ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 12 บทที่ 2
บทที่ 2
กระบี่กับไฟ
ภายใต้การเรียงแถวยิงของทหารปืนค่ายพลเสินจี หลี่อี้เชินที่วิ่งอยู่ด้านซ้ายของฝานจงก็ระเบิดหยดเลือดออกมาจากสีข้างและหัวไหล่ดั่งถูกหมัดหนักโจมตี ทั้งร่างสั่นกระตุกล้มลง
ฝานจงพยุงมันเอาไว้จากด้านข้างได้ทัน ฝ่ามือลูบถูกความเปียกชุ่ม ในขณะเดียวกันรู้สึกว่าหลี่อี้เชินที่กำยำทั้งร่างล้วนกำลังสั่นเทา
“ไป…ไปต่อ!” หลี่อี้เชินเค้นคำพูดนี้ออกจากไรฟัน ขาทั้งสองก้าวเท้าสืบต่อ แต่กลับรู้สึกว่าบนขาเหมือนมัดไว้ด้วยก้อนตะกั่ว มิอาจออกแรงสำแดงวิชาไต่เมฆาที่สันทัดที่สุดในยามปกติได้แล้ว
ฝานจงกับเถียนเหยียนจับเสื้อผ้าของหลี่อี้เชินเอาไว้ทั้งซ้ายขวา ฉุดชักมันเดินไปข้างหน้า หวังนำมันเข้าที่กำบังของคูคลองก่อนค่อยว่ากัน ในใจพวกมันหวังว่าหลี่อี้เชินแค่ใช้แรงมิได้ชั่วขณะ พักผ่อนสักหน่อยก็คงหลบหนีได้อีก
…มันคือสายพญางูแห่งอู่ตังเชียวนะ ต่อให้มีเพียงขาข้างเดียวก็ไม่มีทางวิ่งแพ้ทหารเหล่านี้
ทว่าพวกมันประเมินพลังทำลายล้างอันเหนือกว่าร่างกายมนุษย์จะทานรับของปืนไฟต่ำเกินไป ลูกกระสุนที่ยิงเข้าข้างเอวหลี่อี้เชินชอนไชส่วนลึกภายในของมันแล้ว
ยามนี้ฝานจงเหลือบเห็นกองปืนของค่ายพลเสินจีเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังเพิ่งยิงอย่างพร้อมเพรียงเสร็จสิ้น มือปืนแถวหน้าก็รีบยื่นปืนไฟที่ยังคงคุกรุ่นไปยังแถวที่สองและรับอาวุธปืนที่บรรจุแล้วอีกชุดหนึ่งมา ตั้งท่าถือปืนเล็งไปยังพวกฝานจงทั้งสามอีกครั้ง มือซ้ายใช้ท่อนเหล็กร้อนระอุจุดชนวนบนปืน
หลี่อี้เชินมิได้หันหน้ามองดู แต่จากท่าทางของฝานจงก็รับรู้ได้ว่าด้านหลังจะมีการโจมตีรอบที่สองมาอีกแล้ว
ในขณะเดียวกันก็มีเพียงตัวมันเองที่กระจ่างแจ้งที่สุดว่าร่างกายนี้ยังคงเดินได้เร็วและไกลอีกเท่าใด
…ไม่อาจกลับเขาอู่ตังได้อีกแล้ว
เป็นอสรพิษน้ำตาลล้วนต้องชี้ขาดอย่างเยือกเย็นที่สุดได้ทุกเมื่อ
นั่นคือครั้งสุดท้ายในชีวิตที่มันใช้วรยุทธ์ของสำนักอู่ตังออกมา…‘ฝ่ามือผลักภูผาอู่ตัง’
ฝ่ามือทั้งสองซ้ายขวาประทับใต้รักแร้ของฝานจงและเถียนเหยียน
หลี่อี้เชินคืออันดับหนึ่งแห่งการต่อสู้ด้วยมือเปล่าในอสรพิษน้ำตาล พลังหมัดและฝ่ามือยามปกติรวดเร็วรุนแรง ยามนี้พลังที่ออกกระบวนท่ากลับมีเพียงสามสี่ส่วนของยามปกติ แต่ฝานจงและเถียนเหยียนไม่ทันป้องกัน ถูกโจมตีจุดอ่อนใต้รักแร้จึงจับชุดดำของหลี่อี้เชินไว้ไม่อยู่อีก ถูกพลังฝ่ามือนี้ผลักจนโถมโซเซไปข้างหน้า
ฝานจงตอบสนองเร็วที่สุด นิ้วทั้งห้าพอห่างจากเสื้อผ้าของหลี่อี้เชินก็แกว่งมือคว้าจับอีก แต่ทำได้เพียงดึงผ้าโพกศีรษะของมันลงมา
“ไป!” หลี่อี้เชินตะโกนสุดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ในขณะเดียวกันพยายามยืนตรงสุดกำลัง ใช้ร่างขวางอยู่เบื้องหน้าสหายร่วมสำนักสองคน
เสียงระเบิดจากการยิงกระหน่ำรอบที่สองฉีกนภาราตรีขาดอีกครั้ง
ฝานจงกับเถียนเหยียนมิได้หันหน้ามองดูสักแวบ พวกมันอาศัยแรงผลักของหลี่อี้เชินเพิ่มความเร็ว ก้าวยาวไปข้างหน้ากระโดดเข้าในคลองตื้น
ฝานจงเก็บผ้าโพกศีรษะของหลี่อี้เชินเข้าในอกเสื้อ
…การรับน้ำใจส่วนนั้นไว้เงียบๆ คือการแสดงความเคารพสูงสุดต่อการเสียสละของพวกพ้อง
เพิ่งกระโดดเข้าสู่คลองตื้น คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าถ่ายทอดมาจากที่ไกลด้านนอก
สำนักอู่ตังรู้ดีว่าวิทยายุทธ์สำนักต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็มีขีดจำกัด สู้รบกับกองทัพค่ายพลเสินจี การคุกคามที่ใหญ่ที่สุดย่อมเป็นอานุภาพไร้เทียบเทียมของปืนใหญ่ รองลงมาคือการไล่สกัดไปมาอย่างรวดเร็วของทหารม้า เหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธที่วรยุทธ์สุดยอดของสำนักอู่ตังยากจะต่อต้าน
ฝานจงและเถียนเหยียนก้มตัววิ่งไปสุดคลองตื้น ใช้ทั้งมือและเท้ากระโดดกลับขึ้นบนพื้นราบ อาศัยขณะที่ทหารยังไม่ตามมาไม่ถึง ถลันเข้าป่าในอึดใจเดียว คนทั้งสองเข้าสู่ความปลอดภัยชั่วคราวในที่สุด…ทหารม้ายากที่จะใช้ความเร็วทั้งหมดไล่ตามเข้ามาในป่าอันมืดมิดได้
หลังเดินเข้าส่วนลึกของป่าไม้อันหนาทึบไม่กี่สิบก้าว พวกมันก็มองเห็นแสงไฟของทหารที่ไล่ตามสว่างขึ้นจากทางด้านหลัง ฝานจงและเถียนเหยียนอาศัยต้นไม้กำบัง หลบหนีไปยังทิศทางเชิงเขาอู่ตังทางใต้โดยไม่หยุดพัก จำนวนทหารราบที่ไล่โจมตีแม้มีจำนวนมาก แต่ฝีเท้าห่างชั้นกับยอดฝีมือวิชาตัวเบาของอสรพิษน้ำตาลมากนัก คนทั้งสองจึงหาได้กังวลว่าจะถูกตามทันไม่
ความลำบากอยู่ด้านหน้า พวกมันแว่วเสียงกีบเท้าม้ากุบกับมาจากนอกป่า ชี้ขาดได้ว่ามีทหารม้ากลุ่มใหญ่อ้อมเส้นทางวิ่งตะบึงอยู่ด้านนอกเพื่อตัดเส้นทางขึ้นเขาของพวกมัน หากคนทั้งสองถูกกักอยู่ในป่าแห่งนี้ มิอาจหนีกลับเขาอู่ตังได้ทัน เมื่อฟ้าสว่างฝ่ายศัตรูก็จะส่งทหารราบนับร้อยพันออกมาเสาะหาล้อมจับก็ยากที่จะหนีพ้นได้อีก
พวกมันมองตากันแวบหนึ่ง ความคิดสื่อถึงกัน ไม่จำเป็นต้องหารือสักประโยคก็กำหนดแผนการได้แล้ว เถียนเหยียนล้วงนกหวีดไม้ออกมาจากถุงลับข้างเอวแล้วสูดหายใจลึกเป่ามันให้ดังสุดเสียง
เสียงนกหวีดอันยาวนานดังก้องป่าล่างเขา ถ่ายทอดตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
เป่านกหวีดเช่นนี้ย่อมเปิดเผยตำแหน่งของฝ่ายตนเอง แต่ขณะนี้ฝานจงและเถียนเหยียนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พอเป่านกหวีดเสร็จคนทั้งสองก็วิ่งตรงสู่เชิงเขาผ่านไปยังปากทางของอารามอวี้เจินสุดฝีเท้า
ทหารราบกลุ่มใหญ่ที่ชูคบเพลิงอยู่ด้านหลังได้ยินทิศทางที่มาของเสียงนกหวีดนี้ก็ยิ่งไล่โจมตีกระชั้นชิดขึ้น
คนทั้งสองเดินไปริมป่า ปากทางเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ที่ขวางอยู่เบื้องหน้ากลับเป็นแสงไฟแถวหนึ่ง เป็นทหารม้าเหล็กเด่นล้ำร้อยกว่านายสังกัดค่ายพลซานเชียน*
ของราชองครักษ์ตั้งเป็นรูปขบวนแล้ว และปิดแถบปากทางขึ้นเขาเอาไว้ทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีหกสิบนายเป็นทหารม้าปืนไฟของค่ายพลเสินจีที่ขณะนี้ลงจากม้า แบ่งเป็นหน้าหลังสามแถว ตั้งขบวนยิงไปยังป่า
หากมิใช่เพราะราชองครักษ์ถูกลอบโจมตีกลางดึก ทหารที่กำลังหลับฝันมากมายยังไม่ทันสวมเสื้อผ้า ทหารม้าที่ตามมาต้องมากกว่านี้เป็นแน่ แต่ด้วยจำนวนในตอนนี้รับมือกับนักสู้อู่ตังสองคน…ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเช่นไร…ก็นับว่าเหลือเฟือ
ทหารม้าที่รับหน้าที่นำทัพนามว่าเหลียงถิงสยง เคยสร้างความชอบในการรบแถบชายแดน อาศัยฝีมือที่แท้จริงได้รับคัดเลือกเข้าทัพทหารม้าค่ายพลซานเชียนแห่งราชองครักษ์ มีทั้งประสบการณ์ต่อสู้อย่างดุเดือดและมีความสามารถ หาไม่คงมิอาจนำหน้าสั่งกองทัพไล่สกัดและตีโอบมาถึงปากทางแห่งนี้ได้
แรกเริ่มเหลียงถิงสยงอยู่เมืองหลวงได้รับรายงานว่าต้องยกพลลงใต้มาปราบปรามสำนักในยุทธภพแห่งหนึ่งก็รู้สึกว่าศึกนี้เหลวไหลเป็นที่สุด ตลอดมาคิดว่าเป็นไปมิได้อย่างแน่นอนที่จะเปิดศึกจริง ไหนเลยจะคาดคิดว่าสำนักอู่ตังกลับส่งคนมาลอบโจมตีค่ายทหารยามค่ำคืน
พวกมันไม่เห็นหรือว่าทัพข้ามีคนเท่าใดที่ด้านล่างเขา กลับไม่ยอมรับประกาศให้ยอมจำนน?…ช่างเป็นคนบ้าโขยงหนึ่งโดยแท้…
มันไม่รู้ว่า ‘คนบ้า’ สำหรับสำนักอู่ตังแล้วคือคำชื่นชมสูงสุด
ทหารม้าสองร้อยกว่านายนี้ของเหลียงถิงสยงแม้เฝ้าเส้นทางสำคัญเอาไว้แล้ว แต่จารชนฝ่ายตรงข้ามยังคงอ้อมไปยังเชิงเขาทางตะวันออกได้ ปีนป่ายขึ้นไปบนหน้าผา ในใจมันวางแผนไว้แล้ว เมื่อทหารราบที่รอเข้ามาไล่โจมตีในป่าเร่งมาถึงก็เปลี่ยนให้พวกมันป้องกันปากทางนี้ ตนเองค่อยนำทหารม้าไปสกัดทางตะวันออก จารชนลอบโจมตียามค่ำคืนอาศัยเพียงสองขาก้าวเดิน ทหารม้าต้องปิดทางไปก่อนหน้าพวกมันหนีเข้าสู่ขุนเขาเป็นแน่ อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว ถึงเวลาจารชนถูกล้อมอยู่ในป่า ทหารราบของค่ายพลอู่จวิน* ก็เหมือนจับตะพาบในไห…
แต่ไม่รู้อย่างไรเหลียงถิงสยงยังคงรู้สึกไม่สบายใจ…นี่คือสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นจากการรอดชีวิตบนสมรภูมิ
เหมือนยังมีเรื่องหนึ่งที่มิได้สนใจ ใช่แล้ว…เสียงนกหวีดในป่าเมื่อครู่
…พวกมันจะแจ้งผู้ใด
เหลียงถิงสยงพอคิดถึงตรงนี้แผ่นหลังที่อยู่ใต้เกราะศึกก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมาทันที
มันชูดาบคาดเอวขึ้น สั่งการไปยังทหารม้าห้าสิบนายทางปีกซ้ายอย่างรีบร้อนเพราะพวกมันอยู่ใกล้ปากทางขุนเขานั้นที่สุด
“เลี้ยวไป…”
เหลียงถิงสยงยังไม่ทันกล่าวจบคำสั่ง กลับมองเห็นเงาร่างจำนวนมากพลันปรากฏในพุ่มไม้สองข้างทางขุนเขา ด้านหลังกองทหารม้าที่เรียงแถว เข้ามาใกล้ทหารม้าอย่างฉับไวไร้เทียบเทียม
คบเพลิงของทหารม้าสะท้อนคมอาวุธหลายสิบที่เพิ่มมาใหม่นั้น
คมอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า อาศัยความมืดซัดมาดั่งกระแสคลื่นที่เปล่งประกาย
ทหารม้าหลายนายที่อยู่ใกล้ปากทางขุนเขาที่สุดพบว่าศัตรูจู่โจมมาจากด้านหลัง หันหัวม้ากลับไม่ทันแล้วจึงรีบเอี้ยวตัวยกโล่รับการโจมตี
ประกายหนาวยะเยือกจุดหนึ่งดั่งลูกเกาทัณฑ์ ทะลุผ่านโล่หวายที่ยังมิได้ยกขึ้นสูงแผ่นหนึ่งในนั้น เสียบเข้าลำคอของทหารม้า ซ้ำยังใช้แรงหมุนบิดเป็นเกลียว รั้งพู่สีแดงที่เปื้อนเลือดกลับไป เป็นทวนทะลวงคอของหลี่ต้งมือดีสายพลอีกา
ในขณะเดียวกับที่ทหารม้าราชองครักษ์ผู้นั้นกระอักเลือดล้มลงจากอานม้า นักรบอู่ตังที่มากขึ้นกว่าเดิมก็บุกมาถึงกลางขบวนของกองทหารม้าแล้ว
ทหารม้าสองนายรู้สึกเพียงข้อพับขาที่ห้อยอยู่ข้างอานม้าเจ็บปวดรุนแรงวูบหนึ่งและทยอยแผดร้องตกลงจากม้า ลั่วเซินเฉวียนศิษย์สายพลอีกาโน้มตัวร่ายรำดาบเดี่ยวอยู่ระหว่างม้า สะบัดโลหิตสดบนคมดาบดุจดั่งบุปผาโลหิตเบ่งบานในยามวิกาล
ทหารม้าอีกสองนายคิดฉวยโอกาสนี้แทงทวนในมือจากเบื้องบนใส่แผ่นหลังของลั่วเซินเฉวียน แต่ด้ามทวนยื่นออกเพียงครึ่งหนึ่งก็ถูกจงย่าหนานมือดาบสายพลอีกาอีกคนหนึ่งใช้ดาบข่านเตาที่สั้นและกว้างคู่หนึ่งสกัดออก จงย่าหนานถือโอกาสตวัดดาบขวากลับ สองนิ้วมือขวาที่จับทวนของทหารม้าผู้นั้นก็พกพาโลหิตหลุดลอย
นักสู้อู่ตังที่กรูกันออกมาจากป่ามีสามสิบกว่าคน อาศัยพลังอำนาจที่ชวนให้สะพรึงนี้วิ่งฝ่าเข้าไปยังปีกซ้ายของขบวนทหารม้า ลมโลหิตพัดขึ้นเป็นระยะ
ไม่ว่าทหารม้าเหล็กเด่นล้ำเช่นไร ครั้นตกอยู่ในภาวะชะงักงันก็สูญเสียความได้เปรียบในการบุกโจมตีแล้ว ยิ่งเผชิญหน้ากับนักสู้ฝีมือฉับไวฝ่ายตนยิ่งเหมือนเป้านิ่งที่ทั้งสูงใหญ่และลนลาน
ขุนพลเหลียงถิงสยงมองเห็นทหารปีกซ้ายถูกจู่โจมก็รีบระดมพลทหารม้าข้างกายหันไปช่วยเหลือ กีบเท้าม้าตะกุยฝุ่นทรายกลุ่มใหญ่ขึ้น ทหารม้ายกอาวุธ ปลุกระดมตีกลับท่ามกลางเสียงตะโกนอันฮึกเหิม
ศิษย์อู่ตังกลับมิได้กล่าวสักคำขณะต่อสู้ พวกมันแทงอาวุธไปยังตำแหน่งที่ไม่มีชุดเกราะป้องกันบนร่างศัตรูเงียบๆ
มือปืนค่ายพลเสินจีที่อยู่กึ่งกลางขบวนทหาร เนื่องจากลงจากม้าอยู่ก่อนแล้วจึงเดินเหินคล่องแคล่วกว่าทหารม้าที่ถูกจู่โจมกะทันหันพวกมัน รีบหันขบวนปืนกลับไปรับมือกับศัตรูสำนักอู่ตังที่จู่โจมมา ขณะทหารปืนทั้งสามแถวต่างเคลื่อนย้ายมีความเป็นระเบียบ รูปขบวนมิได้วุ่นวายสักนิด เห็นได้ว่ายามปกติฝึกฝนอย่างเข้มงวด
ในขณะที่ทหารปืนยี่สิบนายแถวหน้าสุดกำลังเคลื่อนย้ายรูปขบวนและปรับเปลี่ยนท่วงท่าถือปืน ดวงตาก็เสาะหาเป้าหมายในการยิงได้แล้ว ปืนไฟที่ใช้การจุดชนวนยิงความจริงแม่นยำมิสู้หน้าไม้ แต่อาศัยการรวมตัวยิงทั้งแถวสังหารศัตรูทั้งหมด ทว่าตอนนี้คนของสำนักอู่ตังกำลังปะปนกับทหารม้าหลายสิบคน ทหารปืนกลัวว่าจะพลาดทำร้ายพวกพ้องทำให้มิอาจเปิดฉากยิงตอบโต้
เสียงร้องของม้าศึกกับเสียงคำรามของทหารดังก้องนภาราตรีทหารม้าบางคนเห็นท่าไม่ดี รีบใช้อาวุธตบสะโพกม้า วิ่งหนีไปด้านนอก
ในนักรบอู่ตังสามสิบกว่าคนที่บุกเข้ามาในขบวนศัตรู ยังรวมถึงโหวอิงจื้อด้วย แม้มันมิได้รับคัดเลือกเข้าสายพลอีกา แต่ก็สวมชุดดำทั้งร่างเพื่อเอื้อต่อการจู่โจมยามวิกาล มือขวาถือกระบี่ยาวอู่ตัง มือซ้ายเป็นกระบี่สั้นยาวประมาณสองฉื่อเล่มหนึ่ง เงาร่างพุ่งผ่านระหว่างม้าศึก เพลงเท้าราวกับโผบิน
มีทหารม้าที่ตกจากพาหนะแต่มิได้บาดเจ็บนายหนึ่งลุกขึ้นมาเบื้องหน้าโหวอิงจื้อพอดี ร่างมันใหญ่โตอย่างยิ่ง สูงกว่าโหวอิงจื้อหนึ่งศีรษะขึ้นไป ทหารม้าผู้นั้นแม้เคยได้ยินชื่อเสียงบารมีความเก่งกาจของสำนักอู่ตัง แต่อาศัยความสูงและพละกำลังของตนเอง ซ้ำยังพกเกราะศึกและอาวุธรบ จึงพุ่งไปยังโหวอิงจื้ออย่างเด็ดเดี่ยว มือทั้งสองเหวี่ยงค้อนสำริดด้ามยาวอันหนักอึ้งออกไป
ใบหน้าเย็นชาแต่เดิมของโหวอิงจื้อแสยะรอยยิ้มอันไม่แยแสขึ้น
มันก้าวเท้าเบี่ยงกาย ใช้วิชากระบี่เคลื่อนอู่ตังหลบค้อนสำริดสี่สิบกว่าชั่งที่หวดมาอย่างแรง หมุนเคลื่อนไปด้านขวาของคู่ต่อสู้ กระบี่สั้นมือซ้ายเกี่ยวรั้งหน้าแขนขวาที่ถือค้อนของทหารม้าเอาไว้ราวกับอสรพิษรัดพัน กระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งแทงเข้าช่องโหว่ที่สร้างขึ้นจากกระบี่สั้นสืบต่อปานฟ้าแลบ ทะลุตรงเข้าดวงตาของทหารม้า สังหารคู่ต่อสู้ที่เรือนร่างสูงกว่ามันหนึ่งเท่าในกระบวนท่าเดียวดั่งล้วงของในกระเป๋า
กระบวนท่ากระบี่นี้ของโหวอิงจื้อ คือท่า ‘แทรกเมฆ’ ที่เรียนมาจากเคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย และผสมผสานกับวิชากระบี่อู่ตังที่มันฝึกหนักในวันเวลาที่ผ่านมา มิใช่ท่าไม้ตายท่าสำนักชิงเฉิงดั้งเดิมอีกแล้ว แต่เป็นความเข้าใจที่เกิดมาจากตัวมันเอง
กระบี่ของโหวอิงจื้อเปื้อนติดโลหิตสดของศัตรูสองคน นี่คือศัตรูจากการต่อสู้จริงครั้งแรกในชีวิต แต่มันกลับไม่มีความเคร่งเครียดสักนิดอย่างประหลาด สีหน้าและท่วงท่าอันใจเย็นบนสนามรบประดุจหมาป่าที่รู้จักล่าอาหารโดยธรรมชาติ
การฝึกฝนบนเขาอู่ตังหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ทุกวันดุเดือดประหนึ่งต่อสู้จริง บางครั้งทดสอบวิชาประลองกระบี่กับสหายร่วมสำนัก บรรยากาศยิ่งไม่ต่างกับสงคราม ไม่เหมือนกับฝึกกระบี่ที่เขาชิงเฉิง ศิษย์สำนักอู่ตังกำหนดเวลาที่จะเข้าคู่ฝึกกระบวนด้วยกระบี่จริงที่ชักออกจากฝัก โหวอิงจื้อเองก็เคยลิ้มลองมาแล้วสิบกว่าครั้ง คุ้นเคยกับการอยู่หน้าอาวุธอันเฉียบคมนานแล้ว
สิ่งที่ทำให้โหวอิงจื้อฮึกเหิมยิ่งกว่าคือครานี้มันได้รับการยินยอมจากอาจารย์ ให้เคียงไหล่ออกศึกกับศิษย์พี่อู่ตังชั้นสูงเช่นสายพลอีกา ความรู้สึกมีเกียรติเหนือกว่าความกังวลในการต่อสู้อย่างดุเดือดครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
หลังโหวอิงจื้อสังหารศัตรูก็เพ่นพ่านอยู่ในหมู่ทหารม้า ดวงตากลับสนใจขบวนปืนของทหารค่ายพลเสินจีที่หางออกไปสามสี่สิบก้าวตลอดเวลา แม้มันเองก็ไม่รู้ว่าอาวุธปืนร้ายกาจเพียงไร แต่ได้รับการกำชับจากอาจารย์ให้ระมัดระวังก่อนแล้ว ครั้นเข้าสู่การตะลุมบอนต้องพยายามใช้กำลังของฝ่ายศัตรูเป็นที่กำบัง ทำให้ทหารปืนของฝ่ายตรงข้ามกลัวพลาดถูกพวกพ้อง
โหวอิงจื้อมองดูรอบด้าน ทหารม้าฝ่ายศัตรูที่บาดเจ็บล้มตายลงมากขึ้นไม่ขาดสาย และมีศัตรูจำนวนหนึ่งควบม้าหนีออกวงรบไปแล้ว สถานการณ์ตะลุมบอนค่อยๆ เปราะบางยิ่งขึ้น
เช่นนี้ฝ่ายตรงข้ามจะยิงได้ทุกเมื่อ…จะทำอย่างไรดี…
เหลียงถิงสยงเองก็มองเห็นเหตุการณ์นี้จากบนอานม้า จึงหยุดนำทหารพุ่งทะลวงชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงลูกน้องถูกกวาดเข้าวงรบมากกว่าเดิม
ขณะป้องกันชายแดนเมื่อก่อน เหลียงถิงสยงเคยเปิดหูเปิดตาอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ของปืนใหญ่มาแล้ว ไม่ว่าทหารม้าเหล็กแห่งมองโกลจะห้าวหาญเพียงใดก็ยากประชิดแนวหน้าของมัน มันคิดในใจว่าจะยับยั้งยอดฝีมืออู่ตังโดยไม่สูญเสียกำลังพลจำนวนมาก ต้องอาศัยเครื่องมือนี้
แลเห็นลูกน้องที่ยังคงถูกล้อมอยู่ท่ามกลางการตะลุมบอนเหลือเพียงสิบกว่าคน เหลียงถิงสยงตัดสินใจแล้ว
ไม่ต้องสนใจพวกมัน…สงครามก็เป็นเช่นนี้
เหลียงถิงสยงกำลังจะสั่งการทหารปืนด้านหน้าให้เปิดฉากยิง กลับสังเกตเห็นด้านซ้ายของขบวนปืนปรากฏเงาร่างหลายเงาลอบเร้นมาถึงอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง
ทหารทั้งหมดรวมถึงทหารปืนค่ายพลเสินจี ล้วนมิทันได้สนใจศัตรูหลายที่อาศัยความมืดมิดอ้อมขบวนมา เพราะมุ่งสมาธิไปยังนักสู้อู่ตังโผล่ออกมาเป็นกลุ่มและจู่โจมขบวนทหารม้ากะทันหัน
ผู้เป็นหัวหน้าที่ลอบเร้นมาสวมชุดดำทั้งร่าง มันถอดหมวกที่ปิดอยู่บนศีรษะออกไป มือทั้งสองซ้ายขวาสะบัดปลอกผ้าดำลง ประกายกระบี่สองสาย หนึ่งฟ้าอ่อนหนึ่งแดงเข้มสำแดงออกมา
ฟ้าคือวารีชล แดงคืออัคคีเพลิง
ทหารค่ายพลเสินจีที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุดตกใจอย่างมาก หมายหันปืนไฟเล็งไปยังผู้มา แต่บุรุษที่สยายผมเผ้าผู้นั้นใกล้เข้ามาในระยะเจ็ดก้าวแล้ว
ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงไฟ ทหารปืนมองเห็นใบหน้าขาวซีดเยียบเย็นของฝ่ายตรงข้ามกับรอยสักอักขระสองแถวซ้ายขวาใต้ตา รูปโฉมราวกับหาได้มาจากโลกมนุษย์ไม่
ปีศาจกระบี่ เยี่ยเฉินยวน
เพียงพริบตาต่อมาลำคอของทหารปืนก็ถูกกระบี่เพลิงอัคคีแทงทะลุแล้ว
เยี่ยเฉินยวนกับนักรบสายพลอีกาสามคนที่คุ้มกันซ้ายขวาและด้านหลังของมัน เหวินจ้าว เว่ยตงหลิวและฝูหยวนป้า คนทั้งสี่ตั้งขบวนรูปสี่เหลี่ยมบุกเข้าขบวนพลเสินจีจากปีกข้าง ความฮึกเหิมของพวกมันดุจดั่งกระบี่เหล็กอันร้อนระอุแทงเข้ากองหิมะ
ภายใต้การกวาดล้างของอาวุธอู่ตัง กระดูกหักโลหิตกระจาย
ทหารนายหนึ่งจุดชนวนโดยไม่สนสิ่งใดแล้วชี้ปากกระบอกปืนไปยังพวกเยี่ยเฉินยวน เหวินจ้าวมือกระบี่สายพลอีกาที่ป้องกันอยู่ด้านซ้ายของรองเจ้าสำนักเยี่ยกลับพุ่งมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง แกว่งกระบี่หนักฟันด้ามไม้ยาวของปืนไฟจนหัก และแทงปลายกระบี่ทิ่มใบหน้าของทหารปืนผู้นั้นสืบต่อ
ปืนไฟด้ามหักลอยไปกลางอากาศ เมื่อระเบิดก็ส่งแรงผลักดีดทำให้ปล่องอันหนักอึ้งลอยพุ่งไปด้านข้าง กระแทกหน้าอกของทหารปืนค่ายพลเสินจีอีกนายหนึ่ง เสื้อเกราะต้านการกระแทกอันทรงพลังนี้ไม่อยู่ กระดูกอกแหลกละเอียดทันที
เยี่ยเฉินยวนพุ่งไปข้างหน้าในอึดใจเดียวภายใต้การคุ้มกันของศิษย์ กระบี่เพลิงวารีอัคคีชลสังหารสองคนในชั่วพริบตา มันกับศิษย์สามคนด้านหลังสำแดงท่าเท้าอสรพิษของกระบี่เคลื่อนอู่ตังพร้อมกัน พุ่งซ้ายโผล่ขวาในขบวนปืน สี่คนหกเล่มอาวุธไร้ผู้ต่อต้าน คาวโลหิตที่คละคลุ้งกลบกลิ่นดินปืนเข้มข้นที่มีอยู่แต่เดิมในขบวนปืนทั้งหมด
ทหารปืนบางคนเห็นขบวนยิงถูกทำลายพลันโยนปืนไฟลง เปลี่ยนเป็นชักดาบคาดเอวออกมา หวังว่าจะต้านทานนักสู้เสมือนปีศาจร้ายสี่คนนี้ได้ แต่แผนการนี้มิอาจยืดชีวิตของพวกมัน…ต้องชิงชัยกับอู่ตังในการประลองดาบและกระบี่หาใช่สิ่งที่ทหารที่เคยฝึกเพียงการซ้อมดาบทหารจะกระทำได้
มองเห็นทหารค่ายพลเสินจีชักดาบคาดเอวออกมาต่อต้าน เยี่ยเฉินยวนรู้สึกถึงการดูหมิ่นเป็นล้นพ้น
…พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติร่ายรำคมดาบต่อข้า!
นี่คือการต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยตัวเองครั้งแรกของเยี่ยเฉินยวนนับตั้งแต่ทำลายสำนักชิงเฉิงเป็นต้นมา ไอสังหารที่สั่งสมหลังการต่อสู้กับเหอจื้อเซิ่งจวบจนปัจจุบันปะทุในคืนนี้ มันกางแขนยกกระบี่คู่ขึ้น เงยหน้าลอยลิ่วไปยังกลุ่มศัตรู ชุดคลุมดำเกิดเสียงพึ่บพั่บเพราะแรงพุ่ง
อีกาแห่งความตายในความมืดมนอนธการ
กระบี่เพลิงวารีอัคคีชลเปลี่ยนจากวิถีกระบี่อันอ่อนช้อยฉับไวเป็นฟาดฟันหมุนกวาดอย่างทรงพลัง เป็นกระบี่เดชอู่ตังที่เหี้ยมโหดแกร่งกร้าว มือทั้งสองของเยี่ยเฉินยวนเปล่งแสงสว่างสีฟ้าและแดง ศีรษะที่สวมหมวกศึกสองศีรษะลอยสู่อากาศ พร่างพรมฝนโลหิตหอบหนึ่งในขบวนทหาร
ทหารค่ายพลเสินจีแต่ไรมาไม่เคยเปิดหูเปิดตาวิชากระบี่เหนือมนุษย์ระดับนี้ ความหวาดกลัวตลบอบอวลทั่วทั้งกองทัพทำให้ยิ่งมิอาจต่อต้านการจู่โจม เพียงยอดฝีมือสี่คนก็สังหารขบวนปืนหกสิบคนแต่เดิมในอึดใจเดียวจนเกือบครึ่ง
ขบวนปืนพังทลายลงในพริบตา ทหารค่ายพลเสินจีบางนายทิ้งอาวุธปืนหนีเตลิด และมีหลายคนจุดยิงปืนไฟในความโกลาหล พ่นกระสุนไปรอบด้านอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เยี่ยเฉินยวนรับรู้ถึงการระเบิดของปืนไฟระยะประชิดเป็นครั้งแรกในชีวิต และยังมีเสียงแหลมทรงพลังของกระสุนปืนฉีกนภากาศ
ตั้งแต่ติดตามกงซุนชิงผู้เป็นอาจารย์ปราบปรามลัทธิอู้อี๋ตอนอายุสิบเก้าปี จนนำสายพลอีกาเดินทางไกลไปยังทุกสำนักทั่วสารทิศ ประสบการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดกับจำนวนการสังหารศัตรูของเยี่ยเฉินยวน เป็นหนึ่งเหนือสหายร่วมสำนักในแต่ละยุคสมัย จนเรียกได้ว่าเป็น ‘ขุนพลอันดับหนึ่งแห่งอู่ตัง’ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธอานุภาพเหนือธรรมดาประเภทนี้ยังคงใจสั่นอย่างเลี่ยงมิได้
…นี่มิใช่สิ่งที่การฝึกฝนใดจะต้านทานได้
เผชิญหน้ากับปืนไฟที่กราดยิง แม้จะเสี่ยงอันตรายแต่เยี่ยเฉินยวนเองกลับไม่คิดมาก มันนำศิษย์สามคนบุกทะลวงสืบต่อ เหวินจ้าวกับเว่ยตงหลิวหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ฝูหยวนป้ารั้งท้าย พวกมันล้วนไม่คิดถึงชีวิต ตามรองเจ้าสำนักเยี่ยไปติดๆ
เงาร่างชุดดำสี่เงาร่ายรำคมอาวุธหกชิ้น ทะลุผ่านเปลวไฟกะพริบ เสียงดังสนั่น และกระสุนปืนที่วูบผ่านอย่างกล้าหาญ
มือกระบี่อู่ตังเข้าสู่การบุกโจมตี ทหารปืนที่เหลือไม่ทันแม้แต่จะจุดไฟแล้ว ทำได้เพียงหมุนตัววิ่งหนี หลังเยี่ยเฉินยวนแทงล้มลงอีกคนหนึ่ง ขบวนปืนค่ายพลเสินจีก็พังทลายถ้วนทั่ว
ยามนี้กลับมีเสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนดังขึ้นจากทางขวาด้านหลังของเยี่ยเฉินยวน เป็นขุนพลเหลียงถิงสยงนำทหารม้าบุกโจมตีมายังพวกมัน
…การจู่โจมของพวกเยี่ยเฉินยวนทั้งสี่รวดเร็วเหลือเกินจริงๆ ตอนนี้เหลียงถิงสยงจึงตอบสนองได้ทัน มันหวังเพียงอาศัยทหารม้าบุกฝ่าไปยับยั้งศัตรูเอาไว้ ให้ทหารปืนค่ายพลเสินจีที่หนีกระเจิงมีโอกาสจัดขบวนยิงใหม่อีกครั้ง
เหลียงถิงสยงบุกโจมตีอยู่ด้านหน้าขบวนกับทหารม้าอีกสองนาย ยกทวนชี้ตรงไปยังเยี่ยเฉินยวน…เหลียงถิงสยงที่ประสบการณ์ในสมรภูมิโชกโชนมองออกว่าเยี่ยเฉินยวนคือหัวหน้าของฝ่ายศัตรู
ฝูหยวนป้ากับเว่ยตงหลิวที่รับหน้าที่ป้องกันอยู่ด้านหลังและด้านขวาของเยี่ยเฉินยวนต่างยืดอกประจันหน้ากองทหารม้า ดาบพัวเตาตัดม้ากับกระบี่คู่ต่างตั้งท่าต่อสู้รับการโจมตี
เหลียงถิงสยงกับลูกน้อยอาศัยท่าพุ่งของม้าศึก แทงทวนสามเล่มใส่คนทั้งสอง
ฝูหยวนป้าที่รูปร่างสูงใหญ่ตวาดลั่นและคุกเข่าลงในพริบตาก่อนปะทะ ทวนของเหลียงถิงสยงเฉียดผ่านศีรษะของมันไป ฝูหยวนป้าถือนั้นใช้ดาบพัวเตาในมือทั้งสองฟันเฉียงลงจากด้านขวา
ความทรงพลังของเพลงดาบตัดม้าอู่ตัง กอปรกับแรงพุ่งของตัวม้าศึกเอง แผ่นเกราะเหล็กบนร่างของเหลียงถิงสยงก็มิอาจต้านทาน ร่างกายถูกดาบพัวเตาที่ทั้งกว้างและยาวผ่าออก
ในขณะเดียวกันเว่ยตงหลิวที่อยู่อีกด้านหนึ่งรับทวนที่แทงมาสองเล่มอยู่ กระบี่คู่แกว่งหมุนปัดพวกมันออกไปพร้อมกัน แต่ยังคงหลบไม่พ้นถูกม้าศึกด้านซ้ายกระแทกชนจนทั้งร่างลอยกระเด็นออกไป
แต่ทหารม้าที่ชนเว่ยตงหลิวผู้นั้นก็ตกลงจากม้าเช่นกัน และปรากฏกระบี่ยาวอู่ตังเล่มหนึ่งเสียบบนแผ่นอก ที่แท้ชั่วขณะที่เว่ยตงหลิวถูกชนยังคงโจมตีออกไปด้วยกระบี่มือขวา แทงทะลุหัวใจของทหารม้าผู้นั้น
แม่ทัพถูกฟันตกลงจากม้า ทหารม้าหลายสิบนายที่วิ่งมาได้เห็นก็ล้วนครั่นคร้าม มิกล้าบุกเข้าไปใกล้คนของสำนักอู่ตังอีก จึงโฉบผ่านออกด้านข้าง ทหารม้าที่เตรียมไว้บุกโจมตีอีกรอบแต่เดิมที่ด้านหลังต่างก็มิกล้าเคลื่อนไหวอีก
ทหารม้าที่หลุดจากวงรบและควบม้าถึงริมป่านายหนึ่ง กำลังคิดว่าตนเองปลอดภัยแล้ว แต่ก็พลันเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมา บนแก้มขวามีศรหัวแฉกอันหนึ่งปักทะลุอยู่
พวกพ้องข้างกายมันยังมิได้เห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีคนลอยพรวดขึ้นนั่งอยู่หลังอานม้า ทหารม้าผู้นั้นยังมิได้ตอบสนอง มือหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามก็จับหมวกศึกของมันไว้ อีกมือหนึ่งใช้กระบี่สั้นปาดคอมัน
ฝานจงผลักศพของทหารม้าลงจากอานพลางมองดูด้านข้าง เถียนเหยียนเองก็จัดการศัตรูอีกคนหนึ่งแล้ว พวกมันต่างชิงม้าคนละตัวควบตะบึงไปยังปากทางขุนเขานั้น
เถียนเหยียนควบม้าไปพลางในปากยังกัดนกหวีดไม้พลางเป่าไปพลาง คนสำนักอู่ตังพอได้ยินก็รู้ว่าม้าสองตัวที่พุ่งมากะทันหันนี้หาใช่ศัตรูไม่ แต่เป็นอสรพิษน้ำตาลของสำนัก จึงตั้งรูปขบวนคุ้มกัน
เยี่ยเฉินยวนเห็นเช่นนี้จึงร่นถอยพร้อมกับเหวินจ้าวและฝูหยวนป้า เว่ยตงหลิวที่ลอยตกลงบนพื้นแม้สูญเสียกระบี่คู่ไป แต่ยังฝืนลุกยืนขึ้นมา กอดไหล่ซ้ายที่ถูกชนจนบาดเจ็บพลางตามเข้าไป
ฝานจงและเถียนเหยียนกลับไปถึงหมู่พวกพ้องก็กระโดดลงม้า ฝานจงตะโกนเสียงดัง “รีบขึ้นเขาไป! ด้านหลังยังมีกองทัพไล่โจมตี!”
พอได้ยินคำเตือนของฝานจง เยี่ยเฉินยวนก็สั่งการศิษย์สามสิบกว่าคนนี้ให้รวมตัวกันวิ่งกลับไปยังเส้นทางขุนเขา
ราชองครักษ์ที่รูปขบวนกระจัดกระจายและปราศจากผู้นำ ความจริงยังคงมีร้อยกว่าคน มากกว่าสำนักอู่ตังสามเท่า แต่เผชิญการจู่โจมอย่างโหดร้ายกะทันหันจึงยังคงหวาดกลัวอยู่ ทำได้เพียงมองดูเหล่านักสู้กลับขึ้นเขาตาปริบๆ
เยี่ยเฉินยวนยามนี้จึงมองเห็น มีศิษย์สองคนกำลังหามคนผู้หนึ่งอยู่ เป็นตี๋เส้าเฉินมือกระบี่สายพลอีกา ที่แท้เมื่อครู่มันเคราะห์ร้ายถูกกระสุนที่ทหารค่ายพลเสินจีกราดยิง ลูกตะกั่วฝังเข้าข้างขมับ สิ้นชีวิตแล้ว
ในขณะที่ทหารราบราชองครักษ์หลายร้อยนายไล่ตามออกมาจากป่า เยี่ยเฉินยวนกับเหล่าศิษย์ก็ขึ้นเขาแล้ว และกระจายซ้ายขวาเข้าไปในพุ่มไม้เร้นกายหายไปอีกครั้ง
ทหารที่รับหน้าที่นำทหารราบขบวนนี้ไล่ตามสายลับพลันมองเห็นทหารปืนค่ายพลเสินจีที่เด่นล้ำที่สุด บาดเจ็บล้มตายเป็นกองพะเนินอยู่ล่างเชิงเขา ทหารม้าเหล็กของค่ายพลซานเชียนเองก็สูญเสียไม่น้อย แม้กระทั่งขุนพลก็ถูกฟันตาย ลักษณะพื้นที่เส้นทางเขาของตีนเขาอู่ตังทิศเหนือนี้ก็คับแคบ ไม่เอื้อต่อการต่อสู้เป็นกลุ่ม อาจถูกจู่โจมช่วงกลางได้ทุกเมื่อ ยิ่งพวกมันเผชิญความตกใจกลางดึก ตื่นมาทำศึกกะทันหัน หาได้เตรียมพร้อมบุกขึ้นเขาไม่ จึงทำได้เพียงสั่งลูกน้องยิงเกาทัณฑ์ส่งเดชไปยังแถบเส้นทางเขารอบหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าโจรกบฏหนีเตลิดไปแล้ว จึงถอยทัพกลับค่าย
เหล่าคนอู่ตังปีนขึ้นบนที่สูงบนเส้นทางเขานานแล้ว เกาทัณฑ์ชุดนั้นจึงยิงอากาศทั้งหมด ยามนี้พวกมันยืนขึ้นมาจากพุ่มไม้ ก้มมองศัตรูถือคบเพลิงและโคมไฟล่าถอย อดมิได้ที่จะชูอาวุธอู่ตังในมือขึ้นพร้อมกัน เปล่งเสียงตะโกนแห่งชัยชนะออกมา
สำนักอู่ตังปะทะกับราชองครักษ์แห่งราชสำนักเป็นครั้งแรก ใช้เพียงนักสู้สามสิบกว่าคนต้านการโจมตีของทหารม้าสองร้อยกว่านาย ผลสุดท้ายสังหารศัตรูมากกว่าสองเท่าและกลับมาโดยสวัสดิภาพแทบทั้งหมด ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นชัยชนะอย่างขาดลอย
โหวอิงจื้อกลับมิได้โห่ร้องดีใจกับสหายร่วมสำนัก มันยังคงกุมกระบี่คู่สั้นยาวที่เปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตสดเอาไว้ อาศัยแสงอ่อนๆ ที่ส่องมาจากล่างเขามองเยี่ยเฉินยวนจากด้านข้าง
เมื่อครู่มองเห็นเยี่ยเฉินยวนปรากฏตัว โหวอิงจื้อก็เพิ่งเข้าใจว่าพวกตนสามสิบกว่าคนนี้เป็นทัพหน้าบุกโจมตีทหารม้าฝ่ายตรงข้าม ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็แค่ดึงดูดความสนใจของขบวนปืนค่ายพลเสินจีให้พวกเยี่ยเฉินยวนทั้งสี่ลอบเข้าไปจู่โจมทหารปืนได้
ด้วยเหตุนี้ในกองกำลังนี้จึงมีคนใหม่เช่นข้าหรือ ยามคับขันเสียสละพวกเราที่เป็นเหยื่อล่อเหล่านี้ ค่อนข้างคุ้มค่ากว่ากระมัง…
เมื่อคิดได้ว่าตนเองอยู่ที่สำนักอู่ตังยังมิได้รับการเห็นความสำคัญ โหวอิงจื้อก็มิอาจดื่มด่ำชัยชนะครั้งนี้ได้โดยแท้จริง
ผู้ที่มิได้เปล่งเสียงตะโกนแห่งชัยชนะยังมีเยี่ยเฉินยวนและฝานจง
“ไม่เป็นไรกระมัง?” เยี่ยเฉินยวนเป็นฝ่ายถามเว่ยตงหลิวที่ถูกม้าศึกชนก่อน เว่ยตงหลิวกระดูกแขนซ้ายหัก มุมปากนองด้วยโลหิตเล็กน้อย ดูเหมือนบาดเจ็บภายในอยู่บ้าง แต่มันกล่าวอย่างทองไม่รู้ร้อน “ยังสู้ได้ น่าเสียดาย กระบี่กับศพของคนผู้นั้นถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปแล้ว”
เยี่ยเฉินยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วจึงมองดูฝานจง คนทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่กล่าวคำ
ในใจพวกมันล้วนรู้ว่าคืนนี้มิได้ชนะอันใด แผนทำลายคลังดินปืนค่ายพลเสินจีล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
“เหลือเพียงพวกเจ้าสองคน…” เยี่ยเฉินยวนเนิ่นนานจึงกล่าว
ฝานจงหยิบผ้าโพกศีรษะของหลี่อี้เชินออกมา
“สามคนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ คงจะ…”
สูญเสียอสรพิษน้ำตาลสี่คนในคืนเดียว ต่อให้สังหารราชองครักษ์อีกหลายร้อยคนก็ชดเชยมิได้
ยามนี้ลั่วเซินเฉวียนศิษย์สายพลอีกาเดินมาข้างกายเยี่ยเฉินยวน เยี่ยเฉินยวนมองดูโหวอิงจื้อแวบหนึ่งจากระยะไกลก่อนถาม “เป็นเช่นไร”
“มันเดินอยู่ด้านหน้าสุด ฆ่าได้สามคน” ลั่วเซินเฉวียนตอบอย่างรวบรัด จากนั้นกล่าวเสริม “วิชากระบี่ก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว”
เยี่ยเฉินยวนและฝานจงฟังแล้วก็มองหน้ากันอีกครั้ง
“ข้าบอกแล้ว ไส้ศึกมิใช่มัน” เยี่ยเฉินยวนกล่าว
เยี่ยเฉินยวนทำตามคำขอร้องพิเศษของฝานจง รับโหวอิงจื้อเข้าร่วมทหารลาดตระเวนเส้นทางเขา และกำชับลั่วเซินเฉวียนผู้เป็นศิษย์ให้จับตามองพฤติการณ์ของมัน เนื่องจากทหารลาดตระเวนขบวนนี้เคลื่อนไหวมิดชิด ไม่มีเวลาให้อยู่ตามลำพัง หากโหวอิงจื้อเป็นไส้ศึกก็ยากที่จะแอบส่งข่าว
แน่นอน…ทหารลาดตระเวนรู้ว่างานของตนเองคือดูแลความปลอดภัยเชิงเขา ไม่รู้เรื่องการสอดแนมใดๆ ทั้งสิ้นของอสรพิษน้ำตาลในหลายวันนี้…นอกจากเวลาที่ต้องการการสนับสนุนเร่งด่วนเหมือนเมื่อครู่
ฝานจงฟังแล้วพยักหน้า โหวอิงจื้อห้าวหาญเพียงไร ฆ่าศัตรูเท่าใดก็ยังเป็นเรื่องรอง ลั่วเซินเฉวียนบอกว่าวิชากระบี่ของมันก้าวหน้าอย่างมากต่างหากคือจุดสำคัญ…พิสูจน์ให้เห็นว่ามันซื่อสัตย์ต่อการฝึกฝนวิถียุทธ์อย่างยิ่ง ความเป็นไปได้ที่จะเป็นไส้ศึกของราชสำนักจึงลดลงอย่างมาก
ศิษย์น้องที่ชวนให้ชื่นชมผู้นี้มิใช่ศิษย์ทรยศ ย่อมทำให้ฝานจงลอบรู้สึกดีใจ แต่ในขณะเดียวกันก็บอกเป็นนัยว่าภารกิจเสาะหาไส้ศึกยังคงไร้ซึ่งวี่แวว
…ต้องใช้ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
เยี่ยเฉินยวนเดินไปข้างศพของตี๋เส้าเฉิน ตี๋เส้าเฉินติดตามสายพลอีกาออกศึกทัพเดินทางไกลซื่อชวน เคยขึ้นเขาชิงเฉิงและเอ๋อเหมย เพลงกระบี่และประสบการณ์ล้วนโดดเด่นอย่างยิ่ง กลับตกตายในพริบตา การฝึกหนักสิบกว่าปีต้านลูกตะกั่วเล็กๆ ลูกเดียวมิได้
เยี่ยเฉินยวนวางกระบี่ประจำตัวของตี๋เส้าเฉินไว้บนหน้าอกศพ ยกมือทั้งสองของมันไว้บนด้ามกระบี่
…ผู้ที่อุทิศชีวิตให้กระบี่ ไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้
เยี่ยเฉินยวนมองมือกระบี่อู่ตังที่จากไปผู้นี้ หัวใจแผ่ลางไม่ดีอย่างมาก