• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 7 บทที่ 2

    บทที่ 2

    หยางหมิงเซียนเซิง

     

    จิงเลี่ยและเยียนเหิงมารวมตัวกันกับพวกถงจิ้ง หู่หลิงหลัน และเลี่ยนเฟยหงที่ชานเมือง ม้าห้าตัวเดินเคียงกันบนทางหลวง กำลังย้อนกลับอำเภอหลูหลิง

    ผ่านการต่อสู้อันดุเดือดกับเหล่าศิษย์จอมเวทในเมือง ต่อด้วยดำเนินการไล่ล่าอย่างสุดเหวี่ยง คนทั้งห้าล้วนสูญเสียแรงกายไปไม่น้อย ขณะนี้จิตใจผ่อนคลายลงแล้ว ความอ่อนล้าของร่างกายจึงค่อยๆ ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ม้าทั้งห้าล้วนเดินชะลอลง

    มิอาจตามทันพวกสารเลวที่หลบหนีทั้งสองคนนั้น พวกมันล้วนไม่พอใจ ระหว่างทางจึงไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยกัน กระทั่งถงจิ้งที่พูดมากเป็นที่สุดก็นิ่งเงียบลง

    การต่อสู้ก่อนหน้า ถงจิ้งเกือบต้องเกาทัณฑ์แขนเสื้อของศิษย์จอมเวทปัวหลง บนลูกเกาทัณฑ์ยังอาบพิษร้าย ฝ่ายตรงข้ามวรยุทธ์มิสู้ตนเองชัดๆ แต่กลับเกือบถูกมันทำร้าย…คิดถึงตรงนี้ถงจิ้งทั้งตกใจทั้งเดือดดาล สะอิดสะเอียนต่ออุบายลอบทำร้ายพรรค์นี้ถึงที่สุด

    นางมองดูเลี่ยนเฟยหงที่ควบม้าอยู่ด้านข้าง มันใช้มีดบินช่วยนางเป็นคำรบสองแล้ว หวนนึกถึงอำนาจไร้เทียบเทียมขณะเลี่ยนเฟยหงสำแดงวิชาแปดมหาเลิศแห่งสำนักคงถงเมื่อครู่ ถงจิ้งก็เปลี่ยนความคิดต่อตาเฒ่ากิริยาท่าทางประหลาดผู้นี้ทันที และมีความเคารพเพิ่มขึ้นหลายส่วน

    “ขอบคุณท่าน” ถงจิ้งขอบคุณไปยังเลี่ยนเฟยหงด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างมาก

    เลี่ยนเฟยหงได้รับวาจาไพเราะจากถงจิ้งเป็นครั้งแรก ความจริงในใจตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่ยามนี้กลับเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้า เห็นเพียงหน้าตามันขมวดแน่นอยู่บ้าง ดวงตาไม่มีชีวิตชีวาเช่นยามปกติ คล้ายค่อนข้างอ่อนล้า

    จิงเลี่ยเองก็สนใจท่าทีนี้ของเลี่ยนเฟยหง นึกถึงตอนอดีตเจ้าสำนักคงถงท่านนี้สังหารแปดคนต่อเนื่อง ต่อด้วยควบม้านำหน้าตามรอยหัวหน้าศัตรูอีก ย่อมสูญเสียแรงกายไม่น้อยโดยแท้จริง อย่างไรเลี่ยนเฟยหงก็อายุหกสิบแล้ว ก่อนหน้านี้ตัวมันเองก็ยอมรับว่าค่อยๆ ถดถอยลงทุกวันเพราะอายุ ดูเหมือนจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดคือเรี่ยวแรงที่มิอาจสู้ได้นาน

    อย่างไรเลี่ยนเฟยหงก็อาศัยอยู่ที่กวนซีเป็นเวลานาน ควบอยู่บนหลังม้าตั้งแต่เด็ก แม้เหนื่อยล้าก็ยังคงควบม้าได้ผ่อนคลายอย่างยิ่ง มันไม่จับแม้แต่เชือกบังเหียน ยามนี้ยังหยิบพัดเหล็กบนสายคาดเอวออกมาเช็ดถูคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อนหลังสังหารศัตรู

    หู่หลิงหลันที่อยู่อีกด้านหนึ่งเองก็เช่นกัน นางใช้กระดาษเช็ดถูดาบเหยี่ยไท่…ก่อนหน้านางสังหารไปห้าคน โลหิตสดที่เปื้อนบนคมดาบก็ไม่น้อยเช่นกัน นางโยนกระดาษที่เช็ดดาบทิ้ง กระดาษย้อมสีแดงนั้นปลิวตามลมไปบนทาง

    หู่หลิงหลันนำดาบยาวกลับคืนสู่ฝักดาบที่แขวนอยู่ข้างอานม้า หันหน้ามองดูด้านหลังไปตามทาง กล่าวต่อพวกพ้อง “พวกเจ้าดูสิ”

    ที่ด้านหลังมีเพียงรถเทียมม้าผอมหนึ่งตัวกำลังติดตามอยู่ด้านหลังจิงเลี่ยหลายสิบก้าวอย่างช้าๆ บัณฑิตลัทธิหรูร่วมเดินทางหกคนพกกระบี่ควบม้า อารักขารถซ้ายขวาหน้าหลังอย่างรัดกุม

    คนทั้งหกล้วนจ้องมองพวกจิงเลี่ยที่ด้านหน้าเขม็ง ในสายตามิใช่ไม่มีแววระแวดระวัง มือซ้ายยังคงจับกระบี่ตรงข้างเอวตลอดเวลา รถรักษาระยะห่างกับม้าห้าตัวอยู่ตลอด

    “ให้ตายสิ…” ถงจิ้งปล่อยหัวเราะ “หากว่าลงมือจริงๆ ข้าคนเดียวก็ฆ่าพวกมันเกลี้ยงแล้ว! หนอนหนังสือเหล่านี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกมันคิดอะไร…”

    “อย่าพูดส่งเดช” เยียนเหิงโต้แย้งนาง

    “บัณฑิตเหล่านี้อาจจะเคยเรียนเพลงกระบี่หลายชุด แต่ท่วงท่าจับกระบี่ระแวดระวังเช่นนี้ ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ก็น่าขันอยู่บ้างจริงๆ” กระนั้นเยียนเหิงเองก็ไม่ลืมว่าบนทางที่ชานเมืองก่อนหน้า ขณะบัณฑิตลัทธิหรูหกคนนี้อารักขารถม้า พวกมันเผยสายตาและลักษณะไม่กลัวตายแม้แต่น้อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นมิใช่สิ่งที่ฝืนแสร้งออกมาอย่างแน่นอน

    พวกมันล้วนเรียกคนในรถม้าว่าเซียนเซิง

    …ผู้ที่สอนลูกศิษย์เช่นนี้ออกมาได้ เซียนเซิงผู้นี้เป็นคนเช่นไร

    ประตูอำเภอหลูหลิงปรากฏในสายตาแล้ว พวกจิงเลี่ยมองเห็นหน้าประตูเมืองมีคนกลุ่มใหญ่รวมตัวอยู่ ประเมินมองมีไม่ต่ำกว่าร้อยคน ก่อนหน้าทั่วทั้งเมืองยังเหมือนเมืองผี ยามนี้กลับคึกคักเช่นนี้

    คนกลุ่มนั้นเห็นว่ากองกำลังพวกจิงเลี่ยกลับมาแล้วจากไกลๆ ก็เกิดความโกลาหลอย่างหนักในทันที ต่างเต้นแร้งเต้นกาตะโกนเสียงดัง แต่ระยะห่างยังคงไกลนัก ได้ยินไม่ชัดว่าพวกมันตะโกนอะไร

    “หรือว่า…กองหนุนของศัตรูบุกเข้ามาในเมืองอีกครั้ง?” เลี่ยนเฟยหงพอกล่าว ทั้งสี่คนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันแวบหนึ่ง รีบเข้าไปต่อสู้ป้องกันทันที

    คนทั้งห้าชักอาวุธออกมาพร้อมกัน สะท้อนแสงสีขาวใต้ดวงอาทิตย์ยามบ่าย กีบเท้าม้าเร่งความเร็วพร้อมกัน วิ่งห้อเข้าหาทิศทางประตูเมือง ฝุ่นดินลอยตลบ

    ทว่าไปถึงกลับเห็นเพียงฝูงชนที่รวมตัวอยู่นอกประตู ทั้งหมดเป็นประชาชนธรรมดา มีครบทุกเพศทุกวัย พวกจิงเลี่ยทั้งห้าหยุดลงเบื้องหน้าพวกมันอย่างเร่งรีบ

    “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เยียนเหิงถามอย่างรีบร้อน “โจรบุกมาอีกแล้วหรือ”

    คนร้อยกว่านั้นคุกเข่าให้คนทั้งห้า

    “ประเสริฐเหลือเกิน! จอมยุทธ์ทุกท่านกลับมาแล้ว!” มีชาวบ้านคนหนึ่งหลั่งน้ำตาร้องตะโกน

    อีกคนหนึ่งกล่าวเหมือนร่ำไห้เสียใจ “พวกเรายังกลัวว่าทุกท่านจะจากไป เช่นนั้นหลูหลิงเราก็คงน่าเวทนาแล้ว!” ชาวบ้านคนอื่นเองก็พูดคุยกันอย่างดีใจ ยินดีที่พวกจิงเลี่ยกลับมา

    เยียนเหิงเก็บกระบี่สงัดนิ่งอย่างช้าๆ มันนึกโยงถึงฉากการประลองกระบี่ที่ศาลาอู่หลี่อำเภอก้วนเซี่ยนในอดีตที่มีคนสองร้อยคนใช้สายตาเลื่อมใสทอดมายังมัน

    มันกระโดดลงจากอานม้ากล่าวต่อกลุ่มคน “ลุกขึ้นเถิด! มิต้องคุกเข่า!” เยียนเหิงกล่าวพลางพยุงชาวบ้านวัยชราคนหนึ่งด้วยมือตนเอง

    จิงเลี่ย หู่หลิงหลัน และเลี่ยนเฟยหงต่างเก็บดาบคืนในฝัก พวกมันเพียงกวาดมองชาวบ้านเหล่านี้อย่างเย็นชา สีหน้าตึงเครียด ไม่เอ่ยสักคำ

    “หึ เจ้าคิดว่าพวกมันรู้สึกขอบคุณเราจริงๆ หรือ” ถงจิ้งบนอานม้ายื่นกระบี่ซ้ายสงัดนิ่งออกมา ชี้ไปยังฝูงชน “พวกมันเพียงแต่กลัวว่าหนี้เลือดบัญชีนี้จะคิดยอดไปถึงตนเองก็เท่านั้น!”

    “ถงจิ้ง เจ้าห้ามพูดเช่นนี้!” เยียนเหิงขมวดคิ้วตำหนินาง

    “ข้าแค่พูดความจริง!” ถงจิ้งแกว่งกระบี่กล่าวเสียงดังกว่าเดิม “ลืมซากศพสองศพนั้นที่ห้อยอยู่บนคันธงแล้วหรือ พวกมันเองก็ออกหน้าเพื่อเมืองนี้หรือมิใช่ คนเหล่านี้กลับปล่อยให้ซากศพห้อยอยู่ ใครก็มิกล้านำลงมา!”

    เหล่าชาวบ้านพอได้ฟังก็ละอายอย่างมาก ต่างหน้าแดงก้มศีรษะลง

    เยียนเหิงนึกถึงซากศพอันน่าสลดใจของเจ็ดจอมยุทธ์กั้นหนานสองศพนั้น มันรู้ว่าถงจิ้งไม่ผิดสักนิด จึงพูดไม่ออกอีก

    หน้าประตูเมืองสองฝั่งเงียบลงประเดี๋ยวหนึ่ง ชาวบ้านจำนวนมากยามนี้มิกล้าแม้กระทั่งมองตรงไปยังพวกจิงเลี่ยทั้งห้า

    ยามนี้รถม้าด้านหลังจึงเร่งมาถึงภายใต้การประกบติดของม้าทั้งหก ฝูงชนมองเห็นรถซอมซ่อเช่นนี้ ยังมีบัณฑิตลัทธิหรูที่แม้จะพกกระบี่แต่สุภาพเรียบร้อยหลายคนติดตามก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบๆ คาดเดาว่าเป็นผู้ใดกันแน่

    “เฮ้อ นั่งรถก็ลำบากคนอื่นจริงๆ”

    ม่านประตูของห้องโดยสารรถเปิดออก หวังโส่วเหรินก้มศีรษะประคองหมวกก้าวออกมาจากในรถ แหงนหน้าบิดขี้เกียจเป็นการใหญ่

    “นายอำเภอหวัง?”

    เสียงตะโกนดังขึ้นจากกลางฝูงชน ดวงตามิอยากเชื่อหลายคู่เบิกโพลง ทั้งหมดมองไปยังนักปราชญ์วัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นี้

    “ปะ…เป็นใต้เท้าหวังจริงๆ ด้วย!” เหมือนระหว่างชาวบ้านมีน้ำมันเดือดหม้อหนึ่งสาดใส่ คนร้อยกว่าคนแย่งกันตะโกนครึกโครม

    “ใต้เท้าหวังกลับมาแล้ว!”

    พวกมันมิได้สนใจพวกเยียนเหิงอีกต่อไป ต่างกรูกันเข้าไปห้อมล้อมหวังโส่วเหริน บัณฑิตลัทธิหรูหลายคนตกอกตกใจ ทว่าห้ามปรามไม่ทันเสียแล้ว ชาวบ้านหลายคนในนั้นยังคุกเข่ากราบเท้าหวังโส่วเหริน

    “ฟ้ามีเมตตาให้ใต้เท้าหวังกลับมาช่วยอำเภอหลูหลิงเรา! ข้ามิได้ฝันไปใช่ไหม ใต้เท้าหวังกลับมา อะไรก็เป็นเรื่องง่าย! ที่แท้จอมยุทธ์หลายท่านนั้นล้วนเป็นผู้ที่ใต้เท้าหวังส่งมาหรือ” กลุ่มคนแย่งกันตะโกนจนฟังไม่ได้ศัพท์ อารมณ์ตื้นตันอย่างมาก

    พวกจิงเลี่ยมองเห็นฉากนี้ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเยียนเหิง มันประหลาดใจต่อหยางหมิงเซียนเซิงผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม

    “อะไรกัน” เลี่ยนเฟยหงไม่พอใจที่ถูกเห็นเป็นลูกน้องของผู้อื่น มันร้องอุทานกล่าว “มันเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตหรือ”

    เพราะได้ยินเสียงตะโกนอื้ออึง คนจำนวนมากกว่าเดิมจึงกรูกันออกมาจากในเมืองเพื่อต้อนรับหวังโส่วเหริน พริบตาเดียวทั้งนอกและในประตูเมืองมีคนเพิ่มเป็นสองสามร้อยคน อัดกันจนบริเวณประตูเมืองน้ำมิอาจซึมผ่าน

    ที่แท้ขณะหวังโส่วเหรินดำรงตำแหน่งจเรกรมทหารในปีนั้น เนื่องเพราะถวายฎีกาล่วงเกินหลิวจิ่นขันทีฉ้อฉลผู้มีอำนาจเหนือทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา จึงถูกเนรเทศไปเมืองหลงฉ่างมณฑลกุ้ยโจว มันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเอาชีวิตรอด กระทั่งสี่ปีก่อนหลิวจิ่นถูกประหารเพราะก่อกบฏ หวังโส่วเหรินจึงสิ้นสุดโทษเนรเทศชั่วชีวิต ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากราชสำนักอีกครั้ง ตำแหน่งแรกที่ได้รับคือมาเป็นนายอำเภอที่หลูหลิง

    นับแต่นั้นหวังโส่วเหรินก็เลื่อนตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า ปีที่แล้วได้เลื่อนเป็นรองเสนาบดีสำนักราชยานแห่งหนานจิง ด้วยชื่อตำแหน่งแม้บ่งบอกว่าหน้าที่คือควบคุมการดูแลม้าและราชรถ แต่ความจริงเป็นตำแหน่งลอยที่มีศักดิ์แต่ไร้อำนาจ หวังโส่วเหรินไม่สบายใจ จึงถ่วงเวลาเข้ารับตำแหน่งมาโดยตลอด ปีนี้จึงเจียดเวลาว่างทัศนาจรและบรรยายทั่วทิศ เนื่องเพราะผ่านทางเจียงซีจึงแวะกลับมาที่หลูหลิงอีกครั้ง หมายชมดูสถานที่เก่าๆ สักหน่อย

    “เอาล่ะๆ” หวังโส่วเหรินปลอบขวัญชาวบ้านอย่างไม่รีบร้อนพลางลอบสำรวจฝูงชน มันสนใจต่อส่วนน้อยที่เป็นคนหนุ่มแน่นมากกำลังในหมู่ชาวบ้าน คนจำนวนมากเสื้อผ้าค่อนข้างขาดกะรุ่งกะริ่ง รู้แล้วรางๆ ว่าไม่ปกติ

    ลูกศิษย์ทั้งของมันหกตะโกนเสียงแหบเสียงแห้งอยู่นานจึงทำให้ฝูงชนสงบลง

    “ข้าได้ยินว่าวันนี้ในเมืองมีคนตายจำนวนมาก พาข้าไปดูหน่อยเถอะ” หวังโส่วเหรินกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

    กลุ่มคนขานรับไม่ขาดปากและเฮโลเดินไปยังประตูเมืองกับใต้เท้าหวัง

    “มิได้!” ยามนี้เสียงหนึ่งพลันตะโกน เห็นเพียงจิงเลี่ยยังคงนั่งอยู่บนอานม้า กวัดแกว่งดาบแคว้นวอแวบวาบแสงเย็นเยียบ ชาวบ้านเห็นท่าทีของมันล้วนตกใจจนตะลึงงันไปประเดี๋ยวหนึ่ง

    ลูกศิษย์ของหวังโส่วเหรินต่างก็ตกใจ คิดว่าคนประหลาดที่สวมชุดป่าเถื่อน หน้าตาและท่วงท่าดุร้ายบ้าระห่ำผู้นี้จะก่อจลาจลดังคาด ต่างกุมด้ามกระบี่เอาไว้

    จูเหิงลูกศิษย์ที่อายุมากที่สุดในนั้นตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “เซียนเซิงจะเข้าเมือง ชาวนาชนบทเช่นเจ้ากลับกล้าขัดขวาง?” ขณะกล่าวมันก็ชักกระบี่ที่ข้างเอวออกมาแล้วหลายฉื่อ

    “โง่เง่า!” เลี่ยนเฟยหงที่อยู่อีกด้านหนึ่งเร่งม้าเข้ามาจนม้าเตะกีบเท้าหน้าทั้งสองขึ้น ขู่จนกลุ่มคนถอยหลัง มันหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยวสืบต่อ “พวกข้าจะขัดขวางไม่ให้คนไปหาที่ตายมากขึ้นอย่างไรล่ะ!”

    จิงเลี่ยสอดดาบแคว้นวอคืนฝักและกล่าวอย่างใจเย็น “ที่ที่ทำศึกเมื่อครู่ ยามนี้เต็มไปด้วยพิษร้าย อยากมีชีวิตอยู่ก็อย่าเดินเข้าไปใกล้ตามใจชอบ”

    บรรดาชาวบ้านจึงกระจ่างแจ้งโดยพลัน

    “จอมยุทธ์จิง ข้าเห็นท่านมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน ต้องมีวิธีจัดการเป็นแน่ รบกวนแล้ว” หวังโส่วเหรินประสานหมัดกล่าว

    จิงเลี่ยลงจากม้า พยักหน้าให้หวังโส่วเหริน

    “เซียนเซิงมิต้องเกรงใจ” จิงเลี่ยยโสโอหังต่อคนสนิทของหนิงอ๋อง แต่ใต้เท้าหวังท่านนี้กลับทำให้มันมีมารยาทขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

    จิงเลี่ยจึงนำพวกเยียนเหิงทั้งสี่จูงม้าเข้าเมือง โดยมีหวังโส่วเหรินและชาวบ้านติดตามอยู่ด้านหลัง

    ครั้นเข้าสู่ถนนใหญ่ หวังโส่วเหรินมองเห็นร้านค้าและบ้านที่ทิ้งร้างผุพังมากมายตามสองข้างทางก็อดมิได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ

    …เฮ้อ เพิ่งไปแค่ปีกว่าก็กลายเป็นสภาพเช่นนี้อีก…ไม่มีคนผลักดันก็ไม่ไปไหนจริงๆ

    เมื่อมาถึงลานกว้างเล็กๆ แห่งนั้น เห็นเพียงใต้คันธงมีซากศพหลายสิบศพกองระเนระนาดอยู่ก็ชวนให้รู้สึกสยดสยอง

    ศิษย์จอมเวทปัวหลงที่ถูกหมัดเหล็กเลี่ยนเฟยหงทำร้ายยังคงมีชีวิตและนอนสลบอยู่บนพื้น เลี่ยนเฟยหงเข้าไปสำรวจดูมัน ครั้นแน่ใจว่าเสื้อผ้าบนร่างไม่เปื้อนผงพิษก็ลากเชลยผู้นี้ออกมา สั่งการชาวบ้านมัดมันเอาไว้ ซ้ำยังถอนมีดบินออกมาจากน่องแล้วห้ามเลือดให้มัน

    จิงเลี่ยมองดูครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อหวังโส่วเหริน “คนพวกนี้ส่วนมากตายภายใต้ผงพิษที่รุนแรงยิ่งยวด ตอนนี้รอบๆ บริเวณ ไม่ว่าศพหรือพื้นดินก็ล้วนมีพิษแพร่กระจายอยู่ หากผิวหนังเปื้อนติดเล็กน้อยก็เสียชีวิตได้ทุกเมื่อ”

    “เช่นนั้นต้องจัดการเช่นไร” หวังโส่วเหรินมองดูศพที่กองเป็นชั้น ในดวงตาปรากฏแววสังเวชออกมา

    “ให้คนพยายามตักน้ำมาให้มากที่สุด สาดไปที่ศพและบนพื้นก่อน เพื่อป้องกันผงพิษปลิวกระจาย อีกทั้งเจือจางความเป็นพิษ” จิงเลี่ยกล่าว “เมื่อล้างได้พอสมควรแล้วก็รีบใช้ผ้าหนาห่อคลุมซากศพ เคลื่อนออกเมืองไปฝัง หลุมศพขุดยิ่งลึกยิ่งดี” จิงเลี่ยมองรอบๆ ลานกว้างนั้นแล้วถอนหายใจพลางกล่าวอีก “ถึงแม้ทำเช่นนี้ยาพิษก็ยังจะซึมเข้าไปในดิน ผ่านไปอีกหนึ่งปีครึ่งก็ยังไม่สลายไปหมดเป็นแน่ ต้องล้อมพื้นที่นี้เอาไว้ ห้ามคนและสัตว์เข้าใกล้”

    หวังโส่วเหรินสั่งการชาวบ้านให้ไปทำตามคำบอก ทั้งยังกำชับพวกมันว่าต้องใช้ผ้าหยาบห่อหุ้มมือทั้งสองและปากจมูก เพื่อความปลอดภัย

    ยามนี้จิงเลี่ยอ้อมพื้นที่มีพิษของลานกว้างนั้นกลับไปยังร้านค้าที่เคยต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนหน้า หยิบอาวุธที่ทิ้งไว้ด้านในกลับคืน ศพของศิษย์จอมเวทปัวหลงคนหนึ่งยังนอนกองอยู่บนโต๊ะอาหาร จิงเลี่ยถอนใบมีดเสี้ยวจันทร์ยวนยางออกมาจากร่างผู้ตาย ใช้ชุดคลุมหลากสีที่ซากศพนั้นสวมอยู่เช็ดถูคราบเลือด

    หวังโส่วเหรินเข้ามาพร้อมการติดตามของลูกศิษย์และชาวบ้านหลายคน มันมองเห็นซากศพแต่งกายประหลาดเหล่านั้นก็อดมิได้ที่จะส่ายหน้า

    “สู้ศัตรูหนีเอาชีวิตรอด กลับต้องใช้อุบายอำมหิตเช่นนี้ อีกทั้งทิ้งหายนะอันยิ่งใหญ่เอาไว้ คนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าหาใช่โจรภูเขาหรือโจรปล้นม้าทั่วไปไม่ พวกมันเป็นผู้ใดกันแน่นะ”

    “ข้าเองก็อยากรู้” จิงเลี่ยยักไหล่ “เรามาถึงก่อนพวกท่านเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น ยังไม่กระจ่างอันใดก็ต้องสู้กับพวกมันแล้ว ข้ารู้เพียงพวกมันอ้างตัวว่าเป็นสำนักอู่ตัง ศิษย์ใต้อาณัติจอมเวทปัวหลงอะไรสักอย่าง”

    ครั้นคำว่าจอมเวทปัวหลงสี่พยางค์ออกจากปาก ชาวบ้านหลายคนด้านข้างก็ร่างแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงอย่างหวาดหวั่น

    หวังโส่วเหรินและจิงเลี่ยล้วนสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงสีหน้านี้ ชาวบ้านคล้ายหวาดกลัวอย่างรุนแรงยิ่งต่อจอมเวทปัวหลงผู้นี้ จึงรู้ว่าเรื่องราวไม่ปกติแน่แล้ว โดยเฉพาะจิงเลี่ย มันนึกถึงคนบ้าเหมือนซากศพมีชีวิตกลุ่มนั้นที่พรั่งพรูออกมาจากทุกแห่งในเมืองก่อนหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

    “พวกเจ้าทำอะไรอยู่!” ยามนี้ด้านนอกมีคนตะโกนเสียงดัง “ไยคนมากมายเช่นนี้เดินออกมารวมตัวกัน ก่อกบฏหรือ!”

    คนอ้วนคนหนึ่งแหวกฝูงชนปรากฏตัวอยู่ไกลๆ จากนั้นตวาดอย่างหมดความอดทน ข้างกายและหน้าหลังนำพาผู้คุ้มกันเขตและเสมียนศาลรวมสิบคนมาด้วย ชาวบ้านล้วนก้มศีรษะหลีกห่าง

    คนอ้วนผู้นี้คือสวีหงเต๋อนายอำเภอหลูหลิงคนปัจจุบัน ขณะนี้แม้มิได้สวมเครื่องแบบราชการ แต่เพียงได้ยินเสียงบรรดาชาวบ้านก็จำได้

    สวีหงเต๋อมองชาวบ้านซ้ายขวา ปากดุด่าไม่หยุด “มารวมตัวกันก่อเรื่องโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าข้าลงโทษพวกเจ้าฐานรวมกลุ่มกันสร้างความวุ่นวายได้…” มันกล่าวพลางเดินไปด้านหน้าสุด พลันเห็นซากศพกองใหญ่บนลานกว้างก็กล่าวคำไม่ออกไปประเดี๋ยวหนึ่ง

    “ถุย ข้าราชการอะไร ก่อนหน้าโจรเข้าเมือง กลับไม่เห็นเจ้าโผล่หัว” ถงจิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาเชิงเหยียดหยาม

    คำพูดนี้ถ่ายทอดถึงหูสวีหงเต๋อ มันถลึงมองถงจิ้งอย่างเดือดดาล เห็นเป็นเพียงดรุณีแปลกหน้าแปลกตาอย่างยิ่ง ดูจากการแต่งกายคล้ายนักเดินทางที่มาจากต่างถิ่น บนเอวยังพกกระบี่ยาว ไม่แน่ชัดถึงเบื้องลึกของนาง จึงมิกล้าเอ่ยกล่าวท้าทายใส่

    สวีหงเต๋อมองซากศพเหล่านั้นอย่างละเอียด เห็นว่าส่วนมากล้วนเป็นศิษย์จอมเวทปัวหลงที่สวมชุดคลุมหลากสีก็ตกใจจนถอยหลังหลายก้าวจนผู้คุ้มกันเขตต้องประคองไว้

    “นะ…นะ…นี่เป็นฝีมือผู้ใด…” มันกล่าวพลางมองไปยังถงจิ้งอีกครั้ง ยังมีหู่หลิงหลัน เลี่ยนเฟยหง และเยียนเหิงข้างกายนาง เห็นเพียงแต่ละคนล้วนแต่งกายเหมือนชาวยุทธภพ ท่าทางแปลกประหลาด ยังพกอาวุธร้ายแรงหลากชนิดอย่างกำเริบเสิบสาน

    ยะ…แย่แล้ว…หายนะมาถึงตัวแล้ว

    หวังโส่วเหรินนำลูกศิษย์มาถึงเบื้องหน้าสวีหงเต๋อ มันกำลังนึกสงสัยว่าคือผู้ใด ทว่าผู้คุ้มกันเขตคนหนึ่งข้างกายก็จำอีกฝ่ายได้จึงรีบรายงาน

    “คารวะใต้เท้าสวี” หวังโส่วเหรินประสานมือแสดงมารยาท ชั้นยศของมันแม้สูงกว่านายอำเภอสวีผู้นี้มาก แต่น้ำเสียงหาได้ทะนงตนสักนิด ขณะแสดงมารยาท ดวงตาหวังโส่วเหรินมิลืมสังเกตฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด

    สวีหงเต๋อเองก็รีบแสดงมารยาท หวังโส่วเหรินได้ชื่อว่าหยางหมิงเซียนเซิง เป็นจอมปราชญ์แห่งยุค นับตั้งแต่ค้นพบสัจธรรมและฟื้นสู่ตำแหน่งที่เมืองหลงฉ่างก็ตระเวนบรรยายวิชาปรัชญาในแต่ละแห่งอย่างกระตือรือร้น มีนักเรียนค่อนข้างมาก มีชื่อเสียงในสังคมเป็นอย่างยิ่ง มันเลื่อนขั้นในระบบราชการอย่างรวดเร็ว สวีหงเต๋อไหนเลยจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

    หวังโส่วเหรินเลื่อนตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีลำดับหลักขั้นสี่ สวีหงเต๋อเพียงแค่นายอำเภอขั้นเจ็ดคนหนึ่ง ขณะแสดงมารยาทโค้งเอวต่ำจนศีรษะแทบกระแทกพื้น หวังโส่วเหรินประคองเอาไว้เบาๆ สวีหงเต๋อกลับยังคงมิกล้ามองตรง

    บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้กลับปรากฏตัวในขอบเขตการดูแลของตนเอง สวีหงเต๋อรู้สึกหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

    หรือว่ามีคนกราบทูลเรื่องของข้าต่อเบื้องบน ด้วยเหตุนี้จึงส่งหยางหมิงเซียนเซิงผู้นี้มาสืบความผิดข้าโดยเฉพาะ?

    หวังโส่วเหรินเป็นขุนนางมานานแล้ว ครั้นเห็นสีหน้าสวีหงเต๋อก็รู้ว่ามันคิดอะไร จึงอธิบายอย่างเฉยชา

    “ข้ามาครั้งนี้เพื่อไปเข้ารับตำแหน่งที่หนานชาง จึงแวะมาเยี่ยมเยือนพบปะสหายเก่าสักหน่อยเท่านั้น”

    แม้มันจะเลื่อนขั้นเป็นขุนนางหนานชางแล้ว แต่สุดท้ายก็มิใช่ผู้บังคับบัญชาสังกัดของนายอำเภอหลูหลิงนี้อยู่ดี การพูดการจาจึงยังคงรักษาความสุภาพ

    “เป็นการยากที่ใต้เท้าหวังจะมาเป็นอาคันตุกะอำเภอเรา เคราะห์ร้ายกลับพบกับกองโจรมาก่อเรื่องฆ่าคน เสียมารยาทจริงๆ…” สวีหงเต๋อกล่าวไปพลางดวงตากลอกไปพลางคิดในใจว่าจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ไปได้เช่นไร “อ้อ มีบางอย่างที่ใต้เท้าหวังมิทราบ แถบหลูหลิงในตอนนี้เกิดโรคระบาด พืชผลเสียหายอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีคนฝ่าฝืนกฎหมายรวมกลุ่มเป็นโจรมากขึ้นเรื่อยๆ…”

    “พืชผลเสียหาย ท่านกลับกินจนอ้วนนัก” ถงจิ้งกล่าวกระเซ้าอีกครั้ง “อาภรณ์ชุดนี้ของท่านวัสดุชั้นสูงเชียวนะ จี้หยกชิ้นนี้ตรงข้างเอวก็ไม่เล็ก”

    “บังอาจ!” เสมียนลูกน้องสวีหงเต๋อคนหนึ่งตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “ดูจากการแต่งกายพรรค์นี้ของเจ้าก็มิใช่คนดี กลับกล้าไร้มารยาทกับท่านนายอำเภอ?”

    “พวกมัน…” หวังโส่วเหรินครุ่นคิด “เป็นสหายข้า”

    ถงจิ้งไม่รู้จักหวังโส่วเหริน แต่หวังโส่วเหรินกลับเอ่ยปากยอมรับเองว่าเป็นสหาย ยามปกติหากมีคนผูกสัมพันธ์เช่นนี้ถงจิ้งต้องไม่ยินดีเป็นแน่ แต่ยามนี้นางมองดูหวังโส่วเหรินกลับมิได้รู้สึกไม่พอใจ แต่รู้สึกรางๆ ว่า ถูกหยางหมิงเซียนเซิงผู้นี้ยอมรับเป็นสหายก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว

    เสมียนผู้นั้นพอได้ยินก็เงียบเสียง สวีหงเต๋อไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร ทำได้เพียงหัวเราะอย่างเก้อเขิน

    เรื่องเหล่านี้ที่ถงจิ้งพูด หวังโส่วเหรินสังเกตเห็นอยู่แล้วแต่เพียงมิได้เปิดเผยเท่านั้น หวังโส่วเหรินรูปลักษณ์ภายนอกธรรมดา รูปร่างผอมเหมือนคนทำไร่ไถนาก็ปาน มักถูกคนประเมินความฉลาดหลักแหลมของมันต่ำ

    หวังโส่วเหรินเดาได้ว่านายอำเภอสวีผู้นี้เห็นจะมีความเกี่ยวข้องกับโจร หมายเค้นความจริงออกมาจากปากมัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็หวังว่าจะมีคนเจรจากับชาวบ้าน ถามเรื่องราวเกี่ยวกับจอมเวทปัวหลงผู้นั้นให้กระจ่างได้

    “จอมยุทธ์จิง” หวังโส่วเหรินถือโอกาสหันหน้ากล่าวต่อจิงเลี่ย “ข้าจะไปที่จวนว่าการ พูดคุยกับใต้เท้าสวีก่อน รบกวนพวกท่านช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาใต้เท้าสวี สั่งการทุกคนเก็บกวาดซากศพ” มันหันไปกล่าวกับหวงเสวียนลูกศิษย์คนหนึ่งที่เยาว์วัยที่สุด “เจ้าเองก็อยู่ช่วยที่นี่”

    จิงเลี่ยเข้าใจความคิดของหวังโส่วเหรินจากในสายตามัน หวังโส่วเหรินจะเป็นฝ่ายรั้งนายอำเภอสวีผู้นี้เอาไว้ พวกจิงเลี่ยจะได้มีโอกาสถามต้นสายปลายเหตุกับชาวบ้านในอำเภอ

    “มิต้องกังวล” จิงเลี่ยประสานมือให้หวังโส่วเหรินพร้อมมุมปากยิ้มเล็กน้อย หวังโส่วเหรินเห็นรอยยิ้มนี้ของจิงเลี่ยก็รู้ว่าใจสื่อถึงกัน จึงใช้ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ

    หวังโส่วเหรินจึงหันมาจูงมือของสวีหงเต๋อ

    “ใต้เท้า เชิญ”

    สวีหงเต๋อมิทันสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาให้จับตามองพวกจิงเลี่ยก็ถูกหวังโส่วเหรินจูงเดินไปยังทิศทางของที่ว่าการอำเภอ

    เยียนเหิงยามนี้มองเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งหมดล้วนใช้แววตาเคารพนับถือและเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างมากมองคล้อยเงาหลังคนทั้งสอง

    แววตานี้ย่อมมิได้ทอดไปยังนายอำเภอคนปัจจุบันผู้นั้น

     

    ทั่วทั้งอำเภอหลูหลิงค่อยๆ ปรากฏชีวิตชีวา มิคล้ายสภาพเย็นยะเยือกเงียบสงัดขณะพวกจิงเลี่ยเข้าเมืองตอนเช้าอีกต่อไป

    คนในเมืองยิ่งรวมยิ่งมาก ที่แท้มิเพียงผู้อาศัยในเมืองที่พรั่งพรูออกมา แต่ยังมีชาวนาหมู่บ้านใกล้เคียง ได้ข่าวว่าใต้เท้าหวังโส่วเหรินมาหลูหลิงอีกครั้งล้วนเข้าเมืองมาสืบข่าว หวังว่าจะได้เห็นใต้เท้าหวังสักแวบ มีจำนวนไม่น้อยยังถือผลหมากรากไม้ ตั้งใจจะมอบให้ใต้เท้าด้วยมือตัวเอง

    พวกจิงเลี่ยทั้งห้าเดินอยู่บนถนนกับหวงเสวียนบัณฑิตลัทธิหรูเยาว์วัยผู้นั้น มองเห็นรอบด้านล้วนมีคนจับกลุ่มล้อมวงพูดคุย มีโรงน้ำชาหลายร้านถือโอกาสเปิดประตูให้ผู้คนรวมตัวกัน

    รถเข็นหลายคันบรรลุถึงบนถนน บนรถคลุมไว้ด้วยผ้าหลายชั้น เป็นซากศพที่รวบรวมมาจากลานกว้าง จะเคลื่อนออกเมืองไปฝัง ชาวบ้านมองเห็นชายฉกรรจ์ที่ปิดปากและจมูกด้วยผ้า เข็นรถไม้เข้ามาใกล้อย่างลำบากยากเย็นก็ต่างหลีกทางอย่างหวาดหวั่น

    พวกจิงเลี่ยยืนอยู่ด้านหนึ่งของถนน มองคล้อยรถไม้หลายคันนั้นผ่านไป ไม่กล่าวสักคำ

    รถขนศพอีกคันหนึ่งเข็นมาแล้ว เห็นเพียงครั้งนี้คลุมเพียงผ้าบางๆ ชั้นเดียว เห็นได้ถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับของผู้ตายหลายๆ คน ถงจิ้งจำได้ว่าเป็นคนทั้งสี่ที่ร้านอาหารซึ่งถูกศิษย์จอมเวทสังหาร ถงจิ้งเดินเข้าไปข้างหน้า เลิกผ้ามองดู

    เห็นเพียงเถ้าแก่เนี้ยของร้านอาหารนอนอยู่ด้านบนสุด บนร่างมีบาดแผลอันน่าเวทนารอยหนึ่ง ดวงตาของนางแม้ปิดลงแล้ว แต่ใบหน้าบิดเบี้ยวขมวดแน่น ยังคงหลงเหลือความตื่นตระหนกก่อนตาย ถงจิ้งอดมิได้ที่จะหลั่งน้ำตา

    คนทั้งสามที่เข็นรถ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มแต่งกายชุดชาวนาอายุไล่เลี่ยกับถงจิ้ง มันมองเห็นจอมยุทธ์ดรุณีพกกระบี่นางนี้กลับร่ำไห้กระซิกให้คนที่ไม่รู้จักไม่กี่คนก็รู้สึกผิดคาดอย่างยิ่ง มันเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ

    “พวกมัน…นามว่าอะไร…” ถงจิ้งถามขณะนิ้วมือกุมด้ามกระบี่ของกระบี่สงัดนิ่งตรงข้างเอวแน่น

    “เป็นเถ้าแก่เจิง ชื่อเต็มเรียกเจิงจี้ ภรรยาของเขาแซ่หลี่…” เด็กหนุ่มผู้นั้นตอบอย่างตะกุกตะกัก “เด็กในร้านสองคน คนหนึ่งคืออาซานน้องชายของนางหลี่ คนหนึ่งคือเฉินเอ้อร์…เจ้าถามทำไมหรือ…”

    ถงจิ้งท่องชื่อเหล่านี้พึมพำไปมาอยู่ครู่หนึ่ง รอจนจำแม่นแล้วจึงตอบเด็กหนุ่มผู้นั้น “ข้าต้องรู้ว่าจะแก้แค้นเพื่อใคร” นางกล่าวและเดินกลับไปข้างกายพรรคพวก

    เด็กหนุ่มผู้นั้นถลึงดวงตาอย่างประหลาดใจ ยืนตะลึงมองดูพวกจอมยุทธ์ของถงจิ้งทั้งหลายเดินไปบนถนน เด็กหนุ่มกล่าวต่อพวกพ้องทั้งสอง “พวกเจ้าเข็นไปก่อน ข้ามีธุระ” ก่อนทิ้งรถเพื่อตามหลังคนเหล่านั้นไป

    พวกจิงเลี่ยทั้งหกสำรวจดูโดยรอบบนถนนต่อ ทุกแห่งที่ไป คนที่รวมตัวพูดคุยกันแต่เดิมจะรีบแยกย้ายหลีกทาง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้อาคันตุกะประหลาดต่างถิ่นที่มีความเป็นมาไม่แน่ชัด ทั่วร่างล้วนพกอาวุธร้ายแรงหลายคนเช่นพวกมัน

    หวงเสวียนสังเกตเห็นลักษณะของพวกจิงเลี่ยก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เห็น ขณะเดินอยู่บนถนนยืดอกผาย มือซ้ายจับฝักกระบี่บนสายคาดเอวเอาไว้ ถงจิ้งเห็นท่าทางนี้ของมันก็อดมิได้ที่จะส่ายหน้าหลุดเสียงหัวเราะ

    “พวกเจ้าดู” หู่หลิงหลันชี้มุมถนน

    คนผู้หนึ่งนั่งเอนอยู่ริมคลองข้างกำแพง หน้าตาซูบผอม แววตาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เสื้อผ้าบนร่างไม่รู้ว่าสวมได้กี่วันแล้ว ทั้งสกปรกทั้งขาด เป็นศพมีชีวิตเหล่านั้นที่ปรากฏตัวก่อนหน้า

    คนทั้งหกเดินไปตามถนนอีกระยะหนึ่ง บังเอิญมองเห็นศพมีชีวิตนอนบ้างนั่งบ้างอยู่ริมถนนเช่นนี้โดยไร้คนสนใจ

    หวงเสวียนปิดปากจมูกด้วยความตกใจ “หรือว่าที่ใต้เท้าสวีกล่าวเป็นจริง ในเมืองมีโรคระบาด?”

    “ไม่ คนเหล่านี้มิได้ป่วย” เยียนเหิงตอบ มันนึกถึงความรู้สึกที่ถูกหานซือเต้าบุรุษหน้าขาวลอบทำร้าย ด้วยผงฝ่างเซียนในปริมาณเล็กน้อยก่อนหน้า ต่อมาก็มองเห็นฉากที่ศพมีชีวิตเหล่านี้แย่งชิงห่อยาอย่างสุดชีวิต คาดเดาว่าพวกมันกลายเป็นสภาพเช่นนี้ต้องเป็นเพราะใช้ยากล่อมประสาทที่คล้ายคลึงกันเป็นระยะเวลานานอย่างเป็นแน่

    “พวกมันเสพยาของจอมเวทปัวหลง”

    หวงเสวียนได้ฟังก็ตกใจ

    “คนผู้นี้มิเพียงชื่อเรียกแปลกประหลาด ยังมีวิชาการใช้ยาพิษที่สูงล้ำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหาใช่โจรระเหเร่ร่อนทั่วไปไม่!” มันกล่าวพลางสำรวจพวกจิงเลี่ย ในใจคิดอีกว่าพวกมันตั้งห้าคนกลับสังหารโจรชั่วหลายสิบคนของฝ่ายตรงข้ามได้ นี่ก็ไม่ง่ายดายเช่นกัน “น้องเยียน…” หวงเสวียนมองดูการแต่งกายของเยียนเหิง มันให้ความสนใจรูปลักษณ์ของกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียคู่นั้นเป็นพิเศษ แค่มองก็รู้ว่ามิใช่อาวุธธรรมดา “…เจ้าเป็นชนชาวยุทธภพ?”

    “ศิษย์น้องเล็กสืบทอดสำนักกระบี่ชิงเฉิงแห่งซื่อชวน” เยียนเหิงประสานมือ ตอบอย่างเคารพนอบน้อม หวงเสวียนผู้นี้เพิ่งอายุยี่สิบ ความจริงโตกว่าเยียนเหิงไม่กี่ปี

    “สำนักชิงเฉิง ข้าเคยได้ยิน” หวงเสวียนครุ่นคิด “เหมือนปลายปีก่อนจะ…”

    เยียนเหิงหน้าตาเคร่งเครียด พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คิดไม่ถึงว่าความหายนะของสำนักจะแพร่กระจายทั่วหล้าแล้ว แม้กระทั่งปัญญาชนเหล่านี้ก็ได้ข่าว

    หวงเสวียนถอนหายใจกล่าวอีก “ผู้ฝึกยุทธ์เช่นพวกท่าน วันๆ เอาแต่ฆ่าฟันกัน ต่อสู้ชิงชัย เอาชีวิตไปทิ้งขว้างเช่นนี้ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกท่านทุ่มเทฝึกฝนไปเพื่ออะไร…”

    คำพูดนี้ในโสตของเยียนเหิงและสหายล้วนไม่ยินดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถงจิ้งที่มีสีหน้าโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม

    เยียนเหิงค้างคาใจอย่างมาก แม้มันมิได้คิดว่าตนเองอุทิศตนแสวงหาวิถียุทธ์ แต่ก็ถูกปัญญาชนอ่อนแอกล่าวจนไม่เหลือค่าเหลือราคา จึงถามกลับ “พี่หวงท่านล่ะ ท่านติดตามใต้เท้าหวังเพื่ออะไรอีก”

    “ย่อมเพื่อเรียนรู้มรรคาของนักปราชญ์!” หวงเสวียนเชิดหน้ายืดอกตอบ สีหน้านั้นเหมือนกำลังดูแคลนเยียนเหิงว่าแม้กระทั่งหลักการง่ายดายเช่นนี้ก็ไม่เข้าใจ

    “พัฒนาผู้คน ถ่ายทอดหลักศีลธรรม แยกแยะดีชั่ว สร้างสันติสุขบ้านเมือง!” การกล่าวคำคมพรรค์นี้ของหวงเสวียน ความจริงไม่ว่านักปราชญ์คร่ำครึที่เข้าสอบเคอจวี่คนใดก็ท่องได้เป็นกอง ทว่าขณะมันกล่าวออกมาน้ำเสียงจริงใจอย่างมาก ใบหน้ามิได้เสแสร้งอำพรางแม้แต่น้อย ท่าทางและสีหน้าแผ่ความอาจหาญประหนึ่งแบกใต้หล้าเอาไว้ออกมา

    เมื่อเยียนเหิงเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ถูกสยบไปประเดี๋ยวหนึ่ง หวงเสวียนยังเยาว์วัยเช่นนี้ บุคลิกมิได้เกิดขึ้นมาเอง ย่อมต้องติดมาจากคนใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งเป็นแน่…เฉกเช่นตัวมันที่ได้รับอิทธิพลจากเหอจื้อเซิ่งผู้เป็นอาจารย์

    หยางหมิงเซียนเซิงท่านนั้นมิใช่คนธรรมดาดังคาด คนธรรมดาจะไม่ตั้งปณิธานเป็นนักปราชญ์

    ยามนี้ข้างกายหวงเสวียนกลับมีเงาหนึ่งแวบผ่าน ชักกระบี่จากข้างเอวหวงเสวียนออกมา หวงเสวียนยังยืนงงอยู่กับที่ คมกระบี่นั้นพลันเก็บกลับคืนในฝักอย่างรวดเร็วแม่นยำ หนึ่งชักหนึ่งเสียบ เผชิญความเร็วของเพลงหัตถ์ระดับนี้ ผู้ขาดประสบการณ์อย่างหวงเสวียนจึงไร้การตอบสนองป้องกันอันใดออกมาโดยสิ้นเชิง

    หวงเสวียนมองเห็นกระบี่กลับคืนตำแหน่งก่อน จึงเงยหน้า เห็นผู้ชักกระบี่คือจิงเลี่ย

    หวงเสวียนจับฝักกระบี่เอาไว้ ถลึงมองด้วยโทสะ “ทำอะไร”

    “ไม่มีอะไร…” จิงเลี่ยยิ้มน้อยๆ “ข้าเพียงอยากรู้ว่าหากกองกำลังหลายสิบ ดาบหลายสิบของพวกจอมเวทปัวหลงนั้นอยู่ตรงหน้าเจ้าขณะนี้ เจ้าจะ ‘สร้างสันติสุขบ้านเมือง’ ได้อย่างไร อาศัย ‘มรรคาของนักปราชญ์’ ที่เจ้าว่า หรือว่ากระบี่เล่มนี้บนเอวเจ้า?”

    หวงเสวียนหน้าแดง “ความกล้าแกร่งของพวกเจ้าอวดเก่งได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง การขจัดความชั่วดำรงความดีที่แท้จริงต้องทุ่มเทด้วยหัวใจ!”

    “พี่หวง ข้าไม่เคยเรียนวิชาและหลักการเหล่านี้ มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ…” เยียนเหิงกล่าว “คนเลวก็อยู่ตรงหน้าท่าน ที่ท่านกล่าวใช้การได้หรือ จะใช้วิชาปราชญ์พวกนั้นของท่านกล่อมเกลามัน รอมันทำบุญสร้างกุศลหรือ ก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนเป็นคนดี ไม่รู้ว่าจะมีกี่ชีวิตต้องถูกมันทำร้าย ชีวิตคนเหล่านี้นับเป็นอย่างไรได้”

    หวงเสวียนอ้ำอึ้งไปประเดี๋ยวหนึ่ง มันร่ำเรียนในสำนักหวังโส่วเหรินได้ไม่นาน ยามปกติแม้ชอบอภิปรายหลักการความสงบสุขของบ้านเมือง แต่กับนักสู้เหล่านี้กลับเหมือนใช้การมิได้

    มันมองดูคนที่ลงแดงจากการถูกผงฝ่างเซียนเหล่านั้นบนถนน แต่ละคนประหนึ่งซากศพเดินได้ ราวกับล้วนจะหายใจเฮือกสุดท้ายได้ทุกเมื่อ พวกมันต่างก็ถูกจอมเวทปัวหลงทำร้าย เผชิญหน้าโดยตรงกับการกระทำผิดอันชั่วร้ายยิ่งยวดเช่นนี้ หวงเสวียนรู้สึกว่าหลักการเหล่านั้นที่ตนเองคุ้นเคยในชีวิตประจำวันมิอาจกล่าวให้มีน้ำหนักเช่นนั้นแล้ว…แต่มันยังคงไม่ยอมรับ ชี้ไปยังชาวบ้านบนถนน

    “ก็ได้ หากอาวุธที่เจ้าบอกนำมาซึ่งความสงบสุขได้จริง เช่นนั้นเชิญดูสักหน่อย เพราะเหตุใดคนทั้งหมดล้วนกลัวพวกเจ้าเช่นนี้ล่ะ”

    เยียนเหิงมองไป จุดที่สายตาไปถึง ชาวบ้านแต่ละคนล้วนรีบหลบสายตาดังว่า

    “หึ…” ถงจิ้งขมวดหัวคิ้ว “ก่อนหน้ายังหวังให้พวกเรากลับมาที่นอกประตูเมือง พอกลับมาจริงๆ ก็หลบพวกเรา! พวกเราขับไล่คนชั่วให้ชัดๆ!”

    เยียนเหิงหวนนึกถึงคนสองร้อยคนที่ศาลาอู่หลี่แห่งนั้นอีกครั้ง สายตาของชาวบ้านเองก็หวาดกลัวเช่นเดียวกัน…สามัญชนเหล่านี้มิใช่คนระดับเดียวกับพวกมัน เยียนเหิงพลันเข้าใจแล้วว่าที่เหล่าชาวบ้านหวาดกลัว เนื่องเพราะในสายตาชาวบ้าน พวกมันเป็นคนต่างถิ่น

    “เมื่อครู่หยางหมิงเซียนเซิงกำชับพวกเราว่าต้องหาโอกาสลองถามชาวบ้านเหล่านี้” หวงเสวียนมองจิงเลี่ย ในดวงตามีความนัยเชิงท้าทาย “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าถามสิ”

    จิงเลี่ยจับหนวดเคราที่คาง ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนแย้มยิ้มขึ้นอีกครั้งและกล่าวหลายประโยคข้างหู่หลิงหลันและเลี่ยนเฟยหงเบาๆ

    เลี่ยนเฟยหงหลังได้ฟังก็ลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด มันหัวเราะพลางพยักหน้าทั้งยังถูไม้ถูมือไม่หยุด หู่หลิงหลันขมวดคิ้ว จากนั้นหยิบคันเกาทัณฑ์ยาวจากบนหลังอย่างไม่เต็มใจ และดึงลูกเกาทัณฑ์ขนนกดอกหนึ่งออกมาจากซองเกาทัณฑ์

    การเคลื่อนไหวนี้ของนางขู่ขวัญจนกลุ่มคนบนถนนถอยหลังไปอีกเล็กน้อย หวงเสวียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

    “มาแล้ว” เลี่ยนเฟยหงยิ้ม พลันตวัดฝ่ามือออกมาจากบั้นเอว ศอกและไหล่ยกขึ้นสะบัดข้อมือ มีดบินติดผ้าแดงเล่มหนึ่งลอยหมุนออกไปกลางอากาศพลางส่งเสียงหวีดหวิว!

    บริเวณที่มีดบินลอยไป กลุ่มคนต่างก้มศีรษะหลบหลีกอย่างตื่นตระหนกตกใจ

    ‘คมบินส่งวิญญาณ’ ท่านี้ของเลี่ยนเฟยหงใช้เพลงหัตถ์ที่ยอดเยี่ยมโดยแท้จริง ไม่เหมือนกันกับการลอยตรงโจมตีอันทรงพลังในยามปกติ แต่เป็นลอยราบตามเส้นโค้ง หู่หลิงหลันเล็งเงาแดงที่ลอยเคลื่อนนั้น ง้าวคันเกาทัณฑ์ปล่อยสาย ลูกเกาทัณฑ์ทรงพลังผ่านเวหาออกไปดังสวบออกหลังบรรลุก่อน ถูกผ้าแดง!

    ปลายศรแทงเข้าผ้าผูกมีด พาให้มีดลอยเคลื่อนต่อไปปักบนเสาของบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไปหลายจั้ง

    ในยามที่กลุ่มคนยังคงมองดูจนปากอ้าตาโพลง มือซ้ายเลี่ยนเฟยหงก็แกว่งออกมาอีกครั้ง มีดบินติดผ้าแดงอีกเล่มหนึ่งซัดหมุนโค้งออกไปในมุมต่างกัน

    ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าหู่หลิงหลันพาดลูกเกาทัณฑ์ดอกที่สองตั้งแต่เมื่อใด รูปร่างสูงใหญ่ของนาง ท่วงท่าน้าวคันเกาทัณฑ์แหงนยิงสวยงามอย่างมาก ปลายนิ้วปล่อยเบาๆ ลูกเกาทัณฑ์อีกดอกหนึ่งก็แปรเป็นเงาดำ ยิงเข้าผ้าแดงกลางอากาศ นำมีดนี้ปักบนหลังคาบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไกลยิ่งกว่า

    ยอดวิชายิงตัดมีดบินระดับนี้ โน้มนำจนกลุ่มคนบนถนนล้วนยืดคอยาว เริ่มรุมล้อมกันขึ้น โดยเฉพาะเด็กน้อยล้วนเบียดกันมาด้านหน้าฝูงชนอย่างประหลาดใจยิ่งนัก

    เด็กหนุ่มผู้นั้นที่เคยพูดคุยกับถงจิ้งเมื่อครู่ก็ยืนอยู่แถวหน้าสุดด้วย มันมองดูจนตื่นเต้นอย่างยิ่ง มือทั้งสองกำหมัดแน่น

    …หากว่า ข้าเองก็มีฝีมือเช่นนี้

    “ประเสริฐ!” เลี่ยนเฟยหงเล่นจนติดลม ครั้งนี้มือซ้ายขวาต่างชักมีดบิน กลับมิได้ปล่อยออก โยนเล่นอยู่บนมือก่อนครู่หนึ่งเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน

    หู่หลิงหลันครั้งนี้ดึงลูกเกาทัณฑ์ออกมาสองดอก ดอกหนึ่งพาดบนคันเกาทัณฑ์ยาว อีกดอกหนึ่งใช้นิ้วก้อยและนิ้วนางของมือขวาหนีบไว้ จากนั้นน้าวครึ่งคัน

    เลี่ยนเฟยหงตวาด มือขวาขว้างมีด และหยุดวูบหนึ่งก่อนซัดมีดมือซ้ายตาม

    มีดสองเล่มหน้าหลังแบ่งเป็นซ้ายขวาลอยหมุนในวิถีที่ต่างกัน

    เห็นเพียงหู่หลิงหลันเหมือนยิงเร็วหนึ่งดอกโดยไม่แม้แต่จะต้องเล็ง ต่อด้วยพาดอีกหนึ่งดอกอย่างรวดเร็ว ใช้แรงหนึ่งเฮือกน้าวสุดคันแล้วปล่อยสาย!

    ผ้าผูกของมีดสองเล่ม ต่างถูกลูกเกาทัณฑ์ปักบนผนังของบ้านสองฝั่งในช่วงเวลาห่างกันเพียงชั่วพริบตา

    ครั้งนี้ชาวบ้านที่ชมดูทนไม่ไหวอีกต่อไป ต่างเปล่งเสียงโห่ร้องออกมา เด็กน้อยด้านหน้าหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่า

    “ครั้งนี้ยากอยู่บ้าง!” เลี่ยนเฟยหงตะโกน มีดบินเล่มที่ห้าไม่มีท่าทางเตรียมตัวแม้แต่น้อย มันชักขว้างออกจากฝักมีดตรงบั้นเอว อีกทั้งครานี้หาได้หมุนเป็นเส้นโค้งอีกต่อไป แต่ซัดเป็นเส้นตรงไปข้างหน้า รวดเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้าทั้งหมดมากนัก!

    เพลงหัตถ์ดึงลูกเกาทัณฑ์จากซองหนังของหู่หลิงหลันก็เร็วจนประหนึ่งเงาวูบ นางขมวดคิ้วโก่งแน่น กัดริมฝีปากล่าง สมาธิจดจ่อผิดปกติ

    …ตาเฒ่าบ้า ตั้งใจทดสอบข้า!

    มีดบินนั้นกำลังพุ่งไปยังแผ่นไม้ป้ายชื่อร้านข้าวสารร้านหนึ่งซึ่งที่แขวนสูงและอยู่ห่างไปไกล ในขณะที่อีกเพียงหนึ่งฉื่อปลายมีดก็จะไปถึงเบื้องหน้าแผ่นไม้ ผ้าแดงถูกแรงกระชากรุนแรงขุมหนึ่งฉุดพามีดให้สูงขึ้น!

    ลูกเกาทัณฑ์เสียบทะลุผ้าผูกมีด พุ่งผ่านเข้าห่วงเหล็กที่ใช้แขวนป้ายไม้อย่างไม่เบี้ยวไม่เอน ก้านลูกเกาทัณฑ์ยังคงหมุนวนกลางห่วงไม่หยุด!

    ความแม่นยำนี้เหนือกว่าที่ชาวบ้านจินตนาการไว้มาก ผู้คนต่างร้องว่าประเสริฐอย่างอึกทึก หวงเสวียนมองดูจนอ้าปากค้าง ถงจิ้งและเยียนเหิงเองก็อดมิได้ที่จะโห่ร้อง

    หู่หลิงหลันกลับมิได้สนใจแม้แต่น้อย เพียงลดคันเกาทัณฑ์ยาวลงเบาๆ

    …นางฝึกวิชาเกาทัณฑ์อย่างหนักหลายปีก็เพื่อยิงคน มิใช่เพื่อเล่นกายกรรมประเภทนี้

    ยามนี้สายตากลุ่มคนตกอยู่บนร่างเลี่ยนเฟยหง แต่มันเพียงหมุนกาย ตบฝักมีดที่ว่างเปล่าตรงบั้นเอว กางแขนทั้งสองพลางส่ายหน้ากล่าว “ล้วนใช้หมดแล้ว”

    จิงเลี่ยเห็นเหล่าชาวบ้านแช่มชื่น กระนั้นปรบมือกล่าว “ฝีมือก็ดูแล้ว เช่นนั้นพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน มีใครมาบอกพวกเราได้บ้างว่าในอำเภอเกิดเรื่องอะไรขึ้น จอมเวทปัวหลงผู้นั้นเป็นใครกันแน่”

    เหล่าชาวบ้านพอได้ยินคำว่าจอมเวทปัวหลง อารมณ์คึกคักจากการชมความสนุกก็กลับคืนสู่ความเป็นจริง ต่างหดคอแยกย้ายไปโดยไม่กล่าวคำอีกครั้ง จิงเลี่ยยังคงมิอาจเปิดปากของพวกมัน จึงอดมิได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้าง

    “ทุกคนไม่ต้องกลัว!” หวงเสวียนยามนี้กลับยกแขนทั้งสองพลางกล่าวเสียงดัง “ข้าคือศิษย์ในสำนักของหยางหมิงเซียนเซิง! หยางหมิงเซียนเซิงสั่งข้าให้มาถามทุกคน มีอะไรบอกข้าได้เลย ข้าจะรายงานตามจริง ให้หยางหมิงเซียนเซิงช่วยคลี่คลายความลำบากของอำเภอ!”

    พอได้ยินคำว่าหวังหยางหมิงเซียนเซิง ฝูงชนที่กำลังจะตีจากแต่เดิมก็หยุดฝีเท้าหันหน้ามาพร้อมกัน เริ่มรวมตัวรอบกายหวงเสวียน แต่พวกมันมองตากัน ใครก็มิกล้าเอ่ยปากก่อน

    “หึ ฝีมือกายกรรมของพวกเรา เล่นเปล่าเสียแล้ว” เลี่ยนเฟยหงกล่าวอย่างไม่ยอมรับ “ใต้เท้าหวังผู้นั้นใช่ว่าจะเป็นเซียนเทพ เหตุใดคนเหล่านี้พอได้ยินชื่อมันก็กลับมา”

    ชายชราในหมู่บ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้เคียงได้ยินคำพูดนี้ของเลี่ยนเฟยหงก็ฉีกยิ้มยิงฟันที่หายไปแล้วกว่าครึ่ง ยันไม้เท้าในมืออย่างแรง มันเองก็ไม่สนใจว่าผู้ที่เผชิญหน้าคือใคร รวบรวมความกล้าตะโกนใส่เลี่ยนเฟยหง

    “เรื่องนี้แน่อยู่แล้ว! ใต้เท้าหวังแม้เป็นนายอำเภอที่นี่เพียงสิบกว่าเดือน แต่เรื่องที่ทำให้พวกเรานั้นมากนัก! ใต้เท้าสั่งสอนเราให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หยุดยั้งโรคห่า ซ้ำยังรับสมัครผู้คุ้มกันเขตมาป้องกันโจร แม้กระทั่งหมวกขุนนางของตนเองก็เอาไปจำนำเพื่อยันกับภาษีสูงลิ่วที่กดลงมา ไม่หวังอะไรกับชาวบ้านอย่างเราสักนิด! ช่างเป็นอริยะมีชีวิต เป็นผู้มีพระคุณของอำเภอหลูหลิงเราโดยแท้! พวกเราไม่เชื่อใต้เท้าหวังจะให้เชื่อใคร?” ชายชรากล่าวจบ ชาวบ้านคนอื่นเองก็ยืนสนับสนุนมัน แววตาขลาดกลัวแต่เดิมล้วนเปลี่ยนเป็นกล้าหาญขึ้นมา

    เยียนเหิงมองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ของพวกมันก็รับรู้ถึงความไม่ธรรมดาของหยางหมิงเซียนเซิงผู้นี้อีกครั้ง

    จิงเลี่ยนิ่งเงียบพักหนึ่ง มันมองเห็นข้างกายหวงเสวียนล้วนมีชาวบ้านที่เชื่อถือรวมตัวกัน จึงถอนหายใจส่ายหน้า กล่าวต่อบัณฑิตลัทธิหรูปัญญาชนอ่อนแอเยาว์วัยผู้นี้อย่างไม่เต็มใจ

    “เจ้าชนะแล้ว”

     

    เซวียจิ่วหนิวออกแรงโยนสลักประตูอันหนักอึ้งไปข้างหนึ่ง มือทั้งสองผลักประตูศาลเจ้าที่ปิดไว้นานแล้วให้เปิดออก กระถางธูปและโต๊ะทั้งหมดล้วนถูกทำลายพลิกคว่ำ ผนังและบนพื้นภายในถูกน้ำเสียสาดเต็มไปหมด ทุกแห่งยังมีคาถายึกยือสีแดงเขียนไว้ ดูจากลักษณะอักขระนั้นเป็นอักษรลัทธิอู้อี๋

    กลิ่นอับหอบหนึ่งโชยจากในประตูเข้าจมูก

    จิงเลี่ยและเหล่าพวกพ้องก้าวเข้าไปในศาลเจ้า แสงแดดส่องเข้ามาจากปากประตู พลันเห็นทั่วทั้งด้านในล้วนดูอีเหละเขะขะ

    ชั้นวางอาวุธสองฝั่งประตูที่เดิมใช้สำหรับวางอาวุธสิบแปดประเภท ตอนนี้อาวุธทั้งหมดล้วนถูกหักทำลายทิ้งกองไว้กับพื้น

    จิงเลี่ยเงยหน้า เห็นเพียงรูปปั้นเทพเจ้ากวนอวี่นั่งตระหง่านอยู่ตรงกลางถูกคนตัดเศียรไป เปลี่ยนเป็นยัดด้วยหัวหมูหัวหนึ่ง หัวหมูนั้นไม่รู้ว่าวางมานานเท่าใดแล้ว เน่าเสียจนกลายเป็นสีดำเทา ถูกหนอนและหนูแทะจนจวนจะเหลือเพียงกระดูก ทุกแห่งบนร่างรูปปั้นเทพล้วนเป็นร่องรอยดาบขวาน แขนที่ถือง้าวมังกรเขียวแต่เดิมก็ถูกฟันทิ้ง ทั้งยังถูกสาดด้วยสีแดงประหนึ่งโลหิตสด รูปสลักกวนผิงและจิวฉองที่ปรนนิบัติอยู่ซ้ายขวาก็ถูกฟันจนหน้าตาเหวอะหวะเช่นเดียวกัน

    กลิ่นเหม็นของอุจจาระปัสสาวะโชยมาหอบหนึ่ง หนูวิ่งพล่านทุกแห่ง

    ถงจิ้งและหู่หลิงหลันล้วนปิดจมูกเดินออกไปอย่างทนไม่ไหว เยียนเหิงและเลี่ยนเฟยหงมองเห็นสภาพนี้ก็อดมิได้ที่จะขบกรามกำหมัด…เป็นนักสู้ เมื่อเห็นสถานที่ประดิษฐานของเทพแห่งการต่อสู้ถูกคนลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ย่อมเดือดดาล

    “นี่…ก็เป็นฝีมือจอมเวทปัวหลง?” หวงเสวียนถาม

    เซวียจิ่วหนิวพยักหน้าตอบ “วัดวาอารามและศาลเจ้าเล็กใหญ่ในเมืองล้วนประสบภัยพิบัติเช่นนี้” มันคือเด็กหนุ่มผู้นั้นที่เคยคุยกับถงจิ้งก่อนหน้า

    จิงเลี่ยเข้าไปก้มตัวลง ที่แท้เศียรที่ถูกฟันขาดของเทพเจ้ากวนอวี่ยังคงทิ้งไว้บนพื้น มันเก็บขึ้นมาอย่างระวัง เช็ดคราบสกปรกและฝุ่นด้านบนออกไป กอดไว้ในอ้อมอก จึงนำกลุ่มคนเดินออกจากศาลเทพเจ้ากวนอวี่ไป

    ชาวบ้านหลายสิบคนล้วนล้อมอยู่นอกศาลเจ้า ที่แห่งนี้อยู่ทางตะวันออกของเมือง หน้าศาลเจ้าเป็นที่ว่างผืนหนึ่ง มีต้นไหวต้นหนึ่งตั้งอยู่ ทิวทัศน์ดีงามอย่างยิ่ง พวกจิงเลี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้ก้อนหินหลายก้อนต่างม้านั่ง

    ชาวบ้านนำขนมอบซาลาเปาแป้งทอดมาจำนวนมาก แม้หยาบกร้าน แต่นักสู้ทั้งห้าผ่านการต่อสู้และไปกลับอย่างเหน็ดเหนื่อย หิวโซนานแล้ว จึงขบเคี้ยวกินเสียตรงนั้น

    โดยเฉพาะถงจิ้ง นับตั้งแต่มามณฑลเจียงซี สิ่งที่กินล้วนเป็นเสบียงกรัง มิได้แตะของหวานเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้กลับมีซาลาเปาไส้ถั่วแดง ไส้หมูสับนั้นแม้มีเพียงนิดหน่อยแต่ก็กินจนออกรสชาติ

    “จอมเวทปัวหลงผู้นี้มาหลูหลิงเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อมาก็นำคนนับร้อยมาด้วย บุกเข้าเมืองมาอย่างโจ่งแจ้งตอนกลางวันแสกๆ เรื่องแรกที่พวกมันทำในวันแรกคือจับตัวหานสือจื่อช่างลับดาบที่อาศัยอยู่ที่นี่ไป ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เป็นตาย”

    เซวียจิ่วหนิวผู้กล่าวคำ เดิมทีเป็นลูกหลานชาวนาที่หมู่บ้านนอกเมือง แต่เข้าออกเมืองเพื่อใช้แรงงานและรับใช้ผู้มีอำนาจอยู่บ่อยๆ เหตุนี้จึงรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดยิ่ง

    แรกเริ่มชาวบ้านยังคิดว่าโจรพวกนี้แค่มาหาหานสือจื่อให้ช่วยลับอาวุธ หลังได้ตัวมันไปแล้วก็จะไม่พักอยู่ในสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้อีก ไหนเลยจะคาดคิดว่าจอมเวทปัวหลงกลับยึดครองไม่ไปจากหลูหลิงแห่งนี้ ซ้ำยังใช้กำลังยึดครองวัดชิงเหลียนบนเขาชิงหยวนนอกเมืองเป็นรังโจร

    “พวกมันสังหารเจ้าอาวาสเจวี๋ยเอินและหลวงจีนยี่สิบกว่ารูปในวัดจนสิ้น ได้ยินว่ายังปล้นชิงสตรีจำนวนมากในหมู่บ้านใกล้เคียงขังไว้ในวัดแล้วข่มขืน เป็นบาปหนักจริงๆ!” ชาวบ้านชราคนหนึ่งกล่าวอย่างสะเทือนใจ หลับตาประนมมือ

    ไพร่พลกลุ่มหนึ่งของจอมเวทปัวหลง ขณะแรกมามีเพียงร้อยคน ครึ่งปีมานี้ยังรวบรวมศิษย์สาวกอีกไม่น้อย ชาวบ้านคาดเดาว่าคงเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งแล้ว

    ชาวบ้านที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ร้านสุราคนหนึ่งกล่าว “ตัวบัดซบเหล่านั้น ยามปกติขณะมาดื่มสุราในเมือง ข้าแอบฟังพวกมันพูดคุยสำเนียงล้วนไม่เหมือนกัน ดูเหมือนจะรวมกลุ่มกันจากต่างสถานที่นอกมณฑล ค่อยกระจายกันมาเจียงซี”

    หากใต้อาณัติของจอมเวทปัวหลงมีสองร้อยคนขึ้นไปจริงๆ วันนี้แม้สังหารไปหลายสิบคนก็ยังคงมีกำลังมากนัก หวงเสวียนได้ฟังก็สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเลี่ยงมิได้

    เลี่ยนเฟยหงกลับคล้ายมิได้สนใจต่อจำนวนคนแม้แต่น้อย “สองคนนั้นที่หนีไปในวันนี้เป็นหัวโจกย่อยของพวกมันกระมัง บุคคลที่เหมือนพวกมันเช่นนี้ยังมีอีกกี่คน”

    เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นครุ่นคิด “ผู้ที่ข้าเคยดูแลรวมมีสี่คน สองคนนั้นที่มาตอนเช้า ข้าเคยได้ยินพวกมันเรียกกัน คนหนุ่มแซ่หาน คนตัวโตผู้นั้นเป็นพวกต่างเผ่า เรียกว่าเอ้อเอ๋อร์ห่าน สองคนนี้นำคนมาปล้นสะดมรีดไถที่เมืองบ่อยที่สุด นอกนั้นสองคนเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี มาไม่บ่อยนัก”

    “ข้าจำได้!” เซวียจิ่วหนิวกล่าวแทรก “บุรุษผู้นั้นไม่กล่าวมากความ และไม่เคยฆ่าคนในเมือง มันไม่สวมเครื่องแบบประหลาดของศิษย์จอมเวท มองผ่านๆ ยังคิดว่ามิใช่พวกเดียวกัน แต่ข้ามองเห็นคนอื่นล้วนกลัวมันมาก”

    เซวียจิ่วหนิวยามนี้มองหู่หลิงหลันก่อนกล่าวอีก “ส่วนโจรหญิงผู้นั้นสูงใหญ่เกือบเหมือนจอมยุทธ์หญิงท่านนี้ ที่พกก็เป็นดาบใหญ่เช่นกัน มีครั้งหนึ่งนางขี่ม้าพุ่งทะยานในเมือง ชนเด็กคนหนึ่งตายกลับยังหัวเราะฮ่าๆ จิตใจอำมหิตยิ่งนัก!” มันกล่าวพลางกำหมัดแน่น

    “แม้แต่เด็กก็ฆ่า?” ถงจิ้งทั้งตกใจทั้งเดือดดาล “นี่ยังนับว่าเป็นสตรี…ไม่สิ ยังนับว่าเป็นมนุษย์หรือ”

    ชาวบ้านล้วนก้มศีรษะลงอย่างปวดใจ เยียนเหิงมองเห็นพวกมันเช่นนี้ก็ค่อยๆ เข้าใจว่าไยชาวบ้านจึงได้หวาดกลัวเช่นนี้

    จิงเลี่ยกำลังวางแผนว่าหากวรยุทธ์ของนักสู้อีกสองคนที่เหลือนั้นไม่เป็นรองเอ้อเอ๋อร์ห่านที่รู้กระบี่ไท่จี๋ผู้นั้น เท่ากับเบื้องหน้าคือหัวโจกย่อยยอดฝีมือสี่คนและกองกำลังสองร้อย กอปรกับจอมเวทปัวหลงที่ไม่รู้เบื้องลึก เรื่องนี้รับมือไม่ง่ายอย่างยิ่ง…

    ”ตัวจอมเวทปัวหลงผู้นั้นล่ะ พวกเจ้าเคยพบไหม” จิงเลี่ยถามอีก

    ครั้นกล่าวถึงชื่อนี้ ร่างกายของชาวบ้านก็อดมิได้ที่จะสั่นเทิ้มวูบหนึ่ง ทำให้พวกจิงเลี่ยล้วนรู้สึกถึงความหวาดกลัวอันลึกซึ้งนั้น

    “มีเพียง…วันแรกขณะมาชิงตัวหานสือจื่อเซียนเซิงไป พวกเราจึงมองเห็นมันมาด้วยตัวเองครั้งเดียว” เซวียจิ่วหนิวค่อนข้างกล้าหาญ นำเอ่ยปากเล่าก่อน มันยื่นฝ่ามือขึ้นสูง ลองเทียบบนศีรษะของตนเอง “ร่างมันสูงใหญ่จนน่ากลัว แต่ซูบผอมเล็กน้อย…ศีรษะล้านเลี่ยนเหมือนไข่นก แต่สภาพของมันไม่ชวนให้นึกถึงหลวงจีนเลยสักนิด โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น…ไม่รู้จะบอกอย่างไร สรุปว่า…ไม่เหมือนมนุษย์…”

    ชาวบ้านข้างกายมันเองพยักหน้าเห็นด้วย

    คำว่าไม่เหมือนคนประโยคนี้ กอปรกับสีหน้าของชาวบ้านทำให้สีหน้าถงจิ้งขาวซีดอยู่บ้าง

    พวกมันเหมือนกำลังกล่าวถึงภูตผีอยู่ก็ปาน

    “ยังมี” เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยื่นนิ้วมือออกมาสามนิ้ว กรีดผ่านแก้มซ้ายของตนเอง “ตรงนี้ของมันมีรอยสัก เป็นอักษรเล็กๆ สามแถว แบบเดียวกันกับคาถาบ้าบอในศาลเจ้า”

    ลักษณะจำเพาะนี้คล้ายคลึงกับเยี่ยเฉินยวนและกุ้ยตันเหลย จิงเลี่ยและเยียนเหิงยิ่งแน่ใจว่าจอมเวทปัวหลงผู้นี้คงเป็นคนของสำนักอู่ตัง

    ‘จอมเวทปัวหลงแห่งสำนักอู่ตัง’ ประโยคนั้นเป็นเรื่องจริง…

    ชื่อเสียงอำนาจของกองกำลังจอมเวทปัวหลงเกริกไกรเช่นนี้ แม้กระทั่งโจรภูเขาที่แต่เดิมซ่องสุมกันอยู่ทุกแห่งของเมืองจี๋อันต่างก็ต้องหลีกห่าง มิกล้าทำการค้าในแถบเมืองอีก กล้าเพียงวางแผนอยู่ที่หมู่บ้านนอกอำเภอหลูหลิง เนื่องจากไพร่พลจอมเวทกำเริบเสิบสาน ในอำเภอยากที่จะรักษาชีวิตขึ้นเรื่อยๆ คนหนุ่มของหลูหลิงจำนวนมากก็ถือโอกาสขึ้นเขาเป็นโจร ทำให้ภัยโจรหยั่งลึกยิ่งขึ้น นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดสถานที่ทุรกันดารเช่นหมู่บ้านเหิงซีจึงมีความทุกข์ยากจากโจรภูเขา ทั้งหมดล้วนเป็นจอมเวทปัวหลงบีบคั้นให้เกิดขึ้น

    “หึ หากมิใช่ข้าอายุน้อย มารดาที่บ้านร้องไห้ขอร้องข้า ข้าก็คง…” เซวียจิ่วหนิวมองดูพวกจิงเลี่ยขณะกล่าว จึงหยุดปากอย่างรู้ตัว

    จิงเลี่ยสังเกตเด็กคนนี้ แม้อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี ใบหน้ายังอ่อนวัย แต่ตัวสูงแขนยาว ร่างกายค่อนข้างล่ำสัน หากคิดขึ้นเขาเข้าร่วมกองโจรก็ไม่นับว่าเร็วไปนัก

    ชาวบ้านคนอื่นๆ ได้ยินเซวียจิ่วหนิวกล่าวเช่นนี้ก็มิได้ตำหนิ ชายหนุ่มละทิ้งเครื่องมือเกษตรไปเป็นโจร คล้ายไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกนานแล้ว

    ชาวบ้านชราผู้นั้นที่ประนมมือสวดมนต์ก่อนหน้า ยามนี้ร้องทุกข์ต่อหวงเสวียนอีก “ขณะใต้เท้าหวังอยู่ ได้สกัดการแบ่งภาษีเบ็ดเตล็ดอย่างไร้เหตุผลแต่ละประเภทเอาไว้ ซ้ำยังรักษาโรคห่า อำเภอเราจึงมีลมหายใจ คนหนุ่มสาวล้วนประพฤติชอบ โจรผู้ร้ายน้อยลงมาก นับตั้งแต่ใต้เท้าหวังถูกโยกย้ายตำแหน่ง สองปีนี้ก็ไม่มีผู้ใดทุ่มเทเพื่อชาวบ้านอีกเลย การขูดรีดภาษีซ้ำซ้อนจากเบื้องบนก็กดลงมาอีก พวกเราคนทำนา กินก็ไม่อิ่ม ชีวิตเดิมก็ลำบากจนไม่ไหวอยู่แล้ว บัดนี้กลับมีมารผจญพวกนี้มาอีก เข้าออกหมู่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน รักชิงก็ชิง รักฆ่าก็ฆ่า นายอำเภอเจ้าหน้าที่ล้วนแค่ถามเป็นพิธี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเรายังมีชีวิตได้นานเท่าใด!”

    ชาวบ้านชราน้ำตาคลอเบ้าขณะกล่าว ชาวบ้านคนอื่นจำนวนมากก็ร่ำไห้ออกมา

    “เจ้าหน้าที่เองก็เพียงแค่ถาม?” เลี่ยนเฟยหงได้ยินดังนั้นก็เกาผมขาวอย่างสงสัย “ศิษย์จอมเวทปัวหลงเหล่านี้เปรียบกับโจรทั่วไปไม่ได้ นายอำเภอสวีผู้นั้นย่อมมิกล้าคิดฝันพึ่งทหารบ้านผู้คุ้มกันเขตในอำเภอไปปราบปราม แต่คนกลุ่มใหญ่เช่นนี้รวมตัวกันระรานชาวบ้าน ฆ่าคนเป็นผักปลา ใช้กำลังยึดครองวัดเขา เรื่องใหญ่เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นายอำเภอเล็กๆ คนหนึ่งจะปิดบังได้ มันกลับมิได้รายงานขอให้โยกย้ายทหารมากำราบ ข้อเท็จจริงนี้ประหลาดเล็กน้อย…”

    “มีอะไรประหลาด ท่านไม่เห็นสภาพของนายอำเภอสวีผู้นั้นหรือ” ถงจิ้งกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เป็นไปได้มากว่าได้รับผลประโยชน์จากจอมเวทปัวหลง!”

    ชาวบ้านได้ยินก็พยักหน้าในบัดดล

    “ความหมายของท่านผู้เฒ่าคืออาศัยเพียงขุนนางเล็กๆ แซ่สวีผู้นี้ปกป้องโจรถ่อยพรรค์นี้มิได้” หวงเสวียนอธิบายอยู่ด้านข้าง มันมักได้ยินอาจารย์กล่าวถึงเรื่องแวดวงขุนนาง จึงรู้เรื่องการรับสินบนอยู่บ้าง “หากไม่มีเบื้องบนคนที่มีอำนาจสูงกว่าชักจูง สินบนเช่นนี้นายอำเภอสวีมิกล้ารับหรอก”

    “ศพที่มีชีวิตมากมายในเมืองล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จิงเลี่ยถาม

    “พวกมันล้วนเสพผงฝ่างเซียนที่ศิษย์จอมเวทขาย” ชาวบ้านชรากล่าวอย่างปวดใจ ตรงดังที่เยียนเหิงคาดเดา

    ที่แท้ศิษย์จอมเวทมาถึงไม่นานก็แจกจ่ายผงฝ่างเซียนในเมือง กล่าวว่าเป็นยาเซียนวิเศษทำให้คนลืมทุกข์และชำระจิตใจให้สดชื่นร่างกายแข็งแรงไปควบคู่กัน แรกเริ่มล้วนเป็นคนกะล่อนเสเพลและนางคณิกาในเมืองใช้ ต่อมาลูกหลานคนรวยจำนวนหนึ่งก็ติดนิสัยเสียนี้ ฤทธิ์ของผงฝ่างเซียนนี้ชวนให้คึกคักมีความสุข แต่ยิ่งเสพก็จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พอลงแดงก็จะเจ็บปวดทรมานสุดบรรยาย กินนานเข้าก็จะเสียสติเพราะปริมาณที่มากเกินไป ร่างกายทึ่มทื่อเฉื่อยชา

    ต่อมาศิษย์จอมเวทขึ้นราคาผงฝ่างเซียนจนสูงลิ่ว ผู้ที่ติดยาเหล่านั้นล้วนขายได้ไม่ว่าสมบัติอันใด ไปจนถึงลักวิ่งชิงปล้น ล้วนเพื่อแสวงหาความสุขลอยเหินดุจเซียนหลังเสพยา สุดท้ายขายสมบัติจนหมด ซ้ำยังถูกยากัดกร่อนร่างกาย แม้กระทั่งแรงจะปล้นยังไม่มี ทำได้เพียงนอนอยู่บนถนนรอความตายช้าๆ

    “พอศิษย์จอมเวทเหล่านั้นเข้าเมือง พวกมันทั้งหมดก็แห่กันเข้าไปขอรับยาเหมือนฝูงมด” ชาวบ้านชรากล่าว “บางครั้งศิษย์จอมเวทก็โยนผงฝ่างเซียนออกไปหลายห่อ มองดูพวกมันเข่นฆ่าแย่งชิงเพื่อความสนุก จนถึงเดิมพันว่าคนใดจะแย่งได้…ยาพิษนี้บีบให้ผู้คนออกไปจนหมดสิ้น ไม่รู้ทำครอบครัวแตกแยกเท่าใดแล้ว!”

    พวกจิงเลี่ยได้ฟังจึงเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าโดยพลัน เทียบกับใช้พิษร้ายฆ่าคน ผงฝ่างเซียนนื้คือของเล่นร้ายกาจอีกชนิดหนึ่งของจอมเวทปัวหลง อีกทั้งเป็นอาวุธทำร้ายผู้คนโดยปราศจากรูปร่าง เป็นภัยร้ายที่ลุกลามเป็นวงกว้างยิ่งกว่า

    ถงจิ้งแม้มีชาติกำเนิดจากตระกูลทรงอิทธิพล แต่วิธีขูดรีดด้วยพิษร้ายเช่นนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ทำให้ประหลาดใจอย่างยิ่ง

    “แต่ข้าไม่เข้าใจว่า…” นางถาม “ด้วยกำลังพลของจอมเวทปัวหลงก็ปล้นชิงในอำเภอนี้ได้อยู่แล้ว ประสงค์สิ่งใดเพียงตวัดดาบก็ได้มา ยังต้องใช้วิธีประเภทนี้รีดไถทรัพย์สินด้วยหรือ”

    “แม่นางท่านนี้เฉลียวฉลาดจริงๆ”

    สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังฝูงชน พอมองดูที่แท้เป็นหวังโส่วเหรินนำลูกศิษย์อีกห้าคนที่เหลือมาปรากฏตัวอยู่นอกศาลเทพเจ้ากวนอวี่แห่งนี้

    เหล่าชาวบ้านต่างหลีกทางให้ ซ้ำยังตะโกนชื่อของใต้เท้าหวังอย่างตื่นเต้น หวังโส่วเหรินสั่งให้พวกมันเงียบเสียงทันที ชี้นอกพื้นที่ว่าง เห็นเพียงผู้คุ้มกันเขตหลายคนยืนอยู่ไกลๆ กำลังมองดูด้านนี้บนถนน เห็นได้ชัดว่านายอำเภอสวีส่งมาเฝ้าจับตามอง

    “ไม่เป็นไร อย่างไรพวกมันก็เป็นลูกหลานของอำเภอเรา” หวังโส่วเหรินยิ้มน้อยๆ ปลอบใจชาวบ้าน ผู้คุ้มกันเขตไม่กี่คนนั้นผงกศีรษะให้ใต้เท้าหวังที่อยู่ด้านนี้เล็กน้อย และมิได้มาก้าวก่าย

    หวังโส่วเหรินเดินจากฝูงชนเข้ามาใต้ต้นไม้และนั่งบนก้อนหินที่หวงเสวียนลุกให้

    จิงเลี่ยมองดูมันพลางยิ้มน้อยๆ “ข้ายังคิดว่าท่านติดอยู่ในที่ทำการอำเภอเสียอีก”

    หวังโส่วเหรินยักไหล่ “อย่างไรตำแหน่งข้าก็สูงกว่ามันหลายขั้น ข้าจะออกเมืองมาเดินดู มันก็ห้ามมิได้”

    หวงเสวียนกำลังจะเล่าสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่แก่อาจารย์ แต่หวังโส่วเหรินโบกมือหยุดไว้ “ข้าฟังคำแก้ตัวของสวีหงเต๋อผู้นั้นก็เดาได้คร่าวๆ แล้ว เมื่อครู่ก็มีผู้คุ้มกันเขตคนหนึ่งบอกเรื่องเกี่ยวกับจอมเวทผู้นั้นกับข้าเล็กน้อย รายละเอียดค่อยบอกข้าทีหลัง”

    ถงจิ้งได้รับการชมเชยจากหวังโส่วเหรินก็ชอบใจอย่างมาก จึงยิ้มพลางถามมัน “ใต้เท้า จอมเวทปัวหลงขายผงฝ่างเซียนนั้น ท่านคิดว่าเพื่ออะไร”

    “ข้ายังไม่แน่ใจ” หวังโส่วเหรินเก็บรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงว่ายากล่อมประสาทนั้นสร้างความเสียหายต่อประชาชนหลูหลิงมากเท่าใด “แต่ข้าคาดเดาว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวเนื่องกับบุคคลอื่น”

    จิงเลี่ยฟังแล้วก็เข้าใจได้ในทันที “ใต้เท้าหมายความว่าที่ทางการไม่มีคนลงมือปราบปรามจอมเวทผู้นี้ ก็เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”

    หวังโส่วเหรินอย่างไรก็เป็นขุนนางราชสำนัก เรื่องนี้มิอาจป่าวประกาศต่อประชาชนจำนวนมาก ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ แต่คนทั้งหมดล้วนมองออกว่าเรื่องนี้ตรงกับที่มันคิด

    ชาวบ้านที่ล้อมอยู่รอบต้นไม้ขณะนี้ล้วนไม่พูดคุยแล้ว แต่ละคนก้มศีรษะลง สีหน้าซึมเศร้า

    “ทุกคนเป็นอะไรไป” หวงเสวียนอดมิได้ที่จะถาม

    ชาวบ้านชราผู้นั้นที่พูดมากที่สุดก่อนหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือกเหมือนอยากรวบรวมความกล้าพูดอะไรสักอย่าง แต่ใคร่จะกล่าวก็ต้องหยุดเอาไว้ สุดท้ายกลืนคำพูดกลับเข้าไปในท้อง

    หวงเสวียนมองดูเซวียจิ่วหนิวอีกครั้ง เด็กหนุ่มผู้นี้ครุ่นคิด ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าหวัง พวกเราล้วนรู้ว่าท่านรักราษฎรดั่งบุตร แต่ท่านอยู่ที่นี่ ไม่มีกำลังทหารในมือ พวกจอมเวทปัวหลงนั้นทั้งร้ายกาจทั้งวิปริต…พวกเราเกรงว่าความสามารถของใต้เท้าก็ช่วยพวกเรามิได้กระมัง”

    มันกล่าวถูกจุดสำคัญโดยแท้จริง เผชิญหน้ากับโจรชั่วกลุ่มใหญ่ที่โหดเหี้ยมไร้คุณธรรมเช่นนี้ ไม่มีพลังที่แท้จริงมิได้ ถึงแม้หวังโส่วเหรินถวายฎีกาต่อราชสำนักก็ไม่รู้ว่าจะระดมทหารหลวงมาได้หรือไม่…ราชสำนักควบคุมอำนาจทหารเข้มงวดอย่างยิ่ง ทหารหลวงจะเคลื่อนพลก็ต้องมีขันทีราชสำนักเป็นเสนาธิการสั่งการ แม้จะระดมพลมาได้ก็ไม่รู้ว่าวันใดเดือนใดกว่าจะถึง จอมเวทปัวหลงผู้นี้เพิ่งจะสูญเสียศิษย์กลุ่มใหญ่ ต้องรุดมาแก้แค้นในเร็ววันเป็นแน่ น้ำไกลจะดับไฟใกล้ได้อย่างไร

    หวงเสวียนนึกถึงการอภิปรายกับจิงเลี่ยและเยียนเหิงก่อนหน้า มันมองดูกระบี่เล่มนั้นที่ห้อยอยู่บนเอวตนเอง ขมวดคิ้วพูดไม่ออกไปประเดี๋ยวหนึ่ง

    ยามนี้ชาวบ้านจำนวนมากทอดสายตาลงบนร่างพวกจิงเลี่ยทั้งห้าอีกครั้ง ในสายตาของพวกมันมีความคาดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความไม่สบายใจและหวาดกลัว

    “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไร” จิงเลี่ยยามนี้ใช้ไม้พายค้ำยืนขึ้นมา แขนซ้ายยังคงอุ้มเศียรรูปปั้นของเทพเจ้ากวนอวี่อยู่ “แต่มีเรื่องหนึ่งต้องกล่าวให้ชัดเจนก่อน วันนี้พวกเราเพิ่งมาถึง ไม่รู้เรื่องภายในก็สู้กับศิษย์ของจอมเวทปัวหลงแล้ว ฆ่าพวกมันไปหลายคน หากว่าพวกเราจากไปเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ายังบอกปัดว่าพวกเราเป็นคนนอกที่ไม่รู้จัก มิผิด พวกมันคงเดือดดาลอย่างยิ่ง อาจฆ่าคนกลุ่มหนึ่งระบายโทสะ แต่ก็เพียงเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามจะยุ่งอยู่กับการไล่ล่าพวกเรา”

    จิงเลี่ยยื่นไม้พายออกไป ชี้ชาวบ้านในที่นั้น

    “แต่ถ้าหากพวกเราอยู่ช่วยพวกเจ้าต่อต้าน เช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง ศึกนี้ต้องดุเดือดเป็นแน่ สุดท้ายหากพวกเราแพ้ การแก้แค้นของจอมเวทปัวหลงก็จะดุเดือดขึ้นเป็นสิบเท่า ไม่แน่ว่าจะสังหารยกเมือง…ที่ข้าจะกล่าวคือพวกเจ้าแต่ละคน ทุกเพศทุกวัย จะถูกฆ่าล้างหมดสิ้น เรื่องราวเช่นนี้คนบ้าเหล่านั้นทำได้หมด จุดนี้ทุกคนเองก็กระจ่างอย่างมาก ในใจพวกเจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ใช่หรือไม่”

    คำพูดของจิงเลี่ยประหนึ่งเข็มแหลมทิ่มแทงในใจของชาวบ้านทุกคน แม้เป็นยามบ่ายของกลางฤดูร้อน ทุกคนก็รู้สึกถึงความเย็นวูบหนึ่ง ถึงแม้ชาวบ้านบางคนในนั้นถูกจอมเวทปัวหลงสังหารญาติมิตรไปก่อนแล้ว หมายมั่นให้มีคนออกหน้าแก้แค้นแทนอย่างยิ่ง แต่พอนึกว่าต้องเดิมพันด้วยชีวิตของคนในหมู่บ้านเดียวกันจึงมิกล้าเอ่ยปาก

    ชาวบ้านมองใต้เท้าหวังพร้อมกัน…ขณะนี้มีเพียงความเชื่อมั่นต่อหวังโส่วเหรินที่ทำให้พวกมันสามัคคีกันขึ้นมาได้

    หวังโส่วเหรินมองดูดวงตาไร้ที่พึ่งพาที่เฝ้ารอแต่ละคู่นั้น มันเข้าใจว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าคือความรับผิดชอบที่ลำบากและอันตรายเพียงไร

    แต่ชั่วชีวิตหวังโส่วเหริน ยามเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ไม่เคยหลบเลี่ยงแม้สักครั้ง

    “ข้าป๋ออันขอปฏิญาณ จะร่วมเป็นร่วมตายกับชาวบ้านหลูหลิง ร่วมต้านมารปีศาจไปด้วยกัน”

    พวกจิงเลี่ยทั้งห้ามองเห็นคุณธรรมแรงกล้าที่แผ่กระจายในดวงตาขณะหวังโส่วเหรินกล่าว อดมิได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยน

    ลูกศิษย์หกคนสามารถกราบอาจารย์เช่นนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง

    ชาวบ้านจำนวนมากซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา เซวียจิ่วหนิวและพวกพ้องเยาว์วัยกลุ่มหนึ่งรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านกว่าเดิม

    หวังโส่วเหรินยามนี้มองไปยังพวกจิงเลี่ยทั้งห้า

    “ทุกท่านจะยอมช่วยงานข้าหวังหยางหมิงชั่วคราวด้วยชีวิตหรือไม่” ครั้งนี้มันมิใช่ชื่อเรียกตัวเอง แต่ใช้ฉายาขณะบรรยายวิชาการ ความหมายคือหาได้ใช้ตำแหน่งขุนนางราชสำนักไปกะเกณฑ์พวกมันไม่

    …และใช้สถานะของนักปราชญ์ นั่งราบขอร้องพวกจิงเลี่ยทั้งห้า

    เลี่ยนเฟยหงลูบไล้ถุงมือเหล็กบนมือซ้าย ยิ้มแป้นตอบ “เพิ่งสู้ไปครึ่งกระบวนเพลงเท่านั้น หากข้าคุ้นเคยต้องใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แน่”

    หู่หลิงหลันพาดดาบเหยี่ยไท่ไว้บนไหล่ “ข้าบอกแต่แรกแล้ว นี่คือบุญสัมพันธ์กับอู้ตัน หนีไม่พ้นหรอก”

    ถงจิ้งกุมด้ามกระบี่สงัดนิ่งเอาไว้อย่างสะเทือนใจเล็กน้อย “พวกเถ้าแก่เจิงสี่ชีวิต ข้า…” นางกล่าวพลางสะอื้นเล็กน้อย

    เยียนเหิงโลหิตร้อนพลุ่งพล่าน ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร เพียงแค่ประสานมือให้หวังโส่วเหริน พยักหน้าอย่างแรง

    จิงเลี่ยมองตรงไปยังดวงตาของหวังโส่วเหรินเนิ่นนาน

    ขุนนางผู้จะไปรับตำแหน่งที่หนานชาง จะมีผลงานใหญ่ในราชสำนัก กลับยอมเดิมพันชีวิตและตำแหน่งขุนนางกับอำเภอเล็กๆ ที่เคยดูแลไม่ถึงหนึ่งปีเพื่อต่อต้านพวกสังหารคนอย่างคลุ้มคลั่งกลุ่มหนึ่ง? จิงเลี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าบนโลกจะมีขุนนางเช่นนี้

    ชั่วชีวิตนี้ของจิงเลี่ย มิเคยคิดมาก่อนว่าจะมอบชีวิตไว้ในเงื้อมมือผู้ใด มันเผยรอยยิ้มเสมือนลมพัดอ่อนๆ นั้นอีกครั้ง

    “แค่ให้ท่านยืมใช้ดาบของข้าชั่วคราว ย่อมได้”

    หวังโส่วเหรินแย้มยิ้ม

    มันมองออกว่าจิงเลี่ยผู้นี้ดื้อรั้นยากเชื่อฟัง แต่เมื่อเกิดความเชื่อถือก็จะเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้ที่สุด

    หวังโส่วเหรินยามนี้กวักมือเรียกผู้คุ้มกันเขตที่เฝ้าจับตามองมันมาโดยตลอดไม่กี่คนนั้นมา

    “พวกเจ้าได้ยินว่าข้าจะทำอะไรแล้วกระมัง?” หวังโส่วเหรินถาม

    ตัวผู้คุ้มกันเขตเองก็เป็นเพียงลูกหลานวัยฉกรรจ์ของหมู่บ้านในอำเภอหลูหลิง นอกจากผลัดเปลี่ยนกันเข้ากะ ยามปกติก็เป็นชาวนา คนไม่กี่คนนี้มองดูกันและกัน ครุ่นคิด แล้วประสานมือกล่าวกับหวังโส่วเหริน

    “พวกเรายอมร่วมลงเรือกับใต้เท้าหวัง”

    หวังโส่วเหรินพยักหน้า รีบสั่งการอย่างเคารพทันที “พวกเจ้ารวบรวมชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งไปที่ทำการอำเภอนำสวีหงเต๋อกลับบ้าน เฝ้ายามกลางคืน อย่าให้เจ้านายหรือบ่าวรับใช้บ้านสวีคนใดออกมาแม้แต่ก้าวเดียว เพื่อป้องกันมันรายงานข่าวต่อโจรผู้ร้าย”

    ผู้คุ้มกันเขตไม่กี่คนพอได้ฟังก็ดวงตาเบิกโพลง…กักบริเวณใต้เท้านายอำเภอ อาจต้องโทษกบฏ

    “มิต้องเป็นห่วง ข้าจะรับผิดชอบทุกเรื่อง” หวังโส่วเหรินรู้ถึงความเกรงกลัวของพวกมันจึงรีบกล่าว “ต่อให้สุดท้ายมีคนไต่สวน พวกเจ้าก็จะไม่โดนหางเลข” มันสั่งลูกศิษย์สามคน ให้ไปบัญชาการกำลังพลเป็นเพื่อนผู้คุ้มกันเขต กักขังสวีหงเต๋อผู้เป็นนายอำเภอทันที

    หวังโส่วเหรินหาได้สังกัดขุนนางมณฑลเจียงซีโดยตรงไม่ การจับนายอำเภอโดยพลการเช่นนี้ ภายหน้าหากปราศจากหลักฐานความผิดของสวีหงเต๋อ อาจถูกไต่สวนได้ทุกเมื่อ แค่หมวกขุนนางไม่อาจปกป้องได้ง่ายดายเพียงนั้น การกระทำนี้ของมันเห็นได้ชัดว่านำอนาคตและความปลอดภัยของตนเองเดิมพันไปทั้งหมด มิได้สนใจต่อชื่อเสียงและตำแหน่งโดยสิ้นเชิง

    ครั้นจิงเลี่ยมองเห็นใต้เท้าหวังตัดสินใจแล้ว กระทำเรื่องเฉียบขาดแคล่วคล่อง ขั้นตอนฉับไว ขุนนางบุ๋นทั่วไปมิอาจเทียบเทียม ก็รู้ว่าความเชื่อถือที่มีต่อมันไม่ผิดอย่างแน่นอน

    …คนผู้นี้หากถือกำเนิดช่วงกลียุคต้องเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อเป็นแน่

    หวังโส่วเหรินรีบจัดกำลังคนอีกเพื่อเป็นต้นทางบนถนนรอบๆ นอกเมือง หากขบวนของจอมเวทปัวหลงมาจู่โจมอีกก็จะเตรียมการป้องกันได้ก่อน

    ชาวบ้านพอรู้ว่าต้องต่อต้านกับอมนุษย์ผู้โหดร้ายน่ากลัวก็ทั้งตื่นเต้นทั้งลนลาน มีเพียงใต้เท้าหวังผู้หน้าตาสงบดุจน้ำนิ่งผู้นั้นที่ทำให้พวกมันสีหน้าสงบลงได้เล็กน้อย

    “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” จิงเลี่ยกล่าวขึ้นอีก

    กลุ่มคนขมวดคิ้วมองดูมันอย่างเคร่งเครียด

    จิงเลี่ยเดินหน้าเข้าไป นำเศียรของเทพเจ้ากวนอวี่ในอ้อมอก ยัดใส่มือเซวียจิ่วหนิว

    “พวกเจ้าต้องซ่อมศาลเทพเจ้ากวนอวี่แห่งนี้ หาไม่ท่านจะไม่คุ้มครองให้พวกข้ารบชนะ”

    ชาวบ้านหลูหลิงฟังแล้วกระจ่างแจ้งโดยพลัน โล่งอกโล่งใจ เปล่งเสียงหัวเราะที่ยามปกติยากได้ยินออกมา

    “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใต้เท้าหวังไม่มีกำลังทหารในมือหรือ” จิงเลี่ยกล่าวกับเซวียจิ่วหนิว “เจ้าผิดแล้ว”

    มันเผยรอยยิ้มที่ประดับไว้ทุกครั้งขณะเผชิญหน้ากับการท้าประลอง

    “ตอนนี้ มีห้าคนแล้ว”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook