• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 10 บทที่ 2

     คืนสุดท้ายที่ซีเสี่ยวเหยียนอยู่บนเขาอู่ตังคือสองเดือนก่อน

    ในราตรีอันมืดมิดและหนาวเย็น ดวงตาทั้งสองของมันวับวาวเหมือนตาสัตว์ ปากพ่นไอเป็นหอบๆ ลอดออกมาจากไรฟัน มันกำลังวิ่งอยู่ในป่าที่ยากยื่นมือพบวัตถุขึ้นไปยังเนินผาผืนหนึ่งตรงตีนเขาทางใต้ของเขาอู่ตัง

    มันสะพายดาบยาวด้ามหวายที่ชอบใช้ไว้เฉกเช่นยามปกติ แขนยาวข้างขวาใช้แขนเสื้อและแถบผ้าดำมัดไว้ตรงช่องท้อง ในป่าทึบเนินเขาที่ทั้งมืดทั้งขรุขระแห่งนี้มันกลับไม่ใช้แขนซ้ายช่วยพยุงตัว ทั้งหมดอาศัยขาอันแข็งแรงทั้งสองรักษาสมดุลและก้าวไปข้างหน้า

    มันสวมเครื่องแบบสีดำของสายพลอีกา ทั้งตัวดุจดั่งหลอมกลืนกับความมืดมิด มีเพียงฝ่ามือซ้ายข้างเดียวที่กำลังถือวัตถุขาวโพลนชิ้นหนึ่งอย่างเบามือ สิ่งนั้นสะท้อนแสงจันทร์อ่อนๆ ที่ลอดมาจากช่องกิ่งไม้ใบไม้

    ซีเสี่ยวเหยียนยกมือซ้ายไว้ตรงหน้าอก ประคองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง แต่ฝ่าเท้ากลับมิได้หยุดชะงักสักเล็กน้อย มันก้าวยาวเหยียบหินผาชั้นแล้วชั้นเล่า เสียงเท้าที่ดังก้องทำให้วิหคที่หลับใหลอยู่ในป่าล้วนแตกตื่น ท่วงท่าปีนกระโดดนี้ของมันเต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง มีเพียงมือซ้ายที่โอนอ่อนเบาพลิ้วต้านความโยกโคลงระหว่างก้าววิ่งราวกับมือข้างนี้แยกออกจากร่างกาย

    มันทะลุผ่านผืนป่า ขาทั้งสองกระโดดอย่างฉับพลัน ร่างล่ำหนาแหวกกิ่งไม้ใบหญ้าจนลอยกระจายขึ้นมาและหยัดยืนลงบนหินผายอดเนิน

    เบื้องหน้าเหลือเพียงผืนฟ้าประดับกว้าง

    ซีเสี่ยวเหยียนหันหาลมราตรีอันหนาวเหน็บพลางหยุดพักหอบหายใจ ครั้นเม็ดฝนปรอยสายที่ตกกระทบบนใบหน้าอันเปี่ยมด้วยเลือดลมร้อนระอุก็แปรเป็นไอโดยพลัน

    ครู่หนึ่งมันจึงก้มศีรษะมองดูสิ่งที่ถืออยู่ในฝ่ามือซ้าย

    ภายใต้แสงอันสุกสกาวของเดือนดารา จึงเห็นได้ว่าในฝ่ามือมันถือเต้าหู้สี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งซึ่งยังคงเอนไหวเพราะลมพัด แม้ผ่านการวิ่งกระโดดมาระยะไกลเพียงนี้ แต่เต้าหู้กลับมิได้แตกสลาย

    ซีเสี่ยวเหยียนยิ้มยิงฟัน นำเต้าหู้ยัดเข้าไปในปาก กินหมดภายในคำเดียว

    “สำเร็จแล้ว…”

    การฝึกถือเต้าหู้ปีนเขานี้หาใช่ผู้อาวุโสในสำนักอู่ตังถ่ายทอดมา แต่เป็นตัวมันคิดขึ้นเองเพื่อทดสอบความพอดีขณะเคลื่อนไหวโดยใช้แรงอย่างดุเดือดที่สุดของตนเอง ขณะที่ไหล่ แขน ข้อมือ นิ้วซีกซ้ายยังคงรักษาความอ่อนหยุ่นเอาไว้

    นับแต่กลับถึงเขาอู่ตัง ตลอดครึ่งปีนี้ซีเสี่ยวเหยียนติดตามซั่งซื่อหลางและศิษย์พี่สายเต่าพิทักษ์ที่เชี่ยวชาญมวยไท่จี๋หลายท่านฝึกฝนวิชาสายอ่อนทักษะแปรพลังอย่างสุดกำลังเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไปขั้วหนึ่งของดาบขั้วหยางมือขวา

    เป้าหมายย่อมเป็นการเอาชนะจิงเลี่ยให้ได้สักวันหนึ่ง

    ซีเสี่ยวเหยียนใช้เสื้อผ้าเช็ดกากถั่วเหลืองในมือ ยืนท่านั่งม้าบนหินผา หันหาจันทร์กระจ่างและดาวเฉิดฉายแล้วจึงฝึกเพลงท่าแปรพลังของไท่จี๋ซ้ำอีก ขณะบิดเอวฝ่ามือก็กรีดออกเป็นวงโค้งไร้รูปออกมาหลายวงในความมืด แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นหมุนเกลียว แปรเป็นท่าพลังสายพันพัว…

    ความสุขสันต์ที่ฝึกทักษะราบรื่นดั่งใจหมายท่วมท้นจิตวิญญาณของมัน

    พลันมโนภาพอันโหดร้ายแวบเข้ามาในหัวสมอง

    ประกายคมสีแดงฉาน

    ฝ่ามือซ้ายของซีเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนจากอ่อนเป็นแข็ง ต่อยลงบนหินผาใต้เท้าหนึ่งหมัด บังเกิดเสียงทุ้มต่ำออกมาในราตรี

    มิใช่! มิใช่เช่นนี้! ข้าฝึกยุทธ์มิใช่เพียงเพื่อความสุขของตนเอง!

    แต่เพื่อต่อสู้

    ซีเสี่ยวเหยียนรู้สึกเหมือนร่างถูกเพลิงร้อนเผาไหม้ ใบหน้าของพี่ชายผู้ล่วงลับลอยขึ้นมาในใจ ทั้งยังมีถ้อยคำที่กล่าวซ้ำๆ กับบิดาอยู่บ่อยๆ

    ‘พวกเราจะกลายเป็นนักรบที่ชาวโลกมิกล้าสบตา’ พี่ชายกล่าวเช่นนี้ ‘นี่คือชะตาชีวิตที่สวรรค์ประทานให้พวกเรา’

    แต่ขณะที่พี่ชายยังไม่สำเร็จเป้าหมายนั้น ชีวิตของมันกลับถูกคนผู้หนึ่งปลิดลง

    บุรุษผู้นั้น…ใบหน้าแย้มยิ้มอันน่ารังเกียจนั้น

    ทุกครั้งที่ซีเสี่ยวเหยียนนึกถึงมันล้วนขบกรามเสียงดังกรอด

    ยังมีเงาร่างชุดแดงข้างกายบุรุษผู้นั้น

    ซีเสี่ยวเหยียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองคนจะอยู่ตรงหน้าตนเองขณะนี้ ทว่าเป็นไปมิได้ เจ้าสำนักเหยาตั้งสัญญาสงบศึกห้าปีด้วยตัวเองต่อหน้าคนมากมายที่ซีอาน หลังกลับถึงเขาอู่ตังก็สั่งการอย่างชัดเจนอีกครั้งว่าช่วงเวลานี้เหล่าศิษย์อู่ตังห้ามลงเขาสู้รบ

    มือซ้ายซีเสี่ยวเหยียนจับอกเสื้อแน่น นี่คือเครื่องแบบสายพลอีกาที่เฉินไต้ซิ่วผู้เป็นศิษย์พี่เย็บให้มันกับมือ แต่บัดนี้มิอาจลงเขาไปกำราบยอดฝีมือทั่วแดนดิน แล้วชุดดำตัวนี้จะยังมีความหมายอะไรอีก มันรู้ว่าสหายร่วมสำนักหลายคนในสายพลอีกาต่างรู้สึกกลัดกลุ้มเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีผู้ใดหนักหนาไปกว่ามัน

    ข้ามิควรหมกอยู่ในเขาเช่นนี้!

    มันรู้ดีว่ามวยอ่อนของตนเองฝึกหนักจนบรรลุผลแล้ว ขณะฝึกฝนผลักมือจับทุ่มกับซั่งซื่อหลาง มันอาศัยเพียงมือเดียวก็ยึดยื้อกันอยู่หลายเพลงรบ หากใช้คู่กับพลังแกร่งของหมัดขวา ซั่งซื่อหลางคงจะต้านรับไม่อยู่

    มีครั้งหนึ่งรองเจ้าสำนักซือซิงเฮ่ามาชมดูพวกมันฝึกปรือที่ลานยุทธ์ด้วยตัวเอง ซือซิงเฮ่ามองซีเสี่ยวเหยียนครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอย่างเรื่อยเอื่อยว่า

    ‘บางทีอีกไม่กี่ปีคงต้องเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว…’

    ปากฉีกขาดของซือซิงเฮ่าทำให้สุ้มเสียงที่กล่าวออกมาคลุมเครือเล็กน้อย แต่สหายร่วมสำนักอู่ตังทุกคน ณ ที่แห่งนั้นล้วนเข้าใจ แต่ละคนหันมองซีเสี่ยวเหยียน

    ซือซิงเฮ่ายอมรับแล้วว่าซีเสี่ยวเหยียนมีความสามารถในการท้าชิงตำแหน่งรองเจ้าสำนัก!

    ได้รับการรับรองจากรองเจ้าสำนักเช่นนี้ซีเสี่ยวเหยียนย่อมตื่นเต้นไม่หยุด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้มันยิ่งร้อนใจจะรบกับจิงเลี่ยอีก

    ข้ามีโอกาสนี้!

    เมื่อเทียบกับศึกแก้แค้น การท้าชิงตำแหน่งรองเจ้าสำนักอะไรนั่นไม่นับว่าสำคัญกับมัน

    ขณะนี้ซีเสี่ยวเหยียนก้มมองเนินเขาอันมืดมิดด้านล่าง ในใจมีสุ้มเสียงหนึ่งกำลังยุยงไม่หยุด

    ลงเขาเถอะ!

    มันนึกถึงข้อบัญญัติของสำนักอู่ตัง บนหนทางแสวงมรรคา ไม่ว่าผู้ใดขัดขวางเจ้าก็ต้องข้ามผ่านมัน

    ถึงแม้นั่นเป็นเจ้าสำนักหรือสำนักอู่ตังเอง

    ไม่มีอะไรควรค่าให้อาลัยอาวรณ์

    สายฝนยั้งหยุด มวลเมฆสูญสลาย จันทราแจ่มจรัส

    ซีเสี่ยวเหยียนพอคิดได้หัวใจก็พลันกระจ่างแจ้งดังเช่นนภาราตรีผืนนี้เบื้องหน้ามัน

    ซีเสี่ยวเหยียนถึงขั้นล้มเลิกความคิดที่จะไปบอกลาหลุมศพของพี่ชายก่อนออกเดินทาง

    ไม่ต้องกลับไปหยิบอะไรทั้งสิ้น…นอกจากดาบเล่มนี้บนแผ่นหลัง ยังมีสิ่งใดที่ต้องพกพาอีก

    มันคงเข้าใจ

    ซีเสี่ยวเหยียนหัวเราะอย่างอวดดีแล้วกระโดดลงไปยังป่าเขาด้านล่าง

    มันรู้ว่าเส้นทางหลายสายรอบเขาอู่ตังล้วนมีพวกฝานจงและสหายร่วมสำนักสายพญางูเฝ้าดู

    เช่นนั้นข้าจะข้ามผ่านทุ่งนาป่าเขาที่เดินยากที่สุดลงไปก็แล้วกัน! หากยังพบพวกมันก็มาดูว่าจะขวางข้าได้หรือไม่…

    ซีเสี่ยวเหยียนยึดมั่นความคิดและความปรารถนาอันใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้ก้าวไปบนเส้นทางออกจากเขาอู่ตัง

    สุดท้ายในคืนนั้นซีเสี่ยวเหยียนก็ลงเขาได้อย่างราบรื่นและไม่ถูกคนจับได้ เพราะในคืนเดียวกันนั้นฝานจงกำลังสะกดรอยตามโหวอิงจื้ออยู่ เป็นเหตุให้มิได้ลาดตระเวนเชิงเขาที่ซีเสี่ยวเหยียนผ่านลงไป

     

    หลังออกจากเขาอู่ตังได้สามวันซีเสี่ยวเหยียนก็ค้นพบเรื่องหนึ่ง การผาดโผนในยุทธภพพกเพียงดาบเล่มเดียวไม่เพียงพอ

    เพื่อหลบการสะกดรอยตามของสหายร่วมสำนักอู่ตัง…แม้ไม่แน่ใจว่าพวกนั้นจะสนใจหรือไม่…เมื่อซีเสี่ยวเหยียนออกมาพ้นเมืองในรัศมีหลายสิบหลี่รอบเขาอู่ตังก็ใช้เส้นทางท้องทุ่งโดยตลอด

    นอนกลางดินกินกลางทราย แรกเริ่มซีเสี่ยวเหยียนไม่สนอกสนใจ

    บนร่างไม่พกแม้แต่หมั่นโถวสักลูก แล้วอย่างไร? อย่างมากก็ล่าสัตว์กินในป่า

     

    จากนั้นมันจึงรู้ว่าตนเองไร้เดียงสาเพียงใด ต่อสู้เป็นมิได้เท่ากับว่าจะล่าสัตว์เป็น ซีเสี่ยวเหยียนเติบโตที่เขาอู่ตังตั้งแต่เด็ก นอกจากทุ่มเทฝึกยุทธ์แล้วงานการอื่นใดล้วนไม่เคยร่ำเรียน ไม่รู้จักทักษะล่าสัตว์อย่างสิ้นเชิง มันที่ฝึกฝนพลังแข็งอันแกร่งกร้าวเป็นหลัก ไม่มีทักษะวิชาตัวเบาที่เหยียบย่างไร้เสียงเหมือนสหายร่วมสำนักสายพญางู ฝีเท้าล้วนเผยความแข็งกร้าว ยามเดินอยู่ในป่าก็ทำให้สรรพสัตว์ล้วนตกใจวิ่งหนี อย่าว่าแต่จะเดินไปถึงระยะที่คมดาบฟันถึง แม้กระทั่งขว้างก้อนหินก็ทำไม่ได้

    หลายวันนั้นมันอาศัยเด็ดผลไม้ป่าประทังหิว กินส่งเดชจนปวดท้อง ยามนี้มันจึงเข้าใจว่าแต่ก่อนได้งอมืองอเท้าอยู่บนเขาอู่ตังคือเรื่องที่โชคดีเพียงใด

    หลังเดินทางได้สามวัน ซีเสี่ยวเหยียนจึงออกจากป่ามาเดินบนถนนในที่สุด จนได้พบเจอกับพ่อค้าต่างถิ่นร่วมขบวนกันเดินทางมาพร้อมขบวนรถลากเข็นและล่อบรรทุกสินค้าพอดี บรรดาพ่อค้าครั้นเห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวเปรอะโคลน สะพายดาบยาวกระโจนออกมาก็คิดว่าถูกดักปล้น ต่างยกดาบพลองประจำตัวขึ้นเตรียมต่อต้าน

    เหตุการณ์ยามนี้กับเมื่อครั้งอยู่ในป่านั้นกลับกันโดยสิ้นเชิง ซีเสี่ยวเหยียนจะล่าสังหารพ่อค้าต่างถิ่นสิบกว่าคนนี้มิได้แตกต่างกับบี้มดกองหนึ่งให้ตาย

    แต่วรยุทธ์ของสำนักอู่ตังมิได้ใช้เช่นนี้…

    นั่นเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับรับมือผู้แข็งแกร่ง หรืออย่างน้อยก็ผู้ที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่ง…

    เห็นพ่อค้าเหล่านี้ตื่นตระหนกจนพลองดาบสั่นเทา ซีเสี่ยวเหยียนก็กระทำเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน

    มันยื่นฝ่ามือไปยังคณะเดินทาง

    “ให้น้ำและอาหารข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าหิว”

    เหล่าพ่อค้าต่างถิ่นล้วนโล่งอก ลดพลองดาบลง

    พวกมันหารู้ไม่ว่าเมื่อครู่ชีวิตของตนเองแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่บางเพียงไร ‘เส้นด้าย’ เส้นนั้นคือเส้นตายของซีเสี่ยวเหยียนที่เป็นนักสู้อู่ตังเช่นเดียวกัน

    ก่อนแยกจาก พ่อค้าชราที่ผมสีดอกเลาแล้วคนหนึ่งในนั้นอดมิได้ที่จะเดินไปหาซีเสี่ยวเหยียนที่กำลังเขมือบอาหารอยู่แล้วตบบ่าของมัน

    “พ่อหนุ่ม ขายดาบนี้ทิ้งแล้วกลับบ้านไปทำนาอย่างสุจริตเถอะ”

     

    เมื่อบรรลุถึงเมืองกู่เฉิงทางตะวันออก เครื่องแบบสายพลอีกาที่เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยดินโคลนของซีเสี่ยวเหยียนก็มองไม่เห็นสีเดิมแล้ว มันปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเมือง ดูเหมือนขอทานและอันธพาลไม่มีผิด

    เพื่อมิให้ดึงดูดสายตาผู้คน มันฉีกชุดคลุมออกมาห่อหุ้มด้ามดาบที่เผยออกมาตรงด้านหลังเอาไว้

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่รู้อย่างสิ้นเชิงว่าพวกจิงเลี่ยและหู่หลิงหลันไปที่ใดแล้ว มันเพียงคิดว่าคราวก่อนแยกจากกันที่กวนจงทิศตะวันตก เช่นนั้นพวกมันคงจะไปทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้แล้ว

    การกรีธาทัพสู่ซีอานคือครั้งแรกที่มันออกจากสำนักไปไกล อีกทั้งมีศิษย์พี่คอยนำตลอดทาง ความกว้างใหญ่ของฟ้าดินมันประมาณไม่ได้สักนิด ตอนนี้จะไปหาจิงเลี่ยเช่นไรก็ไร้หนทางโดยแท้จริง เดินทางไม่กี่วันก็ยากลำบากเช่นนี้แล้ว มันไม่รู้ว่าควรไปต่ออย่างไรอีก

    กระเป๋าไม่มีเงินสักนิด ซีเสี่ยวเหยียนโหยหิวอยู่ในเมืองกู่เฉิงครึ่งค่อนวันแล้ว จนเริ่มเกิดความคิดหลากประเภทออกมา มันเดินวนไปวนมาหน้าแผงขายขนมและผลไม้หลายรอบ ในใจกำลังเกลี้ยกล่อมตนเองไม่หยุดหย่อน

    มองเห็นสิ่งของที่อยากกินก็ไปหยิบนี่มิใช่เรื่องที่ขายหน้าอะไร!

    มันยื่นฝ่ามือไปยังส้มลูกหนึ่งอย่างเงียบๆ

    ทว่าในเวลานี้เองฝูงชนบนถนนพลันส่งเสียงฮือฮา บุรุษจำนวนมากล้วนกรูไปยังทิศทางเดียวกันอย่างไม่รู้สาเหตุ ซีเสี่ยวเหยียนเผลอมองตามจนลืมขโมยส้มไปในชั่วขณะ

    ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งวิ่งมาจวนจะชนแผ่นหลังของซีเสี่ยวเหยียน แต่การตอบสนองอันฉับไวหาได้ลดทอนเพราะหิวโหยไม่ มันหมุนตัววาดแขนขวาจับอกเสื้อคนผู้นั้นเอาไว้

    เห็นเพียงในมือคือบุรุษอายุห่างจากมันไม่มาก รูปร่างซูบผอม ใบหน้าขาวซีดนั้นหาได้ตื่นตะลึงเพราะถูกจับไม่ แต่กลับร้อนใจมากอย่างเห็นได้ชัด

    “ปล่อยข้า! ข้าจะไปทำเงิน!” ชายหนุ่มออกแรงดิ้นหมายจะสลัดตัวจากฝ่ามือของซีเสี่ยวเหยียน แต่กลับเหมือนถูกตรึงอยู่ในตรวนเหล็ก ขยับมิได้แม้แต่น้อย

    “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ซีเสี่ยวเหยียนมองดูทิศทางที่ผู้คนวิ่งไป ฝูงชนเหล่านั้นเป็นเช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้นี้ ล้วนเป็นพวกเกกมะเหรกเกเรที่ไม่เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู๊แต่กลับเหิมห้าวลำพองใจ

    “ไปชกต่อยไงล่ะ!” ชายหนุ่มผู้นั้นกระชากเสียง

    เมื่อได้ยินค่าว่า ‘ชกต่อย’ อันแสนวิเศษซีเสี่ยวเหยียนเหมือนหัวสมองถูกน้ำอุ่นขันหนึ่งราดใส่ศีรษะ มันสงบนิ่งลงทันที ความทรมานจากความหิวโหยถูกลืมสิ้น นิ้วมือคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อดิ้นหลุดก็มุ่งไปข้างหน้าต่อ

    ซีเสี่ยวเหยียนเองก็รีบตามชายหนุ่มผู้นั้นไป

    คนมากมายมารวมตัวอยู่หน้าประตูของร้านขายข้าวสารแห่งหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนตระหง่านบนเก้าอี้อยู่กลางฝูงชน มันมองดูซ้ายขวารอบด้านดังเช่นเลือกซื้อสินค้าอาหารในตลาด

    “สามสิบคน!” บุรุษผู้นั้นชูนิ้วขึ้นสามนิ้วกล่าว “ครั้งนี้นายท่านจางต้องการเชิญสามสิบคน”

    ซีเสี่ยวเหยียนยืนอยู่ในฝูงชน เงยหน้ามองบุรุษผู้นั้นอย่างฉงน ชายหนุ่มหน้าขาวก่อนหน้านี้ยืนอยู่ด้านข้างมันพอดี ครั้นเห็นท่าทางของซีเสี่ยวเหยียนก็ดูออกว่ามันเพิ่งมาเมืองกู่เฉิงจึงกล่าวอธิบาย “เป็นนายท่านจางแห่งร้านลู่ทงในเมืองจะต่อยตีกับพรรคอื่น จำต้องจ้างคนไปประคองสถานการณ์ จี๋ซูผู้นี้เป็นนายหน้าโดยเฉพาะ”

    ซีเสี่ยวเหยียนสังเกตรูปร่างของชายหนุ่ม อีกฝ่ายรู้ว่ามันคิดอะไรจึงโบกมือกล่าว “สถานการณ์ประเภทนี้ แค่จัดวางกำลังไว้ ส่วนใหญ่ไม่ต้องลงมือ หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ หลบอยู่ด้านหลังก็พอ ไม่มีการทำเงินที่ง่ายไปกว่านี้แล้ว”

    จี๋ซูบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นคัดเลือกชายฉกรรจ์อีกหลายคน คนอื่นๆ ต่างชูมือร้องตะโกน หวังจะดึงดูดความสนใจของมัน

    จี๋ซูเหลือบเห็นซีเสี่ยวเหยียนในฝูงชน แม้ซีเสี่ยวเหยียนรูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่กลับมีบุคลิกแตกต่างจากอันธพาลในที่นั้นโดยสิ้นเชิงจนดึงดูดสายตาของจี๋ซูได้

    “เจ้า!” จี๋ซูชี้ซีเสี่ยวเหยียนพลางตะโกน “ที่อยู่ด้านหลังคือดาบใช่หรือไม่”

    ซีเสี่ยวเหยียนพยักหน้า

    จี๋ซูกวักมือบอกเป็นนัยว่ามันถูกเลือกแล้วและเรียกมันเข้าไปในร้านขายข้าวสาร

    “ไปด้วยกัน! ไปด้วยกัน!” ชายหนุ่มหน้าขาวกลับคว้าแขนเสื้อของซีเสี่ยวเหยียนในยามนี้แล้วโบกมือไปยังจี๋ซูที่รับหน้าที่เรียกมืออันธพาลในฉับพลัน ซ้ำยังลอบเผยสายตาวิงวอนไปยังซีเสี่ยวเหยียน

    ซีเสี่ยวเหยียนมองดูมัน ทนการขอร้องของมันมิได้จึงพยักหน้าให้จี๋ซูอีกครั้ง

    จี๋ซูเห็นกิริยาท่าทางของซีเสี่ยวเหยียนก็มั่นใจว่ามันจะทำให้นายท่านจางพึงพอใจได้ จึงอยากเรียกไว้ใช้อย่างมาก สุดท้ายก็จำใจกล่าว “ก็ได้! เข้ามาด้วยกันทั้งคู่!”

    ชายหนุ่มหน้าขาวผลักซีเสี่ยวเหยียนให้เดินไปข้างหน้าอย่างเบิกบานใจ

    ตลอดมาซีเสี่ยวเหยียนไม่ชอบถูกคนแตะต้องเช่นนี้ ชายหนุ่มผอมซูบผู้นี้ต่างจากสหายร่วมสำนักที่เขาอู่ตังยิ่งนัก แต่อาจเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวเกินไปในหลายวันนี้ซีเสี่ยวเหยียนจึงมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้มันเร่งเร้าตนเองไปข้างหน้า แหวกฝูงชนเดินเข้าไปในร้านขายข้าวสาร

    “เรียกข้าว่าเหวยเสียงกุ้ยที่แปลว่ามงคลและมั่งมี” ชายหนุ่มยิ้มพลางถามซีเสี่ยวเหยียน “เจ้าล่ะ”

    ซี่เสี่ยวเหยียนไม่อยากบอกชื่อแซ่ที่แท้จริงส่งเดชกับคนที่เพิ่งรู้จัก จึงครุ่นคิดแล้วแต่งเรื่องไปเรื่อย

    “ข้าแซ่เฉิน”

     

    ขณะที่เมืองเจียงหลิงกำลังคึกคักเพราะข่าวการมาเยือนของเฉินดาบปีศาจ มีคนไม่มากนักที่สนใจว่าสตรีนางหนึ่งกำลังจูงม้าเดินอยู่บนถนน

    ฮั่วเหยาฮวาใช้ผ้าคลุมหนาปิดบังรูปร่างเย้ายวน ผมเผ้าและใบหน้าครึ่งล่างก็ใช้ผ้าผืนใหญ่ปิดคลุมเช่นกัน เผยเพียงดวงตางดงามที่เรียวยาวทั้งสอง ชุดคลุมหยาบที่ผ่านการเดินทางอันทรหดนี้กอปรกับม้าที่จูงอยู่ ในมือยังหิ้วถุงสัมภาระ ชวนให้คิดว่าเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่มาจากทางตะวันตก

    ข้างอานม้ามีกล่องแพรขนาดยาวที่ดูคล้ายบรรจุสินค้าอยู่ ภายในย่อมเก็บซ่อนดาบเลื่อยใหญ่ที่นางชอบใช้

    ฮั่วเหยาฮวาเดินไปยังทิศทางของหอเยวี่ยตงเช่นเดียวกันกับฝูงชน เพียงแต่ฝีเท้าของนางไม่ช้าไม่เร็ว ท่าทางก็ไม่รีบร้อนเท่าคนที่แย่งกันดูเฉินดาบปีศาจ

    เป็นคนเช่นไรกันแน่นะ…ฮั่วเหยาฮวาอดมิได้ที่จะถามตนเองในใจขณะเดินไป

    ครั้งนี้นางสะกดรอยตามเหยียนชิงถงจากหนานชางกลับมาสู่ถิ่นเก่าอย่างหูเป่ย ย่อมเป็นเพราะคำสั่งของจอมเวทปัวหลงอูจี้หง

    ‘เจ้าไปดูแทนข้าว่าคนแซ่เหยียนนั่นทำอะไร’ ในวันนั้นอูจี้หงกล่าวกับฮั่วเหยาฮวาเช่นนี้

    ‘คนผู้นั้น?’ ฮั่วเหยาฮวาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แม้กล่าวว่าเหยียนชิงถงได้รับความเคารพอย่างสูงจากหลี่จวินหยวนที่ปรึกษาตำหนักหนิงอ๋อง แต่เรื่องวรยุทธ์และแผนการล้วนไม่อาจคุกคามจอมเวทปัวหลง เหตุใดจอมเวทต้องสนใจมัน

    ‘คนถ่อยเช่นนี้แม้มิอาจสำเร็จการใหญ่ แต่ฝีมือด้านการโอ้อวดความฉลาดเรื่องเล็กๆ อาจขัดขวางให้เสียการ มิอาจดูแคลน ภายหน้าเราต้องร่วมงานกับมัน เข้าใจให้มากสักหน่อยว่าอย่างไรก็มีข้อดี จิงโจวคือบ้านเกิดของเจ้า ให้เจ้าไปสืบดูจึงสมควร’

    ฮั่วเหยาฮวามีสีหน้าลำบากใจ นางมีภูมิหลังเป็นโจร เคยสร้างศัตรูมากมายอย่างยิ่งในแถบจิงโจวทั้งฝ่ายธรรมและอธรรม หากไม่จำเป็นนางก็ไม่คิดกลับไปเยือนอีก

    จอมเวทเห็นนางทำหน้าเช่นนั้นก็กล่าวต่อ ‘อีกอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำกระมัง’

    คำพูดนี้ของมันค่อนข้างมีความหมายลึกซึ้ง ฮั่วเหยาฮวาได้ฟังก็ค่อยๆ เข้าใจความหมาย ที่จอมเวทตั้งใจให้นางไปจิงโจวมิใช่เพียงทดสอบความจงรักภักดีของนาง แต่เพื่อให้ฝึกฝนจิตใจเล็กน้อย

    สำหรับจอมเวทปัวหลงแล้วฮั่วเหยาฮวาคือสุนัขโฉดชั่วตัวหนึ่งที่เลี้ยงไว้ใช้กัดคน ย่อมมิอาจให้ฟันสุนัขของนางทู่ลง นับแต่อยู่ใต้ใบบุญของตำหนักหนิงอ๋อง หลายเดือนมานี้ฮั่วเหยาฮวาล้วนวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตนเอง ไม่มีความห้าวหาญของผู้คุ้มธงใต้อาณัติของจอมเวทเช่นวันเก่า จุดนี้หนีไม่พ้นสายตาของอูจี้หงอย่างแน่นอน

    ด้านอูจี้หงแม้ตัวมันจะมีความคิดร้ายกาจ แต่ก็ไม่มีทางนึกว่าที่ฮั่วเหยาฮวาจิตใจห่อเหี่ยวเป็นเพราะคิดถึงจิงเลี่ย ยังคงคิดว่าเพราะนางอยู่ที่ตำหนักอ๋องสบายเกินไป เป็นเหตุให้เกียจคร้านปณิธานต่อสู้ลดลง

    ฮั่วเหยาฮวารู้ถึงความหมายที่จอมเวทต้องการบอกจึงมิได้ต่อคำและรับคำสั่งไปสะกดรอยตามเหยียนชิงถงเพียงลำพัง

    เมื่อกลับถึงจิงโจวบ้านเกิดที่เก่า จิตใจของฮั่วเหยาฮวาก็ดีขึ้นจริงๆ นางหวนนึกถึงวันเวลาขณะเป็นโจรระรานยุทธภพแต่ก่อน ช่างเป็นอิสรเสรีเสียนี่กระไร

    บางทีข้าอาจจากไปทั้งเช่นนี้ก็เป็นได้

    ระหว่างทางฮั่วเหยาฮวาเกิดความคิดอยากหลบหนีมิใช่แค่ครั้งเดียว

    จากนั้น ก็ไปหามัน

    แต่ทุกครั้งฮั่วเหยาฮวาล้วนแค่นยิ้มส่ายหน้าให้ตัวเอง นางไม่มีความกล้าเช่นนั้นและรู้ดีว่าจอมเวทปัวหลงชิงชังศิษย์ทรยศถึงเพียงใด โดยเฉพาะหลังเหมยซินซู่ เอ้อเอ๋อร์ห่าน และหานซือเต้าล้วนตายไป หากนางเองยังทรยศหลบหนี จินตนาการไม่ยากว่าจอมเวทปัวหลงจะไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งเช่นไร ต่อให้มันต้องละทิ้งทุกสิ่งของตำหนักอ๋องก็คงไม่เสียดาย

    จะหลบหลีกการกัดไม่ปล่อยของมือสังหารอสรพิษน้ำตาลแห่งสำนักอู่ตัง เป็นเรื่องที่น้อยคนบนโลกจะกระทำได้

    หากคิดจะเดินทางในโลกกว้างเพียงลำพัง ฮั่วเหยาฮวายังคงรับรู้ได้ถึงโซ่ตรวนอันไร้รูปนั้น

    แต่อย่างน้อยฮั่วเหยาฮวาก็ได้กระทำเรื่องหนึ่ง หลายเดือนมานี้นางเลิกพึ่งพาลูกกลอนเจาหลิงและยาลัทธิอู้อี๋อื่นๆ ได้แล้ว ยามนี้อยู่ภายนอกจึงไม่จำเป็นต้องแสร้งใช้ยาเพื่อปิดบังจอมเวทบ่อยๆ เหมือนอยู่ในตำหนักอ๋อง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

    วันนี้ตามเหยียนชิงถงเข้าสู่ตำบลเจียงหลิง ฮั่วเหยาฮวาระมัดระวังเพิ่มเป็นพิเศษ แต่ก่อนนางเคยก่อคดีใหญ่หลวงมากมายในเมืองจิงโจว เจ้าพนักงานและโจรที่เคยเข่นฆ่า ใช้ทั้งนิ้วมือนิ้วเท้าช่วยนับก็นับไม่หมด หมายจับในจวนว่าการกองหนาเป็นชุ่น แถบจิงโจวยังเป็นที่ตั้งของสำนักดาบฉู่หลางของอาจารย์นาง ในปีนั้นหลังนางปลิดชีวิตอาจารย์และหลบหนีออกมายังสังหารสหายร่วมสำนักหลายคนที่ตามฆ่านาง แค้นเลือดนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางลืมเลือนอย่างแน่นอน…

    พอคิดถึงตรงนี้ฮั่วเหยาฮวาก็ดึงผ้าโพกศีรษะให้ต่ำกว่าเดิม นางหาได้กลัวการต่อสู้กับศัตรูคู่แค้น เพียงแต่นั่นมิใช่เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของนาง

    นางจูงม้าติดตามฝูงชนไปตามถนน เหยียนชิงถงเองก็ไปทางนั้น แม้หายลับไปในฝูงชนแล้ว แต่ฮั่วเหยาฮวาหาได้กังวลว่าจะคลาดสายตาไม่ นางมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้บนถนนก็รู้ว่าผู้ที่เหยียนชิงถงต้องการหามาถึงแล้ว

    ฮั่วเหยาฮวาเองก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เดิมนางมีภูมิหลังในยุทธภพจิงโจว รู้ดีว่าสำนักใหญ่เลื่องชื่อที่นี่น้อยนัก ยอดฝีมือที่แท้จริงในซ่องโจรฝ่ายอธรรมเองก็บางตาจนนับได้…หาไม่สตรีเช่นนางคงไม่อาจลืมตาอ้าปาก แล้วผู้ที่เหยียนชิงถงมาหาคือผู้ใดกันแน่

    แต่ขออย่าให้เป็นบุรุษต่ำทรามบัดซบที่ชื่อเสียงเกินจริงอีกเลย

    ฮั่วเหยาฮวาเดินไปถึงนอกหอเยวี่ยตง มองเห็นฝูงชนรุมล้อมหอสูงหลายชั้นนั้นอยู่

    ในขณะที่รอบด้านเบียดแน่นถึงที่สุดนี้ฮั่วเหยาฮวากลับพบความผิดปกติได้อย่างฉับไว

    มีคนกำลังเฝ้ามองนาง

    ริมฝีปากอมชมพูใต้ผืนผ้ายิ้มน้อยๆ อย่างเหยียดหยาม

    ในที่สุดก็มาถึงแล้วหรือ

    ในชั่วขณะนั้นเหนือศีรษะบังเกิดเสียงดังตูมสนั่น ฝูงชนด้านล่างส่งเสียงร้องฮือฮาอย่างตกใจออกมา

    หน้าต่างบานหนึ่งที่หันไปทางตะวันออกบนชั้นสองของหอเยวี่ยตงถูกกระแทกจนพัง เงาดำเงาหนึ่งลอยร่วงลงมาอย่างรุนแรง

     

    ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่ากวนถูจื่อปลิวกระแทกหน้าต่างของหอเยวี่ยตงจนตกลงไปได้อย่างไร

    ทุกอย่างเฉกเช่นเล่นกลก็มิปาน

    พร้อมกันกับที่เฉินดาบปีศาจ…หรือก็คือซีเสี่ยวเหยียน…กระโดดลงจากโต๊ะกระโจนเข้าพื้นที่ว่างระหว่างทั้งสองฝั่ง กวนถูจื่อที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดก็ลอบชักมีดคู่หนึ่งบนเข็มขัดหนังตรงข้างเอวออกมา พุ่งเข้าไปใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง ตั้งใจฉวยโอกาสจู่โจมกะทันหันขณะคู่ต่อสู้ยังยืนไม่นิ่ง

    ขณะกวนถูจื่อบุกโจมตี ใบหน้าเค้าโครงลึกแต่เดิมของมันเห็นได้ชัดว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น มันชิงบุกโจมตีก่อนหาใช่เพราะเป็นผู้กล้าหาญที่สุดในมือดีหกคนไม่ แต่เพียงเพราะมันใคร่จะให้มีดเปื้อนโลหิต

    คำเล่าลือมิผิด…กวนถูจื่อคร่าชีวิตคนจริงๆ เพียงแต่จำนวนเกินกว่าที่ผู้คนรับรู้ ในสองปีที่ย้ายมาหลูหลิง ในเมืองมีคดีฆาตกรรมไร้ศีรษะห้าคดี ความจริงมาจากน้ำมือของมันทั้งสิ้น ผู้ตายมีทั้งสตรีและเด็ก มันคือผู้คลั่งฆ่าคนที่บ้าเลือดโดยสันดาน

    กวนถูจื่อบรรลุถึงหน้าลำตัวซีเสี่ยวเหยียน มีดสับกระดูกในมือขวาฟันจากบนลงล่างในทันใด ปลายมีดในมือซ้ายปราดแทงไปยังท้องของซีเสี่ยวเหยียนอย่างแรงพร้อมกัน กวนถูจื่อแม้เคยฝึกวิทยายุทธ์เพียงผิวเผิน แต่เชือดสัตว์เป็นชีวิตตั้งแต่เด็ก หยิบจับมีดทำงานทุกวัน กำลังและการประสานงานของร่างกายไม่เป็นรองมือดาบในยุทธภพ

    ในพริบตาที่ไร้ซึ่งคนมองเห็นชัด มีดสับกระดูกโฉบเข้าไปยังข้างลำตัวซีเสี่ยวเหยียน ขณะเดียวกันปลายมีดสะบั้นข้อมือด้านล่างกลับแทงลึกเข้าช่องท้องของกวนถูจื่อเอง…มือซ้ายมันยังคงกุมด้ามมีดอยู่ แต่เหมือนจู่ๆ ก็แทงใส่ตนเองหนึ่งมีด

    ซีเสี่ยวเหยียนยืนยักไหล่ กวนถูจื่อลอยล้มไปด้านหลังทั้งร่าง กระแทกบานหน้าต่างด้านหลังดังตูม ร่วงดิ่งลงกลางถนน

    ด้านนอกถ่ายทอดเสียงร้องตกใจของผู้คนเข้า

    ตามมาด้วยพี่น้องตระกูลหงและซูปาเจี่ยว หงสี่และหงเล่อสองคนพลิกโต๊ะพุ่งเข้าไปพร้อมกับกวนถูจื่อที่เปิดฉาก หวังฉวยโอกาสสร้างประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ หากกวนถูจื่อจู่โจมได้เปรียบ พวกมันก็จะผสมโรงซัดหมัดใส่ร่างเฉินดาบปีศาจให้มากหน่อย จะพลอยมีชื่อรับความชอบด้วยบ้าง แต่หากกวนถูจื่อพลั้งพลาดเฉินดาบปีศาจก็ต้องเสียสมาธิ พวกมันก็ขนาบตีสี่หมัดซ้ายขวา คู่ต่อสู้ต้องต้านรับมิได้เป็นแน่

    พี่น้องฝาแฝดคู่นี้ร่วมมือกันมานานใจย่อมสื่อถึงกัน ส่วนซูปาเจี่ยวที่เหมือนขอทานผู้นั้นก็มีความคิดเช่นเดียวกับพวกมัน จึงบุกจะมาชิงโจมตีระหว่างสองพี่น้องพอดี

    แต่คนทั้งสามล้วนคาดไม่ถึงว่ากวนถูจื่อจะถูกสังหารในชั่วอึดใจ

    เฉินดาบปีศาจผู้นี้คือเทพจากที่ใดกัน

    เมื่อกระโจนเข้าวงรบแล้วก็ไร้ที่ว่างให้เลือกได้อีก…เหมือนมืออันธพาลฝ่ายอธรรมเช่นพวกมันล้วนอาศัยชื่อเสียงหน้าไม่อายสักนิดนั้นหากิน คนทั้งสามทำได้เพียงฝืนใจบุกโจมตีเฉินดาบปีศาจด้วยกำลังทั้งหมด

    พี่น้องตระกูลหงกับซูปาเจี่ยว เดิมทียังเขม่นกันเพราะฝ่ายตรงข้ามแก่งแย่งความดีความชอบ แต่ขณะนี้กลับร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่น หงสี่เหวี่ยงหมัดแส้ไปยังกกหูของซีเสี่ยวเหยียนจากด้านซ้าย หงเล่อบิดเอวหมุนตัวอยู่ทางขวา เหวี่ยงหมัดโจมตีไปยังกระดูกซี่โครง ซูปาเจี่ยวที่อยู่กึ่งกลางเตะขาขวาที่ขนปุกปุยขึ้น ฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าปอขาดๆ จู่โจมใส่คางซีเสี่ยวเหยียน

    ซูปาเจี่ยวเดิมเป็นศิษย์พรรคกระยาจกหูหนาน ติดตามอาวุโสในพรรคร่ำเรียนวิทยายุทธ์ไม่น้อย เชี่ยวชาญการโจมตีด้วยเท้า โดยเฉพาะ ‘บาทาทรายบิน‘ ที่เตะไปข้างหน้านี้เห็นได้ว่าชำนาญอย่างยิ่ง มันถูกขับออกจากพรรคกระยาจกเพราะมักมากในกาม จำต้องขึ้นเหนือมายังจิงโจว ยามปกติอาศัยการข่มขวัญและทักษะวิชาเลิศล้ำรีดไถทรัพย์สินผู้อื่นประทังชีวิต

    การโจมตีของคนทั้งสามผสานกันได้วิเศษอย่างยิ่ง สองหมัดหนึ่งเท้าปิดตายด้านหน้าและสองข้างลำตัวของซีเสี่ยวเหยียน นอกจากถอยหลังก็ไร้ซึ่งทางอื่น นี่คือแผนการของพวกมัน อย่างน้อยไล่ต้อนเฉินดาบปีศาจได้สักชั่วขณะ ไว้มองเห็นท่วงท่าของมันให้ชัดก่อนค่อยว่ากัน!

    แต่ในสายตาอันเฉียบคมของศิษย์สายพลอีกาแห่งอู่ตังเช่นซีเสี่ยวเหยียน ท่าการโจมตีซึ่งผสานสามกระบวนนี้เปิดช่องโหว่ใหญ่จนเหมือนแม่น้ำลำคลองอย่างไรอย่างนั้น

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่ถอยแต่กลับเดินหน้า ก้าวเฉียงไปทางขวาพุ่งเข้าชิงวงนอกด้านซ้ายของหงเล่อ มันเกร็งท้องหันตัวหลบ หมัดของศัตรูที่เหวี่ยงโจมตีมายังกลางลำตัวนั้นจึงทำได้เพียงโฉบผ่านท้องมันไป ขณะเดียวกันซีเสี่ยวเหยียนยังใช้ฝ่ามือซ้ายปัดผลักข้อศอกข้างที่ใช้หมัดขวางนี้ของหงเล่อ อุ้งมืออาศัยแรงจากท่าหมุนเอวส่งออก

    ก่อนหน้านี้ซีเสี่ยวเหยียนใช้ทักษะแปรพลังของไท่จี๋ผสานกับทักษะจับบิดข้อต่อ ยืมแรงมีดที่แทงปราดมาของกวนถูจื่อสวนกลับไปยังช่องท้องมัน และถือโอกาสออกแรงกระบวนท่าไหล่กระแทก มวยอ่อนที่ฝึกหนักประสบผลสำเร็จเมื่อสำแดง แต่ซีเสี่ยวเหยียนยังไม่สาแก่ใจจึงใช้ขึ้นมาอีกครั้ง

    หมัดของหงเล่อโจมตีพลาดแต่พลังของมันยังไม่หยุด ซ้ำบริเวณข้อศอกยังถ่ายทอดแรงเหมือนผลักเรือตามน้ำ ผลักหมัดของมันไปด้านข้าง หงเล่อรู้สึกประหนึ่งร่างลอยอยู่ท่ามกลางน้ำวนอันรุนแรง

    มันมิอาจควบคุมตนเอง จึงถูกหมัดของตนเองหมุนนำ ช่วงล่างสูญเสียสมดุล เซหมุนออกไปชนซูปาเจี่ยวที่ลอยตัวเตะมาพอดี

    ซูปาเจี่ยวเดิมทีกำลังยกขาเตะสูง ไม่ทันคาดว่าหงเล่อจะพุ่งมาอย่างกะทันหัน หมัดที่ทรงพลังของหงเล่อเองที่เสริมด้วยแรงฝ่ามือของซีเสี่ยวเหยียนโจมตีจุดสำคัญตรงหว่างขาของซูปาเจี่ยวอย่างตรงเผง ขณะที่ซูปาเจี่ยวส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา ร่างของหงเล่อก็ถลันสู่อ้อมอกมัน ชนกันอย่างจัง

    หมัดแส้ของหงสี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งวาดมาถึง ทว่าซีเสี่ยวเหยียนไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ผู้ที่อยู่ตรงนั้นเปลี่ยนเป็นหงเล่อที่กำลังล้มลง หมัดหนักของหงสี่รั้งแรงไม่ทันจึงต่อยเข้าท้ายทอยของน้องชายอย่างแรง หงเล่อที่กอดซูปาเจี่ยวอยู่ยังไม่ล้มลงกับพื้น แต่กลับตาเหลือกหมดสติไปก่อนแล้ว

    หงสี่ยังไม่ทันเก็บหมัดกลับมาก็รู้สึกว่าเสื้อตรงอกถูกกระชากอย่างแรงด้วยปลายนิ้วห้านิ้ว ขาซ้ายพลันถูกศัตรูใช้เท้าเตะข้อพับ ร่างกายเฉกเช่นหุ่นเชิดถูกทุ่มออกไปโดยปราศจากแรงต้านทาน

    หงสี่รู้สึกเพียงฟ้าดินหมุนเคว้ง ยังไม่ทันเห็นชัดว่าศัตรูอยู่ที่ใดศีรษะกลับเจ็บปวดแสบร้อนจนหมดสติเช่นเดียวกับน้องชาย

    ที่แท้นั่นคือคนที่ห้า หลี่กระบองเหล็กคิดอาศัยช่วงชุลมุนลอบจู่โจมเฉินดาบปีศาจจากด้านหลังโดยไม่สนว่าจะทำร้ายฝ่ายตนเองอย่างสิ้นเชิง มันแกว่งกระบองเหล็กขึ้นบุกเข้าไป ซีเสี่ยวเหยียนใช้การตอบสนองเสมือนสัตว์ร้ายระแวดระวัง จับหงสี่พลางเกี่ยวขาทุ่มโยนมันไปยังตำแหน่งที่กระบองเหล็กจู่โจมมา ใช้ศีรษะของหงสี่สกัดกระบองอำมหิตนั้นไว้จนหัวหงสี่ระเบิดฝนเลือดสายหนึ่งทันที

    หลี่กระบองเหล็กเห็นว่าโจมตีไม่สำเร็จก็จัดกระบองใหม่อีกครั้ง กระบองเหล็กร่ายขึ้นหมุนควงหน้าลำตัวหวูดๆ เสียงแหวกฝ่าอากาศที่เกิดขึ้นจากการแกว่งด้วยความเร็วสูงนั้นชวนให้หวาดเสียวอย่างยิ่ง

    มันมั่นใจต่ออาวุธที่ใช้สร้างชื่อนี้ของตนเอง กระบองเหล็กนี้พอควงกางออกมา หน้าลำตัวก็เหมือนมีกำแพงเหล็กทำร้ายคนเพิ่มขึ้นมา แม้มิอาจพิชิตศัตรูแต่ตนเองก็ยืนอยู่บนชัยชนะก่อนแล้ว

    ซีเสี่ยวเหยียนปล่อยหงสี่ที่หมดสติลง ลดฝ่ามือซ้ายยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่กระบองเหล็ก ปลายจมูกห่างจากระยะที่พลองเหล็กเฉียดผ่านเพียงชุ่นกว่า ลมแรงที่เกิดจากการกวัดแกว่งพัดผมตรงหน้าผากของมัน แต่ถึงจะเผชิญหน้ากับอาวุธที่รุนแรงพอจะผ่าหินอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ซีเสี่ยวเหยียนกลับไม่แสดงสีหน้าแม้แต่น้อย

    ผู้คนรอบด้านมองเห็นอสูรสามตนล้มลงต่อเนื่องกันรวดเดียวก็ตกตะลึงจนลืมหายใจ พวกมันยามนี้รู้ว่า คำเล่าลือเป็นความจริง เฉินดาบปีศาจผู้นี้ต่อกรศัตรูโดยไม่ชักดาบดังว่า อาศัยเพียงเพลงหมัด…อีกทั้งใช้เพียงมือเดียว!

    หลี่กระบองเหล็กที่คล้ายลิงผอมฝีมือว่องไว การสับเปลี่ยนหมุนควงกระบองเหล็กของมือทั้งสองนั้นยอดเยี่ยมไร้ช่องโหว่

    หลี่กระบองเหล็กกำลังระมัดระวังการเคลื่อนไหวของเฉินดาบปีศาจด้วยสมาธิทั้งหมด แต่ขณะเตรียมใช้กระบองบีบฝ่ายตรงข้ามเข้าไปทีละก้าว มันกลับรู้สึกว่าใบหน้าถูกพุ่งชน จมูกระเบิดเป็นเลือด

    คนรอบด้านล้วนมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงเฉินดาบปีศาจยังคงลดมือซ้ายยืนอยู่ที่เดิม เงาร่างนั้นขยับเพียงเล็กน้อย แต่จมูกของหลี่กระบองเหล็กกลับถูกโจมตีจนพ่นโลหิต

    กระบวนท่านี้ของซีเสี่ยวเหยียนปราศจากลูกเล่น อาศัยเพียงความเร็วและสายตาเหนือมนุษย์ ไม่ต้องบิดเอวนั่งท่าม้า อาศัยเพียงไหล่ แขน ข้อมือปล่อยหมัดสั้นต่อยตรงเข้าช่องโหว่ที่กวัดแกว่งของกระบองเหล็กสองท่อนอย่างแม่นยำ ซ้ำยังชักกลับอย่างว่องไวดุจดั่งเก็บเกาลัดในกองเพลิงโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย

    ความเร็วเหนือมนุษย์และมือไม้สายตาที่สอดรับกันของพลังแท้โดยกำเนิดเช่นนี้ นักสู้ทั่วไปเช่นพวกหลี่กระบองเหล็ก พี่น้องตระกูลหง ชั่วชีวิตก็ไม่อาจฝึกฝนได้ และไม่มีวันจินตนาการถึง

    สวรรค์ก็ไม่ยุติธรรมเช่นนี้…แต่ก็เป็นความจริงที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้

    หลี่กระบองเหล็กถูกโจมตีจนมึนงง กระบองที่กวัดแกว่งอย่างเร็วแรงพลันควบคุมไม่อยู่ ฟาดกลับลงบนไหล่ของตัวมันเองจนกระดูกแตกในทันใด มันร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดและล้มลงบนพื้น

    ประมือกันไม่กี่กระบวนในชั่วสะเก็ดไฟแสงฟ้าแลบ แม้แต่แก้วชามที่ตกพื้นหลังทั้งสองฝ่ายพลิกโต๊ะเมื่อครู่ล้วนยังไม่หยุดนิ่ง บนพื้นกระดานของโถงชั้นสองนี้ก็มีคนล้มลงสี่คนแล้ว หน้าต่างบานหนึ่งยังทะลุเป็นโพรงใหญ่

    ผู้คนที่มุงดูอยู่ในโถงรู้สึกเหมือนมองเห็นภาพหลอนตอนกลางวันแสกๆ

    ยามนี้คนผู้หนึ่งคุกเข่าลงทั้งสองข้าง เป็นนักพรตเฝิงในชุดถือพรตสวยหรู มันปลดกระบี่ยาวที่ด้านหลังลงนานแล้วทว่าแต่มิได้ชักออกมา มันใช้มือทั้งสองเทินกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะมอบแด่เฉินดาบปีศาจ ชุดถือพรตนั้นเปียกซึมไปด้วยเหงื่อเย็น สีหน้าอวดดียามปกติไม่รู้ว่าเลือนหายไปที่ใด มันก้มศีรษะมิกล้ามองอีกฝ่ายโดยตรง

    อาจารย์ของนักพรตเฝิงเคยเป็นศิษย์สำนักกระบี่ฮว่าซาน หลายสิบปีก่อนลงเขาจากไปเพราะทนการฝึกบำเพ็ญอย่างหนักไม่ไหวและเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ อาศัยวิชาเต๋าผิวเผินหากินในตลาด นักพรตเฝิงยามอายุสิบห้าปีกราบมันเป็นอาจารย์ เดิมทีเพียงคิดเรียนขับไล่ภูตผีแลกข้าวกิน แต่มันกลับมีพรสวรรค์เรียนกระบี่อยู่เล็กน้อย จึงอาศัยเพลงกระบี่ฮว่าซานหนึ่งชุดครึ่งหากินบนยุทธภพอยู่หลายปีไม่เคยตกเป็นรอง ซ้ำยังสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้

    แต่มันรู้ว่าครั้งนี้พบพระแท้เข้าแล้ว เพลงกระบี่ฮว่าซานครึ่งๆ กลางๆ นั้นเทียบคนผู้นี้ไม่ได้สักนิด

    ซีเสี่ยวเหยียนมองดูทั้งสี่คนที่นอนอยู่บนพื้นรวมทั้งนักพรตเฝิง หน้าเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจนักพรตเฝิง แม้แต่น้อยและโบกมือไปเรื่อยเปื่อย

    นักพรตเฝิงรู้สึกประหนึ่งเดินผ่านหน้าประตูนรก มันรีบวางกระบี่ลงบนพื้นอย่างนอบน้อม ซ้ำยังโขกศีรษะหนึ่งทีแล้ววิ่งไปยังบันไดอย่างตะลีตะลานพร้อมรอยฟกช้ำดำเขียวบนหน้าผาก

    ขณะมันเร่งลงบันไดในใจยังคงคิดหนัก บุคคลเช่นนี้เหตุใดเดินทางมายังสถานที่เช่นนี้ได้

    …ที่นี่มิใช่โลกของซีเสี่ยวเหยียนชัดๆ

     

    นักพรตเฝิงหาใช่คนแรกที่อันตรธานจากหอเยวี่ยตง

    ถนนหลังหอเยวี่ยตง เหยียนชิงถงและลูกน้องอีกสองคนต่างวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต องครักษ์ทั้งสองก็จ้ำอ้าวตามมาติดๆ

    เมื่อครู่ก่อนซีเสี่ยวเหยียนประมือกับกวนถูจื่อ เหยียนชิงถงได้อาศัยจังหวะที่คนในโรงเตี๊ยมถูกดึงดูดสายตาลากลูกน้องหลบหนีมาอย่างเงียบๆ ขณะนี้แม้ออกจากหอเยวี่ยตงแล้ว แต่ฝีเท้ามันยังคงมิได้ช้าลงสักก้าวเดียว หลังเดินไปอีกสองสายถนนจึงกล้าหยุดพิงมุมกำแพงหอบหายใจแฮกๆ ลอบมองว่าด้านหลังมีคนตามมาหรือไม่ ความหวาดหวั่นฉายชัดในแววตา

    ก้อนอิฐของกำแพงล้วนเปียกซึมไปด้วยเหงื่อเย็นบนแผ่นหลังของมัน หัวใจที่อยู่ในอกเต้นรัวอย่างมิอาจควบคุมจนเหมือนจะระเบิดออกตลอดเวลา

    ผู้คุ้มภัยทั้งสองคนที่ตามมาต่างก็เคยเห็นซีเสี่ยวเหยียนยอดฝีมือสำนักอู่ตังผู้นี้ที่ซีอานมาก่อนเช่นกัน สีหน้าพวกมันก็ขาวจนเหมือนกระดาษ ท่าทางขวัญหนีดีฝ่อเช่นเดียวกับเหยียนชิงถง

    ศึกใหญ่ซีอานครานั้นเหยียนชิงถงคือผู้บงการวางยาเหยาเหลียนโจวเจ้าสำนักอู่ตัง เรื่องนี้ยังถูกเปิดโปง ณ ที่แห่งนั้น หากซีเสี่ยวเหยียนเห็นมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่…จนถึงตอนนี้เหยียนชิงถงยังคงจำซีเสี่ยวเหยียนผู้เป็นเหมือนตัวประหลาดได้อย่างกระจ่างชัดว่าหมัดเหล็กและดาบอหังการนั้นสั่นคลอนสำนักใหญ่แต่ละสำนักเช่นไรในวันนั้น

    องครักษ์ตำหนักอ๋องทั้งสองคนที่ติดตามเหยียนชิงถงไม่รู้สาเหตุของท่าทีพวกเหยียนชิงถงทั้งสาม ขณะกำลังจะถาม เหยียนชิงถงพลันออกแรงดีดตัวขึ้นมาจากผนังอย่างฉับพลัน ร่างล่ำหนากระโจนไปยังคนทั้งสอง มือซ้ายและขวาสำแดงเพลงหัตถ์ ‘อินทรีตะปบ’ ของสำนักซินอี้พร้อมกัน จับลำคอของคนทั้งสองเอาไว้ อย่างไรมันก็เคยเป็นศิษย์ภายในของฐานมั่นสำนักซินอี้ ความรวดเร็วในการลงมือมิใช่โจรทั่วไปจะต่อต้านได้ คนทั้งสองถูกบีบคอหอยเอาไว้จนทรมานยากทนไหว

    “ห้ามพูด” เหยียนชิงถงทำหน้าน่าสะพรึง ใช้สุ้มเสียงทุ้มต่ำออกคำสั่งพวกมันทีละคำ “ทุกอย่างที่เห็นในวันนี้ หลังกลับถึงหนานชางห้ามบอกผู้อื่น! เข้าใจไหม! วันนี้พวกเรามาเสียเที่ยว ไม่พบเฉินดาบปีศาจผู้นี้!”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    บทความ

    เร็วกว่านี้มีอีกไหม! ทบทวนไทม์ไลน์ความเก่งของ ‘ชอนยออุน’

    ในบรรดาตัวเอกของเอ็นเธอร์บุ๊ค ‘ชอนยออุน’ น่าจะเป็นพระเอกที่เก่งอย่างว่องไวที่สุดแล้ว และเนื้อหาของเรื่องก็กำลังมาถึงจุดเ...

    Facebook