ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 10 บทที่ 1
ข้าเคยได้ยินข่งจื่อกล่าวถึงความกล้า
หากพิเคราะห์ตนเองแล้วไร้คุณธรรมสัตย์ตรง แม้นเพียงชาวบ้านชาวนาไยข้าจักไม่กลัว
หากพิเคราะห์ตนเองแล้วซื่อตรงเที่ยงธรรม แม้นพันหมื่นพลม้าข้าก็หาญเผชิญ
‘คัมภีร์เมิ่งจื่อ บรรพกงซุนโฉ่ว’
บทที่ 1
เฉินดาบปีศาจ
‘น้องชาย! น้องชาย!’
เงาร่างต่ำเตี้ยเงาหนึ่งคืบคลานอยู่ในถ้ำต้าฮวนสี่ที่มืดสลัวและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดพลางร้องเสียงแผ่วเบา
สุ้มเสียงนั้นนุ่มนวลอย่างยิ่ง ทว่าแฝงหวาดกลัวอันลุ่มลึก ฟังออกว่าเป็นเพียงเด็กชายอายุไม่กี่ปี
เด็กชายใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนป่ายคืบคลานผ่านซากศพมากมายที่กองสุมอยู่ในถ้ำไปยังโพรงแห่งหนึ่ง ยอดผนังของที่แห่งนั้นเบิกเป็นรูใหญ่ แสงอาทิตย์ที่หาได้ยากสาดส่องบนร่างเด็กชาย เผยรูปร่างอันผิดแปลกแต่กำเนิดนั้นออกมา ข้อต่อหัวไหล่ด้านขวาของมันปูดนูนขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่เหมือนเนื้องอกอันแข็งหนา
เพราะร่างพิการที่ไม่สมดุลตั้งแต่กำเนิด เด็กชายจึงก้าวย่างโงนเงนกะโผลกกะเผลก ต้องใช้มือทั้งสองช่วยคลานเดินเพื่อค้ำยันตลอดเวลา
‘น้องชาย…’ เด็กชายร้องเรียกเสียงแผ่วเบาต่อไป แม้ใจร้อนรนเพียงใด แต่ก็มันมิกล้าส่งเสียงดังนัก
หากพวกบุรุษถือกระบี่ยาวและมุ่นมวยผมเหล่านั้นได้ยิน มันคงต้องตายอย่างแน่นอน
เด็กชายกัดริมฝีปากล่างแน่นขณะคลานไป เค้าหน้าสี่เหลี่ยมนั้นเผยความทรหดที่เด็กอายุสี่ปีไม่ควรมี มันอดกลั้นความเจ็บปวดมาโดยตลอด ด้วยสังขารนี้มันช่างเหมือนคนชราอ่อนแอที่หัวเข่ามักปวดระบมจากแรงกดกระแทกเป็นประจำ ต้องอาศัยทายาระงับอาการตามกำหนดเวลา แต่เบื้องหน้าคือสงครามดุเดือดที่กองไปด้วยภูเขาศพทะเลเลือด ไหนเลยจะยังมีเวลาว่างให้ทายา เด็กชายจึงทำได้เพียงอดกลั้น
‘ผิงเอ๋อร์ เจ้าต้องอดทน’ วันหนึ่งบิดาเคยกล่าวกับมันเช่นนี้ขณะสักยันต์สามเหลี่ยมของลัทธิอู้อี๋ข้างลำคอมัน ‘เจ้าคือเด็กที่เทพยดาเลือก ขอเพียงทนความเจ็บปวดนี้ได้ ภายหน้าเจ้าก็จะกลายเป็นนักรบที่ทั้งยุทธภพล้วนเกรงกลัว’
เมื่อเด็กชายระลึกถึงคำพูดนี้ของบิดา ความเจ็บปวดที่หัวเข่าก็ราวกับเบาบางลงจริงๆ
ในยามนี้เอง มันได้ยินสุ้มเสียงอ่อนแอแต่คุ้นเคย
เสียงร้องไห้อันแสนสั้น
เด็กชายพุ่งพรวดไปยังที่มาของเสียงราวคนบ้า ที่แห่งนั้นมีซากศพสาวกลัทธิอู้อี๋คนหนึ่งที่ตายจากการรบนอนนิ่งอยู่ มันเงี่ยหูฟัง
‘ฮือ…’
เด็กชายแน่ใจว่าฟังมิผิดจึงยื่นมือทั้งสองไปพลิกซากศพ
แม้สาวกที่ตายผู้นั้นไม่นับว่าแข็งแรงกำยำ แต่อย่างน้อยก็หนักร้อยกว่าชั่ง ร่างกายของเด็กชายยังหนักไม่ถึงสามส่วนของซากศพ มันถลึงตาอันเรียวเล็ก สีหน้าฮึกเหิมและแดงก่ำ ขาทั้งสองนั่งย่อ อาศัยสิ่งที่ท่านอาเคยสอนในลัทธิ พยายามใช้พลังของเอวและขา ส่งไปยังไหล่และข้อมือ
เฉกเช่นหนอนที่ผลักของกินที่หนักกว่าตนเองหลายเท่าได้ เด็กชายพ่นลมหายใจอย่างแรง ศพที่ถูกกระบี่ยาวแทงทะลุอกนั้นก็ถูกมันพลิกได้จริงๆ
น้องชายถูกทับอยู่ใต้ซากศพดังคาด
เมื่อแรงกดพลันหายไป ทารกเพศชายผู้นั้นก็ร้องไห้อุแว้ๆ ทันที
ทารกมิได้ถูกซากศพทับจนหายใจไม่ออก เพราะแขนขวาของมันพาดขวางอยู่บนดวงตา ด้วยเหตุนี้แม้ถูกทับอยู่ แต่บริเวณปากและจมูกยังมีช่องว่างให้หายใจได้
แขนขวาข้างนี้ของทารกเพศชายยาวกว่าแขนซ้ายหนึ่งท่อน ตรงกลางมีข้อต่อเพิ่มขึ้นมาหนึ่งข้อ ความแปลกประหลาดของมันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ชาย
เด็กชายอ่อนล้าอย่างยิ่งแล้ว แต่มันยังคงอุ้มน้องชายขึ้นมาจากพื้น นำแก้มแนบบนหน้าผากของผู้เป็นน้อง
‘ไม่ต้องกลัว…ไม่เป็นไรแล้ว…ไม่เป็นไรแล้ว…’ เด็กชายเบาใจไปชั่วขณะและน้ำตาหลั่งออกมา ก่อนตะโกนเสียงดัง ‘ท่านพ่อ! อยู่ที่นี่! อยู่ที่นี่!’
ไม่ถึงครู่หนึ่งก็มีเงาร่างดั่งค่างวิ่งทะยานก้าวข้ามแอ่งเลือดบนพื้นมา บังเกิดเสียงฝีเท้าที่ชุ่มแฉะและชวนให้หวาดกลัว
เด็กชายเห็นแวบเดียวก็จำบิดาได้ ที่จริงบิดามันมีลักษณะจดจำได้ง่าย เพราะนอกจากผมเผ้าหนวดเครา ดวงตา และปากแล้ว ผิวหนังบนใบหน้าทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยรอยสักอักขระเบียดเสียดดุจดั่งหน้ากากสีเขียวเข้ม…แต่หน้ากากใบนี้ขยับได้ และมีสีหน้าอารมณ์
บิดามาถึงอย่างว่องไวและกางแขนกอดบุตรชายคนโตและเล็กทั้งสองไว้ในอ้อมอก
ในมือเด็กชายกอดผู้เป็นน้องเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงอ้อมอกอันอบอุ่นของบิดา ความรู้สึกปลอดภัยนี้ราวกับจะขับไล่กลิ่นคาวเลือดรอบถ้ำออกไป
‘ประเสริฐเหลือเกิน…ประเสริฐเหลือเกิน…’ บิดาคลายอ้อมกอดและยื่นมือไปตรวจดูร่างกายของบุตรชายคนเล็ก โดยเฉพาะแขนยาวประหลาดข้างนั้น เมื่อแน่ใจว่าข้อต่อกระดูกและเนื้อหนังของมันล้วนไม่เป็นอะไรจึงโล่งอก
เด็กชายมองบิดาอยู่ด้านข้าง บิดามักใช้สีหน้าอบอุ่นทะนุถนอมนี้กับพวกมันสองพี่น้อง แต่ขณะเดียวกันเด็กชายก็มิได้ลืมว่าขณะบิดาปฏิบัติต่อมารดาของพวกมันและอนุภรรยากลุ่มหนึ่ง มักเผยใบหน้าอำมหิตดุจภูตผีปีศาจออกมาเหมือนเห็นพวกนางเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ไม่มีชีวิต…
เด็กชายเคยสงสัยว่าอารมณ์ต่างขั้วสองประเภทนี้เหตุใดจึงอยู่ในใจคนผู้เดียวได้…
‘ผิงเอ๋อร์ ทำได้ดี!’ บิดาใช้มือหนึ่งอุ้มน้องชาย อีกมือหนึ่งจูงมันไว้ ‘เจ้ารู้ไหม พวกเจ้าสองคนคือความหวังทั้งหมดของข้า! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้พวกเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่…ถึงแม้ต้องใช้ชีวิตของข้าไปแลก! สักวันพวกเจ้าต้องใช้ร่างกายที่เทพประทานนี้ก่อพายุมหึมาในโลกนี้ให้จงได้! พวกเจ้าคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าถวายให้เทพยดาแห่งแดนสัตย์จริง!’
เด็กชายไม่เข้าใจคำพูดของบิดา แต่ดวงตามันกลับถลึงโตอย่างหวาดกลัว
เพราะมันเหลือบเห็นด้านหลังบิดาปรากฏแสงสว่าง
ประกายคมที่เย็นเยือกและแคบยาว
กระบี่ยาวอู่ตัง
บิดาที่เพิ่งกล่าวจบก็รู้สึกถึงไอสังหารรุนแรงจากด้านหลัง แต่มันมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงอุ้มและจูงบุตรชายทั้งสองเอาไว้ หมุนตัวไปด้านหลังช้าๆ
เห็นเพียงตรงนั้นมีเงาร่างผอมสูงที่ผมแผ่สยายยาว ในมือถือกระบี่คู่ ชี้ปลายคมที่เปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตสดมา คมกระบี่ห่างจากลำคอมันไม่ถึงห้าชุ่น
เป็นเยี่ยเฉิงเสวียนมือกระบี่อู่ตัง สายตามันยังคงเฉียบคม ใบหน้าขาวที่ซ่อนอยู่ใต้ผมยุ่งของมันไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ภายในกลับหวาดกลัวประหนึ่งสัตว์ป่าตกใจ ปลายกระบี่สั่นไหวเล็กน้อยอย่างควบคุมมิได้
มันกำลังหาทางออกจากถ้ำต้าฮวนสี่ แต่กลับพบเจอสามพ่อลูกนี้กลางกองซากศพ ขณะนี้สิ่งเดียวที่ขัดขวางกระบี่คู่ของมันมิให้แทงลงไปมีเพียงเด็กเยาว์วัยคู่นั้น
บิดาทรุดตัวคุกเข่าลงให้เยี่ยเฉิงเสวียนพร้อมกับดึงบุตรชายคนโตมาไว้ตรงหน้า ซ้ำยังยกทารกในอ้อมกอดยื่นออกไปด้วยสองมือ
ราวกับจะยกสองพี่น้องคู่นี้ให้อู่ตัง…
‘ข้าคือซีรื่อเล่อ วันนี้นำซีเจาผิงและซีเสี่ยวเหยียนบุตรชายมาด้วย ข้าสมัครใจสวามิภักดิ์ต่ออู่ตัง ขอกราบเข้าสำนัก!’
ขณะซีรื่อเล่อกล่าว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยสักหาได้ตื่นตระหนกหรือหวั่นไหวสักนิดไม่
เยี่ยเฉิงเสวียนถลึงมองซีรื่อเล่อพักหนึ่ง ซ้ำยังมองเด็กชายร่างกายประหลาดคู่นั้น ก่อนลดกระบี่คู่ลงช้าๆ
‘นำข้าออกไป’
หลังซีรื่อเล่อขึ้นเขาอู่ตัง มันได้วิจัยยาประหลาดแต่ละประเภทที่ชิงมาจากลัทธิอู้อี๋ให้กงซุนชิงผู้เป็นเจ้าสำนักสืบต่อ ซ้ำยังทดสอบประสิทธิผลของยาด้วยตนเองเป็นประจำ
สามปีให้หลังซีรื่อเล่อใช้ยาลูกกลอนผิดทำให้เสียสติเป็นบ้า สังหารคนงานชายหญิงสิบกว่าคนบนเขาอู่ตังอย่างทารุณ ก่อนเงยหน้ากระอักเลือด เส้นชีพจรแตกตาย
ต้นฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเย็นเล็กน้อยของเดือนสอง
ถนนในตำบลเจียงหลิงเมืองจิงโจวเปี่ยมด้วยความสดชื่น ยากจะมีวันฟ้าโปร่งที่ฝนไม่ตก พ่อค้าเร่ทุกประเภทต่างกรูกันออกมาตั้งแผงร้องขายบนถนนใหญ่ ร้านน้ำชาและโรงเตี๊ยมอัดแน่นไปด้วยพ่อค้าต่างถิ่นที่ไปมาตามแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ พวกมันตะโกนโหวกเหวกเร่งเร้าให้ร้านนำสุราอาหารมาส่ง แลกเปลี่ยนราคาสินค้าและข้อมูลข่าวสารกันอย่างเร่าร้อน
ถนนที่รุ่งเรืองเช่นนี้ย่อมขาดมิจฉาชีพหลากประเภทไปมิได้ ขโมยแฝงตัวฉกฉวยในฝูงชน อันธพาลอาศัยเหตุนี้หาจุดบอด ทุกแห่งมีพรรคสำนักในพื้นที่เรียกเก็บค่าคุ้มครองทำการค้า คนเสเพลฉ้อฉลชมชอบความสนุกตื่นเต้นและแกล้งสตรีบนถนน นักต้มตุ๋นขายยาปลอมและเปิดแผงพนัน…บนถนนในเมืองต่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอันตรายและเร้าใจ
ยามนี้มีชายฉกรรจ์รวมห้าคนกลุ่มหนึ่งเดินอยู่บนถนนใหญ่ของตลาดตะวันออกที่กว้างขวางที่สุดและขวักไขว่ที่สุดของเจียงหลิง พวกมันเดินแทรกระหว่างฝูงชน สองฝั่งซ้ายขวาของถนนเต็มไปด้วยแขกของร้านอาหารมีชื่อในเมือง เหล่าพนักงานเห็นเสื้อผ้าของคนทั้งหลายนี้สะอาดสดใสย่อมกวักมือเรียกอย่างเต็มที่ แต่คนทั้งห้าล้วนมิได้สนใจ
บุรุษวัยกลางคนที่เดินอยู่ตรงกลางรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย ร่างสูงใหญ่จนเหมือนหมี สวมชุดคลุมยาวปักลายเมฆย้อมสีฟ้าที่ทำจากวัสดุชั้นสูงซึ่งตัดได้พอดีตัวอย่างยิ่ง ศีรษะสวมหมวกไหมทอ นิ้วกลางมือซ้ายสวมแหวนหยกสีเขียวมรกต แค่มองก็รู้ว่าร่ำรวยมีฐานะ บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น เป็นเหยียนชิงถงศิษย์สำนักซินอี้ เจ้าของสำนักคุ้มภัยเจิ้นซีแห่งซีอาน
คนทั้งสี่ที่ติดตามข้างกายมัน สองคนคือผู้คุ้มภัยคนสนิท อีกสองคนคือบุรุษห้าวหาญแข็งแรง เป็นองครักษ์ที่ตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชางส่งมาให้ ทั้งสองล้วนมีชาติกำเนิดเป็นโจร ฆ่าคนไม่ขมวดคิ้ว ในมือคนทั้งสี่ต่างถือห่อผ้าที่ซุกซ่อนอาวุธเอาไว้
นับจากศึกที่เหยียนชิงถงล้อมโจมตีเหยาเหลียนโจวที่ซีอานปีที่แล้วมันก็กลัวว่าจะถูกสำนักอู่ตังแก้แค้น และตนยังเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกเปิดโปงอุบายวางยาพิษต่อหน้าผู้คน จึงละทิ้งกิจการครอบครัวสำนักคุ้มภัยเจิ้นซีแล้วหนีตายในยามวิกาล…ความเฉียบขาดเช่นนี้เห็นได้ว่าแม้ความคิดต่ำช้า แต่พฤติการณ์เหยียนชิงถงยังคงมีความกล้าอยู่เล็กน้อย
มันกลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้ศึกซีอานถูกอำนาจนอกยุทธภพลอบจับตามองอยู่ก่อนแล้ว และอำนาจนั้นยังเป็นตำหนักหนิงอ๋องที่อยู่ไกลถึงเจียงซี
ย่ำสนธยาในวันนั้นเหยียนชิงถงออกจากเมืองซีอานและถูกบุรุษสองคนสกัดเอาไว้ระหว่างทาง มันตกใจคิดว่าศิษย์อู่ตังตามมาแล้ว รอจนได้ยินว่าคนทั้งสองอ้างตัวเป็นทูตของหลี่จวินหยวนที่ปรึกษาแห่งตำหนักหนิงอ๋องจึงโล่งอก
เมื่อได้ยินว่าตำหนักหนิงอ๋องมีเจตนาจะรับเป็นพรรคพวก เหยียนชิงถงก็ซาบซึ้งจนแทบจะคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น มันเพิ่งสูญเสียสำนักคุ้มภัยที่ดำเนินกิจการมาหลายปี เสียทั้งชื่อเสียงในยุทธภพ ระหว่างหนีตายอย่างตะลีตะลานไม่รู้จะไปที่ใด ท่านอ๋องแซ่หวังกลับกวักมือเรียกมัน ช่างเป็นโชคดีที่ยากจะเชื่อโดยแท้
มันยังคิดว่าเหมือนวันนี้หมดสิ้นเคราะห์ร้ายแปดร้อยชาติแล้ว
ในตอนนั้นเหยียนชิงถงเดินทางไกลจากกวนจงสู่เจียงซี แต่ระหว่างทางก็น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งเพราะถูกหยวนซิ่งหลวงจีนเน่าแห่งวัดเส้าหลินเพ่งเล็งซ้ำยังไล่ตามไปตลอดจนถึงเมืองจิ่วเจียง เคราะห์ดีที่สุดท้ายสลัดมันหลุดและบรรลุถึงหนานชางอย่างปลอดภัยราบรื่น ได้เข้าพบหนิงอ๋องภายใต้การแนะนำของหลี่จวินหยวน
‘เจ้าบ้านเหยียน…’ ขณะหลี่จวินหยวนพูดคุยมันยังคงใช้คำเรียกขณะเหยียนชิงถงเป็นเจ้าของสำนักคุ้มภัยในอดีตด้วยน้ำเสียงเคารพอย่างยิ่ง ‘แม้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ก็มากความรู้ประสบการณ์ในยุทธภพ ซ้ำยังเป็นอนุชนของสำนักชื่อดัง ภายหน้าตำหนักอ๋องเราไปมาหาสู่กับชนชาวยุทธภพ เจ้าบ้านต้องช่วยเหลือได้เป็นแน่’
เหยียนชิงถงเดิมเดาออกเจ็ดแปดส่วน บัดนี้ได้ฟังคำพูดของหลี่จวินหยวนก็ยิ่งเข้าใจอย่างกระจ่างชัด หนิงอ๋องเรียกมันก็เพื่อเป็นคนกลางในการรับเอายอดฝีมือยุทธภพไว้ใช้งานเอง
ส่วนจะ ‘ใช้งาน’ อะไรในภายหน้า นั่นก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวให้ชัด…
หลังเหยียนชิงถงอยู่ดีมีสุขที่หนานชางก็รีบส่งคนส่งจดหมายกลับซีอาน ติดต่อลูกน้องคนสนิทในสำนักคุ้มภัยให้คุ้มกันคนในครอบครัวของมันมา บัดนี้มือดีสำนักคุ้มภัยในอดีตที่อยู่ข้างกายเหยียนชิงถงมีทั้งสิ้นสิบสามคนก็นับว่าฟื้นฟูอำนาจของตนเองได้แล้ว
เข้าเป็นข้าราชการตำหนักอ๋องมาได้หลายเดือน เหยียนชิงถงยึดเมืองหนานชางเป็นฐาน เรียกรวมมือดีฝ่ายอธรรมในยุทธภพอย่างกว้างขวาง บางครั้งถึงขั้นไปรับสมัครผู้มีความสามารถไกลถึงมณฑลใกล้เคียง ช่วยเสริมแกร่งกำลังทัพองครักษ์ให้ตำหนักอ๋องอย่างสุดจิตสุดใจ แม้มันจะเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องที่ซีอาน แต่อย่างไรก็สำเร็จวิชาจากสำนักซินอี้หนึ่งในเก้าสำนักใหญ่ ตัวมันเองยังตั้งตัวกลับมาด้วยการคุ้มภัยประกันสินค้า เส้นสายในยุทธภพค่อนข้างกว้างขวางและมีหนทางคบค้าสมาคมอันร้ายกาจ สิ่งที่สำคัญกว่าคือมันรู้ถึงความคิดและอุปนิสัยของนักสู้เป็นอย่างดี…นี่คือส่วนที่พึ่งพาได้ที่สุดของคนนอกวงการเช่นหลี่จวินหยวน
เหยียนชิงถงตระเวนพูดโน้มน้าวจนกระทั่งมีนักสู้และมือดีฝ่ายอธรรมรวมร้อยกว่าคนเข้าร่วมรับใช้ตำหนักอ๋อง ยังมีจำนวนมากที่แม้มิได้ถูกรับเข้าทัพ แต่เหยียนชิงถงก็ส่งของขวัญไปให้พวกมันเพื่อเจริญสัมพันธ์อันดี ภายหน้าหากตำหนักหนิงอ๋องเกิดปลุกระดมเคลื่อนพลขึ้นมาจริงๆ ก็มีโอกาสกว่าครึ่งที่พวกมันจะมาเสริมทัพด้วย คนเหล่านี้แม้มิใช่มือดีในยุทธภพทั้งหมด แต่ก็เทียบเท่าพวกโจรที่รับมาแต่ก่อน กำลังขององครักษ์หนานชางจึงเพิ่มขึ้นแล้วไม่น้อย
หนิงอ๋องติดสินบนขุนนางเมืองหลวงจำนวนมาก แม้จะทำให้เรื่องรับสมัครกองกำลังถูกต้องตามกฎ แต่อย่างไรก็ต้องหลบหลีกความสนใจของผู้คน จำนวนคนที่ประจำการมิอาจมากเกินไป จึงคิดใช้นักสู้และกองโจรเป็นกำลังหลัก ฝึกฝนให้เป็นยอดพล ตอนนี้การทหารของราชสำนักหย่อนยาน ระบบเว่ยสั่ว* ของกองทัพรักษาเขตแดนที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ในหลายปีที่ผ่านมามีทหารหนีทัพจำนวนมาก เหลือเพียงบัญชีรายชื่อเท็จ ความจริงแล้วการเฝ้าระวังพื้นที่อาศัยเพียงทหารบ้านเป็นหลัก ทว่าการฝึกน้อยอย่างยิ่ง หากใช้กองกำลังดุดันที่เกรียงไกรและชื่นชอบการต่อสู้นี้จู่โจมอย่างรวดเร็วต้องพังพินาศได้โดยง่ายเป็นแน่
คุณูปการของเหยียนชิงถงได้รับความชอบจากท่านอ๋องอย่างมาก แต่มันมิกล้าหย่อนยานเป็นอันขาด ยังคงพยายามรับสมัครผู้แข็งแกร่งอยู่เรื่อยๆ เพื่อแสดงคุณค่าของตนเองให้ท่านอ๋องได้เห็น เพราะหลังมันเพิ่งเข้าร่วมตำหนักอ๋องได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีคู่แข่งที่ร้ายกาจอย่างยิ่งเพิ่มมาหนึ่งคน…คนผู้นั้นนามว่าอูจี้หง ‘จอมเวทปัวหลง’
อีกทั้งคนแซ่อูผู้นี้ยังเป็นคนของสำนักอู่ตัง…
อู่ตังหนออู่ตัง ชาติก่อนข้าติดค้างพวกเจ้ารึ
ความแข็งแกร่งด้านวรยุทธ์ของอูจี้หงแม้กระทั่งเหยียนชิงถงยังประหลาดใจ ทุกครั้งที่พบเจอมันในตำหนักอ๋อง เหยียนชิงถงมักจะประจบอย่างติดอ่างไม่หยุด แต่ลับหลังด่าทอทุกวัน อีกทั้งคิดอย่างหนักว่าจะใช้แผนการใดรับยอดฝีมือที่แท้จริงมาให้ท่านอ๋องได้บ้าง เพื่อมิให้ถูกอูจี้หงกับฮั่วเหยาฮวาสตรีใต้อาณัติชิงตัดหน้าไป
ในวันนี้เหยียนชิงถงมายังเจียงหลิงเป็นเพราะได้ข่าวว่าหมู่นี้ยุทธภพแถบจิงโจวปรากฏยอดฝีมือลึกลับจึงมาดูด้วยตาตนเองว่าเป็นเช่นไร เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ควรค่าแก่การตระเวนโน้มน้าวหรือไม่
เหยียนชิงถงผ่านยุทธภพมานาน รู้ดีว่าวายร้ายที่สร้างความสำเร็จในด้านมืดพรรค์นี้มีมากมายที่ชื่อเสียงเกินความจริง ส่วนมากล้วนอาศัยผลงานร่วมศึกใหญ่ข่มขู่คู่ต่อสู้ อย่างเช่นพวกที่อ้างว่าตนเองเคยฟันผู้คนมาเท่าใด หนีรอดออกมาจากคุกแห่งใด และบางคนถูกปรุงแต่งเป็นผู้วิเศษเหมือนเทพปีศาจจากการเล่าปากต่อปากตามตรอกซอกซอยและบนถนน ตำนานเดินทางพันหลี่ อาวุธแทงไม่เข้าต่างๆ ล้วนมีให้ได้ยิน ผลสุดท้ายตัวจริงปรากฏ แม้กระทั่งฝีมือหนึ่งหรือสองในสิบของตำนานก็ไม่มี
แต่เมื่อเดือนก่อนเหยียนชิงถงรับสมัครคนให้ตำหนักอ๋องได้เพียงสี่คน อีกทั้งวิทยายุทธ์ล้วนไม่เอาไหนอย่างมาก (อย่างน้อยดาบสามผสานซินอี้ที่ขาดการฝึกฝนของมันก็เอาชนะได้) ทำให้มันร้อนใจในการเสาะหายอดฝีมือที่เก่งกาจยิ่งขึ้น…แค่คนเดียวก็ยังดี…
…ถึงแม้เทียบกับจอมเวทปัวหลงคนบ้าผู้นั้นมิได้ อย่างน้อยต้องสู้สตรีแซ่ฮั่วได้!
เมื่อขบวนของเหยียนชิงถงถึงเขตเมืองจิงโจวมันก็สอบถามสหายยุทธภพที่คุ้นเคยกันในพื้นที่ เนื่องด้วยในอดีตขบวนรถคุ้มภัยของสำนักคุ้มภัยเจิ้นซีในอดีตเคยผ่านเส้นทางนี้อยู่บ่อยครั้งจึงมีเส้นสายอยู่บ้าง หลังสอบถามจนรู้ถึงข่าวเล่าลือว่ายอดฝีมือผู้นั้นรับคำเชิญของสำนักพรรคหนึ่งไปสมทบที่ตำบลเจียงหลิง เหยียนชิงถงก็เร่งไปยังเจียงหลิงอย่างรีบร้อน มันใช้เงินในการตีสนิทและสืบข่าวมากขึ้นกว่าเดิมจนแน่ใจว่าคนผู้นั้นมาแล้วจริงๆ
…คนแซ่เฉิน เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ
ยามนี้ด้านหนึ่งของถนนใหญ่ของตลาดตะวันออกพลันเกิดความโกลาหลขึ้น เหยียนชิงถงรีบนำลูกน้องไปดูอย่างเร่งร้อน
ท่ามกลางเสียงคนเซ็งแซ่และเสียงตะโกนสับสนอลหม่าน แรกเริ่มมิอาจฟังได้กระจ่างชัด ต่อมาจึงค่อยๆ จำแนกได้ว่าผู้คนกำลังแข่งกันร้องเสียงดัง
“มาแล้ว! เฉินดาบปีศาจมาแล้ว!”
‘หอเยวี่ยตง’ เป็นโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในย่านหม่าจิ่งของตลาดตะวันออก ด้านนอกของตึกสูงสองชั้นนั้นถูกฝูงชนรุมล้อมเต็มหมดแล้ว
พวกมันล้วนอยากจะแย่งกันเห็นกับตาว่า ‘เฉินดาบปีศาจ’ ที่จู่ๆ โผล่ออกมาบนถนนหูเป่ยในช่วงนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่
ในคนที่มุงดูมากกว่าครึ่งเป็นอันธพาลไม่เอาการเอางานของพรรคทรงอิทธิพลในพื้นที่ หมู่นี้สองหัวโจกใหญ่ในถิ่นเจียงหลิง ปันซื่อเหยีย (ท่านสี่สกุลปัน) และจ้าวเฮยเหลี่ยน (หน้าดำสกุลจ้าว) ต่อยตีหลายครั้งเพื่อผลประโยชน์เรื่องการขนย้ายสินค้าที่บรรทุกอยู่บนเรือ ผู้คนล้วนสนใจว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้กันแน่ ตอนนี้ได้ยินว่าจ้าวเฮยเหลี่ยนกลับใช้เงินก้อนโตเชิญเฉินดาบปีศาจมาสมทบ ยิ่งเป็นการต่อสู้ที่มิอาจพลาดชมอย่างเด็ดขาด พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหล่านี้เฉกเช่นแมลงวันเห็นโลหิตก็มิปาน
นับแต่ฮั่วเหยาฮวา ‘หมาป่าสาว’ โจรหญิงออกอาละวาดแถบมณฑลจิงโจวและหูหนานแล้วหายเข้ากลีบเมฆไปเมื่อหลายปีก่อน เนิ่นนานแล้วที่ยุทธภพท้องถิ่นไม่มีบุคคลที่น่าจับจ้องเช่นนี้ปรากฏ มีบางคนถึงขั้นเร่งมาชมดูจากอำเภอใกล้เคียง แม้ว่าได้เห็นเฉินดาบปีศาจผู้นี้เพียงแวบเดียวก็ไม่เสียใจ
เหยียนชิงถงเบียดเสียดอยู่ในฝูงชนจนขยับมิได้ทำให้หงุดหงิดอย่างมาก คนรอบด้านล้วนกำลังแลกเปลี่ยนคำเล่าลือเกี่ยวกับเฉินดาบปีศาจผู้นี้
“ข้าได้ยินว่าท่านเฉินผู้นี้เชี่ยวชาญเพลงดาบดุจเทพ พอชักดาบออกฝักเสียงดังฉับ ศีรษะสามศีรษะก็ลอยขึ้นพร้อมกัน!”
“เจ้าเคยเห็นกับตาหรือ” อันธพาลอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วโต้แย้ง “ไม่เหมือนกับที่ข้าได้ยิน”
คนที่กล่าวคำก่อนหน้าค้างคาใจ “เจ้าลองว่ามา”
“ข้าได้ยินว่าเฉินดาบปีศาจพกดาบไม่ห่างกาย แต่จนถึงตอนนี้มันชนะศึกติดต่อกัน โค่นล้มยอดฝีมือมากมาย แต่ไม่เคยชักดาบแม้แต่ครั้งเดียว ที่ใช้คือเพลงหมัด! หมัดนั้นของมันเหมือนเช่นเล่นกล คนโดยรอบมองดูไม่ทันเห็นกระจ่างชัดฝ่ายตรงข้ามก็ล้มลงไปกองแล้ว!”
“ถุย! เหลวไหล! ไหนเลยจะมีผู้ได้ชื่อว่า ‘ดาบปีศาจ’ แต่ไม่ชักดาบ”
“นั่นหมายความว่าดาบของมันใช้วิญญาณอาฆาตมากมายในการสร้าง เป็นธรรมดาที่ไม่ชักออกมา…”
“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยิน…” คนด้านข้างกล่าวแทรก
เหล่าคนที่มามุงดูกล่าวกันคนละคำสองคำเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ของเฉินดาบปีศาจว่าเป็นเช่นไรจนปรากฏเรื่องเล่านับสิบกว่าแบบ
ที่ผ่านมาเหยียนชิงถงไม่เคยได้ยินชื่อบุคคลเช่น ‘เฉินดาบปีศาจ’ …บางทีสวมควรกล่าวว่าต่อให้เคยได้ยินก็ไม่มีทางจำได้ ผู้ที่มีฉายาจำพวก ‘ดาบปีศาจ’ ‘ทวนเทวะ’ ‘หมัดเทวะ’ ในยุทธภพมีมากดุจขนวัว กระทั่งพวกแสดงวิทยายุทธ์ข้างถนนทั่วไปก็ชอบอวดอ้างตนเองเช่นนี้ มิได้แปลกอะไร แซ่เฉินยังเป็นแซ่ใหญ่ ยิ่งไม่อาจทำให้เหยียนชิงถงนึกโยงถึงบุคคลหรือตระกูลมีชื่อเสียงในยุทธภพท้องถิ่น
ทว่าแถบจิงโจวคือพื้นที่สำคัญทางน้ำ ความสัมพันธ์ของผลประโยชน์ในการขนส่งทางเรือซับซ้อนซ่อนเงื่อน ก่อให้เกิดพรรคสำนักฝ่ายอธรรมมากมายยิ่งนัก การปะทะต่อสู้ในพื้นที่ค่อนข้างรุนแรง เหยียนชิงถงคุ้มภัยมาถึงที่นี่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากเฉินดาบปีศาจสร้างชื่อที่นี่ได้ ต่อให้มิใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องมีฝีมืออยู่บ้าง
ยามนี้ฝูงชนพลันแยกออกเป็นสองฝั่งอย่างตะลีตะลาน เปิดเป็นช่องทางสายหนึ่ง
“ไม่อยากตายอย่าขวางทาง!” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าคนหนึ่งร้องตะโกน คนในเมือง ณ ที่แห่งนั้นล้วนจำได้ว่าเป็นลูกน้องของปันซื่อเหยีย
เห็นเพียงปันซื่อเหยียที่แต่เดิมเป็นเพียงกรรมกรแบกหามตามท่าเรือ แต่บัดนี้กลายเป็นปันซื่อเหยียอันธพาลใหญ่ประจำเจียงหลิงผู้นั้น เรือนร่างล่ำสันสวมอาภรณ์สูงค่าดูขัดตาอย่างยิ่ง มันนำลูกน้องกลุ่มใหญ่ แหวกกลุ่มคนเดินไปยังประตูของหอเยวี่ยตง
อันธพาลที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ณ ที่แห่งนั้นมองเห็นเหล่าผู้ติดตามด้านหลังปันซื่อเหยียก็พลันตกตะลึง
“นะ…นั่นพี่น้องตระกูลหงมิใช่หรือ” เหยียนชิงถงได้ยินอันธพาลคนหนึ่งด้านข้างกล่าวเสียงแผ่วเบา
“อะไรนะ! พี่น้องตระกูลหงแห่งหมู่บ้านตี่สือ?” อีกคนหนึ่งร้องอุทานอย่างประหลาดใจ
ด้านหลังปันซื่อเหยียมีชายฉกรรจ์สองคนรูปร่างหนาจนเหมือนลูกหินกลมสองก้อน แม้อากาศเดือนสองจะหนาวเย็นแต่ทั้งคู่ล้วนสวมเสื้อแขนสั้น อกเสื้อที่แผ่เผยแผ่นอกที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น พี่น้องฝาแฝดหงสี่และหงเล่อที่มาจากหมู่บ้านตี่สือของชานเมืองคู่นี้มีพละกำลังเหนือมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด เป็นจอมอหังการน้อยของหมู่บ้านที่ใครพบเห็นเป็นต้องกลัว ต่อมาทั้งคู่ยังกราบเข้าสำนักโหวเฉวียนแห่งเขาหู่หยา (เขี้ยวพยัคฆ์) เรียนรู้พลังแข็ง เป็นมืออันธพาลมีชื่อในพื้นที่ รับเงินทำงานให้เจ้าถิ่นอยู่บ่อยๆ กำปั้นใหญ่เสมือนหินผาของพวกมันต่อยจมูกผู้อื่นเบี้ยวมาเท่าใดแล้วไม่รู้
บรรดาฝูงชนมองผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังพี่น้องตระกูลหงยิ่งตกใจจนอ้ำอึ้งเมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่ผอมเหมือนลิงคนหนึ่ง ลำคอแขวนไว้ด้วยโซ่เหล็ก สองปลายของโซ่เชื่อมกระบองเหล็กสั้นสองท่อนห้อยอยู่ตรงหน้าอก เป็นหลี่กระบองเหล็กอันธพาลฝ่ายอธรรมที่มีชื่อในถนนตลาดใต้ของเจียงหลิง อีกคนหนึ่งเสื้อผ้าสกปรกจนเหมือนขอทาน กางเกงขาดเผยขนหน้าแข้งดำทึบสองข้างตั้งแต่หัวเข่าลงไป ผู้คนจำได้ว่าเป็นซูปาเจี่ยว (แปดขา) ที่ขอทานในวัดโดยเฉพาะ ยังมีชายฉกรรจ์อีกคนที่เอวคาดเข็มขัดหนังฟอก ด้านบนเสียบไว้ด้วยมีดแหลมสะบั้นข้อมือและมีดสับกระดูก เป็นกวนถูจื่อ (นักเชือดสกุลกวน) ที่ค้าขายอยู่ในตลาดตะวันออก สองปีก่อนเพิ่งมาที่อำเภอ ผู้คนล้วนเล่าลือกันว่ามันได้คร่าสามชีวิตขณะอยู่อำเภออื่น คนสุดท้ายคือนักพรตเฝิงที่สวมชุดคลุมยาวปักรูปแผนภูมิแปดลักษณ์ สะพายกระบี่ยาว เป็นบุคคลที่ปีนี้เพิ่งทำมาหาเลี้ยงชีพบนทางแถบเมืองจิงโจว เดิมเคยเป็นโจรสันโดษที่คอยดักปล้นกลางทาง มีคนกล่าวว่ามันเป็นวิชามารทั้งยังเคยเรียนกระบี่เทวะของสำนักฮว่าซานอันเลื่องชื่อระบือนาม…
หลายคนนี้รวมพี่น้องตระกูลหงเป็นหกคน ล้วนเป็นยอดฝีมือในยุทธภพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองตลอดจนถึงพื้นที่ใกล้เคียง ผู้คนเห็นเป็นอสุรกายร้ายกาจ บัดนี้ปันซื่อเหยียกลับเชิญมาทั้งหมดในคราวเดียวเพื่อรับมือเฉินดาบปีศาจ
“แย่แล้ว…” คนที่มุงดูล้วนอุทาน แต่สีหน้าของปีศาจหกคนนั้นไม่แยแสแม้แต่น้อยราวกับแค่เดินทางมาดื่มสุราที่หอเยวี่ยตง
ลูกน้องคนสนิทสิบกว่าคนของปันซื่อเหยียเปิดทางหน้าหลังให้ปันซื่อเหยียและคนทั้งหกเดินเข้าประตูอย่างราบรื่น ในหอเยวี่ยตงเองก็มีลูกน้องของปันซื่อเหยียและจ้าวเฮยเหลี่ยนเฝ้าคอยอยู่ก่อนแล้ว รอหลังพวกปันซื่อเหยียเข้าไปก็จะกันคนที่อยากชมความสนุกให้อยู่นอกประตู
“พวกเจ้าดู…” เหยียนชิงถงได้ยินคนหนึ่งด้านข้างชี้ไปยังประตูพลางกล่าว “ลูกน้องของจ้าวเฮยเหลี่ยน มองเห็นบรรดาบุรุษเหล่านี้มาถึง ใบหน้าล้วนขาวซีด…แหะๆ ข้าว่าครั้งนี้จ้าวเฮยเหลี่ยนเชิญเฉินดาบปีศาจมาเพียงคนเดียวนั้นประมาทเกินไป…”
เมื่อครู่เหยียนชิงถงเองก็สนใจมือดีหกคนนั้นที่ผ่านเบื้องหน้า ในใจมันวางแผนไว้แล้วว่าหากเฉินดาบปีศาจเป็นเพียงพวกชื่อเสียงจอมปลอมก็จะหันมารับสมัครคนเหล่านี้แทน จะได้ไม่นับว่าเสียเที่ยว…
มันส่งสายตาไปยังผู้คุ้มภัยที่เป็นลูกน้อง ผู้คุ้มภัยผู้นั้นเข้าใจ ล้วงถุงเงินออกมาเบียดไปหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตีสนิทกับชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูคนหนึ่ง ซ้ำยังยัดเงินแกนหนึ่งใส่ฝ่ามือมัน
คนเฝ้าประตูเก็บเงินเข้าในเสื้อแล้วค่อยสังเกตเหยียนชิงถงในชุดหรูหรา หน้าตาเหี้ยมโหดแต่เดิมแปรเป็นยิ้มแย้มในทันใด
“ท่านเหยียนชิงถงนี้คือแขกผู้มีเกียรติที่มาจากแดนไกล จะมาเป็นประจักษ์พยาน พาขึ้นไปชั้นบน!”
ดั่งคำว่ามีเงินก็เสกได้ดั่งเทพเจ้า พวกเหยียนชิงถงห้าคนเข้าไปด้านในอย่างราบรื่น ผู้คุ้มภัยทั้งสองคนยังล้วงเงินให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาแก่กลุ่มคนที่เฝ้าดูในประตูอีก
เหยียนชิงถงเข้าไปยังโถงชั้นล่าง เห็นเพียงทั้งห้องอัดแน่นไปด้วยลูกน้องของฝั่งปันซื่อเหยียและจ้าวเฮยเหลี่ยน มันผ่านยุทธภพมานาน เคยเห็นภาพเช่นนี้ไม่น้อย พรรคสำนักนัดกันตะลุมบอนเจรจากันเช่นนี้ต้องติดสินบนจวนว่าการก่อนแล้วเป็นแน่ ในถนนหลายสายโดยรอบที่แห่งนี้เกรงว่าจะไม่เห็นขุนนางแม้แต่คนเดียว ผู้ที่น่าเวทนาที่สุดย่อมเป็นเถ้าแก่ของหอเยวี่ยตงแห่งนี้…แต่เผชิญหน้ากับอันธพาลเหล่านี้ยังมีที่เหลือให้ปฏิเสธอันใดอีก
เหยียนชิงถงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง มองเห็นในโถงชั้นสองจัดวางกำลังแล้ว
ปันซื่อเหยียกับยอดฝีมือหกคนที่เพิ่งขึ้นมายึดครองโต๊ะอาหารสองตัวที่ติดหน้าต่างด้านตะวันออก หกคนนั้นล้วนเป็นบุคคลขี้โมโห เมื่อรวมตัวกันยิ่งแผ่อำนาจที่ชวนให้หายใจไม่ออกหนาแน่น
พี่น้องตระกูลหง หลี่กระบองเหล็ก กับซูปาเจี่ยวล้วนแต่ทำสีหน้าคล้ายหมดความอดทน คิดเพียงจะสู้ให้จบเร็วสักหน่อย จะได้รีบรับค่าตอบแทนส่วนที่เหลือแล้วก็ไป กวนถูจื่อสีหน้ามืดมน ฝ่ามือไม่ห่างจากด้ามมีดตรงเอว มันมีร้านที่กิจการรุ่งเรืองในตลาดแห่งนี้และมีเงินใช้ไม่ขาดมือ มาต่อยตีก็เพราะคันมืออยากฆ่าคน ส่วนนักพรตเฝิงนั่งห่างจากห้าคนนั้นเล็กน้อย มองดูพวกมันซ้ายขวา สีหน้าไม่สบายใจเล็กน้อย คล้ายไม่พอใจที่ปันซื่อเหยียหาคนมาพร้อมกันมากเพียงนี้
หน้าตาคนทั้งหกแม้ดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ทั้งหมดกำลังลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่มุมโถงทิศตรงข้าม
ด้านนั้นย่อมเป็นฝั่งของจ้าวเฮยเหลี่ยน จ้าวเฮยเหลี่ยนที่บนแก้มซ้ายมีปานผืนใหญ่มองเห็นบรรดาปีศาจที่ปันซื่อเหยียเชิญมาก็ทั้งโกรธจนเข่นเขี้ยวและขลาดเขลาในใจ
“น้องเหวย เรื่องนี้ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่” จ้าวเฮยเหลี่ยนใช้สุ้มเสียงแหบพร่าถามเด็กร่วมโต๊ะคนหนึ่งเบาๆ
คนหนุ่มผู้นั้นนามว่าเหวยเสียงกุ้ย ดูเหมือนอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลา ร่างผอมกรอด ท่าทางไม่เหมือนคนชกต่อยเป็นสักนิด แต่ขณะนี้มันกลับจิตใจสงบนิ่ง หยิบป้านสุรารินให้ตนเอง
“เถ้าแก่จ้าว…” เหวยเสียงกุ้ยดื่มอึกหนึ่งแล้วจึงยิ้มน้อยๆ “หากท่านเห็นน้องชายผู้นี้ของข้าชกต่อยกับตา จะไม่ถามเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”
ข้างโถงยังมีแขกหลายโต๊ะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด บางคนในนั้นดูจากเสื้อผ้าเครื่องประดับก็รู้ได้ว่าเป็นพ่อค้ามั่งคั่งและบุคคลมีชื่อเสียงในเมือง คล้ายรับหน้าที่เป็นประจักษ์พยานในศึกนี้ เหยียนชิงถงกับลูกน้องแฝงไปอยู่ในหมู่พวกมัน จากนั้นจึงพินิจมองคนที่มันตั้งใจดั้นด้นมาไกลถึงเจียงหลิงเพื่อจะพบ
บุรุษที่นั่งอยู่ระหว่างจ้าวเฮยเหลี่ยนและเหวยเสียงกุ้ยผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีครามกว้างที่ซักจนซีด หมวกคลุมศีรษะของเสื้อคลุมปิดบังหน้าตาไปเสียครึ่งหนึ่ง รูปร่างมันไม่สูง แต่เห็นได้ชัดว่าหัวไหล่หนาอย่างยิ่ง ด้านหลังห้อยเฉียงห่อผ้ายาว ดูเหมือนเป็นดาบใหญ่อย่างมิต้องสงสัย
…นี่คือเฉินดาบปีศาจ?
เหยียนชิงถงจับจ้องมันอย่างไม่ละสายตาสักขณะ เฉินดาบปีศาจเพียงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ แม้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้หกคนที่เพิ่งปรากฏตัวก็ไม่มีการตอบสนองสักนิด
เป็นความมั่นใจในตนเอง? หรือตกใจจนไม่กล้าขยับแล้ว?
ทั้งสองฝ่ายมากันพร้อมเพรียงแล้ว จ้าวเฮยเหลี่ยนจึงชำระลำคอ ลุกขึ้นมากล่าวคำกับปันซื่อเหยีย
“ปันซื่อเหยีย เรื่องธุรกิจท่าเรือตามนัดหมายของเรา สะสางกันที่นี่วันนี้!”
ปันซื่อเหยียเองก็ลุกขึ้นหัวเราะใส่จ้าวเฮยเหลี่ยนอย่างมั่นใจตนเองเต็มเปี่ยม มันกำลังจะเอ่ยคำแต่กลับถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะ
เป็นเสียงหาวดังลั่น
มาจากปากใต้หมวกคลุมศีรษะของเสื้อคลุมนั้น
“ข้ามาเพื่อสู้ มิใช่ฟังคำพูดเหลวไหล พวกเจ้านัดหมายอะไรกันข้าไม่สน”
เงาร่างสีครามซีดนั้นพลันกระโดดขึ้นมาจากท่านั่ง ไม่จำเป็นต้องมีท่าทางเตรียมพร้อมใดๆ เท้าทั้งสองเหยียบลงกึ่งกลางโต๊ะ จานชามอาหารตรงหน้าลอยกระเด็น
เหวยเสียงกุ้ยที่อยู่ด้านหลังมันกอดป้านสุราและจอกในมือ หงายหลังหลบหลีกน้ำร้อนที่กระเด็นมาพลางหัวเราะฮ่าๆ ไม่หยุด
บรรดาคน ณ ที่แห่งนั้นต่างประหลาดใจสุดบรรยาย เงยหน้ามองเฉินดาบปีศาจที่ยืนอยู่บนโต๊ะ
โดยปกติพรรคสำนักในยุทธภพนัดกันสัประยุทธ์เช่นนี้ล้วนเป็นเพราะการตะลุมบอนบาดเจ็บล้มตายเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลหรือไม่อยากทำให้ทางการไม่พอใจจึงใช้วิธีนี้สะสางข้อพิพาท เป็นเหตุให้ต้องมีธรรมเนียมนัดประจักษ์พยานชุดหนึ่งล่วงหน้า และให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นโอกาสขอยอมจำนนก่อนเริ่มต่อสู้ แต่เฉินดาบปีศาจไม่เห็นธรรมเนียมยุทธภพนี้อยู่ในสายตา พูดจาไม่มีบุคลิกที่ชาวยุทธ์ควรมีแม้แต่น้อย แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนเด็กดื้อที่ชอบการต่อสู้
ยอดฝีมือหกคนทางด้านของปันซื่อเหยียล้วนถูกเฉินดาบปีศาจยั่วโทสะในคราเดียว พวกมันจ้องเขม็งมายังเงาร่างครามซีดนั้น
เฉินดาบปีศาจถอดหมวกคลุมศีรษะลงช้าๆ เผยผมยุ่งยาวที่มิได้มัดมวย กับใบหน้าเยาว์วัยและป่าเถื่อน
ดวงตาบ้าระห่ำอันเฉียบแหลมและเปี่ยมด้วยแววยั่วยุก้มมองคนทั้งหก
“มีเท่านี้หรือ เข้ามาพร้อมกันเถอะ”
เป็นการพูดจาอีกประโยคหนึ่งที่ชวนให้ประหลาดใจ
ทว่าผู้ที่ประหลาดใจที่สุดในฝูงชนกลับเป็นเหยียนชิงถง มันผุดเหงื่อเย็นทั่วทั้งร่าง ปากอ้าจนพอที่จะยัดกำปั้นของตนเองได้
เพราะมันมิได้เพิ่งพบเห็นเฉินดาบปีศาจผู้นี้เป็นครั้งแรก
ครั้งก่อนยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี
ที่ซีอาน หออิ๋งฮวา