• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 11 บทที่ 3

    บทที่ 3

    เทพท่องเมฆาเร้น

     

    เลี่ยนเฟยหงขดตัวเข้าไปในถังไม้ ให้น้ำร้อนที่มีไอพวยพุ่งแช่ถึงลำคอ มันหลับตา รู้สึกว่าโลหิตและชีพจรทั่วร่างล้วนผ่อนคลาย

    อยู่ในสถานที่เช่นนี้ การได้แช่น้ำเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยสุดขีด

    เลี่ยนเฟยหงควบม้าเร่งเดินทางติดต่อกันสองวัน เร่งมาในระยะทางสามร้อยกว่าหลี่ สิ่งที่ทำก็เพื่อเวลานี้

    ชุดคลุมดำแดงและรองเท้าหนังฟอกที่เปื้อนเต็มไปด้วยดินเหลืองนั้นของมัน รวมถึงดาบโค้ง กระบี่ยาวและพัดเหล็ก ทั้งหมดกองอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องอันหรูหราแห่งนี้และยังคงเต็มไปด้วยความร้อนหลังตากแดดแรงกล้า

    เลี่ยนเฟยหงมิได้นอนหลับอยู่ แต่เข้าสู่ภาวะสงบสบายยิ่งกว่านอนหลับ หน้าตาของมันพึงพอใจและสงบเสงี่ยม ไม่เหมือนเพิ่งฆ่าคนเมื่อหลายวันก่อน

    …เพียงเพราะผู้ที่มันฆ่าคือคนที่มิได้ทำให้ตนเองรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

    ฝ่ามืออ่อนนุ่มที่มีนิ้วมือเรียวยาวข้างหนึ่งลูบบนปรางแก้มเกลี้ยงเกลาสีทองแดงอันแข็งแรงของมัน จากนั้นไล้ไปตามลำคอ ลูบไหล่และแขนอันอ่อนเยาว์และกระชับในน้ำที่มันแช่อยู่

    เลี่ยนเฟยหงแม้มิได้เปิดตา แต่ล่วงรู้ว่าฝ่ามือข้างนี้เข้ามาใกล้ตนเอง…เป็นศิษย์สาวกสืบมรรคาสำนักคงถงปัจจุบัน นี่คือความตื่นตัวขั้นต่ำที่สุด เพียงแต่มันมิได้ขัดขืนเท่านั้น

    เพียงเพราะมันเชื่อใจเจ้าของฝ่ามือข้างนี้อย่างยิ่ง

    เลี่ยนเฟยหงยกมือซ้ายขึ้นมาจับฝ่ามืองามข้างนั้น ใช้ปลายนิ้วลูบหลังมือนุ่มลื่นนั้นเบาๆ

    ‘แต่งกับข้า’ มันมิได้ลืมตาขึ้น แต่มุ่งมั่นรับรู้ความรู้สึกใกล้ชิดจากฝ่ามือนั้น ก่อนกล่าวเช่นนี้

    ‘อย่าฝัน’ สุ้มเสียงนี้อ่อนโยนเช่นเดียวกับปลายนิ้ว

    ‘ข้าคือเจ้าสำนักคงถงในอนาคต’ เลี่ยนเฟยหงยิ้มน้อยๆ ‘ข้าจะแต่งกับสตรีเช่นไรไม่มีผู้ใดบอกได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องสน’

    เลี่ยนเฟยหงซึ่งเพิ่งอายุยี่สิบเจ็ดปีก็มีความมั่นใจในตนเองเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นเพราะมันเข้าใจพรสวรรค์ของตนเอง…หลิงเอ๋าอีผู้เป็นอาจารย์ทำลายกฎถ่ายทอดกระบี่แขนทะลวง ดาบวงตะวัน และพัดใบไม้ดำในแปดมหาเลิศวิชาลับสูงสุดให้มันเมื่อหกปีก่อน ด้วยเพราะตลอดหกเจ็ดสิบปีที่ผ่านมาของสำนักคงถงไม่เคยมีบุคคลเช่นนี้

    แต่ยังมิเพียงเท่านี้ เลี่ยนเฟยหงรู้ว่าการที่ตนเองแข็งแกร่งกว่าสหายร่วมสำนักทั้งหมด เหตุผลที่แท้จริงคือความกระหายที่ยากจะเติมเต็มต่อการฝึกฝนและประลอง

    ‘ที่ข้าบอกมิใช่เรื่องคู่ควรกับเจ้าหรือไม่’ เสียงสตรีนั้นกล่าว ‘ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นคิดอย่างไรโดยสิ้นเชิง ที่ข้าหมายถึงคือเจ้า’

    ปลายนิ้วที่เลี่ยนเฟยหงลูบไล้นางหยุดลง

    ‘ข้ารู้ว่าเจ้าต้องจากข้าไป’ นางกล่าวอีก

    ‘เหตุใดกล่าวคำเช่นนี้…’

    ‘ยกมือขวาขึ้นมา’

    เลี่ยนเฟยหงได้ยินคำพูดนี้ของนาง สีหน้าก็พลันแข็งทื่ออยู่บ้าง แต่มันไม่เคยปิดบังเรื่องใดกับนาง จึงยกมือขวาขึ้นมาจากในน้ำร้อนช้าๆ

    ฝ่ามือนั้นจับดาบสั้นเล่มหนึ่งอยู่

    ‘เจ้าดู’ น้ำเสียงของนางมิได้ตำหนิ แต่กลับแฝงด้วยรอยยิ้ม ‘ถึงแม้ในเวลาเช่นนี้เจ้ายังคงวางดาบมิลง พวกเราล้วนกระจ่างยิ่งนักว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชาตินี้ของเจ้าคืออะไร นั่นมิใช่ข้าอย่างแน่นอน และมิใช่ผู้อื่น’

    เลี่ยนเฟยหงเศร้าสลดในใจ จนในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา

    นางอยู่เบื้องหน้าตนเองแท้ๆ แต่มันรู้สึกว่าตนเองมองไม่เห็นใบหน้าของนาง

     

    …นานเท่าใดแล้วนะที่มิได้ฝันถึงอดีต?

    เลี่ยนเฟยหงตื่นขึ้นมาในอุโบสถอันมืดมิดและถามเช่นนี้เป็นอันดับแรก

    …แล้วไปแล้ว ไม่…ไม่เคยเลย

    ถึงแม้เป็นยามตื่น เลี่ยนเฟยหงก็คิดถึงเรื่องในวัยเยาว์น้อยมาก แต่ตอนนี้กลับฝันเช่นนี้

    …นี่หมายความว่าข้าแก่แล้วจริงๆ หรือ

    มันเลิกผ้าห่มเนื้อหยาบที่ปิดอยู่บนร่างออก ดังเช่นปกติ ขณะมันนอนหลับยังคงกอดกระบี่เอาไว้…เหมือนเช่นในฝันที่มันถือดาบเอาไว้แม้จะแช่อยู่ในน้ำ

    เลี่ยนเฟยหงใช้ฝักกระบี่ยันร่างขึ้นนั่ง หัวใจกลับหวนคิดถึงความฝันเมื่อครู่อย่างมิอาจควบคุม ความฝันนั้นทั้งหมดล้วนเป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นจริง…มันยังมิได้แก่ชราจนหลงลืม

    แต่เป็นเพราะเรื่องจริง เลี่ยนเฟยหงจึงรู้สึกแปลกประหลาด แต่ไรมามันจะไม่ย้ำคิดเรื่องที่ตนเองเคยทำ(อาจนอกจากเรื่องใฝ่หาวิชายุทธ์กระมัง) ความฝันนี้กลับเตือนมันอย่างชัดเจนว่าเพื่อกระบี่ ตนเองเคยผิดพลาดและละทิ้งอะไรบ้าง

    มันจำได้ว่าตนเองเคยชอบพอสตรีนางหนึ่งอย่างแท้จริง ‘แต่งกับข้า’ ประโยคนั้น ขณะกล่าวก็ออกมาจากความสัตย์จริงอย่างสิ้นเชิง

    แต่ตอนนี้แม้แต่ใบหน้าของนาง ข้าก็ลืมไปแล้ว

    จากนั้น หลายสิบปีก็ผ่านไปเช่นนี้

    มันมองดูนอกอุโบสถ สีนภายังคงมืดมนถ้วนทั่ว คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงจันทร์ผ่านเข้ามาจากรูกระเบื้องทะลุของหลังคาอุโบสถ เลี่ยนเฟยหงอาศัยแสงอ่อนๆ จำแนกวัตถุ มองเห็นแต่ละคนในอุโบสถยังคงหลับสนิท เห็นมีเพียงที่นอนของจิงเลี่ยผู้เดียวที่ว่างเปล่า ก็รู้ว่าตอนนี้คงจะเป็นยามสี่* แล้ว

    เลี่ยนเฟยหงแม้รู้สึกอ่อนเพลีย ขณะนี้ก็ยังไม่ถึงตามันเข้าเวร แต่ด้วยการรบกวนของฝันประหลาดจึงไม่อยากนอนอีกแล้ว มันพยายามไม่ส่งเสียงดัง ลุกขึ้นยืนเงียบๆ สวมรองเท้า และห้อยอาวุธแต่ละชิ้นบนร่าง

    ทุกครั้งขณะผูกดาบกระบี่และโซ่เหล็กไว้บนร่าง เลี่ยนเฟยหงมักยืนตรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หน้าอกผึ่งผายจนดูคล้ายตัวสูงกว่าเดิม ในทัศนะของมันราวกับหาใช่ร่างกายของตนเองแบกน้ำหนักของอาวุธเหล่านี้ขึ้น แต่เป็นโครงดุจดั่งสร้างจากเหล็กกล้าของอาวุธค้ำยันร่างกายที่แก่ชราลงทุกวันของมัน

    สิ่งที่หนุนค้ำมันความจริงมิใช่กระบี่ แต่เป็นความรู้สึกเป็นเกียรติขณะพกกระบี่

    ขณะเลี่ยนเฟยหงหยิบโซ่ของกรงเล็บเหล็กพันบนร่าง มองไปยังถงจิ้งที่หลับลึกอยู่ เห็นท่านอนดุจดั่งทารกนั้นของนาง มันอดมิได้ที่จะแย้มยิ้ม

    มองเห็นนางหนูผู้นี้เติบโตอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของเลี่ยนเฟยหงแล้ว ถึงขั้นมากไปกว่าการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง

    สิ่งที่ให้เลี่ยนเฟยหงดีใจยิ่งกว่าคือถงจิ้งขอคำแนะนำวิชามีดบินจากมันเมื่อครึ่งปีก่อน มันรีบนำเคล็ดลับของคมบินส่งวิญญาณถ่ายทอดให้อย่างหมดเปลือก ซ้ำยังช่วยนางแก้ไขมีดบินเป็นกระบี่บินคมคู่ที่เบาหวิวและถูกเป้าหมายได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม เพื่อสอดคล้องกับสรีระและความถนัดของนาง นั่นคือวรยุทธ์ของสำนักคงถงที่ถงจิ้งเป็นฝ่ายขอเรียนกับมันครั้งแรก

    …ช้าเร็วเจ้าต้องเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’!

    เลี่ยนเฟยหงแย้มยิ้มอยู่คนเดียวและหยิบด้ามแส้ยาวสี่ฉื่อขึ้นมา เดินย่องออกประตูหน้าของอุโบสถ

    มันเพิ่งออกนอกประตูก็มองเห็นเงาร่างเงาหนึ่งยืนประจันหน้า…เป็นจิงเลี่ย

    ภายใต้แสงจันทร์ เห็นได้ว่าไหล่ซ้ายและเข่าขวาที่บาดเจ็บของจิงเลี่ยยังคงมัดแน่นด้วยเกราะที่สร้างจากแผ่นทองสำริดและหนังฟอกทาสีดำ…เป็นเกราะศึกสีดำที่สวมใส่ขณะบุกโจมตีวัดชิงเหลียนแห่งหลูหลิงเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังออกจากหลูหลิงมันยังคงพกเกราะชุดนี้เอาไว้ตลอดเพื่อเตรียมมัดจุดที่บาดเจ็บลงเผื่อสนามยามจำเป็น

    จิงเลี่ยหาได้ถือดาบในมือ แต่จับหัวทวนเหล็กเอ๋อเหมยของซุนอู๋เยวี่ยเอาไว้ โซ่เหล็กครึ่งหนึ่งพันหน้าแขนอยู่ ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างลำตัว

    “ข้ามาเข้าเวร” สองมือซ้ายขวาของเลี่ยนเฟยหงจับด้ามดาบและกระบี่ตรงข้างเอว ยิ้มพลางเดินเข้าไปหา

    “ยังไม่ถึงยามห้าเลย” จิงเลี่ยตอบเสียงแผ่วเบา “ไม่นอนต่ออีกครู่หนึ่งหรือ”

    “คนแก่นอนมากมิได้หรอก” เลี่ยนเฟยหงกล่าวพลางนั่งเคียงไหล่กับจิงเลี่ยบนซากกำแพงที่พังทลายหน้าอุโบสถ

    แม้ว่าเมื่อตอนบ่ายจะสังหารผู้สะกดรอยจากตามจากพรรคอิงหยางไปแล้ว แต่พวกมันยังคงมิกล้าคลายความระมัดระวังอย่างสิ้นเชิง จึงหมุนเวียนกันเฝ้าดูยามค่ำคืนสืบต่อ…สองเดือนมานี้พวกมันล้วนใช้ชีวิตเช่นนี้ ตอนนี้ในคนทั้งห้า แรงกายของหยวนซิ่งดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ยามสามที่ลำบากที่สุดจึงให้มันรับหน้าที่เฝ้าดู รองมาเป็นเยียนเหิงและจิงเลี่ย แบ่งกันเฝ้าช่วงเวลายามสองและยามสี่ ถงจิ้งและเลี่ยนเฟยหงรับหน้าที่เฝ้ายามหนึ่งและยามห้าหัวท้ายก็จะสบายที่สุด เพราะไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

    “แก่?” จิงเลี่ยปล่อยหัวเราะ “ได้ยินท่านสารภาพเช่นนี้น้อยมาก”

    เลี่ยนเฟยหงบิดขี้เกียจ ซ้ำยังทุบหัวไหล่ แย้มยิ้มไม่ตอบคำ มันก้มศีรษะมองดูหัวทวนโซ่เหล็กในมือจิงเลี่ย นึกถึงว่าพักนี้จิงเลี่ยคิดหนักถึงกระบวนท่าใหม่และค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นทีละก้าวจากการบาดเจ็บเช่นไรก็รู้สึกพอใจอย่างมาก

    จิงเลี่ยถือหัวทวนเหล็กดำพลางใช้นิ้วมือลูบไล้อักษรโบราณ ‘เอ๋อเหมย’ ที่สลักอยู่ด้านบน หากมิใช่เพราะซุนอู๋เยวี่ยธงหนึ่งจั้งเสียสละอย่างกล้าหาญในศึกเฉิงตู เป็นไปได้มากว่าวันนี้มันคงเป็นเช่นเดียวกับเลี่ยนเฟยหง ฝึกฝนวิทยายุทธ์และต่อต้านศัตรูแข็งแกร่งด้วยกันกับทุกคน จิงเลี่ยอดมิได้ที่จะทอดถอนใจ

    “ท่านผู้เฒ่าเลี่ยน…เดิมทีท่านเพียงอยากรับศิษย์ แต่กลับต้องมาตกต่ำอยู่ในทุ่งนาป่าเขาในวันนี้ รู้สึกเสียใจหรือไม่”

    “เสียใจ? ข้ากลับต้องขอบคุณพวกเจ้า”

    จิงเลี่ยเดิมทีเพียงพูดเล่น กลับได้ยินเลี่ยนเฟยหงตอบอย่างจริงจังก็รู้สึกผิดคาดอย่างเลี่ยงมิได้

    เลี่ยนเฟยหงลูบไล้หน้าแขนขวา แผลยาวที่ถูกกระบี่ก่อลักษณ์อู่ตังของจอมเวทปัวหลงบาดใต้แขนเสื้อนั้นใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ จึงหายเป็นปกติ แม้เคลื่อนไหวไม่เป็นอุปสรรคอย่างสิ้นเชิง แต่บางคราวยังคงรู้สึกเจ็บแปลบๆ

    “หากมิใช่อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า หนึ่งปีนี้ข้าคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างสุดยอดเพียงนี้” เลี่ยนเฟยหงกล่าว “ช่วงเวลาที่ข้าต่อสู้อย่างสะใจได้เช่นนี้ ไม่รู้ยังมีอีกกี่ปี”

    จิงเลี่ยมองดูมัน ไม่รู้ควรกล่าวอันใดบ้าง หากว่าจิงเจ้าบิดาบุญธรรมมิได้บอกปีผิด วันนี้จิงเลี่ยยังมีอายุเพียงยี่สิบเจ็ดปี…แม้ประสบการณ์โชกโชนชวนให้เข้าใจอายุของมันผิด…แต่จนถึงบัดนี้มันยังมิเคยครุ่นคิดเรื่องสักวันตนเองต้องแก่ตัวลง หลังใช้สำนักอู่ตังอันยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายท้าประลอง มันก็เตรียมพร้อมตายจากไปทุกเมื่อ ไม่ว่างไปคิดถึงวันเวลาหลายสิบปีหลัง ขณะนี้ได้ยินเลี่ยนเฟยหงกล่าวเช่นนี้มันจึงคิดปัญหาข้อนี้อย่างเข้าอกเข้าใจ

    …หากมีอายุยืนและยังคงเหมือนมันในตอนนี้ได้ ก็ไม่น่าเสียใจแล้ว

    จิงเลี่ยปลงตกเช่นนี้อย่างลึกซึ้ง

    “อย่าฟังข้าบ่นพร่ำเพรื่อจะดีกว่า รีบไปนอนเถอะ” มันแกว่งแส้พลองสี่ฉื่อในมือเล็กน้อยเบาๆ “อย่ามัวเสียสุขภาพจิตเลย”

    เลี่ยนเฟยหงกล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง พวกมันเข้าสู่การต่อสู้ยาวนานเช่นนี้ สิ่งที่ต้องทะนุถนอมที่สุดก็คือจิตใจและแรงกาย จัดสรรเวลาเฝ้ายามเฉลี่ยเช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในนั้น คนทั้งสองนั่งพูดคุยจนเสียเวลาเกินไปแล้ว…หากมีคืนใดคืนหนึ่งนอนน้อย ผลกระทบที่ก่อขึ้นจะสะสมต่อเนื่องไปทุกคืน

    แม้จิงเลี่ยรู้สึกว่าคืนนี้เลี่ยนเฟยหงดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็จำต้องลุกขึ้นมา เดินขากะเผลกกลับเข้าอุโบสถไป ก่อนจากลามันยังคิดว่าควรบอกความคิดในใจเมื่อครู่แก่เลี่ยนเฟยหงหรือไม่ แต่มันรู้ว่าชายชราจองหองผู้นี้ไม่ชมชอบปลอบใจผู้อื่น จึงมิได้กล่าว

    เลี่ยนเฟยหงนั่งอยู่เพียงลำพัง พงพนากลางดึกส่งลมเย็นมาเป็นระยะ พัดความร้อนอบอ้าวยามกลางวัน ทำให้จิตใจที่กระแสความคิดถาโถมแต่เดิมสงบลง

    แม้ภายนอกเลี่ยนเฟยหงดูเหมือนเพียงนั่งนิ่งๆ อย่างผ่อนคลาย แต่ความจริงอวัยวะในร่างกายล้วนทำงาน ดวงตาอาศัยแสงจันทร์กวาดมองรอบด้านของป่า หูเงี่ยฟังสุ้มเสียงที่เบาที่สุดของทุกสรรพสิ่ง จมูกดมว่ามีกลิ่นที่นอกเหนือไปจากต้นไม้ใบหญ้าหรือไม่ ผิวหนังรับรู้ว่าในลมคิมหันต์มีการเคลื่อนย้ายประหลาดหรือไม่…ต้องสนองตอบต่อวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นกะทันหันรอบด้านอย่างมุ่งมั่นเช่นนี้เป็นเวลานาน อีกทั้งอยู่ในความมืดมนอนธการไร้ผู้คนที่ง่ายต่อการนอนหลับเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะกระทำได้ แต่สำหรับนักสู้ที่แสวงหาความสุดยอดแล้ว กลับเป็นเพียงการฝึกฝนทั่วไป

    แต่ไม่ว่านักสู้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็มีเวลาที่สูญเสียพลังเกินไปและฝึกฝนต่อไม่ไหวเช่นกัน หกกระบี่บ้านแตกกำลังอยู่ในสภาวการณ์เช่นนี้ เลี่ยนเฟยหงต้องใช้ความมุ่งมั่นมากกว่ายามปกติหนึ่งเท่า จึงรักษาภาวะระแวดระวังนี้ได้ มันลอบกัดฟัน มิให้ตนเองผ่อนคลายและนอนหลับ

    ข้าจะไม่ยอมพ่ายให้อนุชนเหล่านี้หรอก…

    ในยามห้า ขณะที่สีนภาจวนจะสว่าง เป็นเวลาที่จิตใจของคนอ่อนแอที่สุด

    ดวงตาเลี่ยนเฟยหงพลันจ้องเขม็ง รอยย่นรอบเบ้าตาลึกจนเหมือนปริออกมา

    รูขุมขนบนร่างกายภายใต้อาภรณ์ของมันเปิดกว้าง เข้าสู่ภาวะไวต่อความรู้สึกในชั่วขณะ

    เพียงเพราะในป่าดำมืดที่อยู่ไกลโพ้นทิศใต้ปรากฏแสงรำไรดวงหนึ่งออกมา

    คนปกติอยู่ท่ามกลางความมืดมนอนธการเช่นนี้ ต้องสงสัยว่านั่นคือความเข้าใจผิดของตนเองเป็นแน่ แต่เลี่ยนเฟยหงมิใช่

    เลี่ยนเฟยหงสมญาเฟิงซวนหนีที่ไล่จับและสังหารโจรปล้นม้าอุกฉกรรจ์นับร้อยที่ทุ่งกว้างมณฑลกานซู่ ถึงแม้อายุปูนนี้แล้ว แต่ยังคงมีความมั่นใจในตนเองต่อสายตาและประสาทสัมผัสของตนเองเต็มเปี่ยม

    แม้เป็นเพียงวิหคโฉบผ่านแวบเดียวเลี่ยนเฟยหงก็ชี้ขาดได้ แสงจางๆ ที่วูบดับไปนั้นไม่ปกติอย่างแน่นอน

    เป็นโลหะสะท้อนแสงจันทร์…อาวุธ

    เลี่ยนเฟยหงไม่อยากตื่นตระหนกต่อผู้มารุกรานที่อยู่ตรงข้าม จึงยังคงนั่งอยู่บนก้อนอิฐ แต่ความจริงลอบเคลื่อนจุดศูนย์ถ่วงสู่ขาทั้งสอง ให้พุ่งกระโจนออกไปได้ทุกชั่วขณะ

    มันจ้องเขม็งความมืดมิดผืนนั้นไม่ปล่อย

    ดังคาด แสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    ครั้งนี้ยังมองเห็นเงาคนวูบไหว

    สะโพกของเลี่ยนเฟยหงยกออกจากซากกำแพงแล้ว

    แต่ในชั่วขณะที่มันกำลังจะแผลงฤทธิ์ ไอสังหารเสมือนเข็มแหลมอีกกลุ่มหนึ่งพลันจู่โจมมาหามัน

    จากด้านหลัง…อีกทั้งใกล้ชิดอย่างยิ่ง

    เป็น…ไป…ไม่ได้!

    ดวงตาเลี่ยนเฟยหงเต็มไปด้วยโลหิต ผมเผ้าหนวดเคราตั้งชี้

    บนโลกมีผู้ที่ลอบมาด้านหลังข้าอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ได้?

    ในใจแม้เต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เชื่อ แต่สิ่งนี้มิได้กระทบต่อการตอบสนองที่เลี่ยนเฟยหงกระทำออกมา

    …ความแตกต่างระหว่าง ‘มือดี’ กับ ‘ยอดฝีมือ’ อยู่ตรงนี้เอง

    มันชี้ขาดว่าตนเองไม่มีเวลาเพียงพอให้หมุนตัว จึงนำแส้พลองสี่ฉื่อในมือปักระหว่างส่วนโคนของซากกำแพงและพื้นดินใต้ขา ใช้มันค้ำยันออกแรง แรงยันนั้นกอปรกับสองขาถีบพื้น ร่างกายกระโจนไปข้างหน้าด้วยพลังที่รวดเร็วกว่าที่เตรียมไว้แต่เดิม

    เลี่ยนเฟยหงค้อมตัวก้มศีรษะกลางอากาศ

    ความรู้สึกแสบร้อนวาบมาสู่ไหล่ขวา

    กระแสลมเฉียบคมที่ลอยหมุนซัดมาจากด้านหลัง มองไม่เห็นเงาลักษณะในความมืดมิด เฉียดข้างไหล่ของเลี่ยนเฟยหงออกเป็นหยดเลือด โฉบผ่านบนท้ายทอยมันไปไม่กี่ชุ่น ลอยทะลุผ่านผมขาวที่ปลิวสะบัด

    เลี่ยนเฟยหงปล่อยแส้พลอง อาศัยท่าค้อมตัวลอยไปข้างหน้านี้ตีลังกากลางอากาศ พร้อมใช้ฝ่ามือขวาชักมีดบินผ้าแดงออกมาจากด้านหลังอย่างฉับไว

    มันม้วนตัวอยู่กลางเวหา ศีรษะชี้พื้น สะบัดแขนอย่างรุนแรง คมบินส่งวิญญาณถูกขว้างออกไปข้างหลังจากหว่างขา

    มีดนี้ของเลี่ยนเฟยหง ทั้งหมดอาศัยความรู้สึกและตำแหน่งที่ฝ่ายตรงข้ามซัดอาวุธมาเมื่อครู่ คาดคำนวณที่อยู่ของศัตรู

    มีดบินหมุนพุ่งออกไป พุ่งไปยังเงาร่างสีดำที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังอย่างแม่นยำมิผิดพลาด

    แต่ก่อนจะเข้าเป้า เงาร่างนั้นราวกับลอยเคลื่อนเล็กน้อย มีดบินผ่านทะลุเงาดำไปด้านหลังสืบต่อ มิได้ร่วงหล่น ราวกับขว้างถูกวิญญาณซึ่งไร้รูปร่าง

    เลี่ยนเฟยหงรู้ดีว่านี่ย่อมมิใช่ผี…มันโลดแล่นในกวนจงหลายปี ผ่านค่ำคืนในป่าร้างที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมาเพียงลำพังไม่รู้เท่าใด แต่ไรมาไม่เคยเห็นว่ามีภูตผี

    ตรงหน้าคือคน…คนที่รู้จักใช้ท่าร่างและเพลงเท้าพิสดารหลบมีดบินผู้หนึ่ง

    เลี่ยนเฟยหงใช้ท่าประหลาดนี้ปล่อยคมบินส่งวิญญาณออกมายามฉุกเฉิน เนื่องเพราะไร้การประสานของเอวและเพลงเท้า ซ้ำยังซัดกลับไปด้านหลังสวนทางท่าลอยกระโจน ทำให้พลังและความเร็วล้วนอ่อนด้อย เดิมทีมันมิได้มุ่งมาดว่าจะโจมตีถูก แต่คิดใช้มีดบินขัดขวางมิให้ศัตรูบุกโจมตีเข้ามาใกล้ ทว่าขณะมันหมุนกลับและมองเห็นว่าท่าร่างที่ศัตรูหลบเลี่ยงผ่อนคลายว่องไวกว่าที่มันจินตนาการไว้เสียอีก จึงตกใจอย่างเลี่ยงมิได้

    มันตีลังกาไปข้างหน้าสืบต่อ ใช้แผ่นหลังด้านซ้ายที่มิบาดเจ็บแตะสัมผัสพื้น ถือโอกาสกลิ้งไปด้านหน้าหนึ่งตลบ พยายามยืดระยะห่างกับศัตรูที่อยู่ด้านหลัง

    หลังหมุนกลิ้ง มันใช้ฝ่ามือซ้ายที่สวมสนับมือตบพื้นกดผลัก ใช้เท้าซ้ายเป็นแกนหมุนตัว คุกเข่าอยู่ระหว่างหญ้าสูง จ้องคนชุดดำที่จู่โจมมาผู้นั้นอย่างสุดชีวิต

    ตอนนี้ไม่ว่างมาสนใจศัตรูอีกคนหนึ่งที่ใช้ประกายคมเบี่ยงเบนความสนใจของมันผู้นั้นในป่าทางทิศใต้…เพียงรับมือกับคนผู้นี้ตรงหน้าก็ต้องจดจ่อด้วยสมาธิทั้งหมดแล้ว

    หลังเงาดำหลบผ่านคมบินส่งวิญญาณก็มิได้หยุดชะงักสักนิด มันก้าวย่างสืบต่อ พริบตาอยู่ในระยะห่างจากเลี่ยนเฟยหงเพียงเจ็ดแปดก้าว ยังคงรักษาจังหวะและความได้เปรียบในการลอบโจมตีเอาไว้

    เลี่ยนเฟยหงกระโดดขวางหลบไปทางซ้าย ในขณะเดียวกันยังพลิกมือขว้างคมบินส่งวิญญาณอีกเล่มหนึ่งออกไปอีก

    ระยะห่างประมาณเจ็ดเก้านี้ เป็นระยะสังหารที่ดีที่สุดของอาวุธลับมีดบิน คมบินส่งวิญญาณเพียงหมุนกลับครึ่งรอบ ปลายมีดก็บรรลุถึงลิ้นปี่ของศัตรูชุดดำแล้ว

    แต่เงาดำนั้นกลับวูบไหวอีก มีดบินที่ปล่อยออกด้วยระยะห่างที่ใกล้กว่าเดิมเล่มที่สองนี้เฉียดผ่านข้างเอวของเงาดำไป

    บนร่างคนผู้นี้ช่างเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มกายโดยแท้ อาวุธใดๆ ที่ซัดมาล้วนถูกกำแพงพลังไร้รูปขจัดไป

    คนเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจฆ่าตายได้

    เลี่ยนเฟยหงพลันหวนนึกขึ้นมาว่าในอดีตเคยประสบพบเจอทักษะพิสดารเช่นนี้

    …ท่าเท้าลวงหลงเยียนชิงของสำนักมี่จง

    มันอาศัยแสงจันทร์มองดูแขนขาเรียวยาวและท่วงท่ารูปพรรณของคนชุดดำผู้นั้นอีกครั้ง ความทรงจำพลันผุดพุ่งขึ้นมา เลี่ยนเฟยหงไม่มีข้อสงสัยต่อสถานะของศัตรูผู้นี้ตรงหน้าอีกต่อไป

    เพียงเพราะนี่มิใช่ครั้งแรกที่พวกมันพบหน้า

    …เป็นมัน! มิน่าจึงลอบโจมตีข้าได้!

    เหลยจิ่วตี้สมญาเทพท่องเมฆาเร้นนั่นเอง

    เหลยจิ่วตี้ที่ปิดหน้าโพกศีรษะเผยเพียงดวงตาทั้งสอง ความจริงทั้งร่างล้วนซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าสีดำ ทุกท่าทางล้วนยากที่จะสังเกตเห็น มันยกเท้ารุกไล่พร้อมสะบัดแขนซ้าย กระแสลมเฉียบคมไร้เงาอีกสายหนึ่งซัดออกอาศัยท่าบุกไปข้างหน้าของมัน ฝีมือเกือบเสมอเหมือนกับยอดวิชาเข็มมรณะเจ็ดชุ่นที่หานเทียนเป้าหัตถ์เหล็กยันต์ดำผู้เป็นศิษย์น้องซัดออก แต่ท่วงท่าปล่อยใบมีดของเหลยจิ่วตี้ละเอียดอ่อนยิ่งกว่า ในความมืดมนอนธการนี้ยิ่งไร้ซึ่งเค้าลาง

    กระแสลมเฉียบคมสายนี้ลอบซัดเลี่ยนเฟยหงที่กำลังถอนตัวอย่างแม่นยำไร้เทียบเทียม มันชะงักเท้ากางขาทั้งสอง ร่างกายย่อลงท่านั่งม้าเฉียงๆ หดอกก้มศีรษะ จึงหลบการลอบโจมตีของอาวุธลับได้อีกครั้ง

    อาวุธลับที่ได้ยินเพียงเสียงลมไม่เห็นรูปร่างนี้ คือ ‘ใบมีดหางนางแอ่นสามแฉก’ ที่เหลยจิ่วตี้เจ้าสำนักมี่จงชอบใช้ บนตัวใบมีดนั้นเคลือบหมึกดำหนึ่งชั้น ยามกลางวันป้องกันแสงสะท้อนได้ ยามกลางคืนยังซ่อนเร้นร่องรอย ทำให้ศัตรูหลบหลีกไม่ทัน หากมิใช่เพราะเลี่ยนเฟยหงเองก็เป็นยอดฝีมือมีดบินที่อาศัยสัญชาตญาณในการเดินหลบก็คงถูกอาวุธลับอันร้ายกาจนี้สังหารไปนานแล้ว

    เหลยจิ่วตี้บีบเข้าไปสืบต่อพร้อมซัดใบมีดเพื่อรักษาจังหวะการจู่โจม เลี่ยนเฟยหงกลับต้องถอยหลังต่อเนื่องจึงยุดยื้อกับมันไว้ได้ คนทั้งสองคนหนึ่งอาศัยท่าเดิมขว้างซัดขณะก้าวไปข้างหน้า อีกคนหนึ่งต้องถอยหลังพลางขว้างย้อนกลับ การดวลอาวุธลับสนามนี้ ไม่ว่าจะพละกำลังหรือความเร็วในการซัด เหลยจิ่วตี้ล้วนครองความได้เปรียบ

    ศึกอาวุธลับนี้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายตนเอง เลี่ยนเฟยหงรีบปรับแก้ยุทธวิธีอย่างเฉียบขาดทันที ท่านั่งม้ากางออกกว้างๆ นั้นก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งเท้า ท่วงท่าเกือบเหมือนเดินติดพื้น ครั้งนี้มันไม่ถอยแต่กลับบุกเข้าไป กระโจนเข้าไปในระยะที่ห้ำหั่นกับเหลยจิ่วตี้ได้ ในขณะเดียวกันใช้หัตถ์เร็วสำนักคงถงที่สันทัดที่สุด จับด้ามไม้เลี่ยมทองสำริดของกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญ กระบี่ประจำตัวเจ้าสำนักบนเอวถูกชักออกจากฝัก

    …เลี่ยนเฟยหงรักษาท่วงท่าก้มต่ำของร่างกายไว้ขณะพุ่งไปข้างหน้า พยายามหดขอบเขตที่อาวุธลับของศัตรูซัดถูกให้เล็กที่สุด

    เหลยจิ่วตี้กลับมิได้ปล่อยใบมีดอีก แต่คิดเช่นเดียวกับเลี่ยนเฟยหง มือขวาปราดออก ชักประกายหนาวยะเยือกโค้งเล็กน้อยออกมาไว้ในมือ เพลงหัตถ์ชักอาวุธเร็วไม่เป็นรองเลี่ยนเฟยหงโดยสิ้นเชิง

    สามชุ่นสุดท้ายของกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญออกจากฝักดังชิ้ง ปลายกระบี่เสือกตรงไปยังผ้าปิดหน้าสีดำของเหลยจิ่วตี้ พร้อมกับใช้มือซ้ายมันลอบชักดาบโค้งแดนตะวันตกตรงเอวขวาออกมาชุ่นกว่า เตรียมบุกโจมตีกระหน่ำสืบต่อ

    เหลยจิ่วตี้ก็มิได้ช้าไปกว่ามัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดมือซ้ายที่ห้อยอยู่ข้างขาก็มีประกายคมเยียบเย็นจากอาวุธชิ้นหนึ่งซึ่งลดเฉียงจ่อจรดพื้นอยู่

    สั่งสมพลังรอปล่อยออก

    สองเจ้าสำนักแห่งเก้าสำนักใหญ่ปัจจุบันนี้ แม้สังกัดสำนักต่างกัน แต่ประมือจนถึงตอนนี้ วิสัยและวิถีทางของวรยุทธ์กลับคล้ายคลึงกันอย่างน่าอัศจรรย์

    เพลงกระบี่แขนทะลวงของเลี่ยนเฟยหงชักปราดแทงออกเพียงครึ่งหนึ่ง ดาบเงินสีขาวโพลนที่ตัวคมแหลมเล็กในมือขวาของเหลยจิ่วตี้กลับบุกมาถึงเร็วกว่า เลี่ยนเฟยหงยังงอศอกยังมิได้ยื่นกาง พลังกระบี่ก็ถูกการฟาดฟันของดาบเร็วยับยั้งก่อนก้าวหนึ่ง ภายใต้การปะทะกันของคมทั้งสอง พลังกระบี่ยาวของเลี่ยนเฟยหงยังมิได้ปล่อยออกทั้งหมดก็ถูกกระบวนท่าดาบสำนักมี่จงกระแทกไปด้านข้าง กระบวนท่าแตกกระเจิง

    วิถียุทธ์สำนักมี่จงขึ้นชื่อเรื่องความปราดเปรียวว่องไวมาตลอด ดาบเร็วหมิงถังของเหลยจิ่วตี้เจ้าสำนักรวดเร็วเช่นนี้ เลี่ยนเฟยหงหาได้ผิดคาดไม่ แต่ความรู้สึกหลังผ่านการปะทะนี้ เลี่ยนเฟยหงพบว่าพลังดาบของเหลยจิ่วตี้หนักหน่วงผิดปกติ เป็นพลังสังหารยากที่ศิษย์มี่จงที่เคยเห็นที่ซีอานจะทัดเทียมได้

    …มันร้ายกาจขึ้นมากถึงเพียงนี้!

    แบ่งใจซ้ายขวาคือวิถีทางอันสันทัดของสำนักคงถง เลี่ยนเฟยหงมิได้รับผลกระทบจากการที่กระบี่ขวาถูกกระแทกแกว่งออกไป กระบวนท่าดาบวงตะวันมือซ้ายยังคงเปิดฉากได้ดังเดิม ดาบออกจากฝักโจมตีเฉียงขึ้นบน ตวัดฟันกระดูกซี่โครงข้างซ้ายของเหลยจิ่วตี้

    การปล่อยออกจากระดับความสูงบริเวณช่วงท้องนี้ สังเกตท่าหัตถ์ออกกระบวนได้ไม่ง่าย แต่เหลยจิ่วตี้กลับจิตใจสงบนิ่งและแกว่งดาบซ้ายออกต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ตวัดฟันเฉียงๆ ขึ้นรับอย่างไม่ผิดแผกแตกต่าง ภายใต้กระบวนท่าเดียวกัน การบุกโจมตีของดาบทั้งสองเล่มระเบิดเป็นประกายไฟเจิดจ้าออกมาในความมืด

    ชั่วขณะนี้อาศัยประกายไฟเพียงเล็กน้อย เลี่ยนเฟยหงมองเห็นดวงตาทั้งสองนั้นที่เผยออกมาระหว่างผ้าดำบนหน้าของเหลยจิ่วตี้อย่างชัดเจน

    ดวงตาที่ไม่เยาว์วัยแล้วทั้งสองทอแววผิดปกติออกมา ทั้งมิใช่บ้าคลั่ง และมิใช่เดือดดาล แต่เป็นความหนาวเย็นที่ราวกับหลุดพ้นจากชาตินี้แล้ว

    …คล้ายคลึงกับจอมเวทปัวหลงปีศาจบ้าคลั่งตนนั้นเล็กน้อย

    หลังเหลยจิ่วตี้สกัดดาบซ้ายกระบี่ขวาของเลี่ยนเฟยหงเอาไว้ยังคงใช้ฝีเท้าบีบไปข้างหน้าอย่างฉับไว จุดพิเศษของท่าเท้าลวงหลงเยียนชิงนี้คือทุกก้าวล้วนมิได้เดินเป็นเส้นตรง ขณะก้าวไปข้างหน้าร่างกายก็เคลื่อนซ้ายขวาเล็กน้อย ทุกขณะล้วนทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะคาดคำนวณระยะห่างที่ถูกต้อง ไม่ทันไรก็เข้าสู่ขอบเขตการโจมตีของมันแล้ว

    ดาบเร็วคู่หมิงถังทั้งสองของเหลยจิ่วตี้อาศัยเพลงเท้านี้รำดาบขึ้นเสมือนก่อพายุหมุน จู่โจมตรงไปยังใบหน้าเลี่ยนเฟยหง

    จากถูกลอบโจมตีจนถึงในขณะนี้ เลี่ยนเฟยหงถูกเหลยจิ่วตี้ไล่โจมตีไม่หยุดยั้ง ตลอดมามิอาจพักหายใจเรียกพวกพ้องในวัดได้เลย แต่ถึงเรียกได้ เลี่ยนเฟยหงก็ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นสอดมือในการตัดสินสนามนี้

    คู่ปรับในอดีต จะให้ผู้อื่นช่วยจัดการได้อย่างไร

    อาวุธคู่ก็เป็นจุดแข็งของเลี่ยนเฟยหงเช่นกัน มันไม่ยอมอ่อนข้อ กัดฟันยกดาบกระบี่ขึ้นกวัดแกว่ง รับการโจมตีของดาบคู่ที่บีบมาหา ความประณีตในการก่อกระแสลมคมอาวุธก็ไม่พ่ายให้เหลยจิ่วตี้เช่นกัน

    ปากใต้ผ้าปิดหน้าของเหลยจิ่วตี้คล้ายท่องคำที่ไม่แน่ชัดคำหนึ่ง มือทั้งสองที่แกว่งดาบพลันเพิ่มความเร็วขึ้นกลางคัน

    ‘พายุกองพล’ วิชายืมภาวะสำนักมี่จง!

    ชั่วขณะนั้น ในใจเหลยจิ่วตี้กำลังนึกภาพว่าตนเองอยู่ใต้พายุหิมะในค่ำคืนฤดูหนาวที่ชางโจว ต่อต้านดาบร่ายที่ก่อลมคลั่ง ทว่าในความเป็นจริงหาได้มีแรงต้านของพายุหิมะนั้นไม่ มันอาศัยจินตนาการเสมือนจริงนี้กระตุ้นพลังแขน ทำให้ความเร็วที่ดาบคู่หมุนก่อขึ้นยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง อาวุธสี่เล่มปะทะกันอย่างเร่งกระชั้น รอบกายคนทั้งสองระเบิดออกเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วน

    ระหว่างประคมอย่างต่อเนื่อง ดาบคู่ของเหลยจิ่วตี้ก็ฟันออกเก้ากระบวนในพริบตา ความเร็วของดาบที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นด้วยวิชายืมภาวะนี้กลับต่อเนื่องกันโดยมิได้ช้าลงสักนิด ราวกับไม่ต้องหายใจแลกเปลี่ยนอากาศอย่างสิ้นเชิง เป็นวิชาที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

    วิชายืมภาวะเดิมคือวิถีสูงล้ำในวิชายุทธ์ ควบคุมและประยุกต์ใช้ไม่ง่าย อีกทั้งไม่อาจใช้ได้นาน เพราะต้องจดจ่อความคิดถึงขีดสุดจึงจะกระตุ้นมโนภาพ สิ้นเปลืองจิตใจมากยิ่งนัก ยอดฝีมือมักเพียงใช้ในการโจมตีครั้งเดียวโดยทุ่มพลังปราณหมดทั้งร่างกาย เหมือนเหอจื้อเซิ่งแห่งชิงเฉิงอาศัยภาพพยัคฆ์ลงเขา และโจมตีออกด้วยท่าพยัคฆ์กระโจนต่อเนื่องสามท่า เกือบเกินขีดจำกัดในโลกมนุษย์ แต่เหลยจิ่วตี้กลับฟันกระหน่ำได้ถึงเก้าดาบในวิชายืมภาวะ อีกทั้งยังไม่มีทีท่าอ่อนกำลัง สิ่งที่อยู่ในจิตใจมันจึงยากที่จะจินตนาการ

    เลี่ยนเฟยหงเองก็ฟันกระหน่ำสี่ดาบห้ากระบี่ฝืนปะทะกับเก้าดาบเช่นเดียวกัน ขณะนี้กลับรู้สึกว่าลมหายใจหมดช่วงแล้ว มิอาจยื้อต่อไปได้อีก รู้ว่าต้องเปลี่ยนกระบวนท่าอีกเป็นแน่

    ดูซิว่าครั้งเจ้าจะหลบได้อีกหรือไม่!

    ขณะคนทั้งสองกำลังจะปะทะในดาบที่สิบ แขนซ้ายของเลี่ยนเฟยหงฟาดฟันถึงกลางทางกลับพลันสะบัด สำแดงเพลงซัดบินคงถงยอดวิชาเลื่องชื่อออกมา ดาบแดนตะวันตกหลุดออกจากฝ่ามือ ยืมพลังแกว่งฟันลอยหมุนไปยังเบื้องหน้าเหลยจิ่วตี้

    ความน่ากลัวของเพลงซัดบินคงถง คือซัดขว้างอาวุธในระยะประชิดระหว่างต่อสู้ได้ คิดว่าเหลยจิ่วตี้มิอาจปิดป้องหลบหลีกแล้ว แต่เหลยจิ่วตี้กลับเหลือบเห็นเค้าลางสะบัดแขนก่อนเลี่ยนเฟยหงจะปล่อยดาบออกจากมือ ในชั่วขณะนั้นมันพลันเปลี่ยนความคิด วิชายืมภาวะในหัวเปลี่ยนจากการรับพายุหิมะรุนแรง เป็นลอยตัวอยู่ในหนองน้ำ มันเฉียงกายก้าวย่างหลบออก คมของดาบโค้งหมุนโฉบผ่านข้างใบหน้าไป…วิชายืมภาวะของเหลยจิ่วตี้จากเหี้ยมโหดเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล การสับเปลี่ยนความคิดกลับไม่เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย มิใช่คนเจ้าปัญญาทั่วไปจะกระทำได้

    ร่างของเหลยจิ่วตี้พอหลบไปด้านข้างก็คืนกลับมา ราวกับมิได้เคลื่อนขยับมาก่อน ชวนให้เข้าใจผิดว่าดาบโค้งนั้นลอยเฉไปเอง หรือทะลุผ่านร่างกายมันไป…เฉกเช่นเดียวกันกับมโนภาพขณะมันหลบคมบินส่งวิญญาณสองครั้งเมื่อครู่ ความจริงอาศัยวงโค้งของท่าเท้าลวงหลงเยียนชิงก้าวไปข้างหน้า อ้อมการโจมตีไปด้านข้างอย่างแม่นยำ

    นี่คือความลับของเทพท่องเมฆาเร้น

    เงาร่างชุดดำของเหลยจิ่วตี้จู่โจมตีมาด้วยความเร็วสูง ดาบมือขวายื่นไปข้างหน้าอย่างเบาสบาย ปลายคมแทงไปยังคอหอยของเลี่ยนเฟยหงอย่างไร้สุ้มเสียง เป็นกระบวนท่า ‘กระบี่ผ่านเงา’ สำนักมี่จง…เพลงกระบี่นี้พิเศษอย่างยิ่ง ใช้ฝีเท้าส่งกระบี่ ท่าทางของแขนแฝงความนุ่มนวล ขณะศัตรูสังเกตเห็นปลายกระบี่มักจะอยู่ใกล้เบื้องหน้าแล้ว

    เพลงซัดบินของเลี่ยนเฟยหงล้มเหลว แต่ประสบการณ์ต่อสู้ของมันโชกโชนอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะออกกระบวนท่าใดล้วนเตรียมพร้อมชดเชยความผิดพลาด ยามนี้กระบี่ราชสีห์ฮึกหาญมือขวาถูกชักกลับมาไว้ตรงใบหน้า สกัดการแทงของดาบอันอ่อนโยนนี้ไว้ได้ทัน

    แต่สิ่งที่มิอาจหลบเลี่ยงคือขณะมันต่อสู้กับศัตรูเมื่อครู่ก็ได้ตกสู่ความเสียเปรียบของการเป็นฝ่ายป้องกันแล้ว

    ดาบและกระบี่พอกระทบถูก เหลยจิ่วตี้ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตวัดปลายดาบขึ้นฟ้า กดกึ่งกลางตัวดาบแนบกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญไว้ไว้หน้าลำตัวเลี่ยนเฟยหง จากนั้นเปลี่ยนแปลงความคิดในวิชายืมภาวะ ครานี้จินตนาการว่าร่างกายดั่งหินหนักพันชั่งหล่นร่วง อาศัยพลังร่วงนี้กดกระบี่ของเลี่ยนเฟยหงสืบต่อ พร้อมปล่อยพลังจากใต้ข้อมือ กระแทกหัวด้ามทองสำริดของดาบไปยังทรวงอกเลี่ยนเฟยหง

    การกระแทกของด้ามดาบด้วยแรงสั้นผสานเข้ากับแรงร่วงหล่นของวิชายืมภาวะ หากว่าโจมตีถูก กระดูกของเลี่ยนเฟยหงต้องแหลกละเอียดเป็นแน่

    ขณะที่เลี่ยนเฟยหงวกกระบี่มาปิดป้อง เดิมทีหมายจะใช้มือซ้ายดึงพัดเหล็กที่เสียบเฉียงอยู่ตรงสายคาดเอวหน้าท้องออกมา แต่ขณะนี้มีเพียงล้มเลิกและกำหมัดที่มีสนับมือเลี่ยมแผ่นเหล็ก ใช้ท่ากำปั้นตะลุยศึกแห่งแปดมหาเลิศกระแทกหมัดสอยไปด้านบนสกัดด้ามดาบนั้นไว้

    เลี่ยนเฟยหงกำลังรักษาไว้ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้หากเหลยจิ่วตี้ใช้เพียงดาบมือขวาข้างเดียวก็ตรึงมือทั้งสองของมันไว้ได้ แต่มือซ้ายเหลยจิ่วตี้ยังมีดาบที่ว่างอย่างยิ่งอีกเล่มหนึ่งอยู่

    ประกายหนาวยะเยือกส่องเข้าในดวงตาเลี่ยนเฟยหง

    ต้องเปลี่ยนกระบวนอีก

    หากไม่เปลี่ยน ก็ต้องตาย

    ขณะที่ผมขาวปลิวไสว หมัดซ้ายของเลี่ยนเฟยหงแปรเป็นกรงเล็บ จับข้อมือขวาเหลยจิ่วตี้เอาไว้ กระบี่ราชสีห์ฮึกหาญมือขวาออกแรงผลักไปข้างหน้า ช่วงล่างลอบยื่นขาขวาออก อ้อมเกี่ยวเท้าหน้าเหลยจิ่วตี้ไว้

    เลี่ยนเฟยหงบิดเอว ปล่อยพลังสามจุดนี้ออกพร้อมกัน หมายจะทุ่มเหลยจิ่วตี้ออกไปทางซ้ายอย่างแรง นี่คือวิชาต่อสู้ประชิดตัวท่าทุ่มล้ม ‘หัตถ์กวนเมฆา’ ที่มันใช้น้อยที่สุดในแปดมหาเลิศคงถง

    วิทยายุทธ์มี่จงชำนาญการต่อสู้แบบรักษาระยะห่างทั้งวิชาตัวเบากระโดดรุกรับและวิชาสืบเท้าท่านั่งม้าแบบยืดเหยียดรยางค์ เช่น ‘ท่าม้าใหญ่สะพานยาว’ มาโดยตลอด เลี่ยนเฟยหงมั่นใจว่าเพลงทุ่มประชิดตัวอย่างกะทันหันนี้เหลยจิ่วตี้ต้องยากรับมือเป็นแน่

    แต่ชั่วขณะนี้เอง มันมองเห็นชัดเจนเต็มสองตาว่าสายตาของเหลยจิ่วตี้เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

    …ในดวงตามีความชั่วร้ายชอบกลที่ชวนให้หนาวใจอย่างยิ่ง

    เหลยจิ่วตี้เปล่งเสียงตวาดลั่น…หากกล่าวว่าปล่อยพลังพ่นลม มิสู้กล่าวว่าเหมือนจะปลุกสิ่งของอะไรบางอย่างให้ตื่นจะดีกว่า…จากนั้นเลี่ยนเฟยหงพลันรู้สึกว่าร่างของเหลยจิ่วตี้ราวกับเปลี่ยนเป็นกำแพงหินอันหนักอึ้ง การบิดตัวทุ่มนี้ของหัตถ์กวนเมฆา มิอาจสั่นคลอนมันแม้แต่น้อย

    ขณะตกตะลึง เลี่ยนเฟยหงรีบรู้ได้ถึงพลังมหึมาพุ่งโจมตีมาจากด้านหน้า มันมิอาจหลบเลี่ยงต้านแรง ทั้งร่างถูกชนจนเท้าทั้งสองห่างจากพื้น หงายหลังล้มลง

    ปากแผลบนแผ่นหลังที่ถูกใบมีดหางนางแอ่นสามแฉกก่อนหน้ากระแทกพื้น ละอองน้ำในต้นหญ้าแตกกระเซ็น ความเจ็บปวดเสมือนจะฉีกขาดชนิดหนึ่งพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ

    ความเจ็บปวดนี้ทำให้เลี่ยนเฟยหงได้สติอย่างยิ่ง มันยังคงคิดกู้สถานการณ์พ่ายแพ้กลับคืน หลังแตะสัมผัสพื้นยังถือโอกาสหมุนกลิ้งไปด้านข้าง หมายหลบการไล่ฆ่าของฝ่ายตรงข้าม แต่ขณะเปลี่ยนเป็นค้อมตัวไปยังพื้นนั้นเอง ขาข้างหนึ่งพลันเหยียบบนแผ่นหลังมันอย่างหนักหน่วง เลี่ยนเฟยหงขยับตัวมิได้ในทันใด

    คมดาบเยือกเย็นสายหนึ่งแนบเส้นเลือดตรงคอขวาของมันหมายจะทำร้าย

    มิอาจรับได้ แต่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

    เฟยหงเซียนเซิง พ่ายแพ้ราบคาบ

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 11 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook