคยเห็นรูปปั้นอรหันต์ในวัดวั่นเยี่ยนถ่ามาแล้ว อรหันต์ในนิกายพุทธเทียบได้กับผู้หยั่งรู้ที่ถูกจดบันทึกไว้ในคัมภีร์นิกายเต๋า ในตำนานเล่าว่าคนเหล่านี้มีอายุขัยยืนยาวแทบไม่มีที่สิ้นสุด มีปณิธานแน่วแน่มั่นคงยิ่ง ดังนั้นพวกมันจึงสามารถผ่านช่วงเวลาที่โลกมีแต่ความมืดมิดมาได้ เพื่อรอวันที่เฮ่าเทียนจะกลับมาคว้าชัยชนะอีกครั้ง”

    หนิงเชวียถามอย่างนึกฉงน

    “ยอดคนเหล่านั้นคาดว่าจะต้องเข้มแข็งเกรียงไกรเหนือผู้ใดในปฐพี เพียงแต่เพราะเหตุใดถึงไม่อยู่มาให้พวกเราได้เห็นเล่า”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “แทบไม่มีที่สิ้นสุดถึงอย่างไรก็ยังมีที่สิ้นสุด พวกมันสามารถเอาชนะราตรีอันมืดมิดมาได้ก็จริง แต่ก็มิอาจเอาชนะกาลเวลาได้ อีกอย่าง ในความคิดของข้า พวกมันยังอยู่ห่างไกลจากคำว่าเข้มแข็งเกรียงไกรเหนือผู้ใดในปฐพี”

    หนิงเชวียรู้สึกว่าคำกล่าวของอาจารย์มีปัญหา ท่ามกลางราตรีที่ยาวนานและหนาวเย็นทรมานอย่างนั้น ผู้ที่ถูกธรรมชาติคัดเลือกให้อยู่รอดมาได้ก็น่าจะเป็นคนที่เข้มแข็งเกรียงไกรที่สุดมิใช่หรอกหรือ

    จู่ๆ จอมปราชญ์ก็ถาม

    “เจ้าคิดว่าการฝึกฌานคือของขวัญที่เฮ่าเทียนประทานให้แก่มวลมนุษย์หรือไม่”

    คำถามนี้มาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังสนทนากันอยู่แม้แต่น้อย หนิงเชวียจึงตั้งตัวไม่ติด ต้องขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจนเข้าใจในคำถาม แล้วนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ตนรับช่วงบาตรและจีวรของอาจารย์อาในสำนักพรรคมาร สุดท้ายค่อยส่ายหน้าตอบว่า

    “อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับผู้ฝึกฌานทุกคนขอรับ”

    จอมปราชญ์พยักหน้ากล่าวว่า

    “ไม่ผิด ผู้ฝึกฌานที่แท้จริงจะฝึกใจตัวเอง สุดท้ายจึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูง บังเกิดความทระนงถือดีอย่างถึงที่สุด อันที่จริงพวกมันสามารถทำตัวเหมือนอรหันต์ของนิกายพุทธหรือผู้หยั่งรู้ของนิกายเต๋า หลบซ่อนตัวอยู่รอบๆ ภูเขาไฟ อาศัยตะไคร่น้ำหรือน้ำสะอาดๆ ยังชีพ เพียงแค่นี้ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว ทว่าคนที่มีความเย่อหยิ่งและทระนงถือดีอย่างพวกมันจะยอมรับสภาพที่ต้องมุดหัวหรุบหางตัวสั่นอยู่ในความมืดมิดดั่งมุสิกตัวหนึ่งได้อย่างนั้นหรือ ดังนั้นเมื่อราตรีมาเยือน พวกมันจึงไม่หลบซ่อน แต่เลือกที่จะต่อต้านชักกระบี่แทงใส่หมิงหวัง จากนั้นก็…ล้มตายกันไป”

    หนิงเชวียรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นถูกต้อง คนอย่างอาจารย์อามีหรือจะยอมคุกเข่าเบื้องหน้าหมิงหวังหรือหลบซ่อนอยู่แต่ในโพรงมุสิก ศิษย์พี่รองก็เช่นกัน หากวันใดความมืดมาเยือนจริง ศิษย์พี่รองคงไม่แคล้วต้องเป็นคนแรกที่จะกระโดดออกมาท้าสู้กับหมิงหวัง จากนั้นก็…เป็นไปตามที่จอมปราชญ์กล่าวคือล้มหายตายจากโลกนี้ไป

    คิดถึงภาพนี้ คิดถึงความฝันของตัวเอง คิดถึงความเป็นไปได้ว่าตัวเองอาจเป็นบุตรของหมิงหวัง หนิงเชวียก็รู้สึกว่าลมบนหน้าผาเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ บังเกิดความคิดชั่ววูบอยากจะกระโดดลงไป เพียงแต่ข้างกายมันยังมีจอมปราชญ์ สุราดี เนื้อวัวนุ่มลิ้น ชีวิตที่ยังคงสว่างไสว และซังซังที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง แล้วอย่างนี้จะให้มันตัดใจจากไปได้อย่างไร

    หนิงเชวียมองเมฆที่ลอยละล่องอยู่ตรงหน้า ถามด้วยจิตใจที่หดหู่

    “ทะเลเร่อไห่ค่อยๆ แข็งตัว ราตรีในดินแดนหนาวเย็นทางเหนือสุดก็ยาวนานขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลางบอกเหตุว่าโลกแห่งความมืดกำลังจะมาเยือน…อาจารย์ แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”

    จอมปราชญ์ยกกาสุราขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง ถอนใจตอบว่า

    “ข้าใช้เวลาหลายสิบปีออกค้นหาไปทั่ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าโลกแห่งความมืดอยู่ ณ แห่งหนใด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอย่างไร สิ่งที่ผู้ฝึกฌานพยายามไขว่คว้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายก็คือเวลา เสียดายที่ข้าเกิดมานานแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่คงไม่มีโอกาสได้เห็นโลกแห่งความมืดมาเยือนแม้แต่สักครั้ง”

    พูดจบก็ยกกาสุราขึ้นกรอกปาก คิ้วขาวโพลนขมวดเล็กน้อย สีหน้าที่ปกติดูผ่อนคลายปรากฏแววกังวลอยู่หลายส่วน

    “อาศรมเทพแห่งซีหลิงคือสานุศิษย์ของเฮ่าเทียน เรื่องสงครามระหว่างความสว่างกับความมืดนี้ พวกมันสมควรเข้าใจและเป็นกังวลที่สุด หรือพวกมันจะไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย”

    หนิงเชวียถาม

    “ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถมองเห็นความมืดที่ปลายทาง นับประสาอะไรกับสานุศิษย์ของเฮ่าเทียน แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนโลกแห่งความมืดมาเยือนครั้งที่แล้ว แต่คิดว่าสานุศิษย์ของนิกายเต๋าจะต้องเสี่ยงชีวิตสู้กับหมิงหวังเพื่อปกป้องแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนแน่ หากเสี่ยงชีวิตแล้วยังไม่ชนะก็คงจะซ่อนตัวรักษาชีวิตเอาไว้ รอจนเฮ่าเทียนสู้ชนะหมิงหวังก่อนค่อยโผล่หน้าออกมา”

    จอมปราชญ์ตอบ

    หนิงเชวียเบ้ปาก

    “เหมือนพวกรักตัวกลัวตายอยู่บ้าง”

    จอมปราชญ์กล่าว

    “เดิมทีพวกมันก็อ่อนแอไม่ได้เรื่องได้ราวอยู่แล้ว”

    คำพูดของจอมปราชญ์ทำให้มันนึกไปถึงตอนอยู่ในสำนักพรรคมาร เหลียนเซิงต้าซือก็เคยวิจารณ์ถึงอาศรมเทพแห่งซีหลิงกับอารามจือโส่วเอาไว้อย่างดูถูกดูแคลน

    “อาศรมเทพเป็นเพียงแค่สุนัขฝูงหนึ่งที่อารามจือโส่วเลี้ยง ต่อให้เป็นอารามเก่าโทรมนั่นก็เถอะ ยังมิใช่สุนัขเฝ้าบ้านที่เฮ่าเทียนเลี้ยงเอาไว้หรอกรึ ฮ่าๆๆ…สุนัขทั้งนั้น!”

    จอมปราชญ์กล่าวต่อ

    “ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างผู้ก่อตั้งพรรคมารขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านช่วงเวลาที่โลกแห่งความมืดมาเยือน ดังนั้นในคัมภีร์ของพรรคมารจึงมิได้เอ่ยถึงวิธีการรับมือ”

    หนิงเชวียถาม

    “ได้ยินว่าพรรคมารก็บูชาหมิงหวังนี่ขอรับ”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “นั่นมิใช่เพราะความเลื่อมใสศรัทธา แต่เป็นเพราะความกลัว คนพรรคมารต้องการตัวแทนที่น่าเกรงขามพอๆ กันมาต่อต้านเฮ่าเทียน นี่เป็นเพียงแค่การปลอบประโลมทางจิตใจเท่านั้น”

    หนิงเชวียนึกถึงวาจาที่เหลียนเซิงพูดก่อนตาย มันลังเลเล็กน้อยก่อนเล่าออกมา

    “มีคนพูดว่าพรรคมารเป็นเพียงแค่ก้อนหินที่หลบหนีแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน ซ่อนตัวอยู่ในความมืดจนตะไคร่น้ำขึ้น แม้ได้ชื่อว่าเป็นนิกายที่แข็งข้อ ไร้ซึ่งความเคารพต่อเฮ่าเทียน แต่แท้ที่จริงพวกมันกลับหวาดกลัวเฮ่าเทียนยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นเฮ่าเทียนจึงอนุญาตให้พรรคมารดำรงอยู่ต่อไปในโลกได้”

    อันที่จริงวาจาของเหลียนเซิงยังไม่หมดเพียงแค่นี้ แต่มันตัดทิ้งไป

    ตอนนั้นเหลียนเซิงยังบอกอีกว่า หากหนิงเชวียรับช่วงเพลงกระบี่ที่อาจารย์อาทิ้งไว้ ต่อไปจะปราศจากความหวาดกลัวในทุกสิ่ง กระทั่งว่าไม่มีความยำเกรงในเฮ่าเทียนอีก เช่นนี้จึงเข้าสู่วิถีแห่งมารอย่างแท้จริง ซึ่งเฮ่าเทียนจะไม่มีวันยอมให้คนที่ออกนอกรีตนอกรอยเยี่ยงนี้มีชีวิตสืบไปอย่างเด็ดขาด

    จอมปราชญ์ขมวดคิ้วถาม

    “นี่เป็นคำพูดของผู้ใด”

    หนิงเชวียตอบ

    “เหลียนเซิงสามสิบสองขอรับ”

    จอมปราชญ์กล่าว

    “อืม…เหลียนเซิงแม้จะมีอารมณ์ร้ายจิตใจผิดปกติอยู่บ้าง แต่ก็มีประสบการณ์และความรอบรู้อยู่หลายส่วน เจ้าได้พบกับมันแม้พูดได้ว่ามีอันตรายอยู่ไม่น้อย แต่ก็นับว่ามีโชคอยู่ด้วยเช่นกัน”

    จิตใจผิดปกติอยู่บ้าง มีประสบการณ์และความรอบรู้อยู่หลายส่วน?

    หนิงเชวียคิดในใจ บุคคลที่มากสติปัญญาจนน่าตกใจและมีสีสันอย่างเหลียนเซิงก็มีเพียงอาจารย์กับอาจารย์อาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะวิจารณ์ได้ตามใจชอบ

    จอมปราชญ์ถาม

    “เหลียนเซิงวิจารณ์นิกายพุทธไว้อย่างไรบ้าง”

    “มันบอกว่านิกายพุทธทำได้แค่สร้างความลี้ลับซับซ้อนเพื่อตบตาคน ไม่ต่างอะไรกับพวกหมอดู นอกจากนี้มันยังชิงชังบรรดาหลวงจีนหัวโล้นที่บำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าคนเหล่านี้เอาแต่รอคอยอย่างถ่อมตัวเพื่อที่จะละสังขาร เช่นนี้แล้วจะบรรลุถึงนิพพานได้อย่างไร”

    จอมปราชญ์พยักหน้า

    “สมควรเป็นเช่นนั้น ฟังดูแล้วเจ้าหนูเหลียนเซิงคนนี้มีความรอบรู้อยู่หลายส่วนจริงๆ เพียงแต่แต่ละนิกายแต่ละสำนักต่างก็มีความเชื่อเป็นของตัวเอง จึงไม่ควรวิจารณ์รุนแรงถึงขนาดนี้

    ตามที่จดบันทึกไว้ในคัมภีร์พุทธ เมื่อนมนานกาเลมาแล้ว ตอนแคว้นเยวี่ยหลุนยังไม่ถูกเรียกว่าเยวี่ยหลุน พุทธะองค์แรกสุดเห็นถึงการเกิดแก่เจ็บตาย ก็บังเกิดความโศกเศร้าสุดจะบรรยาย รู้สึกฉงนสงสัยมิรู้ว่าจะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ได้อย่างไร ซ้ำยังล่วงรู้ว่าหลังเวลาผ่านไปนานนับอสงไขย โลกแห่งความมืดจะเข้ามารุกราน จึงออกจาริกไปทั่วแผ่นดิน บำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก จนมานั่งกรรมฐานอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งนานร้อยวัน พยายามคิดหาวิธีนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ลืมเลือนการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืนให้หมดสิ้น สุดท้ายพุทธะองค์นั้นก็ค้นพบวิธี”

    หนิงเชวียรีบถาม

    “วิธีอะไรหรือขอรับ”

    จอมปราชญ์ตอบยิ้มๆ

    “หุบปาก”

    หนิงเชวียนึกว่าตัวเองฟังผิด จึงทวนคำ

    “หุบปาก?”

    จอมปราชญ์พยักหน้า

    “ถูกต้อง วิธีของพุทธะองค์นั้นคือสอนให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรักษาความสงบนิ่งและมีความอดทน มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเป็นภาพลวงตา ความร่ำรวย ความทุกข์ทรมาน ความรักและการพลัดพรากล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม หากสามารถวางเฉยกับชีวิตได้ ย่อมไม่ทุกข์ร้อนกับความตาย วางเฉยกับแสงสว่างได้ ย่อมไม่ทุกข์ทรมานกับความมืด ดังนั้นข้าจึงเรียกวิธีนี้ว่าหุบปาก”

    หนิงเชวียถามอย่างงุนงง

    “จุดเชื่อมโยงกันอยู่ที่ใดขอรับ”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “ถูกตีเจ็บแต่ไม่ร้องออกมา ไม่ตรงกับคำว่าหุบปากหรอกรึ”

    หนิงเชวียยกนิ้ว

    “อาจารย์ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ”

    ทันใดนั้นมันก็นึกถึงหลวงจีนเต้าสือที่ตายใต้คมดาบของตัวเอง กับชีเนี่ยนศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของนิกายพุทธที่มาเยือนฉางอันในคืนหิมะตก จึงขมวดคิ้วถามว่า

    “หากนิกายพุทธให้ความสำคัญกับการอดทนอดกลั้น แล้วเหตุไฉนพวกหลวงจีนวัดไป๋ถ่าของแคว้นเยวี่ยหลุนถึงได้มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนั้น ส่วนวัดเสวียนคงก็มีหลวงจีนลงมาคลุกคลีในโลกียวิสัย”

    จอมปราชญ์ยิ้ม

    “นี่ก็คือผลที่เกิดจากการเสื่อมถอยของนิกายพุทธ ตอนพุทธะองค์นั้นค้นพบวิธีที่ข้าเรียกว่าหุบปากนี้ ก็ได้ถ่ายทอดให้แก่สานุศิษย์ทั้งหลาย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สิ่งที่ถูกถ่ายทอดก็ถูกบิดเบือนไป จากการนั่งฌานเพื่อรู้แจ้งเป็นการนั่งฌานเพื่อบำเพ็ญทุกรกิริยา จากจิตปณิธานหนักแน่นมั่นคงเป็นดื้อรั้นอหังการ ด้วยเหตุนี้พวกหลวงจีนหัวโล้นจึงเกิดความคิดว่า โลกแห่งความมืดรุกรานแล้วเป็นไร ราตรียาวนานชั่วนิรันดร์แล้วเป็นไร แม้แต่ความตายพวกมันยังไม่กลัว สำมะหาอะไรกับความมืด และก็เช่นกัน แม้แต่ความมืดพวกมันก็ไม่กลัว สำมะหาอะไรกับความตาย

    นิกายพุทธในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการปลีกวิเวก ทำตัวสันโดษ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเข้าสู่โลกิยะไม่ได้ และทันทีที่เข้าสู่โลกิยะ พวกมันยังจะสร้างความวุ่นวายได้มากกว่าสานุศิษย์ที่คลั่งกฎของอาศรมเทพเสียอีก”

    หนิงเชวียถามอีก

    “พุทธะองค์นั้นถึงกับล่วงรู้ว่าโลกแห่งความมืดจะเข้ามารุกรานในภายภาคหน้า เช่นนั้นก็คงจะทำนายถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ด้วยใช่ไหมขอรับ”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “หากคำทำนายมีประโยชน์จริง พวกเรายังจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม”

    คำพูดนี้แฝงความหมายลึกซึ้ง ทว่าหนิงเชวียในตอนนี้กำลังพะวงอยู่แต่เรื่องโลกแห่งความมืดจะเข้ามารุกราน ไหนเลยจะยอมให้จอมปราชญ์พูดจาบ่ายเบี่ยง มันรีบท้วงติง

    “อาจารย์ คนเล่าเรื่องเขาไม่ตอบข้างๆ คูๆ กันอย่างนี้หรอก”

    จอมปราชญ์กล่าวอย่างขุ่นเคือง

    “เพ้ย หากรังเกียจว่าข้าเล่าไม่สนุก ข้าเลียนแบบนิกายพุทธก็ได้”

    หนิงเชวียถามอย่างนึกฉงน

    “เลียนแบบอะไรขอรับ”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “ก็หุบปากไง”

    หนิงเชวียร่ำร้องเสียงดัง

    “อาจารย์ อย่าทำอย่างนี้สิ”

    จอมปราชญ์เลิกคิ้ว

    “อยากฟังต่อก็ขอร้องข้าสิ”

    หนิงเชวียไม่ไว้ท่าแม้แต่น้อย

    “อาจารย์ ขอร้องท่านล่ะ ศิษย์อยากรู้ว่าคำทำนายของพุทธะองค์นั้นคืออะไร”

    จอมปราชญ์อดทอดถอนใจไม่ได้ที่ลูกศิษย์หน้าหนาพอๆ กับตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกปลาบปลื้มด้วยเช่นกัน มันลูบเคราช้าๆ

    “ตอนพุทธะองค์นั้นออกโปรดสัตว์ เคยไปที่อารามจือโส่ว และได้รับการเชื้อเชิญจากเจ้าอารามในสมัยนั้นให้เข้าไปอ่านคัมภีร์สวรรค์ทั้งเจ็ดเล่ม จนสามารถสัมผัสรับรู้ถึงโองการของเฮ่าเทียน จึงเขียนเรื่องที่ตัวเองมองเห็นล่วงหน้าเอาไว้ในคัมภีร์สวรรค์เล่มแสงสว่าง เรื่องที่ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างคนนั้นนำคัมภีร์เล่มแสงสว่างไปทุ่งร้างแล้วก่อตั้งพรรคมารขึ้นก็มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องราวที่ถูกเขียนเอาไว้ ส่วนที่แคว้นเยวี่ยหลุนถูกเรียกว่าแคว้นเยวี่ยหลุนก็มาจากคำทำนายในคัมภีร์นี้เช่นกัน”

    หนิงเชวียอุทานด้วยความประหลาดใจ

    “คัมภีร์เล่มแสงสว่างมีคำพูดของพุทธะองค์นั้นอยู่ด้วย!”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “ในบรรดาคัมภีร์สวรรค์ทั้งเจ็ด เล่มที่สำคัญที่สุดคือเล่มท้องฟ้า แต่ที่น่าสนใจจริงๆ กลับเป็นเล่มแสงสว่าง ส่วนเล่มอื่นๆ ไม่ได้อ่านก็ไม่เป็นไร”

    หนิงเชวียรู้สึกเอะใจ ละล่ำละลักถาม

    “อาจารย์ ท่านเคย…อ่าน…คัมภีร์สวรรค์ทั้งเจ็ดเล่มมาแล้วหรือ”

    จอมปราชญ์ตอบ

    “แน่นอน”

     

    ติดตามต่อได้ใน สยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 19 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook