• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 12 บทที่ 3

    บทที่ 3

    แห่โลงศพ

     

    ในปีนี้ เทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เซียงถานโศกเศร้ากว่าครั้งใด

    จางเซิ่งเหอออกแรงขยี้ตาอย่างมิอาจเชื่อ แต่เหตุการณ์ตรงหน้าก็ยังคงเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครู่ ร้านของมันพลันถูกพายุหอบหนึ่งพัดเข้ามากวาดล้างทุกสิ่งอย่าง

    ทว่านั่นหาใช่ลมพายุไม่ แต่เป็นคนที่มีชีวิตกลุ่มใหญ่

    คนสวมใส่ชุดไว้ทุกข์สิบกว่าคน ปากจมูกปิดไว้ด้วยผ้า บุกเข้าร้านชุดกระดาษเซิ่งชางที่ตั้งอยู่บนถนนหลักเมืองเซียงถานแห่งนี้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กวาดโคมไฟแต่ละสีที่แขวนอยู่ในร้านลงมาทั้งหมดดั่งลมคลั่งแล้วจึงฉีกทำลายเหยียบย่ำ ในร้านเกลื่อนกลาดไปด้วยแผ่นกระดาษหลากสีกับก้านไม้ไผ่เสมือนใบไม้ร่วงและกิ่งไม้หักกระจายอยู่

    คนประหลาดเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนท่าร่างการเคลื่อนไหวรวดเร็วแข็งแรง กระโจนไปมาในร้านราวกับโบยบิน คนงานของร้านทำได้เพียงหลบอยู่ใต้ตู้เก็บเงินและโต๊ะอย่างตื่นกลัว ไม่ต้องพูดถึงการจะลงมือขัดขวาง

    …เนื่องเพราะคนเหล่านี้นอกจากสวมชุดไว้ทุกข์แล้วยังมีจุดหนึ่งที่เหมือนกันตรงเอวหรือด้านหลังของทุกคนล้วนห้อยอาวุธ

    จางเซิ่งเหออ้าปากอย่างตกตะลึง มองดูโคมไฟไหว้พระจันทร์ที่เตรียมมาครึ่งปีในร้านตนเองถูกทำลายทั้งหมด แม้กระทั่งโคมไฟใหญ่ประดับลายรูปเคารพจูเก่ออู่โหว* สูงครึ่งร่างคนที่ทางอำเภอสั่งทำพิเศษต่างก็ถูกคนสวมชุดไว้ทุกข์ถีบล้มและเหยียบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ความพากเพียรกับค่าจ้างถึงแปดตำลึงตลอดสามเดือน ไม่เหลืออะไรเลย

    หลังในร้านเซิ่งชางไม่เหลือโคมไฟที่สมบูรณ์สักใบ คนสิบกว่าคนเหล่านั้นจึงจากไปอย่างไร้ร่องรอย พวกมันสีหน้าสงบเสงี่ยมยิ่งเสมือนเพียงเพิ่งกินข้าวมื้อหนึ่งจากร้านอาหาร

    บุรุษอายุค่อนข้างมากคนหนึ่งในนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเถ้าแก่จางพลางกล่าว

    “บอกแต่แรกแล้ว สำนักมี่จงเรากำลังไว้ทุกข์ ใครก็ห้ามผูกผ้าแพรประดับโคม”

    “ขะ…ขะ…ข้า” จางเซิ่งเหอแทบจะหลั่งน้ำตาขณะกล่าว “…พวกเราเพียงกำลังทำธุรกิจ ซ้ำยังมิได้เฉลิมฉลองอันใด…อีกทั้งการไว้ทุกข์ของสำนักพวกท่านก็กระทำในเมืองได้ครึ่งเดือนแล้ว หรือต้องให้คนทั้งเซียงถาน…”

    “เจ้าไม่พอใจก็ไปบอกเจ้าสำนักเหลยของเราได้”

    ขณะมันกล่าวประโยคนี้ สีหน้าที่ใช้มองจางเซิ่งเหอนั้นไม่ต่างจากเหยี่ยวจ้องนกกระจอกตัวหนึ่ง ร่างกายของจางเซิ่งเหอราวกับเหี่ยวเฉาลงทันที มันสั่นเทิ้มพลางมองคล้อยบุรุษผู้นั้นก้าวออกประตูร้าน

    หลังเจิงชิงเฟิงศิษย์วัยกลางคนสำนักมี่จงผู้นั้นเดินออกไปกลับสู่กลางขบวนของสหายร่วมสำนัก

    นอกร้านบนถนนหลักของเมืองอันกว้างขวางอัดแน่นไปด้วยริ้วขบวนไว้ทุกขบวนหนึ่ง ทุกคนสวมชุดไว้ทุกข์ผ้าขาว เหลือบมองไปมีมากถึงสองสามร้อยคน พวกมันเป็นศิษย์สำนักมี่จงที่รับคำสั่งจากเหลยจิ่วตี้ผู้เป็นเจ้าสำนักให้ปราบปรามหกกระบี่บ้านแตกในครั้งนี้ ล้วนมาไกลจากที่ทำการหลักชางโจวและสาขาย่อยซานซี เหอหนาน

    ในริ้วขบวนยังมีสัปเหร่อสี่สิบกว่าคนที่สำนักมี่จงว่าจ้างมา คอยหามโลงศพชั้นดีสิบใบเดินอยู่ในขบวน ผู้ตายที่นอนอยู่ในโลงศพคือพวกต่งซานเฉียว เจี่ยนเจา ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าสำนักที่โถงอวี้ฉีที่ฐานหลักสำนักมี่จง ทั้งหมดล้วนเสียชีวิตจากการถูกซุ่มโจมตีขณะล้อมจับหกกระบี่บ้านแตกในป่าทึบ

    สิบคนนี้ตายได้ราวหนึ่งเดือนแล้ว อีกทั้งตายในช่วงอากาศร้อนเช่นนี้ แม้จ้างคนใช้ยาเก็บรักษาสภาพ ซ้ำยังยัดเครื่องหอมหลากชนิดจำนวนมากไว้ในโลงก็ยังคงยากที่จะปกปิดกลิ่นศพที่พวยพุ่งออกมาเป็นระยะ แต่ศิษย์มี่จงจำนวนมากยังคงอดทนไว้ เพราะนี่คือคำสั่งของเจ้าสำนักเหลย

    สัปเหร่อที่หามโลงแม้ได้รับค่าจ้างแล้วสามเท่า แต่ก็ยากจะทนกลิ่นเหม็นนี้ เดิมทีพวกมันล้วนไม่อยากทำงานนี้ต่อไป แต่ภายใต้การคุกคามของนักสู้สำนักมี่จง ผู้ใดก็มิกล้าบอกว่าไม่ทำ ได้แต่ปิดปากจมูกฝืนทนต่อไป

    นับจากรวมตัวที่เซียงถาน สิบกว่าวันนี้ที่ผ่านมา ยามบ่ายของทุกวันคนสำนักมี่จงก็จะนำโลงศพของสหายรวมสำนักยาตราไปบนถนนของเมืองเช่นนี้

    เซียงถานตั้งอยู่ที่เมืองท่าอันรุ่งเรืองของแม่น้ำเซียงเจียงที่คดเคี้ยว สินค้าทางบกและทางน้ำมากมายล้วนผ่านที่แห่งนี้เพื่อส่งกระจายต่อ ถนนเลียบแม่น้ำยังมีร้านนายหน้า** เรียงราย สำนักมี่จงแห่โลงศพเช่นนี้ไปมาระหว่างถนนเลียบแม่น้ำและถนนหลักที่กระจายเต็มไปด้วยร้านค้าทุกวันล้วนทำให้การค้าที่เซียงถานเป็นอัมพาตหลายชั่วยาม กลิ่นศพที่พัดโชยและอาวุธที่ห้อยอยู่โต้งๆ บนร่างพวกมันยิ่งทำให้พ่อค้าและผู้สัญจรตกใจจนหนีหายไปจากถนน ครึ่งเดือนมานี้การค้าของเมืองเสียหายหนักอย่างยิ่ง เจ้าของร้านนายหน้าพอนึกถึงภาษีที่ต้องชำระต่อราชสำนักปลายปีก็ส่ายหน้าเป็นการใหญ่

    แต่ต่อให้พวกมันร้องเรียนจวนว่าการก็เปล่าประโยชน์ คนสำนักมี่จงถือราชโองการจับกุมที่ราชสำนักแจกจ่าย ผู้ใดกล้าขัดขวาง? ถึงแม้ไม่มีราชโองการ แล้วหวังให้ทหารผู้คุ้มกันเขตต่ำช้าเหล่านั้นไปขับไล่มือดียุทธภพสามร้อยคนของสำนักมี่จงแห่งชางโจว ยิ่งเป็นเรื่องที่แม้แต่ในฝันก็ทำมิได้

    เจิงชิงเฟิงกลับไปในหมู่สหายร่วมสำนัก เดินไปเบื้องหน้าโลงศพของต่งซานเฉียว ประสานหมัดให้บุรุษที่อายุน้อยกว่ามันผู้หนึ่ง “ศิษย์พี่หาน จัดการเสร็จแล้วขอรับ เดินทางได้ทุกเมื่อ”

    บุรุษผู้นั้นดูเหมือนอายุประมาณสามสิบห้าปี รูปร่างสูงใหญ่เรียวยาวเหมือนศิษย์มี่จงคนอื่นๆ หน้าตาหล่อเหลาเอาการอย่างยิ่ง หางตามีรอยตีนกา ริมฝีปากบนและล่างไว้หนวดเคราที่ดูดียิ่งนัก ซ้ำยังแผ่ความโอหังรุนแรงออกมา

    มันใช้มือข้างหนึ่งลูบโลงศพของต่งซานเฉียวอย่างนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ เจิงชิงเฟิงกลับมิกล้าซักถามอีก ทำได้เพียงอดทนรอคอยมันชี้แนะ เห็นได้ชัดว่า ‘ศิษย์พี่หาน’ ผู้นี้คือหัวหน้าของคนสำนักมี่จงทั้งหมดที่นี่

    บุรุษแซ่หานหลับตา ปากเริ่มท่องคำพึมพำคล้ายอาลัยอาวรณ์ต่งซานเฉียวในโลงศพ

    ไม่ถึงครู่หนึ่งมันก็ลืมตาขึ้นกล่าวกับเจิงชิงเฟิงเบาๆ “ประเสริฐ ออกเดินทาง”

    เจิงชิงเฟิงพยักหน้ารับคำสั่งแล้วจึงกำชับสัปเหร่อให้หามโลงศพทุกใบขึ้นอีกครั้ง

    บุรุษผู้นั้นจัดดาบเดี่ยวสองเล่มที่แขวนอยู่ด้านหลังและเอวซ้ายเล็กน้อย บริเวณข้อมือซ้ายของมันพันไว้ด้วยสิ่งของเหมือนโซ่เหล็ก เป็นแส้เหล็กเก้าท่อน อาวุธอันสันทัดของต่งซานเฉียวขณะมีชีวิต มันลูบไล้แส้เหล็กๆช้าๆ ซ้ำยังกล่าวพึมพำอีก

    “ศิษย์พี่ต่ง…ข้าจะตัดศีรษะของคนผู้นั้นมาเซ่นวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของท่าน ท่านไปสู่สุคติเถอะ”

    บุรุษหล่อเหลาผู้นี้นามว่าหานซานหู่ (พยัคฆ์ภูเขา) เป็นน้องชายร่วมสายโลหิตของหานเทียนเป้ามือเหล็กยันต์ดำผู้เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนัก แต่เพราะอายุน้อยกว่าหานเทียนเป้าหกปี ลำดับอาวุโสสำนักมี่จงจึงต่ำกว่าหนึ่งขั้น มันกราบเหลยจิ่วตี้เป็นอาจารย์และเป็นศิษย์ภายในแห่งโถงอวี้ฉีด้วยกันกับต่งซานเฉียว

    นับจากเหลยจิ่วตี้ฉายาเทพท่องเร้นเมฆาดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นต้นมา มันหาได้ตั้งใจฝึกสอนศิษย์ไม่ เพราะหมกมุ่นฝึกฝนเพียงลำพัง ในหลายปีนี้ศิษย์ภายในที่ฐานใหญ่ชางโจวไม่ปรากฏยอดฝีมือชั้นยอดอันใด แต่เพราะมีจำนวนคนในสำนักมากและอาศัยบารมีที่สั่งสมมาหลายปีกับสายสัมพันธ์ในแต่ละพื้นที่ ชื่อเสียงจึงไม่ร่วงลง ทว่าหานซานหู่กลับไม่เหมือนกับสหายร่วมสำนักจำนวนมาก ห้าปีก่อนเหลยจิ่วตี้มุ่งหน้าไปซานตงเพื่อเก็บตัวฝึกฝนพลังเทพนอกรีตเพื่อผสานกับวิชายุทธ์มี่จง เพียงผู้เดียวที่มันนำไปด้วยคือหานซานหู่ซึ่งเป็นศิษย์ภายในผู้นี้ ตอนนี้หานซานหู่ตามเจ้าสำนักกลับมาชางโจว คนสำนักมี่จงหาได้กระจ่างไม่ว่าในห้าปีนี้มันได้รับการชี้แนะพิเศษอะไรจากเหลยจิ่วตี้บ้าง รู้เพียงมันเผยวรยุทธ์หลายท่าขณะฝึกฝนในที่ทำการ เปรียบดั่งเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน หานซานหู่แม้ลำดับอาวุโสไม่สูง แต่เพราะโชคดีพิเศษนี้ทำให้เป็นผู้ท้าชิงสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักในอนาคตแล้วรางๆ ระดับความเคารพที่ทั่วทั้งสำนักมีต่อมันมากยิ่งกว่าเหล่าอาจารย์อาพวกหานเทียนเป้าเสียอีก

    ริ้วขบวนพิธีไว้ทุกข์ของสำนักมี่จงเดินหน้าสืบต่อไปบนถนน บนถนนย่อมปราศจากผู้คนสัญจร ร้านค้าทั้งหมดสองฝั่งทางล้วนปิดประตูหน้าต่างสนิท ก่อนหน้านี้เพียงเพราะร้านชุดกระดาษเซิ่งชางลืมปิดหน้าต่างบานเดียวทำให้สำนักมี่จงมองเห็นโคมไฟหลากสีที่แขวนอยู่ในร้าน จึงถูกพวกมันเข้าไปทุบทำลายทุกสิ่งอย่าง…ผู้ที่ออกคำสั่งนี้คือหานซานหู่

    หานซานหู่แม้ถูกแนะนำเข้าสำนักมี่จงโดยหานเทียนเป้าพี่ชายร่วมสายโลหิต แต่มันไม่ลงรอยกับหานเทียนเป้าที่นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนมาโดยตลอด แต่กลับเข้ากันได้อย่างยิ่งกับอาจารย์เจ้าสำนักผู้วิตถาร การที่เหลยจิ่วตี้นำมันไปซานตงด้วยคือเครื่องพิสูจน์

    ขณะริ้วขบวนดำเนินไป เจิงชิงเฟิงยังตะโกนไปยังโดยรอบอีก

    “ชาวเซียงถานฟังไว้! หากไม่อยากเห็นโลงศพของสหายร่วมสำนักเราทุกวันล่ะก็ จงมอบหกกระบี่บ้านแตกชายหญิงสุนัขทั้งหลายนั้นออกมา!”

    หนึ่งเดือนก่อน หลังคนสำนักมี่จงพบพวกต่งซานเฉียวสหายร่วมสำนักถูกสังหารในป่าก็รู้ว่าหกกระบี่บ้านแตกทำลายวงล้อมจับของพวกมันอีกทั้งหนีออกนอกป่าไปแล้ว พวกมันสะกดรอยตามตลอดทาง พบรอยกีบเท้าม้ากลุ่มใหญ่สี่ตัวเดินผ่านเส้นทางชานเมืองนอกป่า จึงคาดการณ์ว่าหกกระบี่บ้านแตกต้องถูกคนช่วยให้หนีไปแล้ว

    หกกระบี่บ้านแตกส่วนใหญ่ล้วนมีบาดแผลบนร่าง ในนั้นเลี่ยนเฟยหงยังถูกเหลยจิ่วตี้ทำร้ายบาดเจ็บสาหัส คนสำนักมี่จงรู้ว่าพวกมันต้องยากที่จะไปได้ไกลเป็นแน่ อีกทั้งต้องหาหมอและยาในการรักษา เป็นเหตุให้ต้องไปเมืองใหญ่ และที่ๆ ใกล้ที่สุดคือเซียงถาน จึงยกกำลังไล่ตามมาถึงที่นี่ เมื่อถึงแถบเซียงเซียงพวกมันพบกับนักสู้สำนักอื่นที่มาจับตายหกกระบี่บ้านแตกเช่นเดียวกัน หลังสอบถามจึงรู้ว่ามีกองกำลังไม่แน่ชัดขบวนหนึ่งเข้ามาในเมืองเซียงถานจริง จึงยิ่งแน่ใจว่าศัตรูซุกซ่อนอยู่ที่นี่

    เหลยจิ่วตี้รวบรวมศิษย์ตอนใต้ทั้งหมดมาเซียงถาน พยายามสืบหาเบาะแสศัตรู แต่กลับหาไม่พบแม้แต่เงา มันคาดเดาว่าต้องมีคนในพื้นที่ช่วยเหลือและให้ที่พักพิงแก่หกกระบี่บ้านแตกเป็นแน่ ภายใต้ความเดือดดาล เหลยจิ่วตี้ผู้วิตถารจึงสั่งการคนในสำนักให้ ‘แห่โลงศพ’ เดินขบวนทุกวัน จนเมืองเซียงถานเดือดร้อนไปทั่ว ปฏิญาณว่าจะบีบให้ชาวเซียงถานเผยที่อยู่ของหกกระบี่บ้านแตกออกมาให้จงได้

    แต่ผ่านไปสิบกว่าวันแล้วยังคงไม่มีผู้ใดกล่าวคำ

    ต้องมีคนเล่นลูกไม้’ เหลยจิ่วตี้ชี้ขาด ‘พ่อค้าวาณิชเหล่านั้นจึงมิกล้ากล่าวออกมา’

    หานซานหู่เดินเป็นเพื่อนโลงศพของต่งซานเฉียวตลอดพลางพิจารณาคำที่อาจารย์กล่าว

    สหายร่วมสำนักคนอื่นในริ้วขบวนล้วนทนกลิ่นศพไม่ไหว ใช้ผ้าปิดหน้าครึ่งล่างไว้ แต่หานซานหู่มิได้ทำ มันสู้อดทน ในใจของหานซานหู่ การสูดดมกลิ่นเหม็นเน่าเท่ากับได้แบ่งเบาความเจ็บปวดของสหายร่วมสำนักที่ตายไป และเตือนตนเองตลอดเวลาว่าต้องชำระความแค้นนี้

    โดยเฉพาะศิษย์พี่ต่งซานเฉียว

    ในศิษย์ภายในจำนวนมากของฐานหลักมี่จง มิตรภาพของหานซานหู่กับต่งซานเฉียวลึกซึ้งที่สุด โดยเฉพาะเมื่อแรกเข้าสำนักในหลายปีก่อน หานซานหู่ได้รับการดูแลจากศิษย์พี่ต่งเป็นพิเศษ หานซานหู่ผู้สง่างามค่อนข้างชอบอยู่ที่หอนางโลม มีครั้งหนึ่งเป็นเพราะแย่งชิงนางโลมจึงขัดแย้งกับพรรคทรงอิทธิพลในพื้นที่ชางโจว มันสังหารคนไปแปดคนจนเกือบถูกผู้อาวุโสสำนักมี่จงขับออกจากสำนัก สุดท้ายก็เป็นต่งซานเฉียวที่ปกป้องมันไว้จึงไม่เกิดเรื่อง

    ‘ชอบหาสตรีแล้วจะเป็นอะไรไป’ ในปีนั้นต่งซานเฉียวกล่าวกับหานซานหู่ขณะร่ำดื่มในคืนจันทร์เพ็ญ ‘ผู้ที่เจ้าฆ่าล้วนเป็นเพียงพวกข้างถนน ในสายตาสำนักมี่จงเช่นพวกเราไม่แตกต่างอะไรกับมดมอดไม่กี่ตัว’

    หานซานหู่เลื่อมใสศิษย์พี่ท่านนี้นับจากนั้น…แม้หลังเข้าสำนักหกเจ็ดปี วิทยายุทธ์ของมันจะเหนือกว่าต่งซานเฉียวแล้วก็ตาม

    ขณะเดินอยู่ หานซานหู่มองสหายร่วมสำนักหน้าหลังโลงศพ พวกมันแต่ละคนสีหน้าตายด้านไร้ความรู้สึก ก้าวเดินตามโลงศพอย่างเงียบขรึม

    แม้มิได้แสดงออกบนหน้า แต่หานซานหู่รู้ดีว่าสหายร่วมสำนักสามร้อยคนนี้ค่อยๆ อดรนทนไม่ไหวแล้ว เพียงแต่อาศัยบารมีของเจ้าสำนักเหลยค้ำไว้ การเดินแห่ด้วยกลิ่นศพคละคลุ้งเช่นนี้ทุกวันเป็นความทุกข์ทรมานสุดบรรยายโดยแท้จริง พวกมันจำนวนมากล้วนมาจากสาขาย่อยแต่ละพื้นที่ มีมิตรภาพกับศิษย์ในฐานหลักที่ตายไปไม่ลึกซึ้งนัก อีกทั้งต่างก็ทิ้งธุระหน้าที่จากถิ่นเดิม มาตามคำเรียกร้องของเจ้าสำนักเหลย บัดนี้ในสูญเสียกำลังพล ขวัญกำลังใจถูกทำลายเป็นอันดับแรก ซ้ำยังไม่รู้ว่าการเดินทางไล่ล่าหกกระบี่บ้านแตกยังต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีจึงจะสิ้นสุด ความฮึกเหิมและความปรารถนาต่อสู้แต่แรกเริ่มขณะออกเดินทาง บัดนี้เสื่อมถอยไม่น้อยแล้ว

    ในหมู่คนในสำนักยังมีการกล่าวโทษที่หนักกว่า พวกมันว่าแห่โลงศพบีบบังคับชาวบ้านเช่นนี้ที่เซียงถาน แม้กล่าวว่าเพื่อแก้แค้นหนี้เลือดของสำนัก แต่วิธีการดังเช่นอันธพาลไร้เหตุผล สหายร่วมสำนักจำนวนมากล้วนอดมิได้ที่จะถามว่าพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งแผ่นดิน เป็นแบบอย่างที่ดีของฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ทว่าเจ้าสำนักเหลยเอาแต่ใจเช่นนี้ไยมิใช่การทำลายชื่อเสียงของพวกเรา?

    หลายวันมานี้หานซานหู่ได้ยินสหายร่วมสำนักกระซิบกระซาบเช่นนี้เป็นระยะ รู้ว่าขวัญกำลังใจของพวกมันตกต่ำอย่างยิ่ง จำเป็นต้องเผด็จศึกโดยเร็ว

    ยามนี้ริ้วขบวนเดินไปถึงสุดปากถนนตะวันออกของถนนหลัก ยามปกติพวกมันจะเลี้ยวไปทางทิศใต้จากตรงนี้ หันไปยังทิศทางของฝั่งแม่น้ำ เข้าสู่ถนนเลียบแม่น้ำของท่าเรือที่เต็มไปด้วยร้านนายหน้าเพื่อเดินแห่สืบต่อ

    เป็นเหมือนเช่นเคย มักจะมีนักสู้แต่ละสำนักกลุ่มใหญ่รวมตัวมาชมความสนุกสองฝั่งปากถนนแห่งนี้ พวกมันทั้งไม่มีราชโองการของราชสำนักเหมือนสำนักมี่จง และมิได้ลำพอง อาวุธบนร่างหรือในมือยังคงหุ้มปลอกผ้าอย่างดิบดี นักสู้เหล่านั้นส่วนใหญ่เตรียมผ้าปิดจมูกไว้แล้ว พวกมันมองดูคนสำนักมี่จงแห่มาถึงพลางกระซิบกระซาบไม่หยุด

    เดิมทีพวกมันล้วนฟังข่าวลือของประกาศิตนักสู้หลวง อยากมาสังหารหกกระบี่บ้านแตกเพื่อรับการแต่งตั้งชุมนุมนักสู้จงหย่งจากราชสำนัก เพียงแต่ภายหลังได้ยินว่าแม้กระทั่งยอดฝีมือสำนักมี่จงเองก็ถูกทำร้าย จึงรู้ว่าที่แท้หกกระบี่บ้านแตกร้ายกาจเพียงนี้ ในใจสิ้นความคิดให้โชคช่วยไปนานแล้ว บางคนยังยินดีที่มิได้พบเจอหกกระบี่บ้านแตกเสียก่อน เพียงแต่พวกมันมาจากแดนไกล ถ้าหากมิได้เห็นจุดจบของหกกระบี่บ้านแตกก็คงคั่งค้างใจ จึงอยู่ชมความสนุกที่เซียงถานกับสำนักมี่จง

    …ถ้าหากได้เห็นยอดวิชาของเทพท่องเร้นเมฆาก็ยิ่งไม่เสียชาติเกิด

    นักสู้บางคนในนั้นก็อยากฉวยโอกาสผูกสัมพันธ์กับสำนักมี่จง ยกระดับชื่อเสียงของสำนัก แต่หานซานหู่ปฏิเสธแทนเหลยจิ่วตี้ ซ้ำยังตอบเสียงเย็นชา ‘นอกเสียจากพวกเจ้ามีข่าวของหกกระบี่บ้านแตก หาไม่อย่ามารบกวนข้า และขอบอกไว้ก่อนว่าชายหญิงสุนัขเหล่านั้นคือของพวกเรา ผู้ใดคิดชิงตัดหน้าคือศัตรูของสำนักมี่จง!’

    บนโลกไม่มีคนในยุทธภพเท่าใดนักที่กล้าล่วงเกินสำนักมี่จงแห่งชางโจว พวกมันยิ่งตั้งใจชมความสนุกอยู่ด้านข้าง แต่สิบกว่าวันที่ผ่านมาเรื่องราวกลับไร้ความคืบหน้า เมืองเซียงถานยังอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นของศพ คนไม่น้อยกลับไปอย่างหมดสนุก นักสู้ที่รวมตัวอยู่ในเมืองน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

    ไต้ขุยศิษย์สำนักซินอี้เองก็อยู่ในกลุ่มนักสู้เหล่านี้ มันยืนอยู่ในฝูงชน ใช้ผ้าสีครามปิดปากกับจมูกเอาไว้ พยายามให้ไม่สะดุดตา คอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของคนสำนักมี่จงอย่างใกล้ชิด

    ความจริงหลายวันก่อนไต้ขุยถูกเจิงชิงเฟิงจำได้ตรงมุมถนนแห่งนี้ ‘พี่ไต้ ตอนอยู่หยวนโจวข้าบอกแล้วว่ายังต้องพบกันอีก’ ในตอนนั้นเจิงชิงเฟิงเข้ามาพูดคุย

    หลังเจิงชิงเฟิงทักทายไต้ขุย หานซานหู่จึงถาม ‘ผู้นั้นคือใคร’

    เจิงชิงเฟิงในตอนนั้นตอบ ‘คนผู้นี้แซ่ไต้ เป็นยอดฝีมือของฐานหลักสำนักซินอี้แห่งซานซี ขณะพวกเราอยู่ที่เมืองหยวนโจวมณฑลเจียงซีมีวาสนาได้พบกัน มันเองก็มารับมือหกกระบี่บ้านแตก วันนั้นยังเกือบลงมือใส่มันอีกด้วย’ และเล่าว่าในวันนั้นไต้ขุยช่วยเหลือผางเทียนซุ่นแห่งสำนักกระบี่เซียงหลงช่วยชีวิต ‘ศิษย์น้องหญิง’ เช่นไร จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

    ‘สำนักเซียงหลง’ หานซานหู่พอได้ยิน ขนคิ้วลักษณะอาจหาญก็กระตุก มันสอบถามจนได้ความก่อนแล้วว่าสำนักในยุทธภพที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในพื้นที่เซียงถานคือสำนักกระบี่เซียงหลง ทั้งกำลังและเส้นสายล้วนไม่อ่อนด้อย

    หานซานหู่นึกถึงคำพูดของเหลยจิ่วตี้ผู้เป็นอาจารย์อีกครั้ง สำนักมี่จงมีกำลังคนมากและพกราชโองการ ไม่ว่าพ่อค้าหรือขุนนางท้องถิ่นล้วนมิกล้าฝ่าฝืน มีเพียงชาวยุทธ์ที่ขัดขวางได้

    ร้านค้าที่นี่เสียหายยับเยิน หากไม่รู้ว่าหกกระบี่บ้านแตกหลบซ่อนอยู่ที่ใดจริงๆ ตามหลักพวกมันก็จะไปพาสำนักกระบี่เซียงหลงที่มีอำนาจที่สุดมาเจรจากับพวกเรา แต่หลายวันนี้คนของสำนักเซียงหลงมิได้ปรากฏตัว น่าแปลกยิ่งนัก…อาจารย์บอกว่ามีคนเล่นลูกไม้อยู่เบื้องหลัง…

    ขณะนี้ริ้วขบวนแห่ศพถึงปากถนนแล้ว เจิงชิงเฟิงยังมองเห็นไต้ขุยอีกจากไกลๆ พยักหน้าทักทายมัน ไต้ขุยเปิดผ้าปิดหน้าออกแสดงมารยาทจากไกลๆ เช่นกัน

    หานซานหู่มองไต้ขุยพอสังเขป ไม่แสดงสีหน้าใดๆ

    คนสำนักมี่จงกำลังจะหันขวาไปยังถนนเลียบแม่น้ำใกล้ฝั่ง หานซานหู่กลับตวาดหนึ่งเสียงให้หยุดยั้ง

    “ไปทางซ้าย” หานซานหู่กล่าวหนึ่งประโยค

    คนสำนักมี่จงแม้ไม่เข้าใจ แต่ก็ฟังคำสั่งหมุนไปยังถนนทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้านหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังถนนหลังบ้านเรือนเป็นหลัก

    บรรดานักสู้ข้างถนนต่างรู้สึกแปลกประหลาด มีเพียงนักสู้ในพื้นที่หูหนานคนหนึ่งที่เอยเสียงแผ่วเบา “ทางโน้น ไปสำนักเซียงหลง…”

    ไต้ขุยย่อมรู้ว่า…ครึ่งเดือนมานี้พรรคพวกมันพักอาศัยอยู่ในบ้านพักฐานหลักสำนักกระบี่เซียงหลง

    “ในที่สุดก็มาแล้วหรือ…” ไต้ขุยขมวดคิ้วหนาขึ้น ดูเหมือนสำนักมี่จงหมดความอดทนแล้ว เรื่องราวมิอาจยืดเยื้อต่อไปได้อีก

    ไต้ขุยถอยหลังจากในฝูงชนเงียบๆ จ้ำอ้าวเดินไปยังร้านค้าที่ปิดประตูไม้แน่นสนิทหลังหนึ่งบนถนน ผิวประตูของร้านแห่งนั้นตกแต่งได้สวยงามอย่างยิ่ง ร้านนั้นขายนก ปลา และต้นไม้ประดับหลากชนิด ลูกค้าหลักๆ ล้วนเป็นพ่อค้าพื้นที่เซียงถาน แน่นอนว่ามิได้ทำธุรกิจเนิ่นนานแล้ว…ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ของเมือง ใครยังมีกะจิตกะใจชมนกชมไม้อีก

    ไต้ขุยยื่นมือเคาะประตูร้านหนึ่งรอบ

    “ใคร” ไม่นานในประตูก็มีคนตอบด้วยน้ำเสียงลนลาน

    ไต้ขุยมิได้ตอบ มันเพียงเคาะประตูอีกเก้าทีด้วยจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ‘สอง สี่ สอง หนึ่ง’

    คนในประตูมิได้กล่าวคำอีก เพียงตอบรับด้วยการเคาะสามที

    ไต้ขุยถอยหลังหนึ่งก้าว เงยหน้ารอคอยอยู่หน้าร้าน

    ครู่หนึ่งให้หลัง หน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสองของร้านค้าแห่งนั้นก็เปิดออก พิราบส่งสารสี่ตัวกระพือปีกบินออกมา แยกกันไปยังทิศทางที่ต่างกัน

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 12 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook