• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 10 บทที่ 3

    หมาป่าหนุ่มและหมาป่าสาว

     

    ขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งตกแตกลงบนพื้น กระจายจนในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา

    “เอามาอีกขวด…ไม่! สองขวด!”

    สุ้มเสียงไม่ชัดถ้อยชัดคำของเหวยเสียงกุ้ยตะโกนลั่นไปยังนอกห้อง

    แขนทั้งสองข้างมันต่างโอบไว้ด้วยนางคณิกา ร่างโงนเงนโยกเยก ใบหน้าขาวแต่เดิมดื่มจนแดงก่ำ เมื่อครู่มันหยอกเย้าคณิกาทว่ามือไม้อ่อน เพียงครู่เดียวก็ทำขวดสุราตกแตกแต่กลับมิได้ขมวดหัวคิ้วแม้แต่น้อย

    หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อน สุราเช่นนี้อย่าว่าแต่เหวยเสียงกุ้ยจะดื่ม แม้แต่ดมก็ไม่ได้ดม

    บนโต๊ะอาหารตัวใหญ่เบื้องหน้ามันจัดวางอาหารและผลไม้พร้อมสุราดีไว้เต็มแน่น หนึ่งโต๊ะเพียงพอให้สิบกว่าคนกินอิ่ม สุราอาหารกับสตรีล้วนเป็นจ้าวเฮยเหลี่ยนผู้เป็นเจ้าภาพออกเงินจัดหาเพื่อขอบคุณชัยชนะแห่ง ‘ศึกหอตงเยวี่ย’ ในวันนี้ เหวยเสียงกุ้ยรู้ดีว่าชัยชนะนี้ให้ทำจ้าวเฮยเหลี่ยนช่วงชิงผลประโยชน์มหาศาลของท่าเรือเหนือแห่งเจียงหลิงมาได้ การรับรองเช่นนี้เมื่อเทียบกันแล้วเป็นเพียงขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัว* ไม่นับเป็นการแสดงมารยาทอันใด

    นางคณิกาด้านข้างยังป้อนสุราให้มันดื่มหนึ่งจอก มันเลียริมฝีปาก มองไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารพลางขมวดคิ้ว “บนโลกไหนเลยมีคนเข้าหอนางโลมแล้วสนแต่กินข้าว?”

    “ข้าหิว เจ้าลืมแล้วหรือ วันนั้นที่เรารู้จักกันไปต่อยตีด้วยกันก็เพราะหิวข้าว”

    ซีเสี่ยวเหยียนนั่งอยู่ตรงข้ามเหวยเสียงกุ้ย มือซ้ายจับตะเกียบคีบปลาชิ้นหนึ่งเข้าปาก ชุดที่มันสวมยังคงเป็นเสื้อคลุมผ้าหยาบที่ซักจนสีซีดหมองตัวนั้น ไม่มีสง่าราศีคู่ควรกับการกินดื่มรื่นเริงในสถานที่เช่นนี้สักนิด ต่างกับเหวยเสียงกุ้ยที่สวมชุดคลุมฝ้ายทอด้วยแพรปักลายดอกไม้อย่างมาก ผู้อื่นเหลือบมองยังคิดว่ามันคือคนรับใช้ของเหวยเสียงกุ้ย

    แต่อาภรณ์เงินลายดอกไม้ สุราอาหารที่กินดื่ม สตรีที่หยอกเล่นของเหวยเสียงกุ้ย…ทั้งหมดล้วนเป็นกำปั้นของซีเสี่ยวเหยียนแลกมา

    ซีเสี่ยวเหยียนยังคงห่อแขนขวาไว้บนร่าง ใช้เพียงมือซ้ายข้างเดียวกินข้าว แต่ก่อนยามอาศัยอยู่บนเขาอู่ตังก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตเช่นนี้ มันต่างกับซีเจาผิงผู้เป็นพี่ชาย ซีเสี่ยวเหยียนกังวลเรื่องร่างกายผิดปกติของตนเองมาตลอดตั้งแต่เด็ก ยอมเก็บแขนประหลาดข้างนั้นมิให้ผู้อื่นสังเกตเห็น มีเพียงขณะฝึกยุทธ์และประลอง มันจึงจะลืมความละอายทั้งหมด ใช้แขนขวาอย่างเต็มที่

    “ไม่เคยเห็นใครโง่งมเช่นเจ้ามาก่อนเลย” เหวยเสียงกุ้ยจี้เอวของนางคณิกาด้านซ้ายจนนางดิ้นหัวเราะขึ้นมา “สุรานี้ไม่ดื่มจะเสียเปล่านะ”

    “เรื่องของข้า” ซีเสี่ยวเหยียนพ่นก้างปลาในปากทิ้งไป “ข้าไม่ชอบดื่มสุรา”

    เหวยเสียงกุ้ยมองดูสีหน้าของซีเสี่ยวเหยียนอย่างละเอียด เห็นมันลักษณะคล้ายมีเรื่องราวกลัดอกทำให้ทุกข์ใจเล็กน้อย นับแต่รู้จักกันเป็นสหายที่กู่เฉิง สถานที่ที่พวกมันไปถึงเจริญขึ้นเรื่อยๆ ซองแดงที่รับมาขณะออกหน้าต่อยตีให้ผู้อื่นหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้ง และชื่อของเฉินดาบปีศาจเองก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองจิงโจว เหวยเสียงกุ้ยคิดไม่ตกว่าเหตุใดตนเองจึงดวงดีเช่นนี้ ราวกับได้นั่งบนรถม้าที่ทะยานขึ้นเขาคันหนึ่งก็มิปาน จะขวางก็ขวางไม่อยู่ มันย่อมไม่ปรารถนาให้โชคครั้งนี้สิ้นสุดลงกะทันหัน

    “เสี่ยวเฉิน…” ใบหน้าของเหวยเสียงกุ้ยจริงจังขึ้นมา “เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจใช่หรือไม่ บอกมาได้เลย เราเป็นพี่น้องกันนะ”

    ขณะเหวยเสียงกุ้ยถาม ความจริงในใจมันกำลังคิดว่า หรือว่าเฉินน้อยรู้แล้วว่าทุกครั้งข้าล้วนเก็บเงินเจ็ดแปดส่วนในซองแดงเข้ากระเป๋าตัวเอง

    ซีเสี่ยวเหยียนได้ยินคำว่า ‘พี่น้อง’ ที่เหวยเสียงกุ้ยกล่าวออกมาก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ พลันรำลึกถึงพี่ชายผู้ล่วงลับขึ้นมา

    มันวางตะเกียบลงพลางมองเหวยเสียงกุ้ย ซีเสี่ยวเหยียนเติบโตที่เขาอู่ตังตั้งแต่เด็ก คบค้ากับพวกชาวบ้านร้านตลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก บุรุษที่ดีแต่พูดเช่นเหวยเสียงกุ้ยนี้ หากอยู่ที่อู่ตังเกรงว่าคงทนมิได้แม้เพียงครึ่งชั่วยาม ว่าตามเหตุผลแล้วซีเสี่ยวเหยียนมีแต่จะดูถูกมัน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาซีเสี่ยวเหยียนกลับถูกชะตาอย่างคาดไม่ถึง ถึงขั้นกล่าวคำพูดจากก้นบึ้งหัวใจของตนเองออกมาอย่างผ่อนคลายยิ่งนัก…แม้จนถึงตอนนี้ซีเสี่ยวเหยียนยังมิได้บอกชื่อและภูมิหลังที่แท้จริงของตนเองกับมัน

    อาจเป็นเพราะเหวยเสียงกุ้ยไม่เหมือนกับคนของสำนักอู่ตังจึงทำให้ซีเสี่ยวเหยียนรู้สึกสบายใจได้

    “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าแรกเริ่มข้ารับปากไปต่อยตีแทนคนอื่นกับเจ้าเพราะเหตุใด” ซีเสี่ยวเหยียนถาม “ข้าหมายถึงนอกจากกินข้าวแล้ว…”

    “ย่อมจำได้! เจ้าบอกว่าเจ้าวิ่งออกมาคนเดียวเพราะจะหาคน” เหวยเสียงกุ้ยเคี้ยวขนมแป้งนึ่งน้ำตาลที่นางคณิกาป้อนให้พลางกล่าว “แม้เจ้าไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด แต่เชื่อว่าหากไปเมืองที่ใหญ่กว่า สร้างชื่อเสียงที่ลือลั่นยิ่งกว่า ก็ง่ายที่จะพบกับพวกมัน”

    ซีเสี่ยวเหยียนพยักหน้า มันไม่รู้จักโลกนอกจากอู่ตังแม้แต่น้อย จะเสาะหาจิงเลี่ยและหู่หลิงหลัน นี่คือวิธีเดียวที่มันคิดได้

    “ใช่แล้ว…สองเดือนมานี้ทั้งที่หาคนไม่พบ แต่ข้ากลับเหมือนค่อยๆ ชอบชีวิตเช่นนี้เข้าแล้ว…ข้าหมายถึง สู้กับคนเหล่านั้น เหมือนเช่นวันนี้”

    ดวงตาซีเสี่ยวเหยียนวาวโรจน์ยิ่งขึ้นขณะกล่าว มุมปากยกยิ้มน้อยๆ

    ได้ยินเฉินดาบปีศาจกล่าวอย่างตื่นเต้นว่าตนเอง ‘ชอบต่อสู้’ เช่นนี้ ในใจนางคณิกาสองคนนั้นรู้สึกหนาวเย็นจนรอยยิ้มแข็งทื่อ เหวยเสียงกุ้ยฟังแล้วก็อึ้งไปเล็กๆ

    “เจ้าคงรู้กระมังว่าแต่ก่อนข้าฝึกยุทธ์” ซีเสี่ยวเหยียนถามเหวยเสียงกุ้ยอีก

    “แม้เจ้าไม่เคยบอก ข้าก็พอเดาออก” เหวยเสียงกุ้ยกล่าว “เช่นนั้นก็แปลกประหลาดแล้ว ชกต่อยสำหรับเจ้ามิใช่เรื่องธรรมดาสามัญหรอกหรือ”

    “เดิมทีข้าเองก็คิดเช่นนี้ นับแต่เริ่มเดินได้ ข้าก็…สู้กับศิษย์พี่น้องร่วมสำนักที่นั่นทุกวัน การต่อสู้ด้วยหมัดเท้า และอาวุธ สำหรับข้าก็เหมือนกินข้าวดื่มน้ำทั่วไป แต่ต่อมาข้าจึงพบว่าสู้อยู่ภายในกับสู้ภายนอกไม่เหมือนกัน”

    “อย่างไร” เหวยเสียงกุ้ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

    “ประมาณหนึ่งปีก่อน ข้ากับสหายร่วมสำนักได้ออกไปในยุทธภพเป็นครั้งแรก สู้กับศัตรูภายนอกอย่างสะใจ” ซีเสี่ยวเหยียนมองไปยังท้องนภานอกหน้าต่าง “ว่าอย่างไรดีล่ะ…ก็เหมือนในใจเจ้าจุดไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง หลังจากกลับบ้านไฟดวงนั้นก็ยังไม่มอดดับ

    ตลอดมาข้าล้วนไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งได้มาต่อยตีในสองเดือนนี้ ข้าจึงเข้าใจในที่สุดว่า แต่ก่อนต่อให้สู้กับสหายร่วมสำนักดุเดือดยิ่งขึ้นนั่นก็เพียงเพื่อฝึกฝน ไม่มีความคิดที่จะต้องฆ่าศัตรูอย่างแท้จริง และไม่มีการเตรียมตัวว่าหากแพ้ก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย คนที่ข้าเคยสู้ในช่วงเวลาเหล่านี้เทียบกับสหายร่วมสำนักแต่ก่อนของข้า แม้ทั้งหมดเป็นสวะนอกคอกฝูงหนึ่ง แต่ขณะต่อสู้กลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน”

    มันมองกำปั้นตนเองพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าสู้กับสวะเหล่านี้กลับเหมือนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

    ถึงยามนี้ซีเสี่ยวเหยียนเข้าใจแล้ว ที่ตัวมันต้องออกจากอู่ตังโดยไม่นึกเสียดายอะไรทั้งสิ้นนั้นมิเพียงเพื่อเสาะหาจิงเลี่ยและหู่หลิงหลัน แต่ยังเพื่อความกระหายที่มากยิ่งกว่าในใจ ลองลิ้มการอยู่ในโลกล่างเขาอู่ตังที่ต่างกันนี้อีกครั้ง

    มันรู้ว่าจิงเลี่ยเอาชนะมันได้ก็เพราะเคยเหยียบย่างบนเส้นทางสายนี้มาก่อน…เส้นทางของสัตว์ร้ายที่ต้องหาอาหารเอาชีวิตรอดท่ามกลางทุ่งร้าง

    ซีเสี่ยวเหยียนตัดสินใจจะพิชิต ‘ภูเขาจิงเลี่ย’ ลูกนี้ให้ได้ มุ่งหน้าตะลุยไปอย่างไม่สนใจขวากหนาม

    มันบีบหมัดจนเกิดเสียงกร๊อบๆ อย่างไม่รู้ตัวจนนางคณิกาหวั่นกลัว

    เหวยเสียงกุ้ยเห็นสีหน้าบ้าคลั่งของซีเสี่ยวเหยียนก็หัวเราะขึ้นมา

    คนผู้นี้ที่แท้เป็นบ้าโดยแท้จริง ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว เพราะมันไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง!

    เหวยเสียงกุ้ยตบโต๊ะในบัดดลแล้วลุกขึ้นดื่มหนึ่งจอก

    “เช่นนั้นข้าเองก็ต้องออกแรงหาคู่ต่อสู้ให้มากและร้ายกาจยิ่งขึ้นให้เจ้า ช่วยลับ ‘ดาบปีศาจ’ ของเจ้าให้เฉียบคมกว่าเดิม!”

    ตั้งแต่เริ่มรู้จักซีเสี่ยวเหยียน ท้องเหวยเสียงกุ้ยก็อ้วนท้วนขึ้นเล็กน้อย หนังหน้าก็หย่อนคล้อยลงเพราะลุ่มหลงสุรานารี ถุงใต้ตาทั้งสองปรากฏเงามืดฝังลึกออกมาใต้แสงไฟ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนอ่อนกว่าซีเสี่ยวเหยียนสองปี

    แต่ขณะนี้ในดวงตาที่มันมองซีเสี่ยวเหยียนกลับมีแสงลุกโชติขึ้นมาอีกครั้ง

    “ข้าจะพาเจ้าสู้ไปตลอด กระทั่งวันหนึ่งผู้อื่นจะต้องยอมรับว่าเจ้าใต้หล้า ไร้-เทียม-ทาน!”

    ได้ยินคำว่า ‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ ของเหวยเสียงกุ้ย ซีเสี่ยวเหยียนก็นิ่งงัน มันพลันคิดถึงเขาอู่ตังขึ้นมา

    แต่ข้าจะไม่กลับไปแล้ว

    ซีเสี่ยวเหยียนยื่นแขนไปจับมือเหวยเสียงกุ้ย

    เหวยเสียงกุ้ยมองซีเสี่ยวเหยียนพลางก็ยิ้มยิงฟันเจิดจ้า

    ในขณะที่เจ้าใต้หล้าไร้เทียมทาน กระเป๋าของข้าก็จะบรรจุเต็มไปด้วยเงินที่มาจากใต้หล้า!

    “เพียงแต่ก่อนจะไปถึงใต้หล้าไร้เทียมทาน เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนสักหน่อยนะ” รอยยิ้มของเหวยเสียงกุ้ยพลันเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ผลักนางคณิกาด้านขวาไปหาซีเสี่ยวเหยียนอย่างแรงในทันใด

    ซีเสี่ยวเหยียนวาดมือซ้ายเป็นวงกลม รับนางคณิกาสาวที่ถูกผลักไว้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วจึงกอดเอวนางเอาไว้

    ดรุณีนางนี้อายุเพิ่งจะยี่สิบปี รูปโฉมเองนับว่างดงาม ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสาบสาวที่ทำให้บุรุษใจสั่นหวั่นไหว ซีเสี่ยวเหยียนเปี่ยมด้วยกำลังวังชาพลันกอดเรือนร่างอ่อนนุ่มอวบอิ่มนี้เข้าในอ้อมอก หัวใจจึงสั่นไหวอย่างอดมิได้

    ขณะที่สตรีอยู่แค่เอื้อมเช่นนี้ บุรุษยิ่งยากจะต้านทาน…

    นางคณิกาแม้กลัวซีเสี่ยวเหยียนอยู่บ้าง แต่นางกลิ้งเกลือกเป็นโสเภณีมาพอสมควรแล้ว ยามถูกซีเสี่ยวเหยียนกอด ย่อมเผยรอยยิ้มรับแขกที่เคยชินมานานออกมา

    ซีเสี่ยวเหยียนมองดูสีหน้าของนางในระยะไม่ถึงหนึ่งฉื่อ หัวใจของมันห่อเหี่ยวลงในทันทีและฝ่ามือซ้ายก็ผลักนางคณิกาออกไปจากอ้อมกอดของตนเองเบาๆ

    มันรังเกียจนางคณิกา แต่มิใช่เหตุผลเรื่องศีลธรรมหรือว่ารังเกียจที่พวกนางไม่บริสุทธิ์

    ซีเสี่ยวเหยียนแม้เติบโตบนเขาอู่ตังประหนึ่งฝูงหมาป่าตั้งแต่เด็ก แต่ก็มักคิดถึงมารดาที่ตนเองไม่เคยพบหน้ามาตลอด

    ขณะซีรื่อเล่อผู้เป็นบิดาตายมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ต่อมาจึงได้ฟังจากปากพี่ชายและสาวกลัทธิที่รอดชีวิตทั้งหลาย เรื่องที่บิดาบีบบังคับภรรยาและอนุให้กินยาอันตรายเพื่อกระตุ้นให้พวกนางคลอดครรภ์ประหลาดเช่นไรที่ลัทธิอู้อี๋

    มารดาบังเกิดเกล้าของซีเสี่ยวเหยียนก็ตายเพราะร่างกายถูกยาทะลวงพลังชีพหลังให้กำเนิดมันไม่กี่วัน

    กับบิดาที่ปราศจากความทรงจำ ซีเสี่ยวเหยียนย่อมเกลียดแค้น แต่ขณะเดียวกันมันก็รังเกียจมารดา

    เจ้าต่อต้านมันไม่ได้หรือ เพราะเหตุใดจึงจำนนต่อบุรุษเช่นนี้โดยง่าย กระทั่งชีวิตของตัวเองก็ให้มันหรือ

    รอยยิ้มนั้นของนางคณิกาสะกิดความสะอิดสะเอียนที่ซ่อนลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจมันพอดี

    นี่คือเหตุผลที่ซีเสี่ยวเหยียนถูกสตรีที่ห้าวหาญเช่นหู่หลิงหลันดึงดูดในเพียงแวบเดียว

    ซีเสี่ยวเหยียนยกดาบยาวด้ามหวายที่วางอยู่ข้างโต๊ะอาหารขึ้นมาสะพายกลับบนหลังและฝืนยิ้มให้เหวยเสียงกุ้ย “เจ้าพูดถูกต้อง ข้าต้องพักผ่อน ขอกลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อน เจ้าเล่นให้เต็มที่เถอะ”

    เหวยเสียงกุ้ยยักไหล่ มันไม่เคยพบเห็นคนประหลาดเช่นนี้มาก่อนโดยแท้จริงและจนปัญญาจะเข้าใจ

    ไม่เป็นไร…มันจะต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลง บุรุษที่สตรี เงินตรา และสุราเปลี่ยนแปลงมิได้จนถึงวันนี้ข้ายังไม่เคยพบ!

    ซีเสี่ยวเหยียนดึงหมวกของเสื้อคลุมขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้อง

    เหวยเสียงกุ้ยตะโกนอยู่เบื้องหลังมัน “อย่าลืมว่าสี่วันให้หลังยังต้องต่อสู้อีกที่เมืองซาโถว! วันนี้ข้าคุยกับผู้ติดต่อเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะไปเตรียมการสักหน่อย เจ้าพักผ่อนก่อน มะรืนค่อยมา! รถข้าจ้างไว้แล้ว ทำใจให้สบายเถอะ!”

    ซีเสี่ยวเหยียนมิได้หันหน้า เพียงโบกมือบอกเป็นนัยว่าได้ยินแล้วและผลักประตูออกไป

     

    ซีเสี่ยวเหยียนออกจากตรอกที่ตั้งของหอนางโลม เดินเข้าสู่ถนนยามค่ำคืนอันโล่งกว้าง

    ขณะนี้ท้องฟ้ามืด ร้านค้าบนถนนส่วนมากปิดร้านแล้ว มีเพียงโคมไฟของโรงเตี๊ยมไม่กี่แห่งที่ยังคงสว่างอยู่ คืนนี้แม้ท้องฟ้าปลอดโปร่งอากาศสดชื่นแต่ก็เป็นวันที่สิบเจ็ดเดือนสองแล้ว จันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนๆ ในเมือง หาได้สว่างเกินไป

    ซีเสี่ยวเหยียนห่อร่างด้วยเสื้อคลุมเดินต้านลมอันหนาวเหน็บไปยังทิศเหนือของถนน

    เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวมันก็พบว่าด้านหน้าถนนอันเงียบเหงานั้นมีเงาคนใกล้เข้ามา อีกทั้งยังถ่ายทอดเสียงกีบเท้าม้าที่เชื่องช้า

    ที่แท้เป็นนักเดินทางรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคลุมไว้ด้วยผ้า มือขวากอดสิ่งของเหมือนกล่องยาวใบหนึ่ง มือซ้ายจูงม้ากำลังเดินมาทางซีเสี่ยวเหยียน

    แม้ในคืนมืดซีเสี่ยวเหยียนก็มองออกว่าเงาคนนั้นเป็นสตรี แต่เหตุใดจึงจูงม้า…

    ซีเสี่ยวเหยียนห่างจากสตรีนางนั้นไม่ถึงยี่สิบก้าว กำลังคิดไม่ตกว่านางมีที่มาอย่างไร แต่เมื่อสำรวจโดยละเอียดกลับพบอีกว่าผู้ที่กำลังเข้ามาใกล้มิได้มีเพียงนางคนเดียว

    ด้านหลังของนางและสองฝั่งตรอกเล็กๆ ทั้งซ้ายขวาล้วนมีคนสะกดรอยตามอยู่ไม่น้อย

    เป็นโจรหรือคิดอาศัยค่ำคืนปล้นชิงสิ่งของในมือนาง?

    ซีเสี่ยวเหยียนผ่านประสบการณ์มาในระยะนี้จึงรู้ว่าเมืองยิ่งใหญ่ยิ่งเจริญรุ่งเรือง มิจฉาชีพพวกขโมยปล้นชิงก็ยิ่งมาก มันยังเคยเห็นกับตาสองครั้ง

    มองท่วงท่าของสตรีที่ยิ่งเดินเข้าใกล้ ใจซีเสี่ยวเหยียนก็มีเพลิงโทสะลุกไหม้ขึ้น คนที่หลบอยู่ในตรอกมืดพวกนี้ทำให้มันนึกโยงถึงบิดาตนเองที่ใช้สตรีอ่อนแอเป็นผู้เสียสละเช่นเดียวกัน

    มันไม่เคยคิดถึงเรื่อง ‘ผดุงคุณธรรม’ ใดๆ แต่เพียงมองเห็นคนที่น่าชิงชังก็อยากสู้

    ในที่สุดมันก็เดินถึงบริเวณเบื้องหน้าสตรี ซีเสี่ยวเหยียนจ้องมองนัยน์ตาอันงดงามทั้งสองที่เผยออกมาจากผ้าปิดหน้าของนางผ่านใต้หมวกคลุมศีรษะ

    งามมาก

    “เจ้าถูกคนสะกดรอยตามแล้ว” ซีเสี่ยวเหยียนรักษาท่วงท่าการเดินไม่เปลี่ยนแปลง กดสุ้มเสียงเตือนไปยังสตรีนางนั้น “ไม่ต้องกลัว แล้วก็ไม่ต้องแตกตื่น เดินไปด้านหลังข้าอย่างปกติเช่นนี้ ให้ข้ารับมือเอง”

    ดวงตาสวยหยาดเยิ้มคู่นั้นลุกวาวแสดงความผิดคาดอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าเดินของนางกลับยังคงสงบ นางกอดกล่องแพรใหญ่ในมือเอาไว้ จูงเชือกบังเหียนม้า ยังคงเกินไปยังด้านหน้าตามปกติ

    แต่นางกลับกำลังยิ้มน้อยๆ ใต้ผ้าปิดหน้า

    ฮั่วเหยาฮวาไม่เคยคิดว่าซีเสี่ยวเหยียนจะกล่าวคำกับนางเช่นนี้

    นับแต่เห็นฉากนั้นที่ถนนของตลาดตะวันออกในยามบ่าย ฮั่วเหยาฮวาก็มิได้สนใจเบาะแสของเหยียนชิงถงอีก แต่เกิดความสนใจต่อเฉินดาบปีศาจผู้นี้ขึ้นมาแทน ด้วยเหตุนี้จึงสะกดรอยตามมันมาถึงแหล่งกามารมณ์แห่งนี้ นางเห็นซีเสี่ยวเหยียนเข้าหอนางโลมแล้ว แต่ตนไม่สะดวกเข้าไปใกล้ จำต้องเดินไปเดินมาบนถนนตลอด

    ฮั่วเหยาฮวาสะกดรอยตามมันเพราะอยากรู้ว่าเฉินดาบปีศาจเป็นบุคคลเช่นไรกันแน่ ไฉนเหยียนชิงถงจึงหนีออกไปจากหอเยวี่ยตงเหมือนเห็นผี

    ขณะเดียวกันฮั่วเหยาฮวาก็สังเกตเห็นว่าตนเองถูกอริเก่าเพ่งเล็ง จึงเดินไปบนถนนที่มีคนจำนวนมากอยู่ข้างเคียงตลอด…นางรู้ว่าในกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นแน่ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้กระทบผู้บริสุทธิ์พวกมันไม่มีทางลงมือจับกุมนางอย่างบุ่มบ่ามท่ามกลางตลาดอันคึกคัก

    บัดนี้ฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว ถนนเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ นางรู้ว่ายื้อได้อีกไม่นานมากนัก กำลังเตรียมลงมือสะสางบนถนน…ขณะนี้ขอเพียงนิ้วมือของนางปล่อยพลังแข็งเพียงเล็กน้อยกล่องแพรในอ้อมอกที่ซ่อนดาบเลื่อยใหญ่ไว้ก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

    ยามนั้นเอง นางพลันมองเห็นเฉินดาบปีศาจออกมาแล้ว

    เหมาะเจาะนัก ยืมพวกมันไปทดสอบว่าคนผู้นี้ร้ายกาจเพียงใดก็แล้วกัน!

    ฮั่วเหยาฮวาเดินไปหาซีเสี่ยวเหยียน เดิมเตรียมพูดคุยกับมัน พูดอะไรก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือให้สุนัขฝูงนั้นที่ตามอยู่ด้านหลังคิดว่ามันคือพวกพ้องในเมืองเจียงหลินของนาง ต้องดึงเฉินดาบปีศาจเข้าต่อสู้จะได้เห็นว่ามันมีฝีมือเท่าใดกันแน่ เป็นการขว้างหินครั้งเดียวได้นกสองตัว

    แต่นางคิดไม่ถึงว่าซีเสี่ยวเหยียนกลับเป็นฝ่ายพูดคุยกับนางก่อน ฟังจากน้ำเสียงมันยังคิดจะพยายามปกป้องนางอีกด้วย

    ขณะที่คนทั้งสองเฉียดกายผ่านกัน ฮั่วเหยาฮวาอาศัยแสงจันทร์มองใบหน้าของซีเสี่ยวเหยียนใต้หมวกคลุม

    ซีเสี่ยวเหยียนเข้าสู่ภาวะเตรียมทำศึกแล้ว คิ้วหนารุงรังทั้งสองขมวดเข้าด้วยกัน ดวงตาเปล่งประกายดุร้ายคล้ายสัตว์คลั่ง

    หลังฮั่วเหยาฮวาเดินผ่าน นางอดมิได้ที่จะหันหน้ามองดูเงาหลังนั้น

    ความจริงซีเสี่ยวเหยียนเตี้ยกว่าฮั่วเหยาฮวาเล็กน้อย แต่แผ่นหลังอันกว้างหนากลับเหมือนแบกนางได้สองคน ทุกย่างก้าวล้วนหนักแน่นจนเหมือนจะกระทืบสิ่งของอันใดสักอย่าง

    อำนาจองอาจที่แผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติปราศจากการเสแสร้งนี้เหมือนบุรุษอีกคนหนึ่งที่นางเคยเห็นอย่างยิ่ง

    เพราะความคล้ายคลึงอย่างน่าอัศจรรย์ฮั่วเหยาฮวาจึงหยุดความคิดที่จะชักดาบออกมาและหยุดอยู่ด้านหลังมันโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

    “พวกบัดซบ ออกมาให้หมดเถอะ!” ซีเสี่ยวเหยียนตะโกนขึ้นกลางถนน

    กลุ่มเหล่าคนที่สะกดรอยตามอยากจะลงมือกับฮั่วเหยาฮวานานแล้ว ขณะนี้เห็นนางมีพวกพ้องเพิ่มมาหนึ่งคนยิ่งไร้ซึ่งความลังเล ล้วนวิ่งกระโจนออกมาจากส่วนมืดของตรอกถนน…พวกมันกลัวว่าฮั่วเหยาฮวายังมีพวกพ้องหรือลูกน้องคนอื่นๆ เร่งมา มิสู้ฉวยโอกาสครองความได้เปรียบด้านจำนวนในตอนนี้ เผด็จศึกโดยเร็ว

    คนยี่สิบกว่าคนออกมารวดเดียวเต็มถนน ทั้งหมดล้วนเป็นชายแกร่งห้าวหาญที่ยืนตรงสง่า ในมือต่างถืออาวุธที่ไม่เหมือนกัน ทั้งยังมีสามง่ามยาวและเชือกมัดที่ใช้จับโจร…

    แม้ว่าความจริงพวกมันมิได้เตรียมจะปล่อยให้ฮั่วเหยาฮวาเหลือรอดเป็นพยานปากก็ตาม

    ฮั่วเหยาฮวามองเห็นเงาร่างสามเงาในนั้นคุ้นตาเป็นพิเศษ แวบเดียวก็จำได้ว่าล้วนเป็นศัตรูจากสำนักดาบฉู่หลางแต่ก่อน ผู้เป็นหัวหน้าอายุประมาณสี่สิบปี ไรผมทั้งสองด้านขาวเล็กน้อย ในมือถือดาบข่านเตาปลายคู่อันหนักอึ้งที่มีห่วงเหล็กเล่มหนึ่ง เป็นฟั่นอวี่ ‘ดาบฟ้ากัมปนาท’ หัวหน้าสาขาหู่ผานโข่วสำนักฉู่หลาง เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับซูฉีซานอาจารย์ของฮั่วเหยาฮวาผู้เป็นอดีตเจ้าสำนัก ในหมู่สำนักดาบมันนับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสอง ส่วนอนุชนสำนักดาบฉู่หลางสองคนข้างกายมันคือศิษย์ของพื้นที่เจียงหลิง หลังสำเร็จวิชาต่างรับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันบ้านเรือนของบ้านเศรษฐีในเมือง พละกำลังก็โดดเด่นเหนือสหายร่วมสำนัก

    ไม่กี่วันนี้ฟั่นอวี่บังเอิญมีธุระที่เจียงหลิงพอดี และเป็นมันที่จำฮั่วเหยาฮวาศิษย์ทรยศที่สังหารศิษย์พี่ซูได้ นางหายตัวไปหลายปีแต่กลับปรากฏตัวบนถนนของตลาดตะวันออกอย่างโจ่งแจ้งตอนกลางวันแสกๆ มันจึงรีบแจ้งอนุชนร่วมสำนักในเมืองให้เรียกรวมกำลังคน

    ผู้กล้าที่มุ่งหมายจะล้อมสังหารฮั่วเหยาฮวาสิบแปดคนนี้มีห้าคนเป็นชาวยุทธ์ในเจียงหลิง สามคนในนั้นรุดมาสมทบเพราะมีไมตรีกับสำนักดาบฉู่หลาง อีกสองคนลงมือเพื่อค่าหัวห้าร้อยตำลึงของฮั่วเหยาฮวา ที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดีของทางการในพื้นที่ รวมถึงหลี่เซิ่งหลงมือปราบเมืองจิงโจวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในอดีตหลี่เซิ่งหลงเคยจับกุมสังหารโจรปล้นม้าลูกน้องฮั่วเหยาฮวาไปสามคน แต่กลับมิอาจสืบร่องรอยของหัวหน้าโจรได้ จึงรู้สึกเสียใจมาตลอดหลายปี

    ในที่สุดคืนนี้ก็จะจับเจ้าได้

    หลี่เซิ่งหลงชักกระบี่คาดเอวคมกว้างออกมานานแล้ว มือขวามันถือโล่หวายทรงกลมขนาดใหญ่ที่แข็งหนาอันหนึ่ง เป็นยอดวิชา ‘โล่ดาบตัดม้า’ ที่มันใช้สั่นสะเทือนโลกมืดมาหลายปี เมื่อก่อนลูกน้องของหลี่เซิ่งหลงสี่คนได้ตายใต้เงื้อมมือพวกโจรชั่วของฮั่วเหยาฮวา มันจึงอาฆาตแค้นปีศาจสาวนางนี้ไม่น้อยไปกว่าฟั่นอวี่

    คนทั้งสิบแปดหลังกรูกันออกมาจากความมืดมนอนธการก็มีเจ้าพนักงานสามคนถือโคมไฟใบใหญ่วิ่งมาเข้าร่วมอีก พวกมันรับหน้าที่ส่องสว่างตรอกถนนรอบด้านเพื่อป้องกันโจรอาศัยความมืดหลบหนี

    เพื่อที่จะสะกดรอยตามฮั่วเหยาฮวา เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมดจึงล้วนมิได้สวมเครื่องแบบ ด้วยเหตุนี้ซีเสี่ยวเหยียนจึงมองสถานะของพวกมันไม่ออก และคิดเพียงว่าพวกมันทั้งหมดคือโจรรีดไถ

    ฟั่นอวี่และหลี่เซิ่งหลงใคร่สับฮั่วเหยาฮวาเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นนานแล้วจึงมิได้กล่าวให้มากความอีก พวกมันยกอาวุธวิ่งตรงมาหาฮั่วเหยาฮวาและซีเสี่ยวเหยียน

    พวกมันมิได้หวังว่าฮั่วเหยาฮวาจะจำนน

    บนถนนอันหนาวเหน็บและมืดสลัวพลันเต็มไปด้วยไอสังหารซัดสาดดุจกระแสน้ำ

    ซีเสี่ยวเหยียนมิได้หันหน้ามองดูฮั่วเหยาฮวาสักแวบ มันเพียงลอบปลดผ้าที่ห่อหุ้มแขนขวาใต้เสื้อคลุมออก

    มันมองออกว่าศัตรูเหล่านี้ไม่เหมือนกับพวกนักสู้ในเหลาสุราตอนกลางวัน มิอาจใช้เพียงเพลงหมัดมือเดียวไปสะสาง

    “แม่นาง รูปร่างของข้าแปลกประหลาดเล็กน้อย เจ้าอย่าได้ตกใจ”

    ซีเสี่ยวเหยียนยื่นแขนขวาคลำไปยังด้านหลังจากใต้เสื้อคลุมแล้วกระชากซองผ้าที่คลุมด้ามดาบอยู่ออกไป นิ้วทั้งห้ากุมด้ามดาบที่พันหวายเอาไว้

    ฮั่วเหยาฮวามองดูซีเสี่ยวเหยียนยื่นมือกุมด้ามดาบจากด้านหลัง รู้สึกเพียงท่วงท่าของมันแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่กลับมิอาจกล่าวได้ว่าประหลาดอย่างไร

    ซีเสี่ยวเหยียนชักคมยาวสะท้อนแสงโคมไฟออกมา

    นับแต่ลงเขาอู่ตังโดยพลการเป็นต้นมา นี่คือครั้งแรกที่มันชักดาบ

    เมื่อซีเสี่ยวเหยียนชักดาบยาวออกจากฝักมาตั้งขวางไว้ข้างลำตัว ฮั่วเหยาฮวาก็เข้าใจว่ามันแปลกประหลาดตรงไหนในที่สุด

    พวกฟั่นอวี่ที่อยู่ด้านหน้าต่างก็มองเห็นพร้อมกัน

    เหตุใดจึงมีคนแขนยาวเพียงนี้ในแผ่นดิน

    ร่างผิดปกตินี้ยังมิทันออกกระบวนก็สั่นคลอนศัตรูแล้ว เจ้าพนักงานสิบกว่าคน ณ ที่แห่งนั้นแม้เป็นมือดีที่ทางการคัดเลือกมา มีประสบการณ์สังหารโจรอย่างโชกโชน หลายคนในนั้นยังสำเร็จวิชาจากสำนักในยุทธภพที่มีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ครั้นมองเห็นร่างกายอันผิดแปลกตรงหน้าก็ล้วนอดมิได้ที่จะชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย

    ในบรรดาเจ้าหน้าที่จับกุมมีเพียงหลี่เซิ่งหลงเพียงผู้เดียวที่ยังคงอยู่ด้านหน้ายกโล่หวายพุ่งเข้าไป มันรับราชการมายี่สิบกว่าปี อุบายแปลกประหลาดอันใดของโจรล้วนเคยพบเจอ รวมทั้งพวกแต่งองค์ทรงเจ้าที่ใช้จิตวิทยาสะกดเจ้าพนักงานหลงงมงายเพื่อหลบหนีการตามจับ มันเชื่อมั่นว่าที่คนตรงหน้าจู่ๆ ก็ยื่นแขนประหลาดข้างนี้ออกมาเป็นเพียงการตบตา

    ผู้ที่เล่นกลวิธีเช่นนี้วรยุทธ์ย่อมมิได้แข็งแกร่งอะไรนัก! คอยดูว่าข้าจะฟันเจ้าได้หรือไม่!

    ส่วนฟั่นอวี่กับอนุชนสำนักดาบฉู่หลางสองคนและนักสู้ที่มาสมทบทั้งห้า ในดวงตามีเพียงฮั่วเหยาฮวา พวกมันวิ่งตามไปติดๆ เตรียมรอให้หลี่เซิ่งหลงเข้าปะทะพัวพันกับคนประหลาดผู้นี้ก่อนแล้วค่อยผ่านไป คนทั้งแปดตั้งปฏิญาณจะฟันศีรษะของนางมารตนนั้นลงมาให้ได้

    ซีเสี่ยวเหยียนจ้องมองคนทั้งเก้าซึ่งเปี่ยมด้วยพลังพลุ่งพล่านก็ยกดาบยาวขึ้นคล้ายเพียงแบกพาดบนบ่า ท่วงท่ามิได้พิเศษแม้แต่น้อย ประหนึ่งคนตัดฟืนในป่าเขากำลังจะไปตัดต้นไม้ก็มิปาน

    มุมปากของมันเผยยิ้มน้อยๆ อันแปลกประหลาดออกมา

    เจ้าสำนักตอนนี้ข้าเข้าใจอารมณ์บุกเดี่ยวไปยังกวนจงในวันนั้นของท่านแล้ว ช่างมีความสุขเหลือเกิน

    ฮั่วเหยาฮวาที่อยู่ด้านหลังรับรู้ได้ถึงไอพลังเปี่ยมล้นที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังของซีเสี่ยวเหยียน ราวกับเห็นร่างมันสูงขึ้นอย่างฉับพลันทันใด

    เดิมทีนางเองลอบระแวดระวังเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน นิ้วทั้งห้าของมือขวาจับบนกล่องแพรเตรียมชักดาบภายในกล่องออกมาทุกเมื่อ

    แต่ขณะนี้นางรู้ว่าไม่จำเป็นแล้ว

    หลี่เซิ่งหลงยกโล่หวายป้องกันช่วงบนและกลาง ดาบคาดเอวที่อยู่หลังโล่ลอบสั่งสมพลังหมายจะฟันเข่าของศัตรู หลี่เซิ่งหลงสำเร็จวิชาจากสำนักตี้ถังแห่งเยวี่ยโจว วิชาโล่ดาบตัดม้าที่มันสันทัดนี้จุดเด่นที่สุดอยู่ที่ท่าย่อโจมตีช่วงล่าง กระบวนท่าฟันขาในมุมต่ำเดิมทีป้องกันค่อนข้างยาก กอปรกับขณะลงมือฟันยังมีโล่หวายปกปิด ทำให้คู่ต่อสู้มองเห็นท่าดาบช้า ยิ่งเพิ่มโอกาสโจมตีถูก จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในการโจมตีช่วงล่างคือศีรษะของตนเองจะเปิดโล่งโจ้ง ทว่าเมื่อมีโล่หวายที่ทั้งใหญ่ทั้งแข็งหนาคอยป้องกันก็หมดกังวลได้อย่างสิ้นเชิง

    หลี่เซิ่งหลงผู้เป็นมือปราบใช้กระบวนท่าดาบฟันขาเป็นประจำ ด้วยเหตุว่ากระบวนท่านี้ปกติไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ดาบเดียวกลับเพียงพอที่จะทำลายความสามารถในการต่อต้านและหลบหนีของฝ่ายตรงข้าม ทำให้จับเป็นโจรได้อย่างสบาย

    จู่ๆ ฟั่นอวี่ก็เหมือนมองเห็นฟ้าแลบและได้ยินฟ้าร้อง

    แต่ต่างจากสายอัสนีที่ฟ้าฟาดลงมา เสียงและแสงนี้กลับเกิดขึ้นพร้อมกัน

    บนถนนมืดมิดฟั่นอวี่มิอาจมองเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงมีเสียงดังสนั่นและบางสิ่งจู่โจมมาจากด้านซ้ายของมัน ฟั่นอวี่จะหลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว จึงใช้ดาบปลายคู่ต้านรับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

    ภายใต้การกระแทกอย่างหนักหน่วง ฟั่นอวี่รู้สึกว่ากระดูกไหล่ซ้ายแตกหัก แต่พลังของสิ่งนั้นยังไม่หยุดและผลักจนมันล้มลงไป

    ฟั่นอวี่ล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า มันหมุนกลิ้งหนึ่งตลบตามสถานการณ์แล้วคุกเข่าโดยไม่ลืมแกว่งดาบเหนือศีรษะหนึ่งรอบเพื่อป้องกันศัตรูฉวยโอกาสบุกมา จากนั้นจึงตั้งสติมองดูว่าสิ่งที่กระแทกมานั้นคืออะไร

    เป็นหลี่เซิ่งหลง…โล่หวายที่ถืออยู่ในมือมันยุบเป็นรอยดาบลึกหนึ่งรอย

    ที่แท้หลี่เซิ่งหลงถูกฟันกระเด็นจนใบหน้าลอยชนกระดูกไหล่ของฟั่นอวี่ ท้ายทอยยังปริแตกหลังกระแทกพื้น ยามนี้ดวงตาจำแนกมิได้แม้กระทั่งทิศทาง แต่มือปราบใหญ่ผู้นี้อย่างไรก็ประสบการณ์โชกโชน รู้ว่ากำลังถลำสู่วิกฤตเป็นตายในพริบตายังยกโล่หวายปกป้องชีวิตขึ้นอีกครั้งตรงใบหน้าตนเอง

    แสงฟ้าแลบและฟ้าร้องดังอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้กลับวาบสวนขึ้นบน

    โล่หวายถูกพลังรุนแรงโจมตีจนลอยออกไปหลายจั้ง แขนซ้ายหลี่เซิ่งหลงต้านการกระแทกนี้ไม่อยู่ ข้อต่อศอกหลุดออกคาที่

    หลี่เซิ่งหลงแม้แขนซ้ายบาดเจ็บ แต่ดาบคาดเอวที่มือขวายังคงอยู่ ทว่ากระบวนท่าดาบอันทรงพลังไร้ไมตรีของศัตรูสะท้านสะเทือนจนเกินไป โล่หวายอันแข็งแกร่งแน่นเหนียวที่เดิมควรฟันแทงไม่เข้าและต้านทานทุกสิ่งได้กลับมิอาจทนการโจมตีได้ จิตใจมันจึงปั่นป่วนจนทำอันใดไม่ถูก

    “มือปราบหลี่!” ฟั่นอวี่ที่อยู่ด้านหลังมันตะโกนอย่างเร่งร้อน กำลังจะยกดาบมาช่วย กลับมองเห็นหมวกบนศีรษะหลี่เซิ่งหลงขาดกระจุย สาดโลหิตสดกองหนึ่งออกมา

    หลังหลี่เซิ่งหลงล้มลง เงาร่างของซีเสี่ยวเหยียนพลันปรากฏตรงหน้าฟั่นอวี่ แขนประหลาดข้างนั้นลากดาบยาวที่เปื้อนเลือดมาด้วยท่วงท่าสงบเสงี่ยมเหมือนมิเคยออกกระบวนมาก่อน

    เห็นได้ว่าการฟันอย่างรุนแรงเมื่อครู่เหมือนยาก แต่ง่ายสำหรับมัน

    ฟั่นอวี่ไม่อยากเชื่อว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ สำนักดาบฉู่หลางชื่อเสียงย่อยยับหลังฮั่วเหยาฮวาศิษย์ทรยศสังหารอาจารย์ หลายปีที่ผ่านมาคนในสำนักจึงฝึกฝนอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้นเพื่อเฝ้ารอการแก้แค้น ชำระชื่อเสียงแปดเปื้อนของสำนัก บัดนี้ศัตรูอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับพบกำแพงที่น่ากลัวผืนนี้

    ยอดฝีมือเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏตัวโดยไร้เหตุผลเป็นอันขาด! มันมีเจตนาอะไรกันแน่ ปีศาจสาวตนนี้ผูกมิตรกับมันได้เช่นไร…

    “เจ้า…ตกลงท่าน…” ฟั่นอวี่ยื่นฝ่ามือออกหมายบอกเป็นนัยให้ซีเสี่ยวเหยียนหยุดมือชั่วคราวและถามเบื้องลึกให้แน่ชัดเสียก่อน

    แต่ซีเสี่ยวเหยียนพอฆ่าคนโลหิตทั่วร่างก็เดือดพล่าน มันก้าวยาวไปข้างหน้า ข้ามศพของหลี่เซิ่งหลง

    ฟั่นอวี่คาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง มันถอยหลังหนึ่งก้าวแกว่งดาบข่านเตาที่ห้อยห่วงเหล็กขึ้นเป็นแนวเดียวกันกับอนุชนร่วมสำนักสองคนซ้ายขวา เตรียมรับการบุกของซีเสี่ยวเหยียน ส่วนผู้ร่วมวิถียุทธภพอีกห้าคนถูกเขย่าขวัญจึงรั้งอยู่ด้านหลังไกลๆ มิกล้าเข้าไป

    แต่ไม่ว่าคนเท่าใด ในสายตาซีเสี่ยวเหยียนล้วนเหมือนกัน

    มันพลันเร่งฝีเท้า มือขวายกดาบ อาศัยท่าก้าวเท้าหมุนเอวฟันดาบขั้วหยางออกอีกครั้ง

    กระบวนท่านี้ผสานกับดาบขั้วหยางที่ใช้ด้วยแขนยาวของซีเสี่ยวเหยียน จุดที่น่ากลัวมีสองประการ ประการแรกคือแขนมีข้อต่อมากกว่าปกติหนึ่งข้อจึงปล่อยพลังได้เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ก่อเกิดเป็นพลังอหังการที่ผิดไปจากปกติ ประการที่สองคือระยะการโจมตีอันผิดแปลกนั้น ปกตินักสู้ที่มีประสบการณ์จะคาดคำนวณความสูงและตำแหน่งที่ยืนของฝ่ายตรงข้ามเพื่อชี้ขาดระยะห่างและรัศมีอาวุธ แต่ซีเสี่ยวเหยียนรูปร่างไม่สูง ซ้ำยังมีแขนขวายาวประหลาดทำให้คู่ต่อสู้เกิดความเข้าใจผิดเรื่องระยะห่างได้ง่ายดายอย่างยิ่ง

    มือดาบสำนักฉู่หลางที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุดคิดเพียงว่าถอยกายหงายหลังก็หลบได้ เพราะบริเวณที่ยืนอยู่ยังไกลซีเสี่ยวเหยียน ไหนเลยจะคาดคิดว่าดาบขั้วหยางหอบลมฟันมา ปลายดาบสองชุ่นก็ตัดเข้าทรวงอกของมันแล้วกรีดขวางออกเป็นปากแผลฉกรรจ์ยิ่งรอยหนึ่งในทันที

    กำลังของดาบขั้วหยางรวดเร็วรุนแรงยิ่งนัก เนื้อหนังของมือดาบผู้นั้นมิอาจสกัดขัดขวางได้ คมดาบยังคงฟันใส่ฟั่นอวี่ที่ยืนอยู่ตรงกลางสืบต่อ

    ฟั่นอวี่ลดดาบข่านเตาลง มือซ้ายกดตรงโกร่งดาบเสริมแรง ขาทั้งสองย่อลงท่านั่งม้า ฝืนต้านพลังที่เหลือของดาบขั้วหยางนี้

    ภายใต้การปะทะอันดุเดือด ห่วงเหล็กบนดาบข่านเตาของฟั่นอวี่บังเกิดเสียงสั่นอันแหลมเล็กออกมา

    ดาบขั้วหยางอันแข็งแกร่งกดสันดาบของดาบข่านเตาไปบนกระดูกไหปลาร้าของฟั่นอวี่อย่างดื้อๆ ฟั่นอวี่เจ็บปวดถึงทรวงใน แต่ก็ใช้ร่างกายรับกระบวนท่าดาบนี้เอาไว้แล้ว

    มือดาบสำนักฉู่หลางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านขวาและมิได้รับบาดเจ็บอาศัยช่องโหว่ที่ฟั่นอวี่ชิงมาอย่างยากเย็นนี้พุ่งไปหาซีเสี่ยวเหยียนอย่างแน่วแน่

    กระบวนท่าดาบนี้ของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจเกินไปแล้ว มีเพียงชิงเข้าประชิดตัวจึงมีโอกาสชนะ!

    มือดาบผู้นี้เก็บดาบเดี่ยวชิดอก มือซ้ายกดสันดาบ เล็งปลายไปยังลิ้นปี่ของซีเสี่ยวเหยียน พุ่งเข้าไปทั้งร่างหมายจะทิ่มแทง

    แต่ในขณะที่มันพุ่งมาใกล้ ดวงตาทั้งสองพลันสบกันกับซีเสี่ยวเหยียนพอดี

    ในชั่วพริบตานั้นมันมองเห็นแววตาของซีเสี่ยวเหยียนแปรเปลี่ยนจากแข็งกร้าวดุจเปลวเพลิงเปลี่ยนเป็นสงบดุจน้ำนิ่ง

    มันรู้สึกว่าคมดาบที่แทงออกไปบรรลุเพียงครึ่งทางก็ถูกพลังชนิดหนึ่งชักนำจนสูญเสียการควบคุมและเฉไปบนพื้นด้านข้าง

    แม้ดาบจะถูกโน้มนำออกไป แต่ฝีเท้ามันมิอาจยั้งหยุด ร่างยังคงพุ่งไปยังซีเสี่ยวเหยียน

    ซีเสี่ยวเหยียนใช้ฝ่ามืออ่อนไท่จี๋มือซ้ายแปรพลังนำดาบไปข้างหลัง ช่องท้องเปลี่ยนจากพองเป็นยุบ หายใจออกปล่อยพลังอย่างฉับพลัน ตั้งศอกแนบตัวเฉียงไปข้างหน้า กระทุ้งเข้ากลางอกของมือดาบผู้นั้น

    ศอกนี้กอปรกับแรงพุ่งที่วิ่งไปข้างหน้าหนักหน่วงดุจดั่งเหล็กหมาดกระแทก กระดูกหน้าอกมันแตกหักในคราวเดียวพร้อมกับกระดูกซี่โครงหลายท่อน ทั้งร่างหงายเอนกระอักโลหิตไปด้านหลัง

    ฟั่นอวี่ที่ถูกดาบสองเล่มกดทับไหปลาร้าเอาไว้ เดิมคิดฉวยโอกาสสลัดออก แต่กลับพบว่าดาบยาวของฝ่ายตรงข้ามมิได้ผ่อนคลายกำลังลง…ขณะซีเสี่ยวเหยียนใช้ทักษะแปรพลังพองยุบของไท่จี๋ปล่อยพลังจากมือซ้าย แขนขวากลับยังรักษาแรงอันแกร่งกร้าวเอาไว้ วิชาหนึ่งใจใช้สองในซ้ายขวานี้สูงส่งกว่าหมัดพิฆาตสองภวะของพี่ชายมันอีกขึ้นหนึ่งแล้ว

    เท้าทั้งสองของฟั่นอวี่เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ขณะไร้หนทางหลบหนีซีเสี่ยวเหยียนก็มาอีกแล้ว

    มือซ้ายซีเสี่ยวเหยียนพลิกท่าตรงหน้าอกคล้ายกำลังกอดลูกทรงกลม แขนที่พับงอเป็นท่าศอกโจมตีแต่เดิมดีดกางออกในฉับพลัน หมัดประหนึ่งคลื่นระลอกหนึ่งซัดใส่ใบหน้าฟั่นอวี่!

    ‘กำปั้นทลาย’ ที่ปล่อยพลังด้วยมวยอ่อนนี้ แม้ต่างวิถีแต่ผลลัพธ์เป็นเช่นเดียวกันกับหมัดแส้ของพี่ชายมัน ส่วนที่ต่างกันคือหมัดแส้จะเหวี่ยงขวางจากด้านข้าง กำปั้นทลายกลับพุ่งเป็นเส้นตรงจากกึ่งกลาง

    ด้วยการโจมตีของกำปั้นทลาย สันจมูกของฟั่นอวี่แตกหัก รูหูและเบ้าตาล้วนมีโลหิตกระฉูดออกมาและสลบไสลทันที หัวสมองถูกกระแทกอย่างรุนแรง ทั้งร่างล้มลงใต้คมดาบซีเสี่ยวเหยียน

    มือกระบี่สำนักฉู่หลางที่หน้าอกถูกฟันขวางหนึ่งดาบคนแรกสุดเพิ่งล้มลงบนพื้นในยามนี้ ดาบนี้ลึกจนเห็นกระดูก มันกอดอกที่โลหิตพุ่งราวกับน้ำพุ แผดร้องม้วนกลิ้งไม่หยุด

    นักสู้สิบกว่าคนที่เหลือต่างตกใจการประมืออันฉับไวนี้จนนิ่งอึ้ง นักสู้ที่ใคร่ชิงรางวัลคนหนึ่งในนั้นถึงขั้นทวนสั้นในมือร่วงหล่นบนพื้น

    ฮั่วเหยาฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลังซีเสี่ยวเหยียนก็ประหลาดใจเช่นกัน

    นางมิใช่โจรหญิงฮั่วเหยาฮวาเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้ว วันเวลาที่ผ่านมาได้ซึมซับวิทยายุทธ์อู่ตังที่จอมเวทปัวหลงถ่ายทอด เพลงดาบหาผู้ทัดเทียมได้ยาก หากต้องสู้ตัวต่อตัวกับพวกฟั่นอวี่ก็มีความมั่นใจในตนเองอยู่เต็มเปี่ยม

    แต่จะเอาชนะมือดาบสำนักฉู่หลางสามคนติดต่อกันปานฟ้าแลบเหมือนซีเสี่ยวเหยียน…หนึ่งในนั้นยังเป็นฟั่นอวี่ยอดฝีมือผู้เป็นที่ยอมรับในสำนัก…นางเองก็มิมั่นใจว่าตนเองจะทำได้

    เดิมทีนางเพียงอยากเห็นความร้ายกาจของมัน…แต่คิดไม่ถึง…

    ฮั่วเหยาฮวาถึงขั้นมิแน่ใจว่าหากอูจี้หงจอมเวทปัวหลงสู้ตัดสินกับคนผู้นี้ ผู้ใดจะชนะผู้ใดจะแพ้

    ยามนี้เจ้าพนักงานคนหนึ่งพลันยกโคมไฟขึ้นอย่างสั่นไหว มันมองเห็นเสื้อผ้าและรูปโฉมของซีเสี่ยวเหยียนชัดเจน ดวงตาทั้งสองพลันเบิกโตขึ้นเพราะมันเองก็มาที่ถนนของตลาดตะวันออกในยามบ่ายเช่นเดียวกัน

    “ฉะ…ฉะ…เฉิน” มันกล่าวคำเดียวไม่ขาดอย่างหวาดกลัว มิอาจเอ่ยให้ครบถ้วนทั้งประโยค

    ในถนนมืดที่ลมพัดโชยไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อได้ยินคำนี้เหล่านักสู้ต่างขนพองสยองเกล้าทันที

    ไม่รู้ว่าผู้ใดร้อง ‘ว้าก!’ เป็นคนแรกสุด คนสิบกว่าคนต่างวิ่งหนีกระจัดกระจายทันที ไม่สนใจแม้กระทั่งผู้บาดเจ็บล้มตายบนพื้น

    โคมไฟที่เจ้าพนักงานทิ้งไว้ลุกไหม้อยู่บนพื้น ส่องใบหน้าเปื้อนหยดเลือดของซีเสี่ยวเหยียนที่ฉายความบ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิม

    มันลากดาบยาว หันหน้าไปมองฮั่วเหยาฮวา

    ฮั่วเหยาฮวายังคงจูงม้าเดินอยู่ที่เดิม ดวงตาสุกใสที่แฝงแววตื่นเต้นอย่างยิ่งจ้องมองซีเสี่ยวเหยียนที่ไอสังหารยังไม่สลาย

    ไอหนาวกลางดึกของต้นวสันต์ยังคงเข้มข้น แต่ฮั่วเหยาฮวากลับรู้สึกว่าภายในร่างกายร้อนผ่าว แขนของนางกอดกล่องแพรที่เก็บซ่อนดาบใหญ่เอาไว้แน่นยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    หัวใจของนางราวกับถูกดาบของซีเสี่ยวเหยียนจุดไฟในความมืดมิด ความกล้าหาญอันเปี่ยมล้นของมันสว่างไสวดั่งดวงตะวัน

    แข็งแกร่งเหมือนกัน…แต่บุคลิกมืดทมิฬของจอมเวทปัวหลงแตกต่างกับซีเสี่ยวเหยียนราวฟ้าดิน

    ซีเสี่ยวเหยียนมองเห็นแววตานี้ก็เข้าใจผิดคิดว่านางถูกศึกเลือดอันดุเดือดเมื่อครู่ข่มขวัญ สีหน้ามันอ่อนโยนลงทันที รีบดึงฝักดาบที่ด้านหลังออกมา เก็บดาบยาวเข้าไป

    “ไม่เป็นไรแล้ว” ซีเสี่ยวเหยียนสะพายฝักไปพลางกล่าว น้ำเสียงมันผ่อนคลายเพราะยังคงคิดว่าฮั่วเหยาฮวาคือสตรีตกยากทั่วไป

    ซีเสี่ยวเหยียนยังผ่านโลกมาไม่มาก แต่วรยุทธ์กลับสูงส่งอย่างยิ่ง จึงไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าพวกฟั่นอวี่ หลี่เซิ่งหลงมิใช่พวกอ่อนด้อยในยุทธภพ ยิ่งไม่มีทางคิดได้ว่าหากพวกมันเป็นโจรจริง ฮั่วเหยาฮวาที่ดึงดูดพวกมันได้ ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

    ฮั่วเหยาฮวาพลันอยากจะแสดงดาบเลื่อยใหญ่ออกมาชั่ววูบ ประลองกับบุรุษผู้นี้ตรงหน้าให้สะใจในทันที

    “เจ้ายังกลัวอยู่หรือไม่” ซีเสี่ยวเหยียนยังถามอย่างเป็นห่วง “คนเหล่านั้นคงมิกล้ากลับมาแล้ว…แต่ให้ข้าไปส่งเจ้าจะดีกว่า เจ้าจะไปที่ใด”

    ฮั่วเหยาฮวาได้ยินคำพูดนี้ ฝ่ามือที่กำลังจะออกแรงดึงดาบแต่เดิมพลันลดลงมาทันใด นางดึงผ้าไหมผืนหนึ่งออกมาจากสายคาดเอวช้าๆ ยื่นไปให้ซีเสี่ยวเหยียน

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่านางยื่นให้ด้วยเหตุใด แต่เห็นนางยังคงเพ่งมองตนเองอยู่ จึงยื่นมือลูบแก้มตนเอง และพบว่าหน้าตนเปื้อนเต็มไปด้วยหยดเลือดที่กระเด็นใส่

    “ไม่จำเป็น” ซีเสี่ยวเหยียนยกมือใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเลือดออกไป ยามถูกดวงตางดงามคู่นั้นมองซีเสี่ยวเหยียนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย มันดึงหมวกคลุมศีรษะของเสื้อคลุมลงมาอีกครั้งแล้วกล่าวเบาๆ “ไปเถอะ”

    ฮั่วเหยาฮวาครุ่นคิดแล้วจึงจูงม้าเดินไปตามถนน หลังผ่านการต่อสู้ซีเสี่ยวเหยียนรู้สึกอายแขนขวาของตนเองอีกครั้งจึงรีบเก็บเข้าใต้เสื้อคลุมทันทีและเดินตามนางอยู่ข้างๆ

    มือดาบสำนักฉู่หลางที่ด้านหลังยังร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดอยู่ในกองเลือด แต่สุ้มเสียงของคนทั้งสองที่เดินไปไกลค่อยๆ เบาลงจนบนถนนเงียบงันเหลือเพียงเสียงกีบเท้าก้าวเดินของม้า

    ฮั่วเหยาฮวาลอบชำเลืองซีเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างกาย แม้มันใช้เสื้อคลุมปิดหน้า แต่ท่าเดินยืดอกนั้นราวกับเดินอยู่ในห้องโถงบ้านตนเองก็มิปาน บุคลิกนั้นทำให้นางนึกถึงจิงเลี่ยที่เฝ้าคะนึงหาทุกเช้าค่ำขึ้นมาอีกครั้ง

    แม้ซีเสี่ยวเหยียนจะเป็นเพียงตัวแทนชั่วคราว แต่ยังคงทำให้หัวใจฮั่วเหยาฮวารู้สึกรัญจวน

    นางหวนนึกว่าตนเองมิได้เดินเล่นเคียงไหล่กับบุรุษเช่นนี้กี่ปีแล้ว…

    เรื่องเรียบง่ายเช่นนี้สำหรับฮั่วเหยาฮวาปีศาจสาวในปัจจุบันกลับเป็นความกระหายที่หรูหราเกินเอื้อมถึง

    การดิ้นรนและต่อสู้ที่ผ่านมาของข้า ถึงสุดท้ายยังมีความหมายอะไรอีก…

    ในขณะเดียวกันรูปร่างสูงโปร่งของฮั่วเหยาฮวาก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสตรีที่โชยไปตามลม ทำให้ซีเสี่ยวเหยียนระลึกถึงหู่หลิงหลันเช่นกัน

    มันฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของเจ้าสำนักหนีออกมาโดยพลการ ซ้ำยังผ่านการฝึกฝนมากมายนี้เพราะตั้งใจจะพบหน้ากับหู่หลิงหลันอีกครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดว่าเมื่อพบนางควรทำอย่างไร

    นางติดตามจิงเลี่ย ข้าในสายตานางคงจะเป็นศัตรูคู่แค้นด้วยกระมัง ครั้งนั้นข้าเองก็เคยเกือบฟันนางตาย…ข้าต้องฆ่าจิงเลี่ยแน่อยู่แล้ว ภายหลังนางจะมองข้าอย่างไร…

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต่อให้ขณะนี้หู่หลิงหลันอยู่เบื้องหน้า มันก็ไม่รู้

    แต่มันยังคงอยากพบนางอย่างบริสุทธิ์ใจ

    ในความมืดมนอนธการนี้ พวกมันสองคนล้วนคิดถึงอีกคนหนึ่งพร้อมกันเพราะการดำรงอยู่คนข้างๆ อีกทั้งในใจยังเกิดความเศร้าระทมที่ใกล้เคียงกัน

    และเพราะความเศร้าระทมนี้ทำให้จู่ๆ พวกมันพลันไม่อยากเดินเคียงไหล่ด้วยกันอีก

    ยามนี้ด้านหน้าปรากฏแสงไฟขึ้นมาพอดี เป็นโรงเตี๊ยมที่ยังคงเปิดอยู่ นอกประตูแขวนไว้ด้วยโคมไฟ

    ฮั่วเหยาฮวาไม่พูดจา ชี้ร้านค้านั้น

    “เจ้าพักอยู่ที่นี่หรือ” ซีเสี่ยวเหยียนโล่งอก “เช่นนั้นข้าส่งถึงตรงนี้แล้วกัน”

    มันกล่าวจบก็หมุนตัวจากไป

    ฮั่วเหยาฮวาหาได้พักแรมอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้จริงๆ นางเพียงอยากหาข้ออ้างแยกกับมันเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีที่ไป นางจึงจูงม้าเดินไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้น

    แต่เดินไปได้ครึ่งทาง นางก็อดมิได้ที่จะหันกลับไปมองดูเฉินดาบปีศาจผู้นี้

    เงาหลังเสมือนหมาป่าเดียวดายของซีเสี่ยวเหยียนกำลังจะหายลับหลอมกลืนไปในอนธการแล้ว

    ฮั่วเหยาฮวารู้ว่าตนเองแต่ก่อนก็เคยเป็นเหมือนกับมัน

     

    ซีเสี่ยวเหยียนคิดไม่ถึงว่าในคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่มันได้พูดคุยกับเหวยเสียงกุ้ย

    สามวันให้หลังมันโดยสารรถม้าบรรลุถึงเมืองซาโถว พรรคไป่หลี่ที่เลี้ยงต้อนรับหาได้พามันไปสถานที่เจรจาสัประยุทธ์ไม่ แต่พามันไปโรงเก็บศพ

    ณ ที่แห่งนั้นซีเสี่ยวเหยียนมองเห็นศพที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ใบหน้าและศีรษะล้วนถูกทุบตีจนผิดรูป

    “เป็น… ‘พวกซีเหลียว’ ทำ…” พวกมันแจ้งซีเสี่ยวเหยียนอย่างตื่นกลัว

    ‘ซีเหลียว’ คือคำเรียกพวกอันธพาลทรงอิทธิพลแถบตอนใต้ของเมืองจิงโจวที่หนีกระเจิงมาจากแถบตะวันตก พวกมันมาจากตะวันตกของเยวี่ยโจวไปจนถึงเขตทหารซือโจว ถูกบรรดาเศรษฐีที่นี่ชักจูงมา และกระจายตัวอยู่หลายเมือง ก่อนรวมตัวเป็นสำนักพรรคซึ่งหาได้มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดไม่ แต่เพราะเป็นคนที่มาจากนอกถิ่นการกระทำจึงโหดเหี้ยมอุกอาจ ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ ในนั้นยังมีคนป่าเถื่อนมุทะลุดุดันเป็นนิสัยจากซือโจว พรรคในท้องถิ่นต่างก็ยำเกรงพวกมันอยู่สามส่วน

    ชาวซีเหลียวของเมืองซาโถวตั้งพรรคหู่ถานขึ้นมาเองในตำบล แม้มีเพียงไม่กี่สิบคน แต่เพราะชอบการต่อสู้และไม่กลัวตาย พรรคสำนักอื่นๆ จึงตีตัวออกห่าง ครั้งนี้พรรคไป่หลี่แห่งซาโถวจ้างเฉินดาบปีศาจมา เดิมไม่เกี่ยวกับเรื่องของพรรคหู่ถาน แต่จะจัดการเรื่องวิวาทระหว่างอีกสองพรรค บังเอิญหลังเหวยเสียงกุ้ยมาพูดคุยเรื่องค่าตอบแทนจึงมาเที่ยวหอนางโลมแห่งหนึ่งในตำบลและพบหัวโจกย่อยคนหนึ่งของพรรคหู่ถานเข้าพอดี พวกมันทะเลาะกันเพราะแย่งชิงคณิกาสาวนางหนึ่ง คนของพรรคหู่ถานไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ล้อมเข้ามาต่อยตีมันจนตายคาที่ ไม่ถามสักคำว่าเหวยเสียงกุ้ยคือผู้ใด แล้วทิ้งไว้ในกองผักเน่าตรงตลาดด้านข้าง…

    ซีเสี่ยวเหยียนมองซากศพของเหวยเสียงกุ้ยเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว คนของพรรคไป่หลี่ข้างกายมันล้วนมิกล้าเดินหนีและมิกล้ากล่าวคำ

    มันจ้องใบหน้าของเหวยเสียงกุ้ยที่ถูกตีจนเละเทะน่าสยดสยอง

    นี่คือสหายคนแรกในชีวิตของมัน

    กระทั่งฟ้ามืด มันพลันนั่งย่อลง หยิบหมั่นโถวที่ใช้เซ่นไหว้ขึ้นมากัดกินจนหมดในอึดใจเดียว ซ้ำยังดื่มสุราเซ่นไหว้จนหมดเกลี้ยง

    “พาข้าไป” ซีเสี่ยวเหยียนกล่าวอย่างสงบ พร้อมปลดดาบยาวบนหลังลงมา

    ภายใต้แสงเทียนที่ขับเน้น คนของพรรคไป่หลี่ราวกับมองเห็นแผ่นหลังของเฉินดาบปีศาจแผ่ไอเหมือนหมอกออกมา

    ในโรงเก็บศพอันมืดทึบแต่เดิมคล้ายมีไอหนาวคุกคามคนยิ่งขึ้น

    “พะ…พวกเรา…” คนของพรรคไป่หลี่กล่าวอย่างขี้ขลาด “แม้แต่อาวุธก็ไม่พก…ให้พวกเรา…”

    “ไม่จำเป็น” สุ้มเสียงของซีเสี่ยวเหยียนเองก็เยียบเย็นจนไม่เหมือนมนุษย์เช่นเดียวกัน “พวกเจ้านำทางก็พอ ข้าเข้าไปคนเดียว”

     

    รังของพรรคหู่ถานอยู่ในซอยเหวินเต๋อ เดิมทีเป็นเพียงยุ้งข้าวเก่าที่เสื่อมโทรมทิ้งร้าง ภายหลังพวกมันได้ยึดครองเป็นที่อยู่อาศัย และยังเปลี่ยนเป็นชื่อที่น่าเกรงขามว่า ‘ศาลาซีอี้ (คุณธรรมประจิม)’

    คนของพรรคไป่หลี่เพิ่งเดินนำซีเสี่ยวเหยียนมาถึงด้านนอกซอยเหวินเต๋อ แต่กลับเห็นฟ้ามืดด้านบนฉายแสงสีแดง แวบเดียวก็มองออกว่าเปลวไฟแรงกล้ากำลังลุกไหม้อยู่ในตรอก

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่รอให้พวกมันบอกทาง แขนขวาประหลาดชักดาบยาวออกจากฝัก ก้าวฝีเท้าหนักหน่วงและทรงพลังวิ่งเข้าในตรอก ปลายดาบขูดกำแพงครูดเป็นสะเก็ดไฟ

    แววตาและสีหน้าของมันเปี่ยมล้นด้วยความอาฆาตแค้นจนใกล้จะระเบิดออกมา

    แต่สิ่งที่มันพบกลับมีเพียงศาลาซีอี้ที่ถูกเผาไหม้จนหลังคาก็จวนจะพังลงมาแล้ว ทั้งยังมีซากศพกองระเนระนาดหลายศพตรงตรอกถนนหน้าศาลา

    บนร่างซากศพเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีรอยดาบอันน่าเวทนาและน่าตกใจ

    เงาร่างหนึ่งยืนอยู่นอกกองเพลิง เงยหน้ามองเปลวไฟที่กำลังเริงระบำร้อนแรง ลักษณะท่าทางดังเช่นเด็กชื่นชมดอกไม้ไฟในงานเทศกาล

    คนผู้นี้พาดดาบใหญ่คมกว้างเล่มหนึ่งไว้บนไหล่ ช่วงหนึ่งของคมดาบมีฟันเลื่อย หัวด้ามห้อยไว้ด้วยกระจุกผมมนุษย์ที่ย้อมด้วยโลหิตเป็นสีแดงเข้ม

    บนผิวคมของดาบใหญ่นั้นเปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตสด

    ซีเสี่ยวเหยียนมองเห็นเงาร่างเย้ายวนที่ปรากฏหน้าเปลวไฟก็ตะลึงงันชั่วขณะ จิตสังหารที่เต็มเปี่ยมแต่เดิมสลายไปอย่างไร้ร่องรอย

    คนผู้นั้นหันหน้ามา ใช้ดวงตาสวยหยาดเยิ้มทั้งสองมองซีเสี่ยวเหยียน

    มันย่อมยังคงจำดวงตาคู่นี้ได้

    ครั้งนี้ฮั่วเหยาฮวามิได้สวมผ้าปิดหน้าแล้ว นางแสดงใบหน้าอันขาวงามสะดุดตามายังมัน

    “ตอบแทนน้ำใจของเจ้าเมื่อคราวก่อน” นางยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวเบาๆ

    ขณะนี้ซีเสี่ยวเหยียนลืมสิ้นว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงมาที่นี่ มันเพียงมองดูท่วงท่างดงามที่แบกดาบใหญ่อยู่โดยไม่กล่าวคำ เพียงเพราะนางช่างเหมือนกันกับสตรีที่มันตามหาอย่างยากลำบากเสียเหลือเกิน

    ฮั่วเหยาฮวาอาศัยประกายไฟเบื้องหลังมองซีเสี่ยวเหยียนครู่หนึ่ง ในใจตัดสินใจกระทำสิ่งสำคัญบางอย่างและพลันแย้มยิ้ม

    “พวกเราล้วนเคยฆ่าคนให้ฝ่ายตรงข้าม ชะตาชีวิตของสองเราเชื่อมเข้าด้วยกันแล้ว”

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 10 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 3

    บทที่ 8 จั๋วโม่สะท้านเทพ   เหยียนเชียนซุ่ยย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทว่าก้าวนี้ทำเอาซือคงฉางเฟิงกับไป๋ตงจวินถอยหลังไปส...

    Facebook