• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 12 บทที่ 1

    บทที่ 1

    อสรพิษลอบเร้น

     

    ยามเที่ยงคืนที่ไร้แสงจันทร์ ฝานจงดุจดั่งงูพิษจัดเจนที่อดทนรอเหยื่อ มันซุ่มซ่อนอยู่ในส่วนลึกของป่าบริเวณเชิงเขาอู่ตัง เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

    การใช้คำว่า ‘งู’ มาพรรณนาอากัปกิริยานี้ยังคงถือว่าหมิ่นเกียรติมัน ฝานจงค้อมตัว ก้าวด้วยฝีเท้าที่กว้างยาวข้ามดินโคลนที่กระจายเต็มต้นไม้ใบหญ้าในป่าอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบาอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปกลับมิได้บังเกิดเสียงออกมา ที่แท้ทุกก้าวของมันล้วนใช้ทักษะตอบสนองที่เชื่อมกับไท่จี๋สดับพลัง เป็นเหตุให้การเลื้อยของอสรพิษตัวนี้ยิ่งสงบเงียบไร้สุ้มเสียง

    เงาร่างของมันเองก็กลมกลืนกับความมืดมนอนธการยิ่งกว่างู ถึงแม้เป็นงูพิษสีดำขลับทั้งตัว เกล็ดก็ไม่พ้นที่จะสะท้อนแสง ทว่าทั้งร่างฝานจงกลับถูกปกคลุมอยู่ในอาภรณ์ดำรัดรูปกับผ้าโพกศีรษะที่ไม่สะท้อนแสง ฝ่ามือทั้งสองและใบหน้าก็ทาด้วยขี้เถ้าหนาชั้นหนึ่ง เฉกเช่นเงาที่ไม่มีน้ำหนักแม้แต่น้อยในความมืดมนอนธการ

    ในป่ามีเพียงแสงดาวพร่างพราวตกทอดลงมา ส่องให้รอบด้านสว่างเล็กน้อย ทว่าฝานจงกับสหายร่วมสำนักที่แต่งกายเหมือนกันสองคนด้านหลังแทบจะไม่จำเป็นต้องอาศัยสายตาอย่างสิ้นเชิงก็เคลื่อนไปข้างหน้าได้เอง เหมือนเช่นงูสามตัวเลื้อยผ่านช่องว่างของต้นไม้ก็ปาน

    …เป็นอสรพิษน้ำตาลเด่นล้ำที่เฝ้าป้องกันเขาอู่ตัง ย่อมต้องรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบห้าลี้ด้านล่างเขาราวกับตาเห็น

    คนทั้งสามใช้วิชาตัวเบาสำนักอู่ตังลอบเร้น ท่าเดินก้มต่ำเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด

    …โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงวิชาตัวเบา ผู้คนก็จะนึกโยงถึงเพียงฝีเท้าดุจวิหคหรือฝีมือคล่องแคล่วในการปีนป่ายผนัง แต่กลับไม่รู้ว่าทักษะเหนือชั้นทุกสิ่งที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ อันที่จริงก็อยู่ในขอบข่ายของวิชาตัวเบาเช่นกัน

    ขณะพวกมันผ่านหมู่ไม้ยังคงรักษารูปขบวนสามเหลี่ยมที่ไม่ได้สัดส่วนเอาไว้รางๆ ซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเตรียมพร้อมดูแลซึ่งกันและกัน สองคนด้านหลังคุ้มกันฝานจงที่เปิดทางอยู่แนวหน้าโดยเฉพาะ

    ในความมืดมิดฝานจงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แขนขาต่างก็ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ มองไม่เห็นความเคร่งเครียดกับความกังวลสักนิด

    แต่ในใจมันกลับมีเลือดลมพลุ่งพล่าน

    …ทุกสิ่งที่ข้าทำในชีวิตนี้ การฝึกหนักสิบเก้าปีที่อู่ตัง ทั้งหมดล้วนเพื่อเวลาเช่นนี้

    เบื้องหน้าดำมืดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ทว่าสิ่งที่ฝานจงหวนนึกถึงชั่วขณะ กลับเป็นเช้าตรู่ที่แสงอาทิตย์สดใสเมื่อห้าปีก่อน

    วันนั้นมันสังหารสตรีนางหนึ่ง

    วันก่อนที่มันจะสวมเครื่องแบบพรตอสรพิษน้ำตาลสำนักอู่ตังอย่างเป็นทางการ

     

    นั่นคือวันหนึ่งที่แปลกประหลาด ตอนที่ฝานจงตื่นนอนและล้างหน้าหวีผมจนเสร็จ เตรียมจะขึ้นเขาฝึกฝนวิ่งยามเช้ากับสหายร่วมสำนักสายพญางูตามปกติ ซือซิงเฮ่ารองเจ้าสำนักกลับมาหามันและนำทางไป

    ในสามกองแห่งอู่ตัง สายพญางูอยู่ในการควบคุมโดยตรงของเจ้าสำนักมาโดยตลอด ส่วนซือซิงเฮ่ารับหน้าที่ดูแลสายเต่าพิทักษ์ นี่เป็นเรื่องที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยกงซุนชิงเจ้าสำนักคนก่อน และรองเจ้าสำนักซือก็ไม่เคยก้าวก่ายสายพญางู

    หลังฝานจงเข้าร่วมอู่ตังก็แสดงศักยภาพวิชาตัวเบาอันเหนือล้ำออกมาแต่แรกแล้ว ด้วนเหตุนี้จึงถูกส่งเข้าศึกษาขั้นสูงในสายพญางู แต่ในขณะเดียวกันมันหาได้ละเลยการฝึกฝนวิทยายุทธ์อื่นไม่ อีกทั้งสำแดงพรสวรรค์อื่นที่ไม่ด้อยไปกว่าวิชาตัวเบาออกมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอาวุธลับ มีดสั้น และเพลงมวย มันฝึกปรือกับศิษย์พี่สายเต่าพิทักษ์เป็นประจำ และรับการฝึกฝนพื้นฐานมวยไท่จี๋ แต่ก็ไม่เคยได้รับการชี้แนะด้วยตัวเองจากรองเจ้าสำนักซือมาก่อน

    ด้วยเหตุนี้ยามที่ใบหน้าแก่ชราซึ่งปิดครึ่งล่างไว้ด้วยผ้าบางมาปรากฏหน้าประตูเรือนนอนของสายพญางู ฝานจงจึงรู้สึกผิดคาดอย่างมาก

    “ไปกับข้า” ซือซิงเฮ่าใช้เสียงที่แฝงลมจำเพาะกล่าวเพียงเท่านี้และมองกระบี่บินสองเล่มที่ฝานจงพกไว้บนสายคาดเอวแวบหนึ่ง มิได้อธิบายอะไรเพิ่ม

    ฝานจงเองก็มิได้ถาม มันได้รับเลือกเข้าสายพญางูได้สี่ปีแล้ว เรียนรู้แต่แรกว่าต้องรับคำสั่งของอาจารย์เงียบๆ ห้ามตั้งคำถามใดๆ ออกมาเป็นอันขาด

    การฝึกฝนกมลสันดานประเภทนี้ขัดแย้งกันอย่างมากกับศิษย์อู่ตังคนอื่นที่ถกความเห็นต่างแลกเปลี่ยนความคิดในกระแสสังคมที่เปิดกว้างได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ยามศิษย์สายพญางูอยู่บนเขาอู่ตัง มักยากที่จะอยู่ร่วมกันกับสหายร่วมสำนัก

    ฝานจงติดตามซือซิงเฮ่าอยู่ด้านหลังเงียบๆ พวกมันเดินออกซุ้มประตูเขา ก้าวลงบนบันไดเขาอู่ตัง ขณะเดินอยู่คลื่นความคิดของฝานจงซัดสาดไม่หยุดนิ่ง อย่างไรมันก็มิได้ลงเขาหลายปีแล้ว

    หรือว่าวันนี้จะส่งข้าไปเป็นสายลับรักษาการณ์ที่ใด? แต่เหมือนมิใช่ เพราะไม่ให้ข้าพกอะไรไปทั้งสิ้น…

    บรรลุถึงเชิงเขา ผ่านป่า พวกมันยังเดินไปตามทิศตะวันตกอีกสองชั่วยาม ฝานจงรู้ว่าซือซิงเฮ่ากำลังทดสอบความอดทนของตน แต่กลับไม่รู้ว่าความจริงแล้วรองเจ้าสำนักซือเองก็กำลังสังเกตวรยุทธ์ของมันด้วย…ผ่านเสียงฝีเท้า

    ซือซิงเฮ่าเป็นสุดยอดนักมวยไท่จี๋แห่งสำนักอู่ตังในปัจจุบัน อาศัยเพียงฟังเสียงเท้าและดูความเร็วในการเดินก็ชี้ขาดได้ว่าวิชาไต่เมฆาที่ผสมผสานทักษะสดับพลังแปรพลังของฝานจงฝึกจนถึงขั้นแล้ว และลอบแสดงความชื่นชมในใจ ส่วนกระบี่บิน มีดสั้น และการต่อสู้ด้วยหมัดเท้าของฝานจง มันเคยลอบสังเกตบนลานฝึกยุทธ์มาก่อนแล้ว

    ขณะเดินไปบนเส้นทางที่ปราศจากผู้คน ซือซิงเฮ่ากล่าวประโยคที่สองของวันนี้

    “ทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง ผ่านวันนี้ไปเจ้าก็คืออสรพิษน้ำตาล”

    ฝานจงตื้นตันจนเบ้าตาเปียกชุ่มเล็กน้อย แน่นอนว่ามันมิใช่ไม่เคยจินตนาการว่าตนเองมีโอกาสเป็นอสรพิษน้ำตาล…การประเมินค่าทุกสิ่งอย่างถูกต้องแม่นยำคือคุณสมบัติที่จำเป็นของการเป็นสายพญางู หาไม่ก็มิอาจชี้ขาดข้อมูลตรงหน้า สิ่งนี้ยังรวมถึงการตัดสินวรยุทธ์ของตนเองอีกด้วย ฝานจงมีความมั่นใจอย่างยิ่งต่อความสามารถของตนเอง

    แต่ความฝันชั่วชีวิตจะกลายเป็นความจริงตรงหน้า ต่อให้เป็นสายลับที่เยือกเย็นยิ่งกว่าก็มิอาจยับยั้งความตื่นเต้นในใจ

    ในที่สุดพวกมันก็เดินไปถึงบริเวณที่มีบ้านเรือน เส้นทางลงเนินเล็กๆ นั้นติดกันกับถนนชานเมืองอันกว้างขวางสายหนึ่ง ถนนชานเมืองนั้นทอดยาวออกมาจากตำบลซั่งซีทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แม้หนทางจะเล็กแต่ใกล้กับพื้นที่ทำนาเก็บเกี่ยว ถนนชานเมืองแห่งนี้ห่างจากตัวตำบลสองหลี่ เห็นนักเดินทางที่บางตาได้จากไกลๆ

    ยามนี้ซือซิงเฮ่าหยุดเท้า สอดกำปั้นทั้งสองไว้ในแขนเสื้อเช่นปกติ ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตรงเนินเขา

    มันกล่าวประโยคที่สามของวัน

    “ลงไปยังทางสายนั้น เดินไปยังทางตะวันตกของเมือง ฆ่าคนที่หกที่พบบนทาง”

    ฝานจงมองดูซือซิงเฮ่าอย่างตกตะลึง ผ้าปิดหน้าของซือซิงเฮ่าพลิ้วไหวเล็กน้อยตามลมอันเย็นสบาย รอบดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยย่นไม่มีไอสังหารแห่งความชั่วร้ายสักนิด และมิได้เผยอำนาจและแรงกดดันที่ทำให้ฝานจงต้องฝืนยอม

    สงบจนเหมือนเพียงกำลังบอกความจริงข้อหนึ่งกับฝานจง

    ฝานจงเข้าใจในทันทีว่าความจริงนั้นคืออะไร

    กระทำเรื่องต่างๆ หรือฆ่าใครสักคนเพื่อสำนักอู่ตัง นี่ต่างหากคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นอสรพิษน้ำตาล…มิใช่วรยุทธ์ มิใช่ความสามารถในการดักซุ่ม แต่เป็นการตัดสินใจเช่นนี้

    ในขณะเดียวกันฝานจงเองก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดผู้ที่นำมันออกมาวันนี้มิใช่เจ้าสำนักเหยา แต่เป็นซือซิงเฮ่า

    …บุรุษที่รวบรวมแสงสว่างทั้งหมดไว้บนร่าง ย่อมไม่ยอมให้ความมืดมิดพรรค์นี้แปดเปื้อน

    ฝานจงชักกระบี่บินออกมาจากข้างเอวเบาๆ และพลิกจับซ่อนคมกระบี่ไว้ข้างในแขน เดินลงไปจากเนินเขาโดยไม่กล่าวสักคำ

    ในใจมันมิได้จินตนาการหรือภาวนาว่าผู้ที่ต้องตายอยู่ใต้กระบี่นี้คือผู้ใด จะชายหรือหญิง คนแก่หรือเด็ก มั่งมีหรือยากจน แข็งแรงหรือพิการ ล้วนมิได้แตกต่าง

    ทั้งหมดเป็นเพียงก้อนอิฐก้อนหนึ่งที่ปูบนเส้นทางใต้หล้าไร้เทียมทานของอู่ตัง

     

    ขณะนี้ฝานจงไม่ต้องหันหน้ามองดูสหายร่วมสำนักสองคนด้านหลังก็รู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกมัน ท่ามกลางลักษณะพื้นที่ไม่สม่ำเสมออันดำมืด คนทั้งสองกับฝานจงรักษาระยะห่างและตำแหน่งไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือความรู้ใจกันที่เกิดจากการฝึกฝนเป็นเวลานาน

    …และเนื่องเพราะพวกมันล้วนแบกรับสิ่งที่เหมือนกัน

    แต่ไรมาฝานจงมิได้ถามพวกมันว่า ‘ในวันนั้น’ สังหารผู้ใดกันแน่ พวกมันเองก็มิเคยถาม ในหมู่อสรพิษน้ำตาลที่มีเพียงเก้าคนแห่งเขาอู่ตังปัจจุบันไม่เคยพูดคุยถึงเรื่องราวเหล่านี้

    หลี่อี้เชินที่อยู่ด้านซ้ายข้างหลังรูปร่างล่ำสันกว่าฝานจงเล็กน้อย แต่ฝีเท้าวิชาตัวเบากลับปราดเปรียวไร้สุ้มเสียง กำปั้นทั้งสองของมันใช้แถบหนังฟอกห่อหุ้ม ยาวไปจนถึงหน้าแขน หลี่อี้เชินคือยอดฝีมือเพลงหมัดอันดับหนึ่งในอสรพิษน้ำตาล ชำนาญมวยอ่อนอู่ตังกับวิชาคว้าจับ ยังมีทักษะเหนือล้ำในการสกัดหรือรับอาวุธลับ แม้มิได้ฝึกมวยไท่จี๋ แต่อาศัยความเร็วเพลงเท้า นักมวยไท่จี๋หลายคนในสำนักก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมัน

    เถียนเหยียนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง รูปร่างไปทางซูบผอมเช่นเดียวกับฝานจง (นี่คือเอกลักษณ์ของศิษย์สายพญางู) มันถนัดเพลงดาบ ในขณะเดียวกันยังเป็นมือดีอาวุธลับ คืนนี้มันหาได้พกมีดสั้นเพื่อสะดวกต่อการเดินทาง แต่ในสายคาดเอวของชุดดำเสียบเต็มไปด้วยศรหัวแฉก เถียนเหยียนอายุมากกว่าฝานจง และได้เป็นอสรพิษน้ำตาลก่อน

    เพียงแต่พวกมันล้วนมอบหน้าที่สำคัญในการเป็นแนวหน้าให้ฝานจง นับแต่อูจี้หงอัจฉริยะประหลาดผู้นั้นออกจากเขาไปเมื่อเจ็ดปีก่อน อสรพิษน้ำตาลก็หาได้มีหัวหน้าอย่างเป็นทางการไม่ จนกระทั่งสองสามปีมานี้ ยอดวิชากระบี่บินของฝานจงค่อยๆ โดดเด่นเหนือผู้คน กอปรกับความสามารถอันน่าอัศจรรย์ที่เผยออกมาในการต่อสู้จริงขณะปกป้องเจ้าสำนักในศึกซีอาน มันจึงได้กลายเป็นหัวหน้าคนใหม่แล้วรางๆ

    ฝานจงรู้ว่าตนเองแบกรับหน้าที่สำคัญเช่นไรอยู่ มันรีบเก็บอารมณ์ ก้าวเดินในป่าสืบต่ออย่างมุ่งมั่นตั้งใจ หลี่อี้เชินและเถียนเหยียนเองก็เพิ่มความเร็วให้ทันมัน

    คนทั้งสามค่อยๆ เข้าใกล้ชายป่าทางทิศเหนือ ฝานจงมองเห็นที่ไกลเบื้องหน้าปรากฏแสงจางๆ คนธรรมดาอยู่ในความมืดมิดเป็นเวลานานอาจเกิดภาพหลอนของแสงสว่างขึ้นมาได้ในบางครั้ง แต่อสรพิษน้ำตาลที่ผ่านการฝึกพิเศษเนิ่นนานจนเส้นประสาทดุจเหล็กกล้าย่อมเป็นข้อยกเว้น ฝานจงชี้ขาดว่านั่นคือแสงไฟที่แท้จริง

    ค่ายศัตรูอยู่ด้านหน้านั่นเอง

    พวกฝานจงชะลอฝีเท้า ก้มตัวให้ต่ำกว่าเดิม เดินต่อไปข้างหน้าห้าสิบกว่าก้าวและหยุดลงหลังต้นไม้

    เห็นเพียงบนพื้นที่ว่างนอกมีการก่อกองไฟหลายกองส่องสะท้อนเงาคนเป็นพักๆ ทุกจุดบนร่างของคนเหล่านั้นสะท้อนแสงของเปลวไฟ ทั้งหมดล้วนสวมใส่โลหะ

    เป็นเกราะศึกกับอาวุธ

    ไม่นานคนทั้งสามก็คุ้นเคยกับแสงสว่าง มองเห็นสถานการณ์นอกป่าชัดเจนยิ่งขึ้น ค่ายรักษาการณ์ของฝ่ายศัตรูแห่งนี้ตั้งไว้ด้วยโล่ไม้กันลูกเกาทัณฑ์สูงเท่าคนสิบกว่าแผ่น ทั้งปกปิดอำพรางและป้องกันมิให้ถูกคนบุกเข้ามาในค่าย เงาคนสวมหมวกแหลมพู่แดงเดินอยู่ระหว่างโล่ไม้ ทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะอย่างเป็นระเบียบ แผ่นเหล็กบนชุดเกราะบังเกิดเสียงเสียดสีตามการก้าวเดินจนได้ยินอย่างชัดเจนในราตรีสงัดนี้

    ทหารเหล่านี้นอกจากพกดาบคาดเอวและโล่หวายธรรมดาแล้ว แทบทุกคนในมือหรือข้างกายล้วนมีราวไม้ท่อนหนึ่ง แต่ปลายของราวไม้นั้นหาใช่คมหอกคมดาบอะไรไม่ แต่เป็นอาวุธทองสำริดข้อหนึ่ง ตรงกลางนูนขึ้นเป็นทรงกลม ด้านหน้าเป็นท่อที่สร้างเป็นรูปทรงเหมือนกระบอกไม้ไผ่

    ทหารอีกยี่สิบกว่าคนในนั้นพกราวไม้ยาวที่ประหลาดยิ่งกว่า ท่อทองแดงส่วนปลายมิใช่เพียงหนึ่ง แต่เป็นสามท่อนรวบติดกันเป็นอักษรผิ่น (品) เหลือบมองอาจคิดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่อลังการเสียอีก

    ศิษย์อู่ตังทั้งสามคนที่หลบอยู่ในป่ารู้ว่าด้ามไม้ไผ่ยาวเหล่านี้คือวัตถุฆ่าคนที่มิอาจดูแคลนเป็นอันขาด

    กองทัพที่เฝ้าอยู่ล่างตีนเขาทิศเหนือของเขาอู่ตังมิใช่อื่นใด เป็นค่ายพลเสินจีขององครักษ์เสื้อแพรแห่งเมืองหลวงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกองกำลังทหารของแผ่นดินปัจจุบัน แม้แต่ทัพม้าเหล็กแห่งมองโกลได้ยินชื่อนี้ยังต้องพรั่นพรึง

    สำนักอู่ตังฝึกหนักในป่าลึกนานปี ไม่มีผู้ใดเคยเปิดหูเปิดตาอานุภาพของอาวุธปืนอย่างแท้จริง มีเพียงคนงานชราอดีตทหารที่วัยหนุ่มเคยเห็นการฝึกซ้อมทดลองยิงปืนใหญ่จากไกลๆ

    ‘พริบตาเดียวที่เห็นอานุภาพ…ข้าเฒ่าชราที่ไม่เคยอ่านหนังสือผู้นี้ก็พรรณนามิได้ ตอนนั้นข้าคิดเพียงว่า ของสิ่งนี้…มิใช่มนุษย์สร้าง’

    ค่ายพลเสินจีคือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของราชสำนัก ถึงแม้ทำศึกกับศัตรูใกล้เคียง โดยปกติก็จะไม่ใช้การ ทว่าครั้งนี้กลับลงใต้มาเพื่อรับมือกับสำนักพรรคยุทธภพในป่าเขาเพียงแห่งเดียว ฝานจงนึกถึงคำที่เคยได้ยินซือซิงเฮ่ากล่าว โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันอุปนิสัยเป็นไปตามอารมณ์ พฤติการณ์เหลวไหลไม่ปกติ ท่าจะเป็นจริงดังว่า

    สามเดือนมานี้ขาดการติดต่อกับศิษย์ประจำการนอกพื้นที่ของสายพญางูอย่างสิ้นเชิง สำนักอู่ตังก็รู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล และย่อมนึกโยงถึงเรื่องที่พวกมันปฏิเสธประกาศิตนักสู้หลวงของราชสำนักอย่างเฉียบขาด

    สิบวันก่อนหน้านี้กองทัพจำนวนมากจนชวนให้กลั้นหายใจแบ่งแยกกันมาจากด้านตะวันตกของทางหลวงล่างตีนเขาทางทิศเหนือของเขาอู่ตัง และโดยสารเรือข้ามจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำตันเจียง กรีธามาถึงทั้งทางน้ำและทางบก อีกทั้งตั้งค่ายจัดขบวนอย่างรวดเร็ว ปิดล้อมเส้นทางเขาหลักๆ ทั้งหมด

    เดิมทีสำนักอู่ตังยังไม่รู้ว่ากองทัพที่มาปราบปรามพวกมันคือกองทัพขบวนใดของราชสำนักกันแน่ วันถัดมาจึงมีทูตของกองทัพขึ้นเขามา ส่งหนังสือประกาศให้ยอมจำนนของมหาขันทีจางหย่งข้าหลวงตรวจการทัพเรือถึงอารามอวี้เจิน

    จางหย่งมหาขันทีแม้เป็นหนึ่งใน ‘แปดพยัคฆ์’ ที่ก่อกวนราชสำนักเมื่อหลายปีก่อนในรัชสมัยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่ภายหลังกลายเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการในการสังหารหลิวจิ่นขุนนางชั่ว มันเองจะดีจะร้ายอย่างไรก็รู้จักดูสถานการณ์ การปราบปรามอู่ตังในครั้งนี้เคลื่อนพลมาครึ่งค่ายพลเสินจีด้วยกำลังทหารสองพันห้าร้อยนาย ยังรวมกับทหารราบและทหารม้าจากกองทหารเมืองหลวงหนึ่งพันคนเพื่อช่วยล้อมรอบ รับมือนักสู้เพียงสองสามร้อยคนเช่นนี้เสมือนเป่าเถ้าถ่านโดยแท้ เพียงแต่ค่ายพลเสินจีคือไพ่ตายที่ล้ำค่าที่สุดของราชสำนัก จางหย่งไม่อยากให้มันได้รับความเสียหายใดๆ หากทำให้อู่ตังยอมศิโรราบได้โดยไม่ต้องเสียกระสุนแม้แต่นัดเดียวคงจะดีกว่า จึงเขียนหนังสือประกาศให้ยอมจำนนฉบับนี้ขึ้น ให้โอกาสสุดท้ายแก่สำนักอู่ตัง

    …ความจริงในใจจางหย่งยังมีแผนการอีกสองประการ หนึ่งคือมันได้ยินว่าจักรพรรดิเคยทรงโปรดปรานสำนักอู่ตังอย่างยิ่ง การเคลื่อนพลครั้งนี้อาจเกิดจากโทสะ หากกำราบ ‘ของเล่น’ ชิ้นนี้ให้ฝ่าบาทได้ก็จะเป็นผลงานชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้อารามอวี้เจินที่มั่นหลักของสำนักอู่ตังคือสิ่งก่อสร้างที่จักรพรรดิหย่งเล่อทรงมีพระบัญชาให้สร้างขึ้น หากทำสงคราม ค่ายพลเสินจีอาจต้องฝืนบุกอย่างไม่มีทางเลือก ยามนั้นอารามเต๋าอาจถูกปืนใหญ่ทำลาย ตนเองคงถูกองค์จักรพรรดิกล่าวโทษ

    เช้าวันนั้น ทูตราชองครักษ์ที่สวมเกราะเต็มชุด พกดาบยาวตรงข้างเอวห้าสิบคน นำจดหมายที่จางหย่งเขียนเองกับมือ ชูธงทัพพยัคฆ์โผนปักแพรเดินขึ้นเขา

    ขณะราชองครักษ์ห้าคนก้าวขึ้นเส้นทางเขาล้วนแล้วแต่บุคลิกสง่าผ่าเผย…การทหารในราชสำนักปัจจุบันแม้เสื่อมทราม ทหารองครักษ์ทุกพื้นที่ส่วนใหญ่ไร้ความสามารถจนถึงขั้นขาดแคลนทหารจำนวนมาก แต่กองราชองครักษ์คือที่สุดแห่งแผ่นดินต้าหมิง ทหารทั้งหมดคัดเลือกจากหนึ่งในร้อย อีกทั้งฝึกฝนเข้มงวดอย่างยิ่ง ต่อสู้ป้องกันชายแดนสร้างความดีความชอบมามากมาย ประสบการณ์รบโชกโชน

    แต่หลังพวกมันเข้าสู่อารามอวี้เจิน ร่างกายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างควบคุมมิได้

    ชุดเกราะบนร่างของคนทั้งห้าบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนออกมาพร้อมกัน

    โดยเฉพาะขณะที่เยี่ยเฉินยวนยืนอยู่เบื้องหน้าพวกมันและรับหนังสือประกาศให้ยอมจำนนฉบับนั้น เสียงสั่นสะเทือนก็รุนแรงยิ่งขึ้น

    ขณะทูตมอบจดหมาย คำพูดที่เตรียมจะถ่ายทอดแต่เดิมกลับมิได้กล่าวออกมาสักพยางค์ พวกมันมองหน้ากันและกันในหมู่ขุนนางแวบหนึ่งแล้วจึงหนีออกจากอารามอวี้เจินด้วยความรวดเร็ว

    เหยาเหลียนโจวอ่านหนังสือประกาศให้ยอมจำนนตั้งแต่หัวจรดท้ายอย่างละเอียดทุกตัวอักษรจนจบ เมื่อรู้ว่ากองทัพที่ราชสำนักส่งมาคือค่ายพลเสินจีที่เด่นล้ำที่สุด มันก็แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาพลางกล่าว

    ‘ที่แท้จักรพรรดิชิงชังพวกเราถึงเพียงนี้’

    เหยาเหลียนโจว เยี่ยเฉินยวน กับซือซิงเฮ่าสามผู้ยิ่งใหญ่ ยังมีศิษย์ชั้นสูงและค่อนข้างมีชั้นเชิงกลุ่มหนึ่ง รวมถึงพวกเจียงอวิ๋นหลัน กุ้ยตันเหลย เฉินไต้ซิ่ว ฝานจง…สิบกว่าคน รีบหารือแผนการในตำหนักเจินเซียนทันที

    สิ่งที่พวกมันคุยกันย่อมมิใช่จะรับประกาศยอมจำนนหรือไม่

    ‘พวกเราอาจปีนสูงขึ้นอีกหน่อย’

    ผู้ที่เสนอกลยุทธ์เป็นคนแรกคือเฉินไต้ซิ่วที่มีความคิดละเอียดที่สุดในสายเต่าพิทักษ์

    ‘สิ่งที่กองทัพแห่งราชสำนักขบวนนี้ใช้คือปืนใหญ่ น้ำหนักของอาวุธติดตัวต้องมากอย่างยิ่งเป็นแน่ จะขึ้นเขามาย่อมไม่ง่าย อีกทั้งบนทางลาดอันคับแคบก็มิอาจตั้งขบวนที่ได้เปรียบ’

    คนทั้งหมดล้วนเข้าใจแผนการของเฉินไต้ซิ่ว ตำแหน่งที่ตั้งของอารามอวี้เจินใกล้กับเชิงเขาเหลือเกิน ถ้าหากสำนักอู่ตังละทิ้งมัน ย้ายไปตั้งกำลังป้องกันบนอารามเต๋าและตำหนักบริเวณเขาที่สูงกว่าชั่วคราว ต้องทำให้ราชองครักษ์ปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างมากเป็นแน่

    สิ่งที่เฉินไต้ซิ่วกล่าวคือยุทธวิธีที่ถูกต้องอย่างมิต้องสงสัย แต่ในสำนักอู่ตัง ‘ความถูกต้อง’ มิใช่หลักในการพิจารณาเพียงหนึ่งเดียว

    เหยาเหลียนโจวชูหนังสือประกาศให้ยอมจำนนที่ถูกขยำเป็นก้อนแล้วฉบับนั้นต่อกลุ่มคน

    ‘จดหมายฉบับนี้แม้เขียนถ้อยคำไร้สาระมากมาย แต่ก็บอกข้าเรื่องหนึ่ง’ ขณะเหยาเหลียนโจวกล่าวดวงตาเปล่งประกายเฉียบคมออกมา ‘เนื้อในเปิดเผยแล้วว่าพวกมันกลัวสิ่งใด…’

    ด้วยเหตุนี้ฝานจงกับสมาชิกอสรพิษน้ำตาลจึงมาถึงเบื้องหน้าค่ายศัตรูกลางดึก

    นอกจากพวกฝานจงทางด้านนี้ยังมีกลุ่มอสรพิษน้ำตาลสามคนอีกกลุ่มหนึ่งลอบไปยังอีกด้านหนึ่งของที่ตั้งค่ายราชองครักษ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือเช่นกัน

    พวกฝานจงสามคนเห็นชัดว่าทหารลาดตระเวนด้านหน้าหาได้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติไม่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่พบว่าฝ่ายอู่ตังมาถึง ฝานจงจึงเริ่มเดินหน้าเข้าไปใกล้ เพลงเท้าและท่าทางแผ่วเบาและรอบคอบยิ่งกว่าก่อนหน้า

    ขณะเดินฝานจงยังคงสำรวจฝ่ายตรงข้ามไม่หยุดหย่อนและคาดคะเนจำนวนทหาร ทั้งหมดประมาณแปดสิบถึงหนึ่งร้อยคน มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากสองคืนก่อนหน้า

    นี่คือคืนที่สามที่อสรพิษน้ำตาลแห่งอู่ตังลอบเข้าสอดแนมค่ายศัตรู พวกมันเสาะหาช่องโหว่ในแนวป้องกันของศัตรูอย่างอดทน อาศัยความมืดมนอนธการอำพรางเข้าสู่พื้นที่ค่าย ตระเวนสืบเสาะด้านในเสมือนภูตผี กระทั่งจากไปก็ไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามพบร่องรอยสักนิด…จวบจนบัดนี้ราชองครักษ์มิได้เพิ่มจำนวนคนและการจัดกำลังของทหารลาดตระเวนยามค่ำคืนคือสิ่งพิสูจน์

    พวกฝานจงเคลื่อนย้ายไปทางขวา นอกป่าด้านโน้นมีคลองตื้นที่แห้งขอดสายหนึ่ง ใช้หลบระยะสายตาของทหารลาดตระเวนได้พอดี สองคืนก่อนหน้าพวกมันล้วนลอบเข้าไปยังที่ตรงนั้น

    ขณะคลานไปถึงปากคลองตื้น ทหารสิบกว่าคนที่ยืนอยู่นอกวงล้อมห่างจากพวกมันไม่ถึงยี่สิบก้าว แต่เพลงเท้าวิชาตัวเบาของอสรพิษน้ำตาลเงียบเหลือเกินโดยแท้จริง กอปรกับการอำพรางของพุ่มไม้เตี้ยริมคลอง เหล่าทหารจึงมิอาจสังเกตเห็นได้อย่างสิ้นเชิงว่ามีบุรุษสามคนผ่านเบื้องหน้าตนเองไป

    ระหว่างทางเถียนเหยียนจ้องทหารลาดตระเวนผู้ที่ใกล้มันที่สุดอยู่ตลอด ปลายนิ้วมือขวามันขยับเล็กน้อยกลางอากาศหลายที

    ในระยะห่างนี้ศรหัวแฉกของเถียนเหยียนสามารถปักเข้าคอหอยของทหารผู้นี้ได้ทุกเมื่อ ชีวิตของผู้อื่นอยู่ในชั่วความคิดตนเอง…นี่คือความพึงพอใจอันใหญ่ยิ่งประเภทหนึ่ง

    แต่มิอาจลงมือ การสังหารศัตรูมิใช่ภารกิจในวันนี้ของอสรพิษน้ำตาล หากมีราชองครักษ์บาดเจ็บล้มตายหรือสูญหายไร้ร่องรอยสักคน ภารกิจก็จะล้มเหลว การเสี่ยงอันตรายในหลายคืนที่ผ่านมาย่อมเสียเปล่า

    เถียนเหยียนทำได้เพียงระงับจิตสังหารเอาไว้ ติดตามฝานจงคลานเข้าในคลองตื้นสืบต่อ

    ช่วงต้นฤดูสารทเดือนเก้ายังคงหลงเหลือไอร้อนของคิมหันต์ฤดู อสรพิษน้ำตาลดักซุ่มลอบเร้นเช่นนี้ ความจริงสูญเสียแรงกายมากยิ่งนัก หลังเข้าสู่พื้นที่ค่ายราชองครักษ์ ใต้ชุดดำรัดรูปของคนทั้งสามก็เปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

    ยามนี้เข้ามาลึกถึงค่ายศัตรูแล้ว พวกมันจึงรอบคอบยิ่งขึ้น หาจังหวะหยุดพักเล็กน้อยใช้ผ้าเช็ดฝ่ามือและใบหน้าจนแห้งแล้วค่อยหยิบถุงขี้เถ้าที่พกมาพอกทาใหม่อีกครั้ง

    หลังคนทั้งสามต่างแน่ใจแล้วว่าจัดระเบียบเสร็จสิ้น ฝานจงถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ทุกคนจำลักษณะพื้นที่ได้แล้วกระมัง”

    เถียนเหยียนและหลี่อี้เชินพยักหน้า พวกมันจดจำภาพค่ายศัตรูที่วาดขณะสอดแนมเมื่อสองวันก่อนไว้ในใจนานแล้ว

    ฝานจงชี้มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของค่าย ในค่ายแม้มีทหารลาดตระเวนตรวจตรา แต่เป็นเพราะสิ่งกำบังระหว่างกระโจมค่ายมากมายอย่างยิ่ง ทำให้ลอบเร้นง่ายดายกว่าอยู่นอกป่า สิ่งที่ต้องเตรียมการป้องกันที่สุดคือทหารที่อยู่ในกระโจมจะเดินออกมากะทันหัน ยามนี้เปิดใช้การเตือนภัยจากประสาทสัมผัส ตั้งใจสำรวจอย่างระมัดระวัง สำคัญยิ่งกว่าทักษะท่าร่างใดๆ ทั้งสิ้น มิอาจดูแคลนแม้แต่น้อย

    ฝานจงมองดูการวางกำลังในพื้นที่ค่าย ในใจอดมิได้ที่จะลอบยิ้ม คู่ต่อสู้คือราชองครักษ์เด่นล้ำ แต่กลับปล่อยให้พวกเราลอบเข้ามาได้…หากเป็นกองทัพทั่วไป ทหารล้วนนอนกลางดินกินกลางทราย ไหนเลยจะมีกระโจมมากเพียงนี้

    หลังผ่านกระโจมแถวที่หนึ่ง คนทั้งสามรีบแยกย้าย ต่างไปสืบหาตามแนวทางที่ตกลงไว้ล่วงหน้า

    สิ่งที่ต้องหาคือดินปืนที่ค่ายพลเสินจีนำมา

    สำนักอู่ตังแม้ไม่รู้การทหาร แต่ใช้เหตุผลทั่วไปก็คาดการณ์ได้ว่าค่ายพลเสินจีใช้ปืนกับปืนใหญ่เป็นกำลังหลัก จึงต้องนำดินปืนจำนวนมากมาด้วยเป็นแน่ คลังดินปืนคือท่อน้ำเลี้ยงของกองทัพที่ก้าวหน้าที่สุดในแผ่นดินขบวนนี้*

    …ในความเป็นจริงดินปืนที่ค่ายพลเสินจีทั้งค่ายครอบครองมีมากถึงหนึ่งหมื่นกว่าชั่ง ครั้งนี้แม้เคลื่อนพลเพียงครึ่งค่ายและลดจำนวนอาวุธ แต่ดินปืนที่พกมาเขาอู่ตังยังคงมีมากราวสี่พันชั่ง

    การดูแลดินปืนคือเรื่องที่อันตรายสุดขีด ด้วยเหตุนี้ค่ายพลเสินจีจึงไม่มีทางเก็บซ่อนมันไว้ที่จุดเดียวเป็นอันขาด แต่หากแบ่งแยกมากเกินไปก็ยากที่จะดูแล อีกทั้งง่ายต่อการเกิดเหตุสุดวิสัย ด้วยเหตุนี้คลังดินปืนต้องควบคุมอยู่ในจำนวนที่แน่นอน

    หน้าที่ของอสรพิษน้ำตาลแห่งอู่ตังคือสืบหาคลังเก็บดินปืนทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ให้ได้ แล้วค่อยระเบิดทำลายในรวดเดียวภายใต้ความไม่รู้เรื่องรู้ราวของศัตรู

    ‘ขันทีแซ่จางเขียนหนังสือประกาศให้ยอมจำนนฉบับนี้ด้วยความหวังดี แต่ระหว่างบรรทัดตัวอักษรกลับหลุดมาว่า…’ สามวันก่อนในการประชุมครั้งนี้เหยาเหลียนโจวชูหนังสือประกาศให้ยอมจำนนพลางกล่าว ‘ค่ายพลเสินจี คือสิ่งล้ำค่าที่จักรพรรดิจูโฮ่วจ้าวและราชสำนักต้าหมิงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมเห็นมันได้รับความเสียหายเป็นอันขาด’

    สีหน้าของเหยาเหลียนโจวไม่ต่างจากวันที่บุกเดี่ยวขึ้นเขาฮว่าซาน ครั้งนั้นมันไม่แยแสความเป็นต่อด้านจำนวนของศัตรู เพียงแผ่เผยความเยือกเย็นที่มีขณะทุ่มเทจิตใจต่อสู้อย่างสุดชีวิต

    ‘พวกเราย่อมไม่อาจโค่นล้มราชสำนัก แต่ทำให้พวกมันเจ็บปวดและหวาดกลัวได้ ให้พวกมันมองเห็นผลตอบแทนอันน่ากลัวของการเป็นศัตรูกับอู่ตัง ให้พวกมันมิกล้ากล่าวถึงชื่อของพวกเราอีกนับจากนี้ไป ให้พวกมันรู้อย่างแจ่มชัดว่าอู่ตังมิอาจพิชิต’

    เหยาเหลียนโจวไม่เชี่ยวชาญวิชาทหาร เพียงอาศัยความรู้กับสัญชาตญาณของวิถียุทธ์ประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์ทางทหาร แต่กลับถูกต้องแม่นยำอย่างยิ่ง…ต้องใช้ศิษย์สามร้อยคนบนเขาอู่ตังขับไล่ราชองครักษ์ที่มียุทโธปกรณ์ครบถ้วนสี่พันกว่าคน นี่คือกลยุทธ์ที่ได้ผลที่สุด

    แต่ในขณะเดียวกันก็ลำบากที่สุด จะลอบเข้าไปสืบค้นค่ายศัตรูหลายคนติดต่อกัน มิเพียงต้องล่าถอยพร้อมกันทั้งหมด อีกทั้งมิอาจทิ้งร่องรอยที่ชวนให้เกิดความสงสัยเป็นอันขาด…หาไม่ฝ่ายศัตรูก็จะเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บดินปืนทันที อีกทั้งยังเพิ่มความระมัดระวังทำให้กลยุทธ์เสียเปล่าทั้งหมด มองดูศิษย์อู่ตังโดยรอบก็มีเพียงอสรพิษน้ำตาลที่รับภารกิจนี้ได้

    …ในปีนั้นกงซุนชิงจัดโครงสร้างของศิษย์อู่ตังใหม่อีกครั้งด้วยความตั้งใจ ก่อตั้งสายพญางูและคัดเลือกอสรพิษน้ำตาลเพื่อดำเนินการฝึกพิเศษ พิสูจน์ให้เห็นว่ามองการณ์ไกลอย่างยิ่ง

    ฝานจงผ่านประสบการณ์สองคืนก่อน รู้แล้วว่ากระโจมเก็บดินปืนของค่ายพลเสินจีมีเอกลักษณ์อันใดบ้าง เช่นระยะห่างกับกระโจมที่ใช้พักผ่อนของทหาร วัสดุของกระโจมค่อนข้างหนา ยากต่อการจุดไฟเผา นอกกระโจมติดตั้งถังไม้ที่บรรจุเต็มไปด้วยทรายเพื่อใช้ดับไฟในยามคับขัน

    หาได้อีกสักแห่งก็พอแล้ว ฝานจงคิดในใจ สองคืนก่อนหน้าพวกมันแน่ใจแล้วว่ามีคลังดินปืนอยู่เจ็ดแห่ง คืนนี้กลุ่มของมันกับอสรพิษน้ำตาลอีกกลุ่มหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ขอเพียงต่างสืบหาคลังดินปืนได้อีกแห่งเดียว การแบ่งแยกเก้าจุดก็จะปกคลุมค่ายศัตรูเท่าๆ กัน คืนพรุ่งนี้ค่อยระเบิดรวดเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างความปั่นป่วนทั่วทั้งกองทัพ หากดินปืนของค่ายพลเสินจีถูกทำลาย อาวุธปืนแสนวิเศษที่นำมาก็ไม่ต่างกับของประดับอันหนักอึ้ง สูญเสียทหารอาวุธปืนไปแล้วหากยังคิดสู้อีกก็ต้องเผชิญหน้ากับคมกระบี่ของสำนักอู่ตังโดยตรง

    และการต่อสู้ด้วยคมอาวุธคือโลกของสำนักอู่ตังโดยสมบูรณ์

    …บัดนี้ขาดเพียงก้าวเดียว คืนพรุ่งนี้พวกเราก็จะจุดสะเก็ดไฟแห่งชัยชนะล่างเขาอู่ตัง

    ฝานจงโฉบผ่านระหว่างทหารลาดตระเวนสามคนเสมือนเงาภูตผี ฝีมือกับสีหน้ามันเยียบเย็นเช่นเคย ทว่าภายในกลับโลหิตเดือดพล่าน

    หลายปีมานี้เพื่ออุทิศให้งานครองอำนาจของอู่ตัง สายพญางูยอมถอยอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด มองดูสหายร่วมสำนักสายพลอีกาปราบปรามทั่วสารทิศ หรือสายเต่าพิทักษ์แสดงฝีมือต่อหน้าพระพักตร์ ได้รับเกียรติยศสูงสุด

    ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าหากลอบโจมตีสำเร็จ วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในรอบสองร้อยปีของสำนักอู่ตังก็จะถูกขจัดไปโดยกำลังของสายพญางูผู้เดียว อีกทั้งใช้เพียงกำลังของคนทั้งเก้าแห่งอสรพิษน้ำตาลเอาชนะกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลก ณ ปัจจุบัน ชื่อเสียงบารมีของอู่ตังจะสะท้านอดีตส่องสว่างสืบไปนับจากนี้ ‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ ที่แท้จริง

    คิดถึงตรงนี้ฝานจงพลันระลึกถึงรองเจ้าสำนักคนที่สามผู้นั้นบนเขาอู่ตังขึ้นมา

    ข้าจำได้ว่าเคยได้ยินคำพูดใกล้เคียงกันที่มันเคยกล่าว…มันกล่าวว่าหากมิกล้าท้าทายอำนาจของราชสำนัก จะได้ชื่อว่า ‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ ได้อย่างไร…

    ฝานจงหลับตากัดริมฝีปาก สลัดความทรงจำของรองเจ้าสำนักซางออกไปสุดกำลังและสืบหาที่อยู่ของคลังดินปืนสืบต่อ

    มันกับเถียนเหยียนและหลี่อี้เชินนัดหมายกันแล้วให้สืบหาอยู่ในพื้นที่ค่ายหกเค่อ* เมื่อถึงเวลาก็จะรวมตัวกันที่จุดแยกย้ายเมื่อครู่ (ศิษย์สายพญางูล้วนได้รับการฝึกพิเศษ ไม่จำเป็นต้องอาศัยสัญญาณใดๆ ขณะเดินสามารถนับเวลาในใจได้เอง) ระยะเวลาในการสืบหานี้มีขีดจำกัด หาไม่จะยิ่งอันตรายและหนีออกจากค่ายศัตรูก่อนแสงอรุณปรากฏไม่ทันเป็นแน่

    ฝานจงหลบทหารลาดตระเวนได้หลายกลุ่ม และได้พบเจอกับทหารที่เดินออกกระโจมมาปลดทุกข์ ด้วยการหลบซ่อนในความมืดมิดมันจึงมิถูกจับได้ ฝานจงเขียนอักษร ‘เค่อ’ ครั้งที่สี่กลางฝ่ามือก็หมายความว่าผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว เวลาที่เหลือไม่มากแล้ว แต่ยังคงมิอาจหาที่อยู่ของคลังดินปืนพบ มันจำใจหวังให้อีกสองคนหาพบ

    ในยามนี้เองฝานจงพบกระโจมที่วัสดุหนาหนักเป็นพิเศษหลังหนึ่งในที่สุด หัวใจมันเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยและแนบร่างติดกระโจมลอบก้าวไปด้านหน้าช้าๆ อาศัยชำเลืองจากหางตา เห็นเพียงหน้าประตูกระโจมเฝ้าไว้ด้วยทหารสองคน มิได้ก่อไฟจุดโคม อาศัยเพียงกองไฟของพื้นที่ค่ายที่อยู่ค่อนข้างไกลส่องสว่าง ฝานจงสำรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง มองเห็นสองคนนี้ล้วนพกเพียงดาบและโล่ มิได้พกปืนไฟ บนพื้นข้างกายพวกมันวางไว้ด้วยถังไม้สิบกว่าใบ

    อาศัยประสบการณ์ก่อนหน้า ฝานจงแน่ใจเก้าส่วนว่ากระโจมนี้คือคลังดินปืนอีกแห่งหนึ่ง มันวาดตำแหน่งนี้ลงบนแผนที่ในความทรงจำ ในขณะเดียวกันก็สืบเท้าเบาและเงียบกว่าก่อนหน้าถอยไปด้านหลัง เตรียมกลับสู่จุดรวมตัว

    การสอดแนมทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว

    คืนพรุ่งนี้ประวัติศาสตร์ของสำนักอู่ตังจะเพิ่มหน้าแห่งเกียรติยศอีกหนึ่งหน้า

    แต่ในขณะที่ฝานจงออกห่างจากกระโจมไม่ถึงห้าก้าวก็พลันได้ยินสุ้มเสียงประหลาด

    เหมือนประทัด แต่ความรุนแรงในการระเบิดกลับมากยิ่งกว่า เสียงดังจากที่ไกลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

    หัวใจของฝานจงเหมือนจมเข้าสู่น้ำแข็งในชั่วขณะ

    ความพยายามกับการเตรียมตัวทั้งหมดในสามคืนที่ผ่านมาพังทลายลงในชั่วพริบตาท่ามกลางเสียงปืน

    อสรพิษน้ำตาลที่รับหน้าที่สืบหาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือถูกจับได้และถูกโจมตีใช่หรือไม่ หรือเป็นเพียงทหารของค่ายพลเสินจีคนใดยิงพลาดด้วยความแคลงใจ ไปจนถึงเพียงแค่เสียงปืนลั่น? สิ่งนี้ไม่สำคัญแล้ว

    สิ่งที่สำคัญคือทัพศัตรูต้องเพิ่มความระแวดระวังด้วยเหตุนี้เป็นแน่ อีกทั้งสืบหาร่องรอยการบุกรุกของสำนักอู่ตังอย่างละเอียด หากหัวหน้าราชองครักษ์คือผู้มีความสามารถที่ชำนาญสงคราม ย่อมต้องเปลี่ยนตำแหน่งและยามป้องกันคลังดินปืนเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยเป็นแน่…

    ก็หมายความว่ากลยุทธ์ลอบโจมตีของอสรพิษน้ำตาลดับสิ้นแล้ว

    ขณะนี้ฝานจงนึกถึงไส้ศึกที่ยังคงซุ่มซ่อนอยู่ในสำนักอู่ตัง หรือว่ามีคนแอบส่งข่าว? แต่การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพวกมันเป็นความลับอย่างยิ่ง ผู้รู้ข่าวมีเพียงสิบกว่าคนที่ร่วมประชุมในตำหนักเจินเซียนวันนั้นกับอสรพิษน้ำตาลที่รับหน้าที่ปฏิบัติการ ฝานจงเชื่อใจคนทั้งหมดนี้ อสรพิษน้ำตาลยามปกติความเคลื่อนไหวบนเขาอู่ตังก็ลึกลับอยู่แล้ว ครั้งนี้ภารกิจลอบเร้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะถูกสหายร่วมสำนักรู้…นี่คือสาเหตุสำคัญเช่นกันที่เหยาเหลียนโจวตัดสินใจใช้อสรพิษน้ำตาลและมือดีวิชาตัวเบาสายพญางูที่ไม่ธรรมดา

    เป็นการกระทำของไส้ศึกหรือว่าสหายร่วมสำนักพลาดท่ากันแน่ ฝานจงมิอาจชี้ขาดได้ในตอนนี้ สถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวายชั่วขณะ บัดนี้อย่าว่าแต่ผลแพ้ชนะของแผนการลอบโจมตี แม้กระทั่งอสรพิษน้ำตาลเช่นพวกมันทั้งหลายจะหลบหนีได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้

    นี่คือบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ต่อการตัดสินใจของฝานจง เฉกเช่นช่วยเหลือเจ้าสำนักเหยาคราวก่อน

    และมันก็ตัดสินใจอย่างเฉียบขาดได้ทันใด

    …คลังดินปืนของศัตรูอยู่ตรงหน้าพอดี จับจังหวะที่เหลืออยู่ มอบความเสียหายที่ใหญ่ที่สุดให้ศัตรู

    ครั้นตัดสินใจได้ อสรพิษน้ำตาลจะไม่สงสัยเป็นอันขาด จากสายลับลอบสำรวจเปลี่ยนเป็นมือสังหาร

    เงาร่างฝานจงดั่งวายุ ลอยลิ่วไปยังประตูกระโจมของคลังดินปืน ในขณะเดียวกันมือทั้งสองยื่นเข้าไปใต้สาดคาดเอวแล้ว

    ราชองครักษ์ที่รับหน้าที่เฝ้าป้องกันสองคนเพิ่งได้ยินเสียงปืนจากที่ไกล ยังไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขณะกำลังยกโล่ชักดาบออกมาจากเอว กระแสลมเฉียบคมสองสายก็โฉบผ่านบนขอบโล่ พุ่งเข้าคอหอยของคนทั้งสองไปแล้วในระยะเวลาเพียงชั่วฟาดฝ่ามือ

    ราชองครักษ์แม้มีเกราะศึกยอดเยี่ยมป้องกัน แต่มิอาจครอบคลุมร่างกายทั้งหมด ภายใต้ยอดวิชาอาวุธลับของฝานจง อีกฝ่ายไม่ต่างกับหุ่นไม้และเป้าที่ใช้ฝึกฝน

    เพื่อที่จะลดน้ำหนัก ฝานจงพกเพียงกระบี่บินที่สันทัดสองเล่ม ใช้มีดสั้นทำศึกประชิดตัวเป็นหลัก ที่เหลือล้วนเป็นใบมีดเหล็กที่ค่อนข้างเบา แต่โจมตีบนจุดสำคัญถึงแก่ชีวิต คนทั้งสองยังไม่ทันเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ ปลายของใบมีดเหล็กก็ปักลึกเข้าลำคอจนกระอักเลือดทิ้งดาบและโล่ลง ร่างที่สวมชุดเกราะล้มทรุดลงตาม

    ท่าร่างของฝานจงมิได้หยุดชะงักเพราะปล่อยใบมีดแม้แต่น้อย มันพุ่งเข้ากระโจมในอึดใจเดียว ในกระโจมมืดดำ มันอาศัยเพียงยื่นมือสัมผัส จับไหใบหนึ่งที่ใกล้ตนเองที่สุดในกระโจมได้ คาดเดาว่าต้องบรรจุดินปืนไว้อย่างมิต้องสงสัย จึงรีบชักกระบี่สั้นในผ้าพันขาออกมาแทงทะลุปากปิดและจุกไม้ เทดินปืนออกมา

    มันกำลังจะโยนสายชนวนที่ใช้จุดไฟเส้นหนึ่งออกไปนอกประตูกระโจม แต่กลับได้ยินเสียงเท้าที่สวมรองเท้าศึกสิบกว่าคู่วิ่งมาด้านนี้ ใกล้เข้ามาอย่างยิ่งแล้ว

    ไม่มีเวลาเพียงพอจะสร้างสายชนวนเส้นหนึ่งที่ทั้งระเบิดคลังดินปืนได้ และมีระยะห่างพอให้หลบหนีโดยสวัสดิภาพ ทำได้เพียงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ฝานจงลูบกลักจุดไฟทรงกระบอกเล็กๆ ที่เก็บซ่อนอยู่ในอกเสื้อ ชั่ววูบนั้นมันคิดใช้ชีวิตของตนเองมาแลกกับการระเบิดในครั้งนี้ แต่มันจำคำพูดที่เจ้าสำนักเหยาเคยกล่าวก่อนเคลื่อนพลคืนแรกได้

    ‘เหมือนเช่นค่ายพลเสินจีแห่งราชสำนัก อสรพิษน้ำตาลเองก็เป็นสิ่งล้ำค่าของสำนักอู่ตังเช่นกัน’ เหยาเหลียนโจวกล่าว ‘วรยุทธ์ของพวกเรา แต่ไรมาไม่เคยใช้ความตายแสวงหาชัยชนะสักครั้ง นอกจากพวกเจ้าแน่ใจว่าหมดทางรอดแล้วแน่ๆ หาไม่ต่อให้ใช้พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไปแลกปืนใหญ่สิบกระบอกหรือราชองครักษ์หนึ่งร้อยคน สำหรับสำนักอู่ตังล้วนไม่คุ้มค่า’

    เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าสำนัก…หลักการข้อนี้สำหรับอสรพิษน้ำตาลแล้วเฉกเช่นกฎที่สลักเสลาอยู่บนแผ่นเหล็ก

    ฝานจงหมุนตัวพุ่งออกจากคลังดินปืน มันมองเห็นทหารมากมายเร่งมาจากสองทิศทางดังคาด ระดับการป้องกันของค่ายพลเสินจีเข้มงวดกว่ากองทัพปกติ เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะมีทหารพิเศษมาสนับสนุนยังสถานที่สำคัญ

    ในความเป็นจริง…ในสามคืนนี้ฝานจงได้เปิดหูเปิดตาระเบียบวินัยของราชองครักษ์แล้ว หากไม่มีวิชาตัวเบาสุดยอดเช่นวิชาไต่เมฆา คนทั่วไปมิอาจบุกเข้าพื้นที่ค่ายแห่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

    ทหารราบสองขบวนล้วนสวมเพียงเกราะผ้าสั้น มือถือโล่หวายและดาบคาดเอว ทหารเกราะเบานี้เห็นได้ชัดว่าใช้สนับสนุนอย่างรวดเร็วในพื้นที่ค่าย ทุกด้านล้วนมีสองคนถือโคมไฟแผ่นเหล็กที่ค่อนข้างปลอดภัย อีกทั้งลู่ไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อป้องกันพลาดติดดินปืน

    ทหารอาศัยแสงไฟ มองเห็นพวกพ้องสองคนที่ล้มอยู่หน้าประตูกระโจมคลังดินปืนแล้ว และยังมีเงาดำที่เพิ่งถลันออกมา

    ภายใต้การขนาบจากสองทาง ฝานจงปราศจากช่องโหว่ให้หลบหนีได้ มันแกว่งมือซ้าย ขว้างสิ่งที่อยู่ในมือกำใหญ่ออกไปยังทหารที่มาจากทางทิศใต้

    ทหารรู้สึกว่ามีวัตถุเหมือนทรายกำหนึ่งสาดมาซึ่งหน้าท่ามกลางความมืดมนก็หวีดร้องอย่างตื่นกลัวผิดปกติ เท้าชะงักไม่ก้าวไปข้างหน้าต่อในทันที

    ฝานจงอาศัยช่วงเวลาว่างที่หาได้ยากนี้พุ่งผ่านเบื้องหน้าพวกมันไป ทหารราบที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่งในนั้นฟันขวางใส่เงาร่างของฝานจงตามสัญชาตญาณหนึ่งดาบ แต่ชั่วขณะก่อนจะฟันถูก ร่างในชุดดำของฝานจงหดท้องโก่งหลังเสมือนแมว ปลายดาบโฉบผ่านหน้าท้องมันสองชุ่น ฝานจงหาได้หยุดชะงักไม่ มันพลิกจับกระบี่สั้นในมือขวากรีดไปสถานการณ์อย่างเร่งร้อน คมกระบี่ฟันข้อพับแขนที่เกราะผ้ามิได้ป้องกันของทหารราบผู้นั้นอย่างแม่นยำ ตัดเส้นเอ็นจนขาด โลหิตสดสาดกระเซ็นท่ามกลางความมืด ทหารผู้นั้นแขนห้อยลงภายใต้เสียงแผดร้อง ดาบคาดเอวร่วงหล่นลงพื้น

    ทหารราบถูกฝานจงทำให้ตกใจ คิดว่าสิ่งที่มันโปรยออกคือดินปืน เกรงว่าจะติดไฟระเบิด ระหว่างเดินหลบจึงเปิดช่องโหว่ให้ฝานจงหลบหนี รอจนแน่ใจว่าความจริงนั่นคือดินทรายดับไฟที่ฝานจงกำมาจากหน้าประตูกระโจม ความตื่นตระหนกก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว พวกมันก็รวมกลุ่มกับพวกพ้องอีกด้านหนึ่งไล่ตามฝานจงไปทันที

    ฝานจงวิ่งออกสองก้าว แขนขวาเหวี่ยงจากด้านล่างไปข้างหลังโดนไม่หันมอง ในมือบังเกิดเสียงแหวกฝ่าอากาศอันแหลมเล็ก

    ใบมีดเหล็กสองดอกซัดออกด้วยเพลงหัตถ์จำเพาะอันไร้ซึ่งเค้าลางนี้ ดอกหนึ่งปักบนผ้าหนาตรงหน้าอกของทหารราบนายหนึ่ง หาได้เข้าเนื้อไม่ ดอกที่สองกลับแทงเข้าปรางแก้มอีกคนหนึ่ง

    เพลงหัตถ์ปล่อยใบมีดของฝานจงไม่ต้องใช้สายตา ทั้งหมดใช้เพียงความรู้สึกขว้างออกไป หาได้แม่นยำเต็มเปี่ยมไม่ แต่ใช้เพื่อข่มขู่ทหารที่ไล่ตาม ใบมีดหนึ่งถูกใบหน้าแม้ไม่ถึงชีวิต แต่ทหารนายนั้นยังคงปิดหน้าล้มลงด้วยความเจ็บปวดจนคนอื่นต่างตกใจยกโล่หวายขึ้นป้องกันใบหน้า ภายใต้ท่วงท่ายกโล่เช่นนี้ ฝีเท้าที่ไล่โจมตียิ่งช้าลง ฝานจงจึงยืดระยะออกได้ในพริบตาเดียว

    ฝานจงวิ่งไปยังจุดที่นัดหมายด้วยความเร็วทั้งหมดเพื่อรวมตัวกับเถียนเหยียนกับหลี่อี้เชิน แล้วค่อยหลบหนีไปด้วยกัน

    ราชองครักษ์แม้เป็นผู้กล้าหาญที่ถูกคัดเลือก แต่สวมเกราะศึกซ้ำยังถืออาวุธและโล่ หากวัดกันด้วยความเร็วฝีเท้าอย่างเดียวล่ะก็ ฝานจงย่ำเท้าไม่กี่ทีก็หนีห่างไปไกลได้

    ทว่าฝานจงอยู่ในพื้นที่ค่ายกลับมิอาจหลบหนีเป็นเส้นตรง ทุกแห่งล้วนได้ยินเสียงปืนและเสียงคน รวมถึงนักรบที่เดินออกมาจากกระโจมคอยสกัดทางไปของมันเอาไว้ตลอดเวลา ฝานจงทำได้เพียงหลบเลี่ยงไม่หยุดหย่อน วกไปวนมาระหว่างกระโจม เคราะห์ดีที่ยังคงเป็นกลางดึก ฝานจงถูกมองเห็นได้ไม่ง่ายในความมืดมิด กลับกันฝานจงกลับมองเห็นโคมไฟและคบเพลิงที่ทหารพกพาอยู่ได้ก่อน ทำให้อ้อมการซุ่มโจมตีได้

    ราชองครักษ์ที่ตกใจตื่นกลับมากขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ อุดทางผ่านระหว่างกระโจมเอาไว้ ฝานจงหยุดฝีเท้าลงมิได้สักนิด ต้องเร่งหลบหนีก่อนตาข่ายล้อมจับนี้จะหุบรวบทั้งหมด

    ในที่สุดก็ถึงกระโจมแถวนอกวงล้อมที่สุด ฝานจงใช้ความสามารถในการมองเห็นยามค่ำคืนเหนือมนุษย์กวาดมอง มองเห็นเถียนเหยียนนั่งย่อรอคอยอยู่ข้างกล่องกองหนึ่งแล้ว และหลี่อี้เชินที่วิชาตัวเบาด้อยกว่าคนทั้งสองเล็กน้อยก็ปรากฏตัวจากทางทิศเหนือแล้ว ด้านหลังนำมาด้วยทหารที่ไล่ตามกลุ่มใหญ่

    อสรพิษน้ำตาลสามคนอยู่ร่วมกันเช้าค่ำขณะฝึกฝน รู้ใจกันดียิ่ง เถียนเหยียนมองเห็นพวกพ้องสองคนเร่งมาถึงแล้ว จึงรีบกระโดดออกมาจากที่หลบซ่อน วิ่งไปยังคูคลองทางทิศใต้ เหวี่ยงแขนทั้งสองไปข้างหน้าพร้อมกันขณะห่างจากปากคลองยี่สิบกว่าก้าว

    หน้าปากคลองนั้นเฝ้าไว้ด้วยทหารลาดตระเวนค่ายพลเสินจีที่ถือปืนไฟปล่องยาวสี่นาย กำลังชูคบเพลิงขึ้นสำรวจดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ด้านหน้าก็พลันแวบเงาดำออกมา ยังมองเห็นไม่ชัดว่าคืออะไร วัตถุเย็นเยียบหลายชิ้นก็ปักเข้าใบหน้าสามคนในนั้นแล้ว เป็นศรหัวแฉกที่เถียนเหยียนปล่อยออกด้วยสองมือ

    เถียนเหยียนซ้อนใบมีดบินไว้ด้วยกันแล้วขว้างออกเช่นนี้ อานุภาพและความแม่นยำย่อมมิสู้จดจ่อเป้าหมายด้วยใบมีดเดียวเช่นยามปกติ แต่ยังคงโจมตีถูกจุดอ่อนเช่นดวงตาและลำคอ ทำให้มือปืนสามคนแผดร้องก้มลง

    มือปืนอีกคนหนึ่งมิได้ถูกใบมีด มองเห็นเถียนเหยียนพุ่งมาก็รีบใช้ปืนไฟต่างค้อนสำริดด้ามยาวแกว่งทุบไปยังศีรษะของเถียนเหยียน

    เถียนเหยียนกลับพลันหายวับไปจากเบื้องหน้ามัน

    ที่แท้เถียนเหยียนถือโอกาสวิ่งกระโจนลงพื้น ย่อร่างวูบลงต่ำกว่าสายคาดเอว ลอยเรี่ยพื้นไปข้างหน้า หลบการหวดของปืนไฟอันหนักอึ้งนั้นได้ และถือโอกาสใช้ไหล่ซ้ายกระแทกข้างเข่าซ้ายของมือปืนผู้นั้น มือปืนที่กำลังเหยียบพื้นฟาดโจมตีสุดกำลัง ข้อต่อเข่าไหนเลยจะรับการพุ่งชนจากด้านข้างด้วยแรงทั่วร่างนี้ได้ เข่าของมันบังเกิดสุ้มเสียงกระดูกแตกหัก ทั้งร่างพลิกล้มลงพื้น ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

    ในขณะเดียวกันกับที่เถียนเหยียนกำจัดสิ่งกีดขวางทางข้างหน้า ฝานจงและหลี่อี้เชินก็เร่งมาถึงแล้ว คนทั้งสามไม่แม้แต่จะหยุดมองกันสักแวบ ต่างวิ่งไปยังคูคลองนั้นสืบต่อ

    ก่อนจะถลันเข้าคลองตื้น ฝานจงกลับเหลือบเห็นด้านหลังทางซ้ายมีแสงสว่างของคบเพลิงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ห่างจากพวกมันประมาณสี่สิบก้าว

    ในแสงไฟเห็นได้ว่ามีคนมากมายเรียงแถว บ้างคุกเข่าบ้างยืนอยู่ ในมือล้วนถือไว้ด้วยสิ่งของประเภทหนึ่ง

    ฝานจงแต่ไรมาไม่เคยเห็นว่าอาวุธของค่ายพลเสินจีใช้งานเช่นไร แต่สัญชาตญาณบอกมันว่าท่าไม่ดีอย่างยิ่ง

    “หมอบ…”

    เสียงระเบิดต่อเนื่องเป็นระยะ หนักหน่วงทรงพลังกว่าประทัดในงานเทศกาลมาก เหมือนเช่นอากาศธาตุพลันถูกฉีกขาดก็ปาน

    ฝานจงเปิดหูเปิดตาเป็นครั้งแรกในชีวิตถึงอานุภาพแท้จริงของอาวุธสังหารคนอันแปลกตานั้น

    สำหรับนักสู้ที่เชื่อถือในร่างกายกับคมกระบี่แล้ว มันราวกับถลันเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักอีกใบหนึ่ง

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook