• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 11 บทที่ 1

     

    บทที่ 1

    พันธมิตร

     

    ในวันนี้พลันมีคนแปลกประหลาดมากมายเข้ามาในเมืองหยวนโจว

    พวกมันแบ่งกันเป็นกลุ่มสองคนสามคนทยอยกันเข้าเมือง บ้างจูงม้าที่กีบเท้าเปื้อนเต็มไปด้วยโคลน บ้างก็เดินเท้าเปล่ามาอย่างเหงื่อไหลไคลย้อย และบ้างก็เพิ่งลงเรือที่ท่าเรือทางเหนือของหยวนโจว

    ที่หยวนโจวอันรุ่งเรือง เดิมทีไม่มีผู้ใดจับจ้องสังเกตคนเหล่านี้ แต่พวกมันมีสองเรื่องที่คล้ายกันเหลือเกิน

    เรื่องแรก บนร่างคนประหลาดเหล่านี้ล้วนพกห่อผ้าหลากรูปทรง ส่วนใหญ่เป็นรูปร่างยาวน่าสงสัย บางคนถือด้ามยาวที่สูงกว่าตนเอง หัวด้ามแม้ใช้ซองผ้าห่อหุ้มไว้ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่าเป็นอะไร

    เรื่องที่สอง คือสีหน้าของพวกมันเหมือนกันทั้งหมด

    ดุจดั่งนักล่าเข้าสู่ป่าเขา ดวงตาแต่ละคู่ปรากฏไอสังหารจางๆ ออกมา

    เมืองหยวนโจวตั้งอยู่บนเส้นทางสำคัญด้านตะวันตกของมณฑลเจียงซีที่ผ่านไปยังเซียงถาน มีคาราวานพ่อค้าเนืองแน่นมาโดยตลอด ทหารที่รับหน้าที่เฝ้าประตูเมืองต่างก็สายตาเฉียบคมเป็นพิเศษ

    คนแปลกประหลาดเหล่านี้…หรือว่าเป็นโจรที่เข้ามาทำการค้าขาย?

    พวกคนน่าสงสัยต่างแบ่งเป็นออก ใต้ เหนือเข้าประตูเมืองจากสามทาง ปะปนอยู่ในหมู่พ่อค้าและชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เข้าออก ไม่นานก็ปะปนหายวับไปในถนนของเมือง ทหารเฝ้าประตูจำต้องส่งคนรุดหน้าไปแจ้งเจ้าเมืองในจวนว่าการ

    หลังคนประหลาดจำนวนมากเข้ามาในเมือง พวกมันล้วนเดินไปทิศใต้ของเมืองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

    ทิศใต้ของเมืองคือตลาดที่คึกคักที่สุดของเมืองหยวนโจว ในนั้นซอยหรูอวิ๋นโด่งดังที่สุด รวบรวมโรงเตี๊ยมกับโรงน้ำชาและเหลาสุรามากมาย เป็นสถานที่ที่คาราวานพ่อค้าที่ผ่านทางนัดรวมพลและหยุดพัก

    กลางฤดูร้อนเดือนเจ็ด ดวงอาทิตย์ลอยสูงแต่เช้าตรู่ ตลาดทางทิศใต้ของเมืองคึกคักอย่างยิ่ง แต่ชาวบ้านที่เบียดกันบนถนนกลับรู้สึกไม่ปกติ เหมือนบนถนนจู่ๆ มี ’เงา’ จำนวนมากเพิ่มขึ้นมา

    เงาร่างจำนวนมากแทรกผ่านช่องว่างของผู้คนในถนนที่เบียดแน่น ใช้ความเร็วไม่ธรรมดาก้าวไปข้างหน้า เป็นคนประหลาดที่พกอาวุธหุ้มผ้าเหล่านั้นแสดงเพลงเท้าวิชาตัวเบาอันว่องไวเหนือชั้นในถนนของเมืองอย่างกำเริบเสิบสาน ใช้มุมที่แคบที่สุดหมุนปราดผ่านฝูงชนประหนึ่งมัจฉาหลบหินโสโครกในแม่น้ำ แม้กระทั่งชายเสื้อก็ไม่เฉียดถูกสักนิด ผู้คนที่สัญจรมักตกใจว่าจะชนกับพวกมันซึ่งๆ หน้า บ้างก็สะดุ้งจนเหม่อลอย บ้างก็อดมิได้ที่จะร้องอุทาน บ้างก็ถึงขั้นเสียสมดุลล้มลงไปเองกับพื้น แขกบนชั้นสองของโรงน้ำชาข้างถนนต่างมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดบนถนนด้านล่าง

    ยิ่งเข้าใกล้จุดหมาย เหล่าคนประหลาดก็ยิ่งรวมตัวมากขึ้น ในที่สุดพวกมันก็บรรลุถึงซอยหรูอวิ๋น บนถนนอันคับแคบนั้นกลับมีคนยืนอยู่มากถึงเจ็ดสิบกว่าคน

    พวกมันรวมตัวเข้าด้วยกัน ยิ่งมิอาจซ่อนเร้นบุคลิกจำเพาะได้ เจ็ดสิบกว่าคนมองหน้ากันหลายแวบ ในแววตาเผยความเหี้ยมโหดและกล้าหาญออกมาประดุจกองทัพแนวหน้าขบวนหนึ่ง ในบรรดาคนเหล่านั้นมีสตรีเพียงไม่กี่นาง แต่กลิ่นอายที่พวกนางแผ่ออกมากลับไม่เป็นรองชายฉกรรจ์ข้างกาย เสื้อผ้าของคนทั้งหมดเบาหวิว ผูกแขนเสื้อมัดขา ฝีเท้าและท่ายืนล้วนปราดเปรียวดั่งแมว

    ตลาดอันเจริญรุ่งเรืองพลันเงียบสงบลงเพราะพวกมัน

    ยามนี้เดิมควรมีผู้คุ้มกันเขตของจวนว่าการลาดตระเวนที่ตลาดซอยหรูอวิ๋นเข้ามาดูสถานการณ์ แต่ครั้นมองเห็นคนเจ็ดสิบกว่าคนนี้ พวกผู้คุ้มกันเขตก็มิเพียงไม่ได้เข้าไปสอบถามด้วยความกล้า ซ้ำยังถอยหนีอย่างเงียบๆ

    …เพียงเพราะพวกมันรู้สึกอย่างชัดแจ้งว่าโลกใบนั้นมิใช่จะก้าวก่ายกันได้

     

    เกือบในขณะเดียวกัน ผู้ตรวจการใต้อาณัติของเจ้าเมืองหยวนโจวได้รับข่าวด่วนนี้จากทหารเฝ้าประตูเมือง จึงกำลังตระเตรียมทหารรุดหน้าไปตรวจสอบ แต่กลับมีบุรุษผู้หนึ่งมาที่จวนว่าการ

    บุรุษผู้นี้แต่งกายคล้ายคลึงกับคนเจ็ดสิบกว่าคนนั้น ตรงข้างเอวห้อยวัตถุยาวหุ้มผ้า มันบังอาจตรงมายังจวนว่าการเพื่อยื่นเทียบที่ทำจากกระดาษพิเศษ

    เมื่อผู้ตรวจการเปิดเทียบมาดูก็แทบจะตกใจจนหัวใจเด้งออกมาจากในปาก มันเคยเห็นของคล้ายสิ่งนี้ อันเป็นพระราชโองการอาชญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิทรงมอบหมายให้อำนาจผู้ตรวจฎีกาประทับตราแทนพระองค์และลงนามกำกับโดยฝ่ายตุลาการ!

    “ใต้เท้าท่านนี้…”

    ผู้ตรวจการเข่าอ่อนทันทีจนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านคือ…” ผู้เชิญเทียบนี้เท่ากับมีสิทธิ์จับกุมนักโทษแทนจักรพรรดิ เป็นไปได้อย่างมากว่าตรงหน้าคือองครักษ์เสื้อแพรที่อำนาจล้นฟ้า

    “ไม่” ไหนเลยจะคาดคิดว่าบุรุษผู้นั้นยกฝ่ามือขึ้นกล่าว “พวกเรามิใช่ขุนนาง”

    ผู้ตรวจการตกตะลึง มองดูราชโองการอีกครั้งอย่างละเอียด เห็นเพียงข้อความในนั้นมีบางสิ่งผิดปกติ ตรง ‘ชุมนุมนักสู้จงหย่ง’ เขียนไว้อย่างเตะตาเป็นพิเศษ…

     

    ณ ซอยหรูอวิ๋น คนเจ็ดสิบกว่าคนนั้นมิได้พูดคุยสักประโยคก็แยกกันเดินเข้าไปในร้านอาหารและเหลาสุราบนถนน

    ตะวันออกของถนนมีหอสองชั้นหลังหนึ่งตั้งอยู่ เป็น ‘หออิ๋นฮวา (บุปผาสีเงิน)’ ร้านอาหารที่ใหญ่และมีชื่อที่สุดของเมืองหยวนโจว

    ไต้ขุยแห่งสำนักซินอี้ที่สง่าผ่าเผย รูปโฉมแกร่งกล้าทรงพลัง ยามนี้ก็ยืนมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่างจากหน้าต่างชั้นสองของหออิ๋นฮวา คิ้วหนาทั้งสองของมันอดมิได้ที่จะขมวดขึ้น

    ครั้นมองเห็นคนกลุ่มนั้นเริ่มเข้ามา ไต้ขุยออกรีบห่างจากหน้าต่างกลับไปนั่งหน้าโต๊ะอาหารแสร้งเป็นแขกทั่วไป มันก้มหน้าเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ก้าวขึ้นบันไดมาและรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่ง

    เป็นสำนักมี่จง!

    คนสำนักมี่จงยี่สิบสามสิบคนทยอยกันขึ้นหอมา แขกที่เดิมควรกำลังกินข้าวอยู่บนหอล้วนตกใจจนรีบคิดเงินและหนีไป ผู้ที่มิได้ไปมีเพียงไต้ขุยกับอีกโต๊ะหนึ่ง ผู้ที่นั่งโต๊ะนั้นคือชาวยุทธ์ในท้องถิ่นไม่กี่คนที่ใจกล้ารอชมความสนุกนี้

    คนสำนักมี่จงยึดครองโต๊ะอาหารที่ว่างอยู่ทั้งหมด พวกมันต่างปลดห่อผ้าที่ปกปิดอาวุธลงวางไว้บนโต๊ะหรือข้างกำแพง เสี่ยวเอ้อร์สองคนหมุนเวียนกันส่งน้ำชาและผลไม้อย่างรีบร้อนโดยมิกล้าหายใจแรงมากเท่าใดนัก

    หออิ๋นฮวาสองชั้นถูกคนสำนักมี่จงนั่งจนเต็ม นอกจากนั้นพวกมันยังยึดครองโรงน้ำชาด้านข้างอีกสองแห่ง จึงจุคนเจ็ดสิบกว่าคนได้ทั้งหมดและเริ่มดื่มกิน แต่หาได้พูดคุยสักประโยคไม่ บรรยากาศในร้านอาหารประหลาดอย่างยิ่ง

    แต่ต่อให้พวกมันไม่กล่าวคำ ไต้ขุยก็กระจ่างยิ่งนักว่าสำนักมี่จงยกขบวนลงใต้มาเพื่อเหตุใด

    นับจากได้รับป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งจากราชสำนัก ซ้ำยังรู้ว่าประกาศิตนักสู้หลวงของจักรพรรดิระบุว่าจะกำจัดหกกระบี่บ้านแตก ไต้ขุยก็เร่งเดินทางจากฐานมั่นอี้เซ่อที่ทำการหลักสำนักซินอี้อำเภอฉีเซี่ยนจากซานซีอย่างรวดเร็ว เพื่อเสาะหาพวกจิงเลี่ยด้วยหวังจะแจ้งเตือนล่วงหน้าก้าวหนึ่งว่าพวกเจ้ากลายเป็นเหยื่อของนักสู้ในใต้หล้าแล้ว!

    ทว่าแม้ไต้ขุยจะสอบถามและสืบหาอย่างยากลำบากที่เจียงซีก็ยังคงหาร่องรอยของหกกระบี่บ้านแตกไม่พบ แต่กลับมองเห็นนักสู้สำนักน้อยใหญ่มากมายตามทางต่างก็กำลังเคลื่อนไหวในยามนี้ และยังได้ยินข่าวของประกาศิตนักสู้หลวงที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

    วันนี้ได้เห็นกับตาที่เมืองหยวนโจว ไต้ขุยก็ตระหนักว่าสถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าที่จินตนาการเสียอีก!

    สำนักมี่จงอยู่ไกลไม่ถึงพันหลี่จึงส่งศิษย์ในสำนักมามากมายเพียงนี้ ดูท่าว่าพวกมันตัดสินใจจะชิงความชอบเรื่องจับตายหกกระบี่บ้านแตกนี้ให้จงได้

    พอคิดถึงตรงนี้ไต้ขุยก็โกรธแค้นจนกัดฟันแน่น

    การเห็นชอบของราชสำนัก สำคัญเพียงนี้จริงหรือ…

    คนสำนักมี่จงพอขึ้นหออิ๋นฮวามา ความจริงก็สังเกตมันไว้ก่อนแล้ว รวมทั้งเห็นซองผ้าที่ซ่อนดาบยาวสำนักซินอี้ข้างโต๊ะ ขณะนี้ไต้ขุยอารมณ์แปรปรวน หน้าตาบึ้งตึง ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนที่อยู่ใกล้ให้จ้องมองมันไม่หยุดหย่อน

    ไต้ขุยก้มศีรษะพลางจิบชา สีหน้าคืนสู่ปกติ พยายามไม่สบสายตา มันไม่เคยลืมคำสั่งของเหยียนซื่อปังผู้เป็นอาจารย์ก่อนออกจากประตู

    ‘ไต้ขุย…อยู่ข้างนอกห้ามผูกพยาบาทกับสหายร่วมทางยุทธภพ โดยเฉพาะคนของเก้าสำนักใหญ่’

    ไต้ขุยเข้าใจอย่างมากว่าอาจารย์เป็นผู้นำของสำนักย่อมมีความกังวลมากมาย ศิษย์แต่ละพื้นที่ของสำนักซินอี้ที่หาเลี้ยงชีพอยู่ในราชสำนักและยุทธภพมีจำนวนมากอย่างยิ่ง ชื่อเสียงและบุญคุณความแค้นของสำนักส่งผลต่อการดำรงชีวิตในภายหน้าของพวกมันบนยุทธภพได้ทุกเมื่อ

    สิ่งนี้กลับทำให้ไต้ขุยหวนระลึกถึงสำนักอู่ตัง ในศึกนั้นที่ซีอานมันเคยได้ยินศิษย์อู่ตังท่องข้อบัญญัติที่ไม่ถูกชักจูงด้วยชื่อเสียงลาภยศ แสวงหามรรคาด้วยตนเอง มันอดมิได้ที่จะเลื่อมใสศัตรูแข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้

    พวกมันกระทำเรื่องที่พวกเราทำมิได้ ที่ร้ายกาจขึ้นเพียงนี้ก็นับว่ามีเหตุผล…

    “เป็น…ศิษย์พี่สำนักซินอี้หรือ!” ยามนี้มีคนผู้หนึ่งตะโกนมายังไต้ขุย

    ไต้ขุยพอได้ยินคำเรียกที่แฝงสำเนียงซานซีก็เงยหน้ามองไปทันที เห็นเป็นในคนสำนักมี่จงโต๊ะนั้นมีชายฉกรรจ์อายุสี่สิบกว่าปีลุกขึ้นมาประสานมือให้มันพลางถามไถ่

    กล่าวถึงจำนวนศิษย์ในสำนักกับการแผ่ขยายกำลังในพื้นที่ สำนักมี่จงมิเพียงเป็นอันดับหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่ ยังอาจนับเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตั้งแต่เหอเป่ยแหล่งกำเนิดจนถึงสาขาย่อยจำนวนมากของสำนักมี่จงที่ซานซีและเหอหนาน นอกจากนั้นยังมีอีกแขนงหนึ่งที่แผ่เข้าสู่ซานตงแม้จำนวนคนจะไม่มากนัก ผู้ที่เอ่ยวาจากับไต้ขุยคือเจิงชิงเฟิงศิษย์ของที่ทำการย่อยสำนักมี่จงเมืองซินโจวทางเหนือของมณฑลซานซี ซินโจวกับอำเภอฉีเซี่ยนแม้อยู่เหนือกับใต้ของซานซี แต่เจิงชิงเฟิงอายุค่อนข้างมาก เคลื่อนไหวในยุทธภพหลายปี รู้จักคนสำนักซินอี้แห่งซานซีไม่น้อย จึงมองออกถึงภูมิหลังของไต้ขุยจากเสื้อผ้า ท่วงท่า และความยาวของอาวุธ

    ไต้ขุยมิอาจหลบเลี่ยงอีก จำต้องยืดอกลุกขึ้นมาประสานมือไปยังสามด้าน

    “มิผิด ข้าน้อยไต้ขุยแห่งอำเภอฉีเซี่ยน”

    คนสำนักมี่จงจำนวนมากพอได้ยินนามของไต้ขุยก็อดมิได้ที่จะหน้าถอดสี พวกมันล้วนรู้ว่าศิษย์ภายในของฐานมั่นอี้เซ่อสำนักซินอี้ผู้นี้คือศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเหยียนซื่อปังหมัดเทวะแห่งซานซี โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้มันเคยประมือกับเหยาเหลียนโจวอัจฉริยะที่คล้ายตัวประหลาดผู้นั้นที่ซีอานและรอดชีวิตกลับมาได้ นับเป็นผลการรบที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแล้ว

    แต่ ‘ผลการรบ’ เช่นนี้ไต้ขุยยอมไม่มีจะดีกว่า

    คนสำนักมี่จงรีบนำเก้าอี้ว่างมาต้อนรับไต้ขุยและเรียกเสี่ยวเอ้อร์ยกสุรามา พวกมันกล่าวชื่อแซ่และพูดคุยกันหนึ่งจบ ไต้ขุยยามนี้จึงรู้ว่าเจ็ดสิบเจ็ดคนที่มาเมืองหยวนโจวในวันนี้ล้วนสังกัดที่ทำการย่อยสำนักมี่จงแต่ละแห่งของซานซีและเหอหนาน ที่มารวมตัวกันเพราะได้รับคำสั่งจากฐานหลักชางโจว

    สำนักมี่จงกับสำนักในยุทธภพที่แตกกิ่งก้านสาขาทั่วไปต่างกันบางส่วน สาขาย่อยแต่ละพื้นที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์สังกัดอันแน่นแฟ้นกับโถงอวี้ฉี (กิเลนหยก) ที่ทำการหลักชางโจว หากมีเรื่องสำคัญก็เรียกระดมพลได้ตลอดเวลา แม้การฝึกฝนวิทยายุทธ์ของคนสำนักมี่จงค่อนข้างเหลื่อมล้ำ แต่ที่ยังครองตำแหน่งในเก้าสำนักใหญ่ได้ก็เพราะอาศัยระบบและอำนาจเช่นนี้

    “ศิษย์พี่ไต้มายังเจียงซีก็เพื่อไล่ปราบปรามคนเหล่านั้นกระมัง?” เจิงชิงเฟิงเติมสุราให้ไต้ขุยไปพลางยิ้มน้อยๆ ถามไปพลาง

    ศิษย์สำนักมี่จงแห่งเหอหนานอีกด้านหนึ่งกล่าวแทรก “ขณะศิษย์พี่ไต้อยู่ซีอานเคยเห็นหกกระบี่บ้านแตกใช่หรือไม่ วรยุทธ์พวกมันเป็นเช่นไร”

    “เจ้าสำนักเลี่ยนเฟยหงแห่งคงถงคือหนึ่งในพวกมันจริงหรือ แล้วยังมีหลวงจีนเส้าหลิน เป็นจริงหรือเท็จ?”

    ไต้ขุยฟังพลางหวนนึกถึงขณะอยู่ที่หออิ๋งฮวาในซีอาน ศึกทั้งหมดอาศัยพวกจิงเลี่ยยืดอกต่อต้านกับยอดฝีมืออู่ตัง บัดนี้นักสู้สำนักมี่จงกลับมาไล่สังหารพวกมัน ไต้ขุยจึงไม่สบายใจขึ้นมาและไม่กล่าวคำใดๆ เพียงดื่มสุราในจอกจนหมด คนสำนักมี่จงเห็นมันทำเช่นนี้ก็คิดว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้คงไม่สันทัดในการคบค้าสมาคม จึงมิได้ซักถามอีก

    เพราะคำถามข้อนี้เหล่าสหายร่วมสำนักมี่จงค่อยๆ พูดคุยกันขึ้นมาอย่างสนิทสนม บางคนปลดห่อผ้าออก ชักอาวุธออกมาทำความสะอาดและทาน้ำมันอย่างประณีตโดยปราศจากกังวล

    ไต้ขุยสังเกตพวกมันอย่างระมัดระวัง เฉกเช่นคนสำนักมี่จงส่วนมากที่พบขณะล้อมโจมตีเหยาเหลียนโจวที่ซีอานเมื่อปีก่อน พวกมันล้วนเป็นเพียงสายย่อยใต้สังกัด หาใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่งในสำนักไม่ แต่สีหน้าที่เผยออกมาของคนเหล่านี้ตรงหน้ากลับต่างกันกับสหายร่วมสำนักในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง คล้ายมีอำนาจดื้อดึงผิดปกติเพิ่มขึ้นมา พกพาความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับการจับตายหกกระบี่บ้านแตก หาได้มีความหวาดหวั่นสักนิดไม่

    …เป็นเพราะมีคนมากหรือ

    ไต้ขุยฉวยโอกาสขณะคนที่ร่วมโต๊ะล้วนดื่มไปหลายจอกแล้ว แสร้งถามเจิงชิงเฟิงอย่างเรื่อยเปื่อย “สำนักท่านลงใต้มาเจียงซีครั้งนี้ รวมมีเท่าใดหรือ”

    เจิงชิงเฟิงยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว

    “ครั้งนี้แม้แต่สหายร่วมสำนักสาขาหลักชางโจวก็ออกมายกรัง สองวันนี้ก็จะมารวมตัวกัน” มันกล่าวอีก

    …สามร้อยคน!

    ไต้ขุยอดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น

    “นี่ยังมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด…” เจิงชิงเฟิงกล่าวอีกแล้วสบตากันกับสหายร่วมสำนักแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มน้อยๆ อย่างลึกลับ

    ไต้ขุยมองดูสีหน้าของพวกมันพลางขบคิดครู่หนึ่ง และพลันเข้าใจว่าอำนาจมาดมั่นที่พวกมันพกพาหาใช่เพราะมีคนถึงสามร้อยคนไม่

    แต่เป็นเพราะคนผู้เดียว

    “…เจ้าสำนักเหลยมาด้วยตัวเอง?”

    เจิงชิงเฟิงพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

    ในใจไต้ขุยหนักอึ้งเหมือนมีเหล็กกล้าชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในทันใด มันกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะโดยไม่รู้ตัว

    เหลยจิ่วตี้ ‘เทพท่องเมฆาเร้น’ เจ้าสำนักมี่จงแห่งชางโจว

    ไต้ขุยกำลังจะสอบถามเพิ่มอีก พลันริมถนนด้านนอกกลับถ่ายทอดเสียงตะโกนเสียงหนึ่ง “พี่ใหญ่ เริ่มสู้แล้ว! ไปดูเร็ว”

    ทันทีที่พวกมันได้ยินก็ล้วนเผยสีหน้าสงสัยออกมา คนสำนักมี่จงจำนวนมากจ้องมองไต้ขุยทันที คิดว่า ‘พี่ใหญ่’ ที่ผู้มาใหม่เรียกต้องเป็นมัน

    แต่ไต้ขุยลงใต้มาเพียงลำพัง ขณะไม่รู้ว่าจะชี้แจงเช่นไรชาวยุทธภพท้องถิ่นโต๊ะนั้นที่นั่งอยู่ในหออิ๋นฮวามาตลอดกลับลุกขึ้นมาอย่างเก้อเขินและประสานหมัดไปยังสี่ด้าน

    หัวหน้าของคนกลุ่มนั้นกล่าว “ข้าน้อยแซ่จาง เป็นคนพรรคฉา (ชา) ของเมืองนี้ พี่น้องหลายคนนี้กับคนที่อยู่ด้านนอกคือลูกศิษย์ข้า เผลอล่วงเกินวีรบุรุษยุทธภพทุกท่านแล้ว ได้โปรดให้อภัย”

    แถบหยวนโจวคับคั่งไปด้วยต้นชาน้ำมันขึ้นอยู่ทุกแห่งหน และพรรคฉาคือกลุ่มการค้าที่ควบคุมการซื้อขายชาน้ำมันในเมืองหยวนโจว พลพรรคหลายคนนี้นั่งอยู่ในหอไม่ไปไหน เดิมทีตั้งใจจะสืบข่าวและร่วมวงเรื่องสนุก ไม่ทันคาดว่าผู้ที่มาคือยอดฝีมือสำนักมี่จงที่ระบือนามในใต้หล้า จึงตกใจจนนั่งขดอยู่หน้าโต๊ะมิกล้าขยับแม้แต่น้อย ยิ่งไร้ซึ่งความกล้าจะไปทักทายผู้มีสถานะสูงกว่า แต่ยามนี้จำต้องลุกขึ้นกล่าวคำ

    เด็กพรรคฉาผู้นั้นที่อยู่ล่างหอรีบเร่งมาแจ้งข่าวต่อพี่ใหญ่ มิได้สนใจว่ารอบด้านซอยหรูอวิ๋นแห่งนี้ถูกนักสู้กลุ่มใหญ่ยึดครองแล้ว ตะโกนได้ครึ่งหนึ่งจึงพบว่าผิดปกติและตกใจจนยืนนิ่ง

    คนสำนักมี่จงมองชายฉกรรจ์พรรคฉาทั้งหลายที่ยามปกติตระเวนระรานในเมืองหยวนโจวด้วยสายตาเหยียดหยามประหนึ่งมองดูมด

    พวกมันหยิบอาวุธข้างมือขึ้น หัวโจกย่อยพรรคฉาแซ่จางผู้นั้นตกใจจนตัวสั่น

    “เกิดอะไรขึ้นในเมือง ลองไปดู” เจิงชิงเฟิงใช้สุ้มเสียงสั่งการกล่าว

    ชายฉกรรจ์พรรคฉารีบวิ่งลงหอไป คนสำนักมี่จงต่างก็ติดตาม ไต้ขุยรู้ดีว่าต้องมีเรื่องผิดปกติอย่างแน่นอนจึงหยิบซองผ้าที่ใส่ดาบยาวขึ้นและลงหอไปดูด้วยกันกับเจิงชิงเฟิง

    เมื่อถึงบนถนนซอยหรูอวิ๋น เห็นเพียงคนแซ่จางผู้นั้นกระชากคอเสื้อลูกศิษย์สอบถามอย่างร้อนใจ ภายหลังมันปล่อยลูกศิษย์ผู้นั้นออก เดินมากล่าวกับกลุ่มคนสำนักมี่จง “คนของพรรคข้าสอบถามได้ความว่าในเมืองมีผู้กล้ายุทธภพหลายสำนักกำลังจะลงมือ เหมือนพบคนหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกอะไรนั่น…”

    “นำทาง!” เจิงชิงเฟิงผลักคนแซ่จางผู้นั้นอย่างแรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุร้ายในฉับพลัน

    หกกระบี่บ้านแตกคือเหยื่อของสำนักมี่จงเรา ไหนเลยจะยอมให้สำนักเล็กๆ ในพื้นที่เหล่านี้แย่งความชอบ

    ศิษย์สำนักมี่จงคนอื่นๆ ต่างก็เดินออกมาจากโรงน้ำชา เมื่อรู้ว่าหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกอาจอยู่ในเมืองหยวนโจว ไอสังหารที่สะกดไว้แต่เดิมของพวกมันเผยออกมาทันที ครู่เดียวอำนาจเข่นฆ่าของคนเจ็ดสิบกว่าคนก็แผ่ซ่านเอ่อล้นข้างถนนซอยหรูอวิ๋น ชายฉกรรจ์พรรคฉาอดมิได้ที่จะหนาวสั่นขึ้นมาในยามกลางวันแสกๆ ของเดือนเจ็ด

    “อยู่…อยู่ที่ถนนซีเฟิงจิ่งด้านโน้น…” ลูกศิษย์น้อยพรรคฉาผู้นั้นกล่าวอย่างขลาดกลัว คนพรรคฉาหลายคนมิกล้าเพิกเฉย ดึงเด็กผู้นี้วิ่งไปยังทิศทางของถนนซีเฟิงจิ่ง

    คนสำนักมี่จงกลุ่มใหญ่ล้วนปลดห่อผ้าอาวุธแล้ว มีบางคนถือทวนยาวพู่แดง หัวทวนสีเงินระยิบระยับใต้แสงแดดเจิดจ้า

    บรรยากาศนี้เฉกเช่นสงครามโดยแท้

    วรยุทธ์สำนักซินอี้ของไต้ขุยยึดทางสายมั่นคงเป็นหลัก หาได้ชำนาญเพลงเท้าวิชาตัวเบาที่สุดไม่ หากคนสำนักมี่จง ณ ที่นั้นสำแดงฝีเท้าสุดกำลังมันต้องตามไม่ทันเป็นแน่ เคราะห์ดียามนี้พวกมันต้องติดตามคนของพรรคฉา มิอาจใช้ความเร็วทั้งหมด ไต้ขุยจึงลอบเพิ่มแรง เดินไปด้านหน้าสุดของขบวน

    …หากเป็นพวกพี่จิงและศิษย์น้องเยียนคนใดคนหนึ่ง ข้าที่อยู่ด้านหน้าย่อมมองเห็นคนแรก ยามคับขันก็จะช่วยเหลือได้

    ไต้ขุยกำลังจะสอบถามคนพรรคฉาที่นำทางให้มากขึ้น เจิงชิงเฟิงข้างกายกลับเอ่ยถามก่อน

    “พวกเจ้าบอกว่านั่นคือหกกระบี่บ้านแตก เป็นคนอย่างไรกันแน่”

    “ข้า…ล้วนแต่…ได้ยินมา…แฮก…แฮก…” เด็กพรรคฉาผู้นั้นวิ่งจนหอบหายใจ ตอบด้วยความลำบากอย่างมาก “เป็น…สตรี…ขี่ม้ามา…สาวงามสวมชุดสีแดง…”

    ไต้ขุยพอได้ฟัง คิ้วหนาก็กระตุกขึ้น

    …เป็นแม่นางเต่าจินหรือ

    การพรรณนาของเด็กพรรคฉาตรงกับหู่หลิงหลันอย่างยิ่ง ทำให้ไต้ขุยร้อนใจกว่าเดิม

    ระหว่างทางที่วิ่งไต้ขุยอดมิได้ที่จะหวนนึกเรื่องการมาเยือนด้วยตัวเองของเจ้าสำนักมี่จงที่กล่าวถึงที่หออิ๋นฮวาเมื่อครู่

    เหลยจิ่วตี้ นามนี้ไต้ขุยเคยได้ยินไม่มาก ความทรงจำอันลึกซึ้งที่สุดครั้งหนึ่งคือเหยียนซื่อปังผู้เป็นอาจารย์กล่าวถึงบุคคลผู้นี้

    คำวิจารณ์ของเหยียนซื่อปังมีเพียงสองประโยค

    ‘เหลยจิ่วตี้ต่างจากนักสู้ของสำนักมี่จงคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง’

    เรื่องความเชี่ยวชาญและระดับของวิทยายุทธ์ สำนักมี่จงเป็นอันดับรั้งท้ายในเก้าสำนักใหญ่มาโดยตลอด คำพูดนี้ของเหยียนซื่อปังจึงดึงดูดความสนใจของไต้ขุยอย่างมาก มันมองใบหน้าของอาจารย์ทันที

    ในยามนั้นไต้ขุยมองเห็นแววตาประหลาดในดวงตาอาจารย์

    เป็นความกลัวที่เผยออกมาน้อยๆ…ผู้ที่ทำให้เหยียนซื่อปังหมัดเทวะแห่งซานซีปรากฏแววตาเช่นนี้มีน้อยจนนับได้

    ‘มันเป็นคนบ้า’

    นี่คือประโยคที่สองที่เหยียนซื่อปังวิจารณ์เหลยจิ่วตี้

    ได้ยินว่าปัจจุบันเหลยจิ่วตี้มิได้อยู่ชางโจว แต่เร้นกายฝึกลับที่ซานตง กลับมิได้ลงจากตำแหน่งเจ้าสำนัก ทำให้หมู่มังกรสำนักมี่จงไร้เศียร สิ่งนี้อธิบายได้ว่าไปีก่อนนักสู้สำนักมี่จงที่บุกไปซีอานจึงนำโดยพวกหานเทียนเป้ากับต่งซานเฉียวเพียงสองคน

    แต่ครานี้เจ้าสำนักออกจากเขา กลับระดมกำลังศิษย์สามร้อยคน ไล่โจมตีคนเพียงหกคน

    เหลยจิ่วตี้ผู้นี้บ้าหรือไม่ข้ายังไม่รู้ แต่มีคำหนึ่งที่พรรณนาได้อย่างแน่นอน…เหี้ยม!

    เมื่อคิดถึงตรงนี้ไต้ขุยที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนก็อดมิได้ที่จะตึงเครียดกว่าเดิม

    มือซ้ายมันลอบยื่นไปยังข้างเอว ปลดซองผ้ายาวออก เผยด้ามดาบที่พันไว้ด้วยแถบผ้าสีเหลือง

     

    นักสู้สามสิบกว่าคนที่ดักซุ่มอยู่ด้านนอกห้องพักของโรงเตี๊ยมมิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง เรือนร่างบึกบึนเชื่องช้าของแต่ละคนกำลังหลั่งเหงื่ออยู่เงียบๆ

    นี่คือโรงเตี๊ยมซีเฟิง (ลมประจิม) บนถนนซีเฟิงจิ่งด้านตะวันตกของเมืองหยวนโจว แม้ตั้งชื่อได้โอ่อ่ายิ่งนัก แต่ความจริงเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่มีเพียงหกห้อง ขณะนี้พื้นลานและช่องหลังคาด้านนอกเรือนปิ่งเฮ่าแห่งนั้น ทั้งหมดล้วนถูกนักสู้ที่มาซุ่มโจมตีล้อมไว้แล้ว

    พวกมันรอบคอบอย่างยิ่ง อาวุธในมือยังคงปิดไว้ด้วยผ้าเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้แสงอาทิตย์สะท้อนโลหะให้คนในห้องแตกตื่น มีนักสู้ที่นั่งย่ออยู่ใต้หน้าต่างของห้องสามคนยื่นฝ่ามือเข้าไปในถุงผ้า ลอบหยิบกุมเชือกบิน กระบี่ปีกสั้นและหินตั๊กแตนบินเตรียมพร้อม ด้านหน้าประตูมีคนแยกซุ่มอยู่สองฝั่งคอยดึงเชือกขึ้นมาขัด บนพื้นหน้าประตูยังโปรยหนามตะปูดักไว้

    ผู้ที่โอมล้อมนี้มีทั้งสิ้นสามสิบกว่าคน ส่วนใหญ่ในนั้นคือศิษย์สำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์แห่งเจียงซีตะวันตก สำนักตี้กงถือกำเนิดออกมาจากแขนงเดียวกับสำนักตี้ถังที่เผยแพร่อย่างกว้างขวางทุกแห่งในปฐพี ตระกูลหลี่ว์นี้ได้รับการถ่ายทอดแท้จริง โรงต่อสู้ที่เมืองหยวนโจวก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงอำนาจ ทั้งยังมีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้กล้าในแถบยุทธภพนี้ จึงมีคนคอยช่วยเป็นหูตาจับตามองการปรากฏตัวของหกกระบี่บ้านแตกให้พวกมันมาตลอด เป็นเหตุให้มาซุ่มโจมตีที่โรงเตี๊ยมซีเฟิงแห่งนี้ได้ก่อน นอกนั้นสิบเอ็ดคน รวมถึงมือดีอาวุธลับสามคนนั้นที่ซุ่มอยู่ใต้หน้าต่างคือนักสู้สำนักชางหลินละแวกตีนเขาทางเหนือของเขาอู่กง หมู่นี้ก็เคลื่อนไหวในแต่ละเมืองของเจียงซี เพื่อตามสืบข่าวคราวของหกกระบี่บ้านแตกเช่นกัน และวันนี้ก็ได้รับคำเชิญจากสำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์ให้มาสมทบ

    นับตั้งแต่ราชสำนักออกประกาศิตนักสู้หลวง และใช้ป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งประทานแก่สำนักใหญ่ทุกสำนัก ในหลายเดือนมานี้ยุทธภพใต้หล้าต่างเดือดพล่าน สำนักเล็กมากมายที่ชื่อเสียงโด่งดังในพื้นที่ แต่ไม่ได้รับพระราชทานป้ายล้วนไม่ยินยอม ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าหลังสำนักใหญ่ได้รับการยอมรับและคุ้มครองจากราชสำนัก สำนักอู่ตังที่บ้าคลั่งและชอบการต่อสู้จะหันหัวไปยังพวกมัน

    ในยามนี้เองยุทธภพกลับประโคมข่าวว่าหากสำนักใดสังหารคนหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกที่ใบรายชื่อประกาศิตนักสู้หลวงจะกำจัดได้ ก็จะได้รับป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งเช่นเดียวกัน

    คำกล่าวเช่นนี้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและรวดเร็วถึงขั้นเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ มีคนกล่าวว่าป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งนั้นคือป้ายเหล็กเว้นตาย นอกจากโทษวางแผนก่อกบฏแล้ว โทษทัณฑ์ทั้งหมดล้วนยกเว้นได้ กระนั้นมิเพียงสำนักแต่ละพื้นที่บนยุทธภพ แม้แต่พรรคฝ่ายอธรรมในยุทธจักรก็เข้าร่วมขบวนตามจับหกกระบี่บ้านแตก ด้วยคิดในใจว่าถึงแม้ไม่อาจสังหารด้วยตัวเอง แต่หากช่วยได้อีกแรงก็ไม่แน่ว่าจะได้ส่วนแบ่งจากการประทานรางวัลของราชสำนัก

    สำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์พอได้รับข่าวก็ส่งคนเร่งมาและซื้อตัวบริกรของโรงเตี๊ยมซีเฟิงจนแน่ใจว่าเป้าหมายผู้นั้นยังคงอยู่ในห้อง ขณะนี้ตาข่ายโอบล้อมสำเร็จแล้ว หลี่ว์ถิงเหลียงเจ้าสำนักที่รับหน้าที่สั่งการถือดาบเดี่ยวหนาหนักเล่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณสิบฉื่อนอกประตูห้อง มันยกดาบพยักหน้าเล็กน้อยให้สามคนใต้หน้าต่าง

    มือดีสำนักชางหลินสามคนนั้นเข้าใจ ขยับร่างขึ้นพร้อมกัน อาวุธลับที่หนีบรอไว้ระหว่างนิ้วมือนานแล้วซัดออกไปตามสถานการณ์ ทำลายหน้าต่างกระดาษ

    ปรมาจารย์ที่ก่อตั้งสำนักชางหลินแห่งเขาอู่กงนี้ เดิมคือนายพรานสามคนที่สาบานเป็นพี่น้องกัน ต่อมาตระเวนกราบอาจารย์เรียนวิชาด้วยกันทั่วสารทิศและนำวรยุทธ์ที่ได้มาผสมผสานกับวิชาล่าสัตว์แต่เดิม คิดค้นวิทยายุทธ์สำนักชางหลินออกมา เป็นเหตุให้ชำนาญการซัดอาวุธลับอย่างยิ่ง และยังรักษาวิชากับดักล่าสัตว์เอาไว้…เชือกและหนามตะปูนอกประตูก็เป็นพวกมันนำมา วิชาจับตายนี้เดิมทีใช้กับสัตว์ป่าก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ในยุทธภพซึ่งเคารพการสัประยุทธ์ซึ่งหน้าจึงถูกคนดูถูกดูแคลนอย่างเลี่ยงมิได้

    ในห้องปิ่งเฮ่านั้นมีสุ้มเสียงวัตถุถูกหินตั๊กแตนโจมตี แต่ไม่รู้ว่าถูกเหยื่อหรือไม่

    “นางมาร รับการประหาร!” หลี่ว์ถิงเหลียงตะโกนอยู่นอกประตูทันที

    มันหาได้คาดหวังให้อาวุธลับชุดนี้สังหารศัตรูได้ ทั้งหมดเพียงเพื่อเร่งให้ฝ่ายตรงข้ามออกมาจากห้อง

    ประตูไม้ของห้องเปิดออกเองจากด้านในดังคาด เงาร่างสวมชุดแดงสวยสดปรากฏขึ้น

    คนสำนักตี้กงที่เฝ้าอยู่สองข้างเฉลียงทางเดินล้วนสวมถุงมือหนา พวกมันดึงเชือกที่เตียมไว้ขึ้นมาอย่างแรงจากสองด้านขึ้นขวางในความสูงระดับน่อง รับเงาร่างที่วิ่งปรี่ออกจากปากประตูนั้น

    หากมองดูระยะใกล้จะเห็นได้ว่าบนเชือกสองเส้นนั้นมีสิ่งแหลมคมกระจายอยู่มากมาย ที่แท้เชือกทั้งเส้นล้วนสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ติดเต็มไปด้วยเศษกระเบื้องแตก พอพันขาศัตรูก็จะบาดเข้าเนื้อทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ่งยากที่จะดิ้นหนี

    ขณะท่อนล่างของเงาแดงใกล้จะถูกเกี่ยวพันแล้ว แต่ก่อนจะสัมผัส ขาของเงาพลันชักขึ้นจากพื้นหลายชุ่น ฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าหนังแพะทั้งสองเฉียดผ่านเชือกไปเล็กน้อย

    เงาแดงลอยอยู่กลางอากาศและพลันสาดประกายสีเงินสายหนึ่งออกมา

    หลี่ว์ถิงเหลียงที่ยืนประจันหน้าประตูห้องพลันเห็นว่ามีเงาสาดประกายมาถึงด้วยความเร็วสูงก็สำแดงวิชาพุ่งล้มที่ชำนาญที่สุดของสำนักตี้กงทั้งร่างหงายหลังอย่างฉับพลัน

    ทว่าอาวุธลับนี้มาอย่างกะทันหัน ผู้ออกอาวุธลงมือพร้อมอาศัยท่ากระโจนพุ่งไปข้างหน้า หลี่ว์ถิงเหลียงหลบหลีกไม่ทัน ใบหน้าซีกซ้ายโลหิตสาดกระเซ็น ใบหูข้างหนึ่งฉีกแยก

    เงาร่างสีแดงนั้นถีบลงพื้นสุดกำลังเพื่อเสริมแรงพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็พลันกรีดร้องออกมา กระบวนท่าหยุดลงทันที

    นักสู้ที่โอบล้อมอยู่รอบด้านพลันเห็นชัดว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีเยาว์วัย สวมอาภรณ์ย้อมสีแดงสด ชายเสื้อทุกจุดปักเป็นลวดลายพิเศษเฉพาะตัว เอวคอดพันกระชับห้อยกระบี่ยาวรูปแบบเรียบง่าย และยังมีมีดบินสามเล่มแถวหนึ่ง…ฝักหนังของมีดบินอันหนึ่งนั้นว่างเปล่า มือซ้ายถือเชือกยาวที่ม้วนเก็บเอาไว้ ครึ่งใบหน้าซีกล่างของนางปิดไว้ด้วยผ้าบางสีครามอ่อน เผยเพียงดวงตากลมโตจับจิตอันชุ่มชื้นออกมา ขณะนี้นางขมวดคิ้วโก่งแน่น ดวงตาเปล่งความเดือดดาลและความเจ็บปวด โกรธจนเครื่องประดับทองสำริดที่ห้อยอยู่ตรงติ่งหูซ้ายสั่นไหวไม่หยุด

    ที่แท้แม้นางหลบเชือกนั้นพ้นแล้ว แต่ขณะเท้าเหยียบพื้นยังคงเหยียบถูกหนามตะปูที่กระจายอยู่ด้านหน้า หนามแหลมตัวหนึ่งในนั้นแทงพื้นรองเท้าข้างซ้าย ท่าร่างวิชาตัวเบาพลันหยุดชะงักด้วยความเจ็บปวด

    “ชั่วช้า!” สตรีนางนั้นตวาดจากใต้ผ้าปิดหน้าและแกว่งมือซ้าย กระบี่ยาวตรงข้างเอวถูกชักออกจากฝักหนังแพะฟอก คมกระบี่ฉวัดเฉวียนแวบปรากฏซ้ายขวาและหน้าลำตัว

    คนสำนักตี้กงที่หมายฉวยโอกาสขณะนางบาดเจ็บเข้ามาล้อมโจมตีถูกกระบี่เร็วต่อเนื่องนี้ทำให้ตกใจ ต่างถอยกรูดไปทันที แต่กลับพบว่าที่แท้ทุกกระบี่ล้วนแต่ลวง หาได้บุกโจมตีอย่างแท้จริงไม่

    เพลงหัตถ์ชักกระบี่และกระบวนท่าลวงด้วยความว่องไวระดับนี้มิใช่อื่นใด เป็นเพลงผลัดลวงที่ได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริงจากต้นตำรับสำนักคงถงเมืองผิงเหลียงมณฑลกานซู่

    และนางก็คือสิงอิงศิษย์ที่เลี่ยนเฟยหง ‘อดีต’ เจ้าสำนักคงถงถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตนเอง กระบี่ลวงชุดนี้ของสิงอิงหาได้ใช้เพื่อทำร้ายศัตรู แต่เพียงบีบให้ศัตรูถอยไปเพื่อสร้างโอกาสหลุดออกจากวงล้อมตาข่าย ยามนี้คนสำนักตี้กงถอยร่นเล็กน้อย แต่สิงอิงกลับมิกล้าก้าวเดินส่งเดช เพราะมองเห็นไม่ชัดว่าบนพื้นแห่งใดยังมีหนามตะปูอันน่าชังนั้น และกลัวว่าหากวิ่งจะทำให้บาดแผลที่เท้าลึกยิ่งขึ้น…ใช้น้อยสู้มาก การเคลื่อนไหวและฝีเท้าคือสิ่งสำคัญที่สุด

    สิงอิงเล็งเห็นว่าด้านหน้ายังไม่ถูกห้อมล้อม มือซ้ายจึงแกว่งเชือกมัดนั้นออกอย่างฉับพลัน

    ปลายเชือกติดตะขอเหล็กสามเฟินขนาดเล็กรูปร่างดั่งสมอเรือซัดออกจากมือสิงอิง เดิมนี่คือกระบวนท่ากรงเล็บเหล็กสะบั้นใจในแปดมหาเลิศคงถง ใช้ชดเชยจุดอ่อนของแรงแขนสตรีที่ค่อนข้างเป็นรอง

    ตะขอเหล็กพุ่งข้ามผ่านกลุ่มคนทั้งสองข้าง ลอยตรงไปยังเรือนอู้เฮ่าที่อยู่ตรงข้าม ทะลุหน้าต่างกระดาษ เกี่ยวขอบหน้าต่างไม้เอาไว้

    สิงอิงสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก มือขวาที่ถือกระบี่ยื่นนิ้วมือออกมาจับเชือกประกบไว้กับด้ามกระบี่ จากนั้นพ่นลมหายใจลดแขนทั้งสองลงดึงอย่างแรง ในขณะเดียวกันรวบรวมพลังท่อนล่างไว้ที่ขาขวาซึ่งมิได้รับบาดเจ็บแล้วกระโดดขึ้น ร่างแปรเป็นเงาแดงอันรวดเร็วอีกครั้งลอยวาบข้ามเวหา

    มือดีอาวุธลับสำนักชางหลินโยนเชือกบินและก้อนหินใส่เงาแดงที่ลอยผ่าน แต่กระบวนท่าของสิงอิงฉับพลันและรวดเร็วยิ่งนัก อาวุธลับต่างโฉบผ่านด้านหลังนาง

    สิงอิงข้ามผ่านตาข่ายศัตรู ร่างลอยไปชนกับบานหน้าต่าง หนีเข้าในเรือนอู้เฮ่าอันปราศจากผู้คน

    พวกนักสู้ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีกระบวนท่าประหลาดเช่นนี้ ซ้ำยังอาศัยลักษณะพื้นที่ของโรงเตี๊ยมและบ้านเรือนหลบหนีวงล้อม คนสำนักตี้หงตระกูลหลี่ว์กลัวว่านางจะหนีไปลานด้านหลังทางหน้าต่างอีกด้านหนึ่งของเรือน จึงรีบวิ่งไล่ตามโจมตี

    ประกายสีเงินอีกสายหนึ่งพลันซัดออกมาจากเรือนอู้เฮ่า…มีดบินส่งวิญญาณสำนักคงถง

    แผ่นอกศิษย์สำนักตี้กงคนหนึ่งมีด้ามมีดปักคาและล้มทรุดลง

    คนสำนักตี้กงคนอื่นๆ ต่างครั่นคร้ามมีดบินอันร้ายกาจนี้ พากันกระโจนไปด้านหน้าเพื่อหมอบลง และถือโอกาสกลิ้งไปหลบอยู่ด้านหลังกำแพงดินใต้หน้าต่างเรือนอู้เฮ่า มิกล้ารีบพุ่งเข้าไป

    ตรงด้านหลัง หลี่ว์ถิงเหลียงที่ถูกมีดบินส่งวิญญาณ หันหน้ามองดูเสาไม้ด้านหลัง มีดบินรูปลักษณ์ดุร้ายเล่มนั้นยังคงปักหูครึ่งท่อนของมันเอาไว้ หลี่ว์ถิงเหลียงกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว หันหน้ามาจ้องหน้าต่างที่ทะลุเป็นโพรงของเรือนอู้เฮ่า ใบหน้าครึ่งซีกซ้ายของมันเปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตสด สีหน้าท่าทางประหนึ่งปีศาจร้าย

    …ขาของนางนี่บาดเจ็บแล้ว พวกเราห่างเพียงก้าวเดียว!

    หลี่ว์ถิงเหลียงคิดว่าขอเพียงสังหารคนในหกกระบี่บ้านแตกก็จะได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักเป็นชุมนุมนักสู้จงหย่ง สำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์ก็จะชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าในคราวเดียว หูข้างเดียวเล็กๆ นี้ไม่นับเป็นสำคัญ

    มันยื่นมือดึงโล่หวายในมือศิษย์ข้างกายมาแล้ววิ่งไปข้างหน้าไปพลางตะโกน “ซัดอีก!”

    มือดีสำนักชางหลินที่มาสมทบสิบเอ็ดคนนั้นคิดเช่นเดียวกับหลี่ว์ถิงเหลียง ตั้งใจช่วงชิงความชอบนี้อย่างสุดกำลัง พวกมันเข้าไปจากสองด้านซ้ายขวา ขว้างอาวุธลับหลากชนิดที่ล้วงออกมาจากในถุงเข้าไปในหน้าต่างนั้น

    มีอาวุธลับดุจฝนชุดนี้คุ้มกัน หลี่ว์ถิงเหลียงก็ยกโล่หวายและดาบเดี่ยววิ่งไปข้างหน้าสุดกำลังโดยไม่ต้องกังวลถึงมีดบินของฝ่ายตรงข้าม เมื่อถึงหน้าต่างนั้นก็กระโดดเหยียบแผ่นหลังของศิษย์สำนักตี้กงคนหนึ่งใต้หน้าต่าง ถีบตัวขึ้นคำรบสอง หดร่างกลางอากาศซ่อนอยู่หลังโล่หวายประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ยิงเข้าบ้าน

    …อย่างไรหลี่ว์ถิงเหลียงก็เป็นผู้นำของสำนัก วรยุทธ์และท่าร่างที่สืบทอดล้วนไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

    สิงอิงที่หลบเข้าในเรือนกำลังอาศัยการหายใจเฮือกนี้ กลั้นความเจ็บปวดถอนหนามตะปูที่ปักอยู่ใต้ฝ่าเท้าออกมา ทันใดนั้นก็เห็นอาวุธลับหลากชนิดลอยพุ่งมาจากนอกหน้าต่างดั่งตั๊กแตน กว่าจะซ่อนตัวหลบพ้นก็ไม่ง่ายไม่ง่าย ซ้ำยังได้ยินเสียงเท้าวิ่งอย่างรุนแรงดังขึ้นอีก นางยกกระบี่เงยหน้ามองดู เห็นเพียงเบื้องหน้ามีเงาดำ ลอยจู่โจมมาจากหน้าต่าง

    สิงอิงเตรียมยกกระบี่รับการโจมตีจองหลี่ว์ถิงเหลียงไว้แล้ว แต่จู่ๆ หน้าต่างกระดาษอีกฝั่งหนึ่งของห้องที่หันหาลานด้านนอกก็มีเงาร่างอีกสายหนึ่งพกพาประกายดาบคล้ายเกล็ดน้ำค้างทะลุลอยเข้ามาในห้องเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเร็วและรุนแรงกว่าหลี่ว์ถิงเหลียง

    สิงอิงกัดริมฝีปากอมชมพูใต้ผ้าคลุมหน้า

    ศิษย์คงถง ไม่ว่าจะประสบสถานการณ์อันตรายเพียงใดก็จะไม่ยอมรับชะตากรรมเป็นอันขาด

     

    ไต้ขุยกับคนสำนักมี่จงติดตามลูกศิษย์พรรคฉามาถึงตรอกถนนซีเฟิงจิ่งก็มองเห็นด้านหน้ามีคนรวมตัวอยู่ พวกมันรีบวิ่งไปผ่านคนของพรรคฉา

    เห็นเพียงนอกบ้านหลังหนึ่งล้อมไว้ด้วยคนสิบกว่ายี่สิบคน ล้วนเป็นนักสู้ที่มองชมความสนุกเพราะได้ยินข่าวและชนชาวยุทธภพในพื้นที่ ยอดประตูบ้านหลังนั้นแขวนไว้ด้วยป้าย ‘โรงเตี๊ยมซีเฟิง’ ไต้ขุยได้ยินเพียงเสียงตะโกนด้วยความประหลาดใจของผู้ชม

    เริ่มสู้แล้ว!

    ชั่วขณะนั้นในใจไต้ขุยหวนนึกถึงวันเวลาที่ร่วมทัศนาจรฝึกวิชากับพวกจิงเลี่ยทั้งห้าเมื่อปีที่แล้ว เยียนเหิงเปลี่ยนยาตรงแขนที่บาดเจ็บให้มันบนถนน การประดาบกับจิงเลี่ยในป่าใต้แสงอาทิตย์อัสดง ทุกครั้งไปกินข้าวที่ร้านอาหารล้วนต้องรอถงจิ้งสั่งอาหารอย่างจู้จี้จุกจิกด้วยความหิว สุรานั้นที่เคยดื่มขณะแยกกันที่เมืองฮั่นหยาง…

    ไต้ขุยก้าวยาวเข้าไป ชักดาบยาวตรงข้างเอวออกมา

    ไม่อีกแล้ว…วันนี้ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนนับร้อยก็ไม่สนใจแล้ว

    เจิงชิงเฟิงและคนสำนักมี่จงข้างกายมองเห็นไต้ขุยชักดาบก็เหลือบมองมา

    ไต้ขุยฉวยโอกาสขณะที่พวกมันยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น พุ่งเข้าไปในฝูงชนด้านนอกโรงเตี๊ยมก่อน

    การที่ศิษย์ภายในสำนักซินอี้แห่งอำเภอฉีเซี่ยนพกดาบตรงเข้าหามิใช่เรื่องล้อเล่น ผู้คนที่รวมอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมซีเฟิงรับรู้ถึงแรงกดดันได้จากไกลๆ จึงพากันแหวกออกอย่างตะลีตะลานเปิดเป็นทางสายหนึ่ง

    ไต้ขุยกำลังจะเข้าประตูไป หางตากลับเหลือบเห็นเงาร่างเงาหนึ่งเร็วกว่ามัน ปีนขึ้นกำแพงด้านนอกทางทิศใต้ของโรงเตี๊ยมอย่างคล่องแคล่ว

    ไต้ขุยมองดู เห็นผู้ที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้นคือบุรุษรูปร่างสูงยาว บนหลังพกกระบี่ หน้าตาดูเหมือนอายุไม่ถึงสามสิบปี พู่กระบี่ยาวที่ปลายด้ามกระบี่ด้านหลังมันยังคงแกว่งไกว

    บุรุษพกกระบี่ก้มศีรษะให้มัน สายตาประสานกับไต้ขุยแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกระโดดเข้าลานหลังโรงเตี๊ยม

    ไต้ขุยไม่ว่างสนใจว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตรหรือศัตรู มันยกดาบคาดเอวยาวสามฉื่อเก้าชุ่นขึ้นกระโดดเข้าในประตูหลักโรงเตี๊ยม

    เห็นเพียงลานหน้าและประตูหลักทางเข้าล้วนไม่มีเงาคน มิหนำซ้ำส่วนลึกกลับถ่ายทอดเสียงตวาดของการต่อสู้มา ไต้ขุยยิ่งพุ่งตรงเข้าไปโดยไร้ซึ่งความลังเล

    “เป็นผู้ใด!” พลันมีเสียงตะโกนถ่ายทอดถามมา ที่แท้มีศิษย์สำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์สองคนกำลังเฝ้าหน้าประตูด้านข้างของเฉลียงทางเดินไปสู่ห้อง พวกมันพลันเห็นชายฉกรรจ์เคราม้วนถือดาบยาวแวบวาบปรากฏตัวก็รีบใช้ดาบชี้พลางตะโกนถาม

    “อย่าขวางทาง!”

    ไต้ขุยกล่าวเตือนเสียงเย็นชาจากไรฟัน สองมือจับด้ามดาบยาวด้วยยกขึ้นแนบอก ร่างย่อลงเป็นท่าเท้าร่างวิหคอันมีชื่อของสำนักซินอี้ ฝ่าเท้ายังคงก้าวไปไม่หยุด

    คนสำนักตี้กงอีกคนหนึ่งที่มิได้เอ่ยคำ เดิมทีเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ยามนี้มันไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกดาบฟันไปยังไต้ขุยที่ใกล้เข้ามา

    ไต้ขุยพ่นลมหายใจกระตุ้นพลังแล้วก้าวเท้าฟันดาบขวางของดาบสามผสานซินอี้ออกไป ดาบยาวตวัดขึ้นไปด้านบนซ้าย กระแทกด้านข้างของดาบเดี่ยวของฝ่ายตรงข้ามที่ฟันลงมาอย่างรุนแรง

    ดาบนี้ของไต้ขุยผสมกับพลังทั่วทั้งร่าง และจดจ่อสมาธิในการฟันอย่างยิ่ง พอกระทบถูก ดาบเดี่ยวของศิษย์สำนักตี้กงผู้นั้นก็ลอยหลุดมือไปเสียบอยู่บนคานห้องโถงโรงเตี๊ยมดั่งลูกเกาทัณฑ์

    ปีที่ผ่านมานี้ไต้ขุยนำวิชาของสำนักผสมผสานกับเคล็ดลับอินหลิวแคว้นวอที่เรียนมาจากจิงเลี่ยและหู่หลิงหลัน และยังมีวิชาสำนักคงถงที่เลี่ยนเฟยหงสอนให้มันกลับไปศึกษาเจาะลึกอย่างหนักกับสหายร่วมสำนักกลุ่มหนึ่งในฐานมั่นอำเภอฉีเซี่ยน อานุภาพของดาบสามผสานซินอี้และจังหวะในการออกท่วงท่าล้วนก้าวหน้ากว่าขณะอยู่ซีอานอย่างมาก

    ศิษย์สำนักตี้กงที่เสียดาบผู้นั้นยังมิกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น ไต้ขุยก็ยกดาบแนบอกอีกครั้ง ซ้ำยังก้าวหนึ่งก้าวพุ่งไปหา ใช้ด้ามดาบออกไปกระแทกแผ่นอกมัน ศิษย์สำนักตี้กงผู้นั้นกระอักเลือดกระเด็นชนกันเป็นกองกับสหายร่วมสำนักด้านหลัง

    ไต้ขุยเดินผ่านคนทั้งสองออกจากประตู และเห็นนักสู้สามสิบกว่าคนรวมอยู่ระหว่างช่องหลังคาจากเฉลียงทางเดิน ซ้ำยังมองเห็นว่าบนพื้นนอกจากเชือก หนามตะปู และอาวุธลับที่หล่นเกลื่อนแล้ว ยังกระเซ็นรอยเลือดหลายรอยก็ยิ่งร้อนใจ

    มันกวาดมองไปแวบหนึ่ง หาได้มองเห็นร่องรอยของหู่หลิงหลันไม่ กลับสังเกตเห็นใบหน้าของกลุ่มคนล้วนหันหน้าไปยังบ้านหน้าต่างฝั่งตรงข้ามที่ทะลุ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่พวกมันตามล่าอยู่ด้านใน

    …ขณะนี้หลี่ว์ถิงเหลียงเจ้าสำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์เพิ่งกระโดดเข้าไปในบ้าน เหล่านักสู้ล้วนชมดูผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อจนไม่ทันสังเกตว่าไต้ขุยบุกเข้ามาแล้ว

    ไต้ขุยกำลังครุ่นคิดว่าจะพุ่งไปยังเรือนอู้เฮ่านั้นได้เช่นไร แต่กลับเห็นเงาร่างเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากหน้าต่างทะลุนั้น ผู้คนล้วนเปล่งเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกออกมา

    ผู้ที่หล่นออกมาจากนอกหน้าต่างเป็นหลี่ว์ถิงเหลียง มือขวามันสูญเสียดาบเดี่ยวไปแล้ว และหันมาป้องหัวไหล่ซ้ายที่เลือดไหลทะลัก ขอบโล่หวายในมือซ้ายมีรอยแตกรอยหนึ่ง…ศัตรูโค่นล้มโล่หวายในกระบวนเดียว ค่อยตรงเข้าแทงหัวไหล่มัน เห็นได้ถึงการฝึกฝนกำลังอันยาวนานของอีกฝ่าย

    ศิษย์สำนักตี้กงหลายคนพยุงเจ้าสำนักขึ้นมา คนที่เหลือต่างมองประตูอยู่อย่างตระหนกไม่คลาย แต่ด้านในหาได้มีวี่แววคนไม่

    “อา…” ยามนี้มือดีสำนักชางหลินคนหนึ่งร้องเสียงแผ่วเบา ยื่นมือชี้ไปบนศีรษะ บรรดานักสู้แหงนหน้าและต่างสะดุ้งโหยง

    ไต้ขุยมองเห็นทุกแห่งบนกระเบื้องหลังคาบ้านของโรงเตี๊ยมซีเฟิงมีเงาร่างยี่สิบสามสิบเงานั่งย่อและยืนหยัดอยู่อย่างไร้สุ้มเสียงดุจดั่งวิหคฝูงหนึ่งรวมตัว เป็นคนสำนักมี่จง ไต้ขุยรู้ดีว่าอีกหลายสิบคนต้องล้อมด้านนอกโรงเตี๊ยมไว้อย่างแน่นหนาเป็นแน่

    เจิงชิงเฟิงที่ยืนอยู่บนขอบชายคาช่องหลังคาก้มมองด้านล่างอย่างเย็นชา

    “เชิญออกมาเถอะ หนีไม่รอดแล้ว” คำพูดของมันแม้สุภาพ แต่น้ำเสียงกลับเหมือนสั่งการ

    “บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าอย่าเดินส่งเดช” ยามนี้ในห้องกลับถ่ายทอดเสียงกล่าวคำของบุรุษ แต่หาได้ตอบคำเจิงชิงเฟิงไม่

    ประตูห้องเปิดออกจากด้านใน

    อาวุธในมือคนสำนักมี่จงบนหลังคาล้วนระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์

    ไต้ขุยวางแผนต่อสู้ไว้แล้ว ฝ่ามือที่กุมด้ามดาบร้อนจนผุดเหงื่อ

    ผู้ที่เดินออกมาจากห้องก่อนเป็นบุรุษรูปร่างสูงที่ปรากฏกายตรงหัวกำแพงก่อนหน้า มันเสียบกระบี่พู่ยาวกลับคืนสู่ฝักด้านหลังแล้ว บุรุษผู้นี้รูปโฉมค่อนข้างหล่อเหลาซ้ำยังแฝงไว้ด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง ขณะก้าวออกมากลางดงอาวุธ กลับมีท่าทีเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างเห็นได้ชัด

    คนสำนักมี่จงล้วนสายตาเฉียบคมอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้มองเห็นบุรุษผู้นี้ปีนข้ามกำแพงนอกโรงเตี๊ยมก็รู้ว่าฝีมือไม่ธรรมดา

    ได้ยินว่าในหกกระบี่บ้านแตกมีมือกระบี่เยาว์วัยสำนักชิงเฉิง…หรือว่าเป็นมัน?

    ยามนี้มีอีกคนหนึ่งก็ออกมาจากในห้องเช่นกัน คนสำนักมี่จงมองเห็นเป็นนักสู้หญิง ทั้งสวมผ้าคลุมหน้า และชุดแดงปักลวดลายพิเศษเฉพาะตัว ดูน่าสงสัยยิ่งนัก มือดีสำนักมี่จงจำนวนมากต่างลอบหนีบเข็มบินอยู่ด้านหลังพร้อมซัดไปยังด้านล่างได้ทุกเมื่อ

    ไต้ขุยกลับลอบถอนหายใจ เพียงเพราะมองเห็นสตรีที่ถูกล้อมโจมตีผู้นั้นหาใช่หู่หลิงหลันหรือถงจิ้งไม่ มันมองดูนางอย่างละเอียดอีกครั้ง รู้สึกเพียงคุ้นตาเล็กน้อยคล้ายเคยพบเห็น ระหว่างที่นางเดินขาซ้ายกะเผลกออกมาจากห้อง เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บ ไต้ขุยอดมิได้ที่จะนึกโยงถึงซูเฉียวนางคณิกาชื่อดังที่ถูกเกี่ยวโยงในศึกซีอาน

    ใช่แล้ว…เป็นนาง!

    เมื่อนึกถึงซีอาน ไต้ขุยก็จำนักสู้หญิงผู้นี้ตรงหน้าได้ทันที เป็นศิษย์หญิงของเลี่ยนเฟยหงที่เคยพบในตอนนั้น

    ไต้ขุยกำลังจะเอ่ยปาก แต่บุรุษสะพายกระบี่ยาวผู้นั้นกลับกล่าวขึ้นก่อน

    “ข้าน้อยผางเทียนซุ่นสำนักกระบี่เซียงหลง” มันประสานหมัดให้รอบด้าน จากนั้นดึงแขนเสื้อของสิงอิงข้างกายเล็กน้อย “ข้ามาจากเซียงถานเพื่อตามศิษย์น้องที่ไม่เชื่อฟังผู้นี้กลับ!”

    “สำนักกระบี่เซียงหลง?” เจิงชิงเฟิงที่อยู่ด้านบนเพ่งพินิจ ยังคงคลางแคลงใจ

    ไต้ขุยเป็นคนเถรตรง ยังไม่ทันคิดให้เข้าใจว่าท่านนี้คือศิษย์หญิงของสำนักคงถงชัดๆ เหตุใดจึงเป็นคนของสำนักกระบี่เซียงหลง มันมองไปยังผางเทียนซุ่น กลับเห็นผางเทียนซุ่นเองก็มองมายังมันพลางส่งสายตาประหลาดมา ไต้ขุยถูกมองมาเช่นนี้จึงคิดได้ว่า เลี่ยนเฟยหงก็เป็นหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตก หากคนสำนักมี่จงรู้ว่าตรงหน้าคือศิษย์คงถง ต้องไม่ปล่อยไปโดยง่ายเป็นแน่! เหตุใดข้าโง่เพียงนี้

    “ศิษย์น้องหลินผู้นี้ของข้า หนึ่งเดือนก่อนประลองแพ้ข้าในที่ทำการจึงหนีออกมาอย่างขุ่นเคืองเพียงลำพัง เดือดร้อนข้าต้องเดินทางไกลมารับนาง และเดือดร้อนให้ต้องระดมคนจำนวนมากมาที่นี่เช่นกัน ศิษย์น้อง ยังไม่ขอโทษทุกคน?”

    ผางเทียนซุ่นยังดุนแขนเสื้อของสิงอิงอีก ขณะกล่าวก็ทำหน้าทะเล้น สิงอิงเหลือกตาให้มันแวบหนึ่ง นางนิสัยดื้อรั้น เพียงฝืนพยักหน้าเล็กน้อยให้เหล่านักสู้ที่โรงเตี๊ยม

    เจิงชิงเฟิงกลับยังคงไม่คลายสงสัยและชี้สิงอิง “ผ้าคลุมหน้านั้น…”

    สิงอิงดึงผ้าคลุมหน้าลงมา เผยใบหน้าพริ้มเพราอย่างยิ่ง แต่บริเวณคางด้านขวาใกล้ขากรรไกรกลับมีแผลเป็นเตะตารอยหนึ่ง ชวนให้รู้สึกน่าเสียดายใบหน้า

    เจิงชิงเฟิงเห็นแล้วก้มศีรษะทันที “ล่วงเกินแม่นางแล้ว”

    สิงอิงมิได้ตอบใดๆ เพียงแขวนปิ่นเล็กสองมุมของผ้าคลุมหน้ากลับไปบนเส้นผมอย่างเย็นชา ไต้ขุยสอดดาบคาดเอวคืนฝักไปพลางสังเกตผางเทียนซุ่นไปพลาง สำนักกระบี่เซียงหลงแม้อยู่ไกลถึงเจียงหนาน แต่มีชื่อเสียงไม่น้อย ไต้ขุยเองก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าพวกมันมีความเกี่ยวข้องอันใดกับหกกระบี่บ้านแตกจึงลงมือผดุงคุณธรรมเช่นนี้

    “เช่นนั้น…ศิษย์พี่ไต้ไยรีบร้อนบุกเข้ามาอีก”

    ไต้ขุยที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดพลันได้ยินคำพูดนี้ก็เงยหน้าขึ้นมา พบว่าเจิงชิงเฟิงและคนสำนักมี่จงจำนวนมากที่เอ่ยถาม ยามนี้จับจ้องมายังมันแล้ว ไต้ขุยหาได้วาทศิลป์เป็นเลิศ ไม่รู้ว่าควรหาข้อแก้ตัวเช่นไร

    “ศิษย์พี่ไต้ลำบากแล้ว” ผางเทียนซุ่นชิงกล่าวแทรก “ข้ากับศิษย์พี่ไต้เมื่อวานมีวาสนาพบหน้ากันที่เหลาสุราทางตะวันออกของเมืองเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ศิษย์พี่กลับคิดถึงความปลอดภัยของศิษย์น้องสำนักข้าเช่นนี้ เมื่อครู่พอมองเห็นข้าที่นอกโรงเตี๊ยม ศิษย์พี่ไต้ก็รู้ว่าที่นี่ต้องมีการเข้าใจผิด เห็นศิษย์น้องหลินของข้าเป็นหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกอมนุษย์กลุ่มนั้น ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นไม่ทันอธิบายก็บุกเข้ามาขัดขวาง”

    ผางเทียนซุ่นไม่รู้ชื่อและเบื้องลึกสำนักของไต้ขุยอย่างสิ้นเชิง เพียงฟังเจิงชิงเฟิงเรียกแซ่ของมันก็กล่าวส่งเดชตาม หากถูกซักถามละเอียดต้องเผยพิรุธออกมาเป็นแน่ มันยิ่งไม่มั่นใจว่าไต้ขุยคือสหายของหกกระบี่บ้านแตกจริงหรือไม่ หากจุดยืนของไต้ขุยหาได้เป็นเช่นที่มันคิด รีบแสดงออกว่าไม่รู้จักกัน เช่นนั้นก็อาจแย่อย่างมาก

    ทว่าผางเทียนซุ่นมั่นใจยิ่งนัก จากสายตาที่สบกันเพียงแวบกับไต้ขุยที่นอกประตูโรงเตี๊ยม

    …เปลวไฟกองนั้นในดวงตา หลอกคนมิได้

    “ศิษย์พี่…ผาง…” ไต้ขุยชำระลำคอ มันไม่ถนัดกล่าวเท็จ ในใจกำลังเร่งคิดว่าจะกล่าวอย่างไรดี “ประเสริฐเหลือเกิน ยังดีที่…ศิษย์น้องบาดเจ็บไม่หนัก เพียงแต่แผลที่ขานี้รักษาไม่ง่าย จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก…”

    มันฉุกคิดอย่างฉับไวและล้วงห่อกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าติดตัว เข้าไปยื่นให้สิงอิง “…ศิษย์น้อง นี่คือยารักษาฉุกเฉินที่สำนักซินอี้เราปรุงขึ้น ป้องกันรักษามิให้บาดแผลเป็นหนองและเกิดพิษ ประเดี๋ยวเจ้าหาที่ชำระล้างค่อยทา”

    ไต้ขุยอาศัยการส่งมอบยาเป็นข้ออ้างเพื่อกล่าวชื่อสำนักตนเองออกไปให้ผางเทียนซุ่นและสิงอิงรู้ จะได้หลีกเลี่ยงการเผยพิรุธออกมา

    คนสำนักตี้กงตระกูลหลี่ว์และสำนักชางหลินทุกแห่งของลานบ้านช่องหลังคา พลันได้ยินว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นผู้สืบทอดสำนักซินอี้หนึ่งในเก้าสำนักใหญ่ที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก็ล้วนตกอกตกใจ พวกมันเงยหน้ามองดูเหล่านักสู้ที่ยึดครองพื้นที่บนหลังคาอีกครั้ง คาดเดาว่าฝีมือต้องพอฟัดพอเหวี่ยงกันกับคนตรงหน้าเป็นแน่

    พวกมันมิกล้าส่งเสียงสักนิด เพียงพยุงหลี่ว์ถิงเหลียงขึ้นเงียบๆ ซ้ำยังหามคนสำนักตี้กงที่ถูกมีดบินส่งวิญญาณของสิงอิงสังหาร ถอยออกโรงเตี๊ยมไปด้วยสีหน้าสลดหดหู่ ในใจยังภาวนาให้พวกไต้ขุยอย่าได้คิดบัญชีกับพวกมัน

    ขณะนี้พวกมันจึงเข้าใจว่าจะปราบปรามหกกระบี่บ้านแตก ตนเองยังคงไม่มีคุณสมบัติพอ

    ไต้ขุยมองซากศพที่ถูกหามไปศพนั้นพลางทอดถอนใจ

    ราชสำนักโยนป้ายเหล็กแผ่นหนึ่งออกมาก็ทำให้ยุทธภพเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง…เกียรติภูมินักสู้ของพวกเราหายไปอยู่ที่ใดแล้ว

    ดวงตาสุกใสทั้งสองของสิงอิงจ้องคนสำนักตี้กงที่กำลังล่าถอยอย่างเดือดดาล นางถูกซุ่มโจมตีลอบทำร้าย โทสะย่อมไม่สลายโดยง่าย แต่ผางเทียนซุ่นส่ายหน้าให้นาง บอกเป็นนัยว่าอย่าได้ขยายความ

    สิงอิงมองดูชายฉกรรจ์ที่มาช่วยเหลือนางสองคนซ้ายขวา นางจำได้ว่าเคยมีวาสนาพบหน้ากับไต้ขุยที่ซีอาน แต่ไม่รู้จักผางเทียนซุ่นอย่างสิ้นเชิง นางยังมองคนสำนักมี่จงเหล่านั้นที่ยืนอยู่เต็มหลังคา ก็เข้าใจว่าขณะนี้อย่าได้มากความจะดีกว่า จึงรับห่อกระดาษของไต้ขุยมาอย่างเงียบๆ

    เจิงชิงเฟิงยังคงจ้องพวกมันสามคน ชายหญิงคู่นั้นที่เดินออกจากบ้านยังคงน่าสงสัย เพียงแต่สำนักซินอี้ของไต้ขุยมีท่วงท่าฝีเท้าและอาวุธจำเพาะที่หลอกลวงมิได้…เจิงชิงเฟิงมีสหายที่ฐานย่อยสำนักซินอี้หลายคนที่ซานซี จึงกระจ่างข้อนี้อย่างยิ่ง

    ในที่สุดมันก็โบกมือ สหายร่วมสำนักมี่จงข้างกายต่างหมุนตัวกระโดดกลับไปบนพื้นนอกโรงเตี๊ยมทีละคน

    “พี่ไต้ ทั้งสองท่าน…พวกข้ายังต้องไปรวมตัวกับสหายร่วมสำนัก ขอลาไปเพียงเท่านี้” เจิงชิงเฟิงประสานหมัดก่อนจากไป “ตราบใดที่หกกระบี่บ้านแตกอยู่บนโลก เป็นไปได้มากว่าพวกเราคงจะได้พบกันอีก ถึงเวลาพี่ไต้อย่าชิงตัดหน้าสำนักมี่จงเราเสียล่ะ”

    มันยิ้มน้อยๆ แล้วจึงตามสหายร่วมสำนักมี่จงก้าวอย่างไร้สุ้มเสียงหายลับไป โรงเตี๊ยมซีเฟิงที่สถานการณ์ตึงเครียดแต่เดิมเงียบสงบลงทันที

    คนทั้งสามบนระเบียงใต้ช่องรับแสงในช่องหลังคารออีกครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามจากไปแล้ว หัวใจที่ลอบระแวดระวังแต่เดิมจึงผ่อนคลายลง

    “มาเร็ว ห้ามเลือดเสียก่อน…” สิงอิงกล่าวไปยังผางเทียนซุ่นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด และรีบเปิดห่อกระดาษที่ไต้ขุยให้นางออก

    ยามนี้ไต้ขุยจึงสังเกตว่าแถบผ้าพันข้อมือซ้ายที่ผางเทียนซุ่นเก็บอยู่ข้างลำตัวของมีโลหิตสดซึมอยู่

    ที่แท้เมื่อครู่ขณะมันพุ่งทะลุเข้าหน้าต่างช่วยสิงอิงขับไล่หลี่ว์ถิงเหลียง สิงอิงกลับเข้าใจผิดเห็นมันเป็นศัตรู จึงออกกระบี่ใส่มัน ผางเทียนซุ่นถูกกระบี่พร้อมกับหลี่ว์ถิงเหลียง จึงทำได้เพียงใช้ฝ่ามือซ้ายตบคมกระบี่ของสิงอิงออกไปดื้อๆ เป็นเหตุให้ถูกปลายกระบี่บาดฝ่ามือ เพราะกลัวว่าคนสำนักมี่จงจะสงสัย ผางเทียนซุ่นจึงซุกซ่อนแผลกระบี่เอาไว้แสร้งเป็นทองไม่รู้ร้อน

    “อา…ไม่!” ไต้ขุยนึกขึ้นได้และยื่นมือออกพลางตะโกนขึ้น

    สิงอิงเปิดห่อกระดาษสองชั้นนั้นออกเผยให้เห็นด้านในที่เป็นเพียงแป้งทอดกินเหลือครึ่งแผ่น ไหนเลยจะมียาทา

    ผางเทียนซุ่นและสิงอิงล้วนตะลึงงัน ไต้ขุยเกาศีรษะอย่างเขินอาย

    คนทั้งสองมองหน้ากันแวบหนึ่ง อดมิได้ที่จะหัวเราะพร้อมกัน

     

    หลังคนทั้งสามช่วยกันพันปิดปากแผลเสร็จ ต่างกลับไปยังโรงเตี๊ยมพักแรมเพื่อนำม้ากลับคืน และนัดกันรอคอยที่ประตูตะวันตกของเมืองหยวนโจว

    “สหายสำนักอู๋จี๋แห่งเมืองหลินเจียงสอบถามได้ความว่าจอมยุทธ์น้อยเยียนกับสหายของเขาน่าจะไปทางตะวันตก” ผางเทียนซุ่นอธิบายว่ามันกับสำนักอู๋จี๋ได้รับบุญคุณจากเยียนเหิงเช่นไรขณะอยู่หลินเจียงให้ไต้ขุยและสิงอิงฟัง จากนั้นบอกข่าวสารที่รู้ให้ “เพราะเหตุนี้ข้ามาถึงหยวนโจว แต่ยังคงหาไม่พบ ไม่แน่ว่าพวกมันอาจข้ามมณฑลไปหูหนานแล้ว มิสู้สองท่านไปด้วยกันกับข้าเป็นเช่นไร อย่างไรข้าก็เป็นคนท้องถิ่น ยามคับขันยังติดต่อสหายร่วมสำนักให้ช่วยเหลือได้ ค่อนข้างสะดวก”

    ไต้ขุยและสิงอิงเดิมปราศจากความคิดเห็น จึงรับปาก

    คนทั้งสามออกจากประตูเมืองตะวันตกแล้วจึงขึ้นม้าก้าวเดินบนถนน ผางเทียนซุ่นและไต้ขุยมองเห็นม้าของสิงอิงแข็งแรงอย่างยิ่ง ท่าขี่ของนางยิ่งผ่อนคลาย มิได้รับผลกระทบจากแผลที่ขาแม้แต่น้อย สมกับเป็นจอมยุทธ์หญิงของสำนักคงถงแห่งกวนซี

    สองเดือนก่อนสำนักคงถงได้รับประกาศิตนักสู้หลวง สิงอิงจึงได้รู้ว่าเลี่ยนเฟยหงผู้เป็นอาจารย์กลับกลายเป็นนักโทษที่ราชสำนักประกาศราชโองการจับตาย จึงรีบออกจากผิงเหลียง เดินทางข้ามวันข้ามคืน ควบม้าเร็วบนระยะทางแสนไกลเร่งมาเจียงซีเพื่อตามหา

    ไต้ขุยฟังพลางอดมิได้ที่จะเลื่อมใส มองนักสู้หญิงท่วงท่าอาจหาญผู้นี้ แต่สิงอิงมองดูเส้นทางข้างหน้า พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “หึ อาจารย์เฒ่าเน่าผู้นั้น เพื่อที่จะรับนางหนูไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียวกลับทิ้งข้าและเหล่าศิษย์พี่น้องอย่างไม่สนใจไยดี หนีไปไม่เหลือบแล ครั้งนี้ข้ามาเพื่อที่จะดูว่าพรสวรรค์นางนี่สูงเพียงใด เรียนวิทยายุทธ์ลึกล้ำอันใดของสำนักคงถงเราบ้าง ข้าไม่ยอมรับ!”

    แม้ปากกล่าวเช่นนี้ แต่ดวงตาทั้งสองที่เผยออกมานอกผ้าคลุมของสิงอิงยากที่จะปกปิดความเป็นห่วง

    ผางเทียนซุ่นเคยเปิดหูเปิดตาพรสวรรค์ของถงจิ้ง เพียงแต่ยามนี้ไม่อยากยุแหย่อารมณ์ของสิงอิงจึงเพียงยิ้มน้อยๆ

    คนทั้งสามพูดคุยกันบนม้า ผางเทียนซุ่นยังเล่าว่าเยียนเหิงทำให้มันกับเหล่าผู้กล้ายอมรับได้เช่นไรในวันนั้น ไต้ขุยฟังพลางโลหิตเดือดพล่าน

    …ดูเหมือนวิชากระบี่ในหนึ่งปีมานี้ของศิษย์น้องเยียนก้าวหน้าขึ้นอย่างพรวดพราด

    สิงอิงและไต้ขุยยามนี้จึงเข้าใจว่าที่แท้หกกระบี่บ้านแตกล่วงเกินขุนนางชั่วราชสำนักเพื่อผดุงคุณธรรม ด้วยเหตุนี้จึงมีประกาศิตนักสู้หลวงนี้ประกาศราชโองการไล่สังหาร

    “จักรพรรดิสุนัขบัดซบผู้นั้น!” สิงอิงแกว่งแส้ม้ากลางอากาศ ด่าทออย่างไม่พอใจ “ยังมีสำนักน้อยใหญ่เหล่านี้อีก พวกมันล้วนลืมไปแล้วหรือ หากมิใช่อาจารย์ทั้งหลายต่อกรสำนักอู่ตังที่ซีอานในวันนั้น พวกมันวันนี้จะเป็นเช่นไร ทั้งหมดล้วนถูกสุนัขกัดกินสามัญสำนึก!”

    “กล่าวถึงสำนักอู่ตัง ข้ายังได้ยินมาเรื่องหนึ่ง…” ผางเทียนซุ่นกล่าว

    “เรื่องอันใด” ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับสำนักอู่ตังไต้ขุยมักเคร่งเครียดเป็นพิเศษ รีบถามทันที

    “สำนักยุทธภพแต่ละแห่งในแผ่นดินได้รับการแต่งตั้งเป็นชุมนุมนักสู้จงหย่งจากราชสำนัก ในนั้นนอกจากวัดเส้าหลินที่อ้างเหตุผลว่าเป็นแหล่งปฏิบัติธรรมห่างไกลทางโลกและส่งพระอาจารย์อาวุโสเข้าเมืองหลวงไปปฏิเสธแล้ว มีเพียงสำนักเดียวที่กล้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด” ผางเทียนซุ่นชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เป็นอู่ตัง”

    หลังไต้ขุยและสิงอิงได้ฟังก็ตะลึงงัน โดยเฉพาะไต้ขุยที่เคยต่อสู้กับสำนักอู่ตัง

    แม้เป็นศัตรู แต่ไต้ขุยมิอาจไม่เคารพนับถือสำนักอู่ตัง

    เหยาเหลียนโจว…เป็นบุรุษที่ไม่ธรรมดา

    “ในครั้งนี้…ดูเหมือนอันตรายกว่าขณะต่อต้านสำนักอู่ตังเสียอีก” สิงอิงกล่าวอย่างทุกข์ใจ “มีศัตรูเท่าใดก็ไม่รู้”

    ผางเทียนซุ่นคิดว่าแค่สำนักมี่จงสำนักเดียวก็เคลื่อนพลสามร้อยคนแล้ว ทุกแห่งยิ่งเต็มไปด้วยภยันตราย…หน้าตาผ่อนคลายยามปกติอดมิได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา

    “ข้าจำได้ว่ามีคนผู้หนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกชอบกล่าวประโยคหนึ่งบ่อยๆ…” ไต้ขุยฉีกยิ้ม “พวกพ้องที่แท้จริง ไม่ต้องมากเกิน”

    พวกมันสามคนมองหน้ากันแวบหนึ่ง ในดวงตาล้วนมีรอยยิ้ม

    “คนโง่เช่นนี้…” ผางเทียนซุ่นคืนสู่สีหน้าปกติ “อยากรู้จักมันให้เร็วขึ้นสักหน่อย”

    สิงอิงแผดเสียงอ่อนหวานตวัดแส้เร่งพาหนะวิ่งออกไปบนถนนก่อน ผางเทียนซุ่นและไต้ขุยรีบควบม้าตามติด

    สิบสองกีบเท้าม้า เหยียบจนเสียงดังผิดปกติบนถนนชานเมืองหลังยามบ่าย

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook