ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 7 บทที่ 3
บทที่ 3
จู่โจมยามวิกาล
เปลวไฟบนคบเพลิงวูบไหวในทุ่งชานเมือง ยามอนธการนี้มันเป็นแสงเพียงหนึ่งเดียวนอกจากพระจันทร์
มือซ้ายจิงเลี่ยชูคบเพลิงส่องทางข้างหน้า มือขวาจับเชือกบังเหียน เร่งม้าตะบึงไปข้างหน้า ยามค่ำเช่นนี้ทักษะการขี่ม้ายังเป็นเรื่องรอง ต้องมีความกล้าและวิสัยทัศน์เหนือมนุษย์ และต้องมีม้าที่ดี ม้าที่จิงเลี่ยคร่อมคือม้าที่ศิษย์จอมเวทปัวหลงพวกนั้นทิ้งเอาไว้ ดูจากท่าเดินก็รู้ว่าเป็นม้าดีที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกฝน ห้อตะบึงเช่นนี้บนทางยามราตรีก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
จิงเลี่ยหันหน้า มองดูม้าอีกตัวด้านหลัง
ท่อนบนของเซวียจิ่วหนิวก้มแนบหลังม้า จับเชือกบังเหียนม้าเอาไว้แน่น แม้ใช้ผ้าปิดปากไว้แล้ว แต่สีหน้าเคร่งเครียดลอดผ่านดวงตาทั้งสองออกมา
“กลัวไหม” จิงเลี่ยยิ้มพลางตะโกนถาม
เซวียจิ่วหนิวเพียงส่ายหน้า แต่เห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวแข็งทื่ออย่างยิ่ง
ม้าสองตัวออกจากอำเภอหลูหลิงยามสายัณห์ ตรงไปยังเขาชิงหยวนที่ทางชานเมืองทางใต้แห่งนี้ ไม่ถึงครึ่งทางฟ้าก็มืดแล้ว เป็นแผนการของจิงเลี่ย อนธการคือการอำพรางที่ดีที่สุด
‘ข้าจะฉวยโอกาสในคืนนี้ไปสืบข่าวที่ค่ายศัตรู’ จิงเลี่ยกล่าวต่อหวังโส่วเหรินขณะอยู่ในเมือง
‘เร็วเช่นนี้?’ ถงจิ้งถาม ‘จำเป็นหรือ ศัตรูเพิ่งสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก ต้องมีการระดมกำลังเป็นแน่ รอดูสักหน่อยจะดีกว่า’
‘สำรวจสักหน่อยว่าขวัญกำลังใจพวกมันเสียหายเท่าใด วันนี้เพิ่งจะเปิดศึก พวกมันคงไม่คาดว่าพวกเราจะเคลื่อนไหวเร็วเพียงนี้’ จิงเลี่ยอธิบาย
หวังโส่วเหรินพยักหน้าเห็นด้วย มันรู้ว่าสิ่งที่จิงเลี่ยจะตรวจสอบมิใช่เพียงจำนวนคนและกำลังรบของฝ่ายตรงข้าม ยังมีลักษณะพื้นที่ของค่ายวัดชิงเหลียนแห่งนั้น
ศัตรูชำนาญใช้ยาพิษ เพียงยกมือก็สังหารได้หลายสิบคนแล้ว การเฝ้าป้องกันอำเภอหลูหลิงมิเพียงลำบาก อีกทั้งชาวบ้านต้องเสี่ยงบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเป็นแน่ มิสู้เป็นฝ่ายย้ายสมรภูมิไปที่ค่ายศัตรูด้านโน้น…หวังโส่วเหรินและจิงเลี่ยล้วนคิดเช่นเดียวกัน
‘ข้าจะไปกับเจ้า’ หู่หลิงหลันกล่าวพลางหยิบเกาทัณฑ์ยาวขึ้นมา เยียนเหิงเองก็หมายเข้าร่วม แต่จิงเลี่ยส่ายหน้า
‘อาศัยกลางคืนแทรกซึมเช่นนี้ กระทำคนเดียวค่อนข้างสะดวก’ มันกล่าว ‘ข้าคุ้นเคยกับการเดินทางกลางคืนตั้งแต่อยู่ในป่าที่หนานหมานแล้ว คนมากกระทำการง่ายต่อการถูกจับได้ ข้าต้องการเพียงคนในพื้นที่คนหนึ่งที่ชำนาญสถานที่นั้นและขี่ม้าได้เร็วคอยนำทาง’
ชาวบ้านล้วนเลือกเซวียจิ่วหนิว หน้าหนาวปีก่อนขณะบูรณะวัดจิ้งจวี เซวียจิ่วหนิวเคยไปทำงาน คุ้นกับแถบเขาชิงหยวนเป็นอย่างมาก และมันยังเป็นชาวนาจำนวนน้อยในหมู่บ้านใกล้เคียงที่ขี่ม้าเป็น
…เซวียจิ่วหนิวชอบม้าตั้งแต่เด็ก ปรารถนาว่าอนาคตจะได้ทำงานเล็กๆ สักงานที่สถานีพักม้า มิต้องลำบากอยู่ในหมู่บ้านอีก แต่ครั้นจอมเวทปัวหลงมาถึงก็ชิงม้าในพื้นที่หลูหลิงไปจนหมด มันรู้สึกเพียงความฝันเล็กๆ นี้ดับสูญลงแล้ว
ในตอนที่จิงเลี่ยออกจากเมือง ถงจิ้งมองดูมันอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย
‘ยายโง่’ จิงเลี่ยตบศีรษะนางเบาๆ ‘พรุ่งนี้ต้องเหลือให้ข้าด้วย ห้ามกินหมดก่อนล่ะ…’
ยามนี้บนทางชานเมืองในอนธการ เซวียจิ่วหนิวโบกมือตะโกน “ใกล้แล้ว!”
ครั้นบรรลุถึงบริเวณนอกเขาชิงหยวนห่างออกมาหนึ่งหลี่ จิงเลี่ยหยุดม้าตามมัน คนทั้งสองจูงม้าไปข้างทาง ใช้แถบผ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าหุ้มกีบเท้าม้าแปดข้างและปากม้าสองปาก ป้องกันพวกมันส่งเสียงดังออกมา จากนั้นจึงดับคบ จูงม้าเดินไปตามพงไพรและทุ่งกว้าง เข้าไปใกล้เขาชิงหยวน
ยามนี้พวกมันอาศัยเพียงแสงจันทร์มุ่งหน้าไป ในป่ายิ่งมืดมิด รอบด้านมีเสียงร้องประหลาดดังจ้อกแจ้กมา เซวียจิ่วหนิวกลัวยิ่งกว่าวิ่งตะบึงในราตรีก่อนหน้า แต่หากจิงเลี่ยไม่อนุญาตให้ส่งเสียง มันก็มิกล้าเอ่ยปากกล่าวคำ
“เจ้าขี่ม้าเก่งมากดังคาด” กลับเป็นจิงเลี่ยเอ่ยปากขณะเดินอยู่ “มิน่าก่อนหน้าจึงบอกว่าอยากขึ้นเขาเข้าร่วมกองโจร”
ใบหน้าของเซวียจิ่วหนิวแดงขึ้นในอนธการ “ขะ…ข้ามิได้อยากเป็นโจรจริงๆ…แต่ว่า…”
“ข้ารู้” น้ำเสียงของจิงเลี่ยเปี่ยมไปความเข้าใจ “ไม่มีผู้ใดสมัครใจทนให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ ใครจะไม่อยากกุมชีวิตไว้ในมือตนเอง โดยเฉพาะบุรุษ”
เซวียจิ่วหนิวอาศัยแสงจันทร์เพ่งมองเงาหลังของจิงเลี่ย จิงเลี่ยทิ้งอาวุธยาวไว้ในเมืองเพื่อให้เดินทางสะดวก พกเพียงดาบคู่ตรงข้างเอว คมมีดบิน และโซ่เหล็กหัวทวน ความจริงมันสูงกว่าเซวียจิ่วหนิวไม่เท่าไหร่ แต่ความกว้างและความหนาของร่างกายให้ความรู้สึกแข็งแรงพึ่งพาได้อย่างมาก ทว่าร่างกายล่ำเช่นนี้ ขณะเดินทางกลับมีความอ่อนช้อยเหมือนแมว บุคลิกต่างจากผู้แข็งแกร่งที่เซวียจิ่วหนิวเคยเห็นในเมืองก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
“พวกท่าน…” เซวียจิ่วหนิวถาม “อาศัยเพียงห้าคนก็เอาชนะคนร้อยสองร้อยกว่านั้นของจอมเวทปัวหลงได้จริงๆ หรือ”
“มิได้หรอก” จิงเลี่ยตอบ “เรื่องนั้นก็ต้องอาศัยใต้เท้าหวังไปคลี่คลาย”
“ข้ายังคงไม่เข้าใจ” เซวียจิ่วหนิวกล่าวอีก “เพราะเหตุใดพวกท่านต้องช่วยอำเภอหลูหลิงเราด้วย ทุกคนก็มิได้รู้จักกัน พวกเราเองก็มิอาจให้เงินท่านได้…อีกทั้งข้าดูแล้วพวกท่านเองก็ไม่เหมือนทำเพื่อเงิน อะไรก็ไม่มีให้ ยังจะเอาชีวิตมาล้อเล่น ยังอาจล่วงเกินผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอีก…ข้าคิดไม่ตก”
“ข้าเพียงชอบต่อสู้” จิงเลี่ยกล่าวพลางลูบด้ามดาบปีกปักษาตรงข้างเอว “อีกทั้งชอบสู้กับคนที่ร้ายกาจ มีฝูงชนเช่นนี้กองอยู่ตรงหน้า…อีกทั้งเป็นพวกที่ชั่วร้ายจนฆ่าให้ตายก็ไม่เสียใจ ก็ย่อมไม่มีความรู้สึกผิด บนโลกไม่มีเรื่องราวที่สนุกเสียยิ่งกว่า” มันหันหน้ามายิ้มน้อยๆ มองดูเซวียจิ่วหนิว “เป็นอย่างไร คิดว่าข้าเป็นบ้าหรือ”
เซวียจิ่วหนิวส่ายหน้า “รู้วรยุทธ์ประเสริฐจริงๆ ชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้น”
“มันก็ไม่เลว” จิงเลี่ยยักไหล่ หันหน้ากลับไป “กระทั่งเจ้าพบกับผู้ที่ร้ายกาจกว่าตนเอง ลองนึกถึงเจ็ดจอมยุทธ์กั้นหนานสองคนนั้นที่ห้อยอยู่บนคันธง”
เซวียจิ่วหนิวนึกถึงซากศพสองศพนั้นก็เข้าใจว่าที่จิงเลี่ยอยู่คือโลกที่เหี้ยมโหดเช่นไร
พวกมันค่อยๆ เข้าใกล้เชิงเขาชิงหยวนแล้ว พอคิดว่าตนเองกำลังเดินไปยังรังปีศาจของพวกจอมเวทปัวหลงดุจดั่งเดินเข้าใกล้ปากพยัคฆ์ เซวียจิ่วหนิวอดมิได้ที่จะหวาดกลัวในใจ
พวกมันบรรลุถึงเนินเล็กๆ ลูกหนึ่ง มองไประหว่างพุ่มไม้ ตรงข้ามกับปากทางทิศเหนือของเขาชิงหยวนพอดี
มองออกไปในราตรี ยอดเขามืดมิดทั้งผืน แต่เห็นด้านข้างเส้นทางเขามีแสงไฟจากหน้าต่างบ้านเรือนหลายหลังลอดผ่านออกมา
“นั่นก็คือหมู่บ้านเติงหลง” เซวียจิ่วหนิวกล่าวเสียงแผ่วเบา “ได้ยินว่าถูกศิษย์จอมเวทปัวหลงยึดแล้ว”
จิงเลี่ยมองไปบนปากทางหลักของหมู่บ้านแห่งนี้ก็เห็นกองกำลังรักษาการณ์ คิดในใจว่าไพร่พลจอมเวทปัวหลงมีนับร้อย ซ้ำยังมีม้าจำนวนมาก หากทั้งหมดวางกำลังอยู่ในวัดบนเขาลึก เสบียงอาหารและการเดินทางเข้าออกล้วนไม่สะดวกอย่างยิ่ง พักอยู่ที่หมู่บ้านเชิงเขาแห่งนี้สามารถรุกรับได้ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างมาก
ก่อนหน้าขณะอยู่ในเมือง พวกมันซักถามศิษย์จอมเวทที่ถูกจับผู้นั้น หมายล้วงข้อมูลที่เกี่ยวกับค่ายศัตรูออกมาจากปากมันให้มากยิ่งขึ้น แต่คนผู้นั้นได้รับผลกระทบจากมนตร์และยาของลัทธิอู้อี๋ที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน กอปรกับความศรัทธาและความหวาดกลัวต่อจอมเวทปัวหลง ถึงตายก็ไม่ยอมเปิดปาก
‘ฆ่าข้าเสียเถอะ…’ ศิษย์จอมเวทผู้นั้นถึงกับกล่าว ‘ร่างนี้ของข้า เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในโลกมนุษย์ ภายหลังแตกดับก็ไปสู่ดินแดนสัตย์จริง ข้าเสียสละเพื่อจอมเวท ไม่นานก็กลับมา…’
จิงเลี่ยรู้ว่าถามไปก็มิได้อะไรอีก จึงตัดสินใจออกเดินทาง ใช้ดวงตาตนเองไปลองมองดู
“เจ้าอยู่เฝ้าม้าที่นี่” จิงเลี่ยใช้ผ้าดำคลุมผมเปีย “หากฟ้าสว่างข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็ทิ้งม้าไว้สักตัวแล้วกลับไปเพียงลำพัง”
“ให้ข้าไปกับท่าน” เซวียจิ่วหนิวดึงผ้าปิดหน้าลงขอร้องอย่างแน่วแน่ มันหยิบห่อผ้าใบหนึ่งออกมาจากข้างเอวแล้วเปิดออก ด้านในคือมีดแหลมสะบั้นข้อมือ* ที่ใช้เชือดวัวเล่มหนึ่ง เป็นสิ่งที่มันยืมมาพกติดตัวจากคนเชือดสัตว์ในอำเภอ “ข้ารู้เส้นทางของหมู่บ้านแห่งนี้ จะไม่เกะกะท่านอย่างแน่นอน”
จิงเลี่ยมองดูมัน ในใจลังเลเล็กน้อย เซวียจิ่วหนิวกล่าวต่ออีก “ท่านเคยบอกมิใช่หรือ บุรุษต้องกุมชีวิตไว้ในมือตนเอง ตอนนี้ข้าจะต่อสู้เพื่อนสถานที่ของตัวเอง ไม่อยากอยู่ด้านข้างยืนมองผู้อื่นสู้”
จิงเลี่ยยิ้มพลางตบเด็กน้อยที่ยอมรับตนเองว่าเป็นบุรุษแล้วผู้นี้เบาๆ
“ได้ เพียงแต่เก็บมีดของเจ้าก่อน ไม่มีคำสั่งข้าห้ามชักออกมา เจ้าเดินอยู่ด้านหลัง ข้ากลัวเจ้าประหม่าขึ้นมาจะฟันถูกก้นข้า”
เซวียจิ่วหนิวยิ้มพลางห่อมีด หยิบถ่านห่อหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา คนทั้งสองนำถ่านทาบนหน้าและแขน ค่อยผูกม้าเอาไว้แล้วจึงย่องไปในอนธการอันร้อนอบอ้าว เข้าไปใกล้หมู่บ้านเติงหลงแห่งนั้น
หลายปีก่อนจิงเลี่ยพเนจรไปยังหนานหมานแคว้นจั้นเฉิง เคยถูกคนพื้นเมืองไล่สังหารล้อมจับ หลบซ่อนหนีตายในป่าแสนอันตรายที่ไม่เห็นแสงตะวัน จึงอาศัยทักษะจากประสบการณ์ฝึกย่องนอกชายทุ่งซึ่งเหมือนกับลักษณะพื้นที่ในขณะนี้ ย่อมไม่ยากเกินความสามารถมัน
มันมองดูด้านหลังอยู่ตลอดเวลา เซวียจิ่วหนิวคุ้นเคยกับงานหนักทุกประเภท ทักษะปราดเปรียวอย่างมาก แต่เพียงเพราะความตื่นเต้นและความกลัว การเคลื่อนไหวล้วนเร่งและใช้แรงจนเกินไป จิงเลี่ยให้สัญญาณมือต่อมันหลายครั้ง บอกเป็นนัยให้ชะลอลง เซวียจิ่วหนิวจึงค่อยๆ รู้จักอ่อนออม สุ้มเสียงของการเคลื่อนไหวเองก็เบาลงกว่าเดิม เริ่มผสานเข้ากับอนธการได้อย่างแท้จริง การเคลื่อนไหวเลียนแบบจิงเลี่ยขึ้นมาเล็กน้อย
…เด็กคนนี้เรียนรู้ได้เร็วนัก
คนทั้งสองสำรวจเนินเขาล่างหมู่บ้านพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีการลาดตระเวนของศัตรูจึงปีนขึ้นไป พิงข้างผนังของบ้านหลังหนึ่ง
หมู่บ้านเติงหลงแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก บ้านเรือนนานาที่สร้างพิงภูเขามีเพียงสี่ห้าสิบหลังคาเรือน ขณะนี้บ้านที่มีแสงไฟสว่างมีเพียงสามสี่หลัง
“หลับกันหมดแล้วหรือ” เซวียจิ่วหนิวถามเสียงเบา
จิงเลี่ยบอกเป็นนัยให้เซวียจิ่วหนิวเงียบเสียง เงาคนเงาหนึ่งเดินผ่านตรอกตรงมุมเลี้ยว รูปร่างผอมบาง ในมือถือจาน ที่แท้เป็นหญิงชาวบ้านที่ถูกศิษย์จอมเวทจับมาเป็นทาสรับใช้ กำลังถือสุราอาหารเดินไปยังบ้านที่มีแสงไฟลอดผ่านออกมาหลังหนึ่งในนั้น
จิงเลี่ยและเซวียจิ่วหนิวแยกกันเดินเข้าไปในหมู่บ้าน สอดส่องบ้านที่ไม่มีแสงสว่างเหล่านั้นทีละหลังจากหน้าต่าง บ้านจำนวนไม่น้อยรกร้างทรุดโทรมลงแล้ว แต่ก็มีจำนวนหนึ่งจัดวางเครื่องเรือนของเบ็ดเตล็ดเต็มไปหมด ทุกแห่งมีเสื้อผ้าบุรุษแขวนอยู่ บนโต๊ะกองเต็มไปด้วยจอกสุราและอุปกรณ์พนัน เห็นได้ชัดว่าเป็นที่อยู่ของศิษย์จอมเวทปัวหลง ทว่าขณะนี้ล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน
จิงเลี่ยยามนี้มองเห็นเซวียจิ่วหนิวอยู่ตรงหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งในตรอกตรงข้าม กวักมือให้มันอย่างรีบร้อนไม่ขาดสาย จิงเลี่ยก้าวฝีเท้าโดยไร้เสียงไปหา
เซวียจิ่วหนิวบอกเป็นนัยให้มันมองดูด้านในจากทางหน้าต่าง หน้าต่างนั้นตรึงไว้ด้วยท่อนไม้อันแข็งแรงทั้งแนวตั้งและแนวนอนเหมือนเรือนจำ จิงเลี่ยมองเข้าไปจากบานหน้าต่าง แสงจันทร์สาดส่องลงมา เห็นเพียงในบ้านมีเงาร่างนั่งบ้างนอนบ้าง ประมาณยี่สิบกว่าเงา
มองดูให้ชัดเจนโดยละเอียดอีกครั้ง คนเหล่านั้นล้วนเป็นสตรี แต่ละคนเสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ข้อเท้าล้วนถูกโซ่เหล็กล่ามเอาไว้ ในบ้านมืดเหลือเกินจนมองไม่เห็นสีหน้าของพวกนาง แต่การเคลื่อนไหวในบางครั้งเชื่องช้าอย่างมากเหมือนเจ็บป่วย บางช่วงบางตอนก็ร้องครวญครางหรือพึมพำกับตัวเองอย่างไร้สติ อาการคล้ายวิกลจริต
จิงเลี่ยรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นสตรีที่ศิษย์จอมเวทจับมาเป็นแน่ ดูเหมือนถูกป้อนยาของลัทธิอู้อี๋ให้กินเป็นเวลานาน เซ่นราคะพวกมัน
“เพราะเหตุใดพวกนางล้วนถูกล่ามไว้ในบ้านหลังนี้” เซวียจิ่วหนิวถาม
จิงเลี่ยครุ่นคิด เข้าใจว่าเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร
“กำลังหลักของศิษย์จอมเวทปัวหลงไม่อยู่แล้ว” มันกล่าว “หากมิได้โยกย้ายไปที่อื่นก็คงขึ้นวัดชิงเหลียนไป และนำสตรีมาล่ามไว้ที่นี่” มันชี้บ้านเรือนไม่กี่หลังนั้นที่มีแสงไฟ “พวกมันเหลือลูกน้องเฝ้าหมู่บ้านไว้เพียงจำนวนหนึ่ง ข้าคิดว่าคงมีสิบกว่าคนกระมัง”
“เมื่อครู่ข้าลองสัมผัสกลอนของบ้านหลังนี้ดู สะเดาะได้ง่ายมาก” เซวียจิ่วหนิวกล่าว “เราช่วยพวกนางออกไปได้”
“มิได้” จิงเลี่ยส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “การเดินทางในคืนนี้ แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็มิอาจให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็น พวกเรายังมิได้เตรียมปะทะซึ่งหน้ากับพวกมัน”
ตอนนี้จอมเวทปัวหลงยังคงไม่รู้เบื้องลึกของพวกจิงเลี่ยและไม่รู้ว่ามีกองหนุนหรือไม่ ดูเหมือนยังจะไม่ยกขบวนบุกโจมตีอำเภอหลูหลิงโดยเร็ว แต่หากมันรู้ว่าจิงเลี่ยมาสอดแนม รู้สึกถึงอันตราย อาจจะเปิดศึกได้ทันที
“แต่พวกนาง…” เซวียจิ่วหนิวกล่าวอย่างร้อนใจ
“เจ้าเคยบอกว่าจะไม่เกะกะข้าอย่างแน่นอน” จิงเลี่ยขัดจังหวะมันอย่างเย็นชา
เซวียจิ่วหนิวอ้ำอึ้ง ก้มศีรษะลง ฝ่ามือกลับกุมมีดแหลมที่ห่อไว้ด้วยผ้าบนสายคาดเอาไว้แน่น
“การสู้รบก็เป็นเช่นนี้” ดวงตาของจิงเลี่ยแวบประกายในอนธการ ด้านในสะกดความเจ็บปวดมากมายในอดีตเอาไว้ “เพื่อชัยชนะสุดท้าย เราจะกลับมาอีก” จิงเลี่ยสาวเท้าออก กำลังจะอ้อมหมู่บ้านขึ้นเขา
“พวกนางล้วนเป็นภรรยาและลูกสาวของคนผู้อื่นนะ” เซวียจิ่วหนิวกล่าวอีก
จิงเลี่ยหันหน้ามองเซวียจิ่วหนิวที่สะเทือนใจจนร่างสั่นเล็กน้อย
“ข้าไม่เข้าใจเลย” เซวียจิ่วหนิวกล่าว “เพื่อชัยชนะก็ต้องปล่อยคนตรงหน้าไว้ไม่ช่วยหรือ”
“ข้าเคยบอกแล้ว ศึกนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนทั้งเมือง” จิงเลี่ยกล่าว “เจ้าคิดว่านั่นเป็นจำนวนคนเท่าใดกัน”
“เพราะคนด้านในน้อยหรือ” เซวียจิ่วหนิวถาม “หากว่าด้านในมีห้าสิบคนล่ะ หนึ่งร้อยคนล่ะ สองร้อยคนล่ะ คนเท่าใดเราก็ปล่อยไว้ไม่สน? คนเท่าใดจึงควรลงมือไปช่วย”
การพูดนี้ของเซวียจิ่วหนิวทำให้จิงเลี่ยหยุดฝีเท้าลง
“มีครั้งหนึ่ง อมนุษย์ฝูงนี้มาที่หมู่บ้านของข้า…” เซวียจิ่วหนิวกล่าวสืบต่ออีก “พวกมันสังหารเสี่ยวหู่เพื่อนบ้านข้า…พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หลังพวกมันไปแล้วคนอื่นในหมู่บ้านไม่เคยหลั่งน้ำตาให้เสี่ยวหู่สักหยดเดียว เพียงแค่กล่าวว่าเคราะห์ดีที่ฆ่าคนไม่มากเท่าใด”
จิงเลี่ยฟังคำพูดของเซวียจิ่วหนิวเงียบๆ
“พวกเขาเหมือนกำลังบอกว่าเสี่ยวหู่ตายอย่างมีคุณค่า” ในเบ้าตาของเซวียจิ่วหนิวเปียกนองแล้ว
จิงเลี่ยฟังเด็กชนบทที่ประสบการณ์น้อยกว่าตนเองมากผู้นี้ กลับคล้ายถูกมันเตือนสติเรื่องหนึ่ง…นี่มิใช่เพียงการสู้รบ
เซวียจิ่วหนิวยับยั้งสุ้มเสียง เช็ดน้ำในดวงตาออกไป เงยหน้ากลับเห็นจิงเลี่ยชักดาบปีกปักษาออกมาแล้วอย่างเงียบๆ คมดาบที่มีรอยขีดข่วนและสีด้านนั้นเพียงสะท้อนแสงจันทร์จางๆ
“มิอาจให้พวกมันขึ้นเขารายงานข่าวได้แม้แต่คนเดียว” จิงเลี่ยลากดาบเฉียงเดินออกไป
มุ่งไปยังทิศทางของแสงไฟที่สว่างอยู่นั้น
โลหิตร้อนในทรวงอกเซวียจิ่วหนิวผุดพลุ่ง หลังมองคล้อยเงาหลังอันห้าวหาญของจิงเลี่ยลับเข้าใต้ชายคาบ้าน มันจึงหาก้อนหินที่สะเดาะกลอนประตูนั้นได้ทั่วทิศ
ยามนี้ทิศทางที่จิงเลี่ยไปพลันมีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งถ่ายทอดมา ทำลายอนธการอันเงียบสงัด ต่อด้วยสุ้มเสียงของถ้วยชามหล่นแตก เสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างเร่งรีบของคนหลายคน ตามด้วยเสียงตวาดเดือดดาล
ครั้นแล้วเป็นเสียงร้องอันน่าเวทนาแห่งความตาย
เซวียจิ่วหนิวหยิบก้อนหินขึ้นมา ขณะกำลังจะทุบไปยังกลอนประตูนั้น กลับมองเห็นตรอกมืดด้านหน้ามีเงาดำเดินผ่านอย่างเร่งร้อน
มันตามไปดู แสงจันทร์สาดลงบนพื้นที่ว่างของหมู่บ้าน เห็นเป็นศิษย์จอมเวทปัวหลงคนหนึ่งวิ่งไปพลางผูกสายคาดเอวกางเกงไปพลาง ที่แท้คนผู้นี้กำลังปลดทุกข์อยู่อีกด้านหนึ่ง ถูกเสียงเข่นฆ่าด้านนั้นทำให้ตกใจพอดี แต่มิได้วิ่งไปช่วยรบ กลับหนีไปยังเส้นทางขึ้นเขา
…นี่ยิ่งทำให้แน่ใจว่าทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามล้วนอยู่ในวัดกลางเขา!
เซวียจิ่วหนิวไม่แม้แต่จะคิด มันวิ่งไล่ตามไปสุดชีวิต ขว้างก้อนหินไปยังศิษย์จอมเวทผู้นั้นตามท่าวิ่งอย่างแรง!
ศิษย์จอมเวทผู้นั้นได้ยินเสียงลมก็ก้มศีรษะหลบหลีกอย่างตะลีตะลาน ก้อนหินโจมตีไม่ถูกมัน ตกลงบนกำแพงบ้านด้านหนึ่ง
มือที่สั่นไหวของเซวียจิ่วหนิวรีบล้วงห่อผ้าตรงข้างเอวมาแก้ออก ชักมีดแหลมเชือดโคออกมา ย่ำเท้าพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด
…มิอาจให้พวกมันขึ้นเขาแม้แต่คนเดียว!
ศิษย์จอมเวทหลบก้อนหินพ้น แลเห็นผู้ที่ไล่ตามมาเป็นเพียงชาวนาหนุ่มคนหนึ่ง ในมือถือมีดยาวไม่เกินสองฉื่อ ยิ่งได้ยินเสียงเข่นฆ่าไม่หยุดจากบ้านทางด้านโน้นอีก มันจึงเกิดจิตสังหารขึ้นอย่างฉับพลัน
เซวียจิ่วหนิวอดกลั้นความหวาดกลัวอันแรงกล้าเอาไว้ ในใจคิดถึงเสี่ยวหูสหายสนิทที่ตายไปอยู่ตลอด
มันพุ่งไปเบื้องหน้าศิษย์จอมเวท บรรลุถึงระยะที่มีดจะฟันถึง แต่กลับเป็นเพราะประหม่าเกินไปจึงลงมือมิได้
ศิษย์จอมเวทร้องคำรามเหมือนคนบ้า โจมตีออกด้วยหมัดขวา ชกตาซ้ายเซวียจิ่วหนิว เซวียจิ่วหนิวรู้สึกเพียงหัวสมองเหมือนมีแสงจ้าระเบิดออก เจ็บจนล้มกลิ้ง สองมือสองเข่ายันพื้นก้มตัวคุกเข่า
เซวียจิ่วหนิวกำลังคิดจะยกมือขวาที่จับมีดขึ้นมาก็เจ็บปวดอีกแปลบหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามใช้เท้าเหยียบหลังมือของมันเอาไว้แล้ว เซวียจิ่วหนิวไม่ทันส่งเสียงร้อง เท้าอีกข้างของศิษย์จอมเวทก็เข้ามาทักทายใบหน้ามันแล้ว
เคราะห์ดีเซวียจิ่วหนิวยังมีสัญชาตญาณป้องกันตัว ใช้แขนซ้ายกันไว้ตรงหน้าได้ทัน แต่ศิษย์จอมเวทผู้นี้เดิมเป็นโจรภูเขาที่เคยฝึกวิทยายุทธ์ แรงขาไม่น้อย มันเตะแขนของเซวียจิ่วหนิวอย่างแรงจนกระแทกจมูก รูจมูกเซวียจิ่วหนิวหลั่งโลหิตออกมา แขนเองก็อ่อนแรงลง
แลเห็นเซวียจิ่วหนิวไร้ความสามารถต้านทานได้แล้ว เท้าซ้ายของศิษย์จอมเวทผู้นั้นยังคงเหยียบมือที่จับมีดนั้นเอาไว้ เท้าขวาออกแรงอีกครั้ง ครานี้ย่ำลงไปที่ศีรษะมันอย่างแรงจากด้านบน เป็นบาทาที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ
เกิดเสียงลมประหลาดขึ้น
ศิษย์จอมเวทผู้นั้นมองไม่เห็นว่าอะไรลอยมา รู้สึกเพียงคอซ้ายและข้างไหล่เจ็บปวดรุนแรงและร้อนผ่าว โลหิตเปียกเปื้อนชุดหลากสีสันตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
มีดเสี้ยวจันทร์ยวนยางปักอยู่บนกำแพงดินของบ้านด้านหลังมัน สะท้อนแสงจันทร์สีคราม
เรือนร่างของศิษย์จอมเวทสูญเสียเรี่ยวแรงฉับพลัน ป้องไหล่ซ้ายยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
เซวียจิ่วหนิวรู้สึกเท้าบนหลังมือขวาคลายออกแล้ว ความเจ็บปวดหลายจุดกลับทำให้มันชาไปทั้งร่าง ความรู้สึกเพียงหนึ่งเดียวก็คือสัมผัสของนิ้วทั้งห้าที่จับด้ามมีดอยู่
มันยันกายขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าในอ้อมอกของศิษย์จอมเวทผู้นั้น น้ำตาและเลือดกำเดาไหลผสมกัน ฟันกัดแน่น
ศิษย์จอมเวทล้มทรุด บริเวณทรวงอกมีปลายมีดพุ่งออกมา
เซวียจิ่วหนิวเพ่งมองผู้ที่ตายในเงื้อมมือมันคนแรกในชีวิต หอบหายใจเฮือกๆ ทุกข้อต่อของร่างกายล้วนกำลังอ่อนระทวย
เนิ่นนานมันจึงได้สติกลับมา พบว่ามีเงาคนยืนอยู่ด้านหลัง
เป็นจิงเลี่ย บนร่างเปื้อนโลหิตสดของศิษย์จอมเวทเก้าคน ดาบปีกปักษาเก็บกลับคืนฝัก
มันเดินผ่านไป ถอนมีดแหลมนั้นออกจากศพ หลังเช็ดคราบเลือดออกไปจึงยัดใส่ในมือของเซวียจิ่วหนิว
“ลองคิดถึงคนที่มันเคยฆ่า ยังมีคนที่มันจะฆ่า” จิงเลี่ยมองตรงไปยังดวงตาของเซวียจิ่วหนิว สายตานั้นทำให้มันสงบลง “เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องคิดมาก”
เซวียจิ่วหนิวมองเห็นแสงสว่างลอดผ่านมาจากด้านหลัง อีกทั้งมีคนเพิ่มขึ้นมาสองคน พวกนางคือหญิงชาวบ้านที่ถูกศิษย์จอมเวทจับมาเป็นทาส คนหนึ่งในนั้นถือโคมไฟ พวกนางมองดูซากศพบนพื้น หลั่งน้ำตาอย่างสะเทือนใจแต่ไร้เสียง
“ตื่นเถอะ” จิงเลี่ยตบศีรษะของเซวียจิ่วหนิวเบาๆ “มิใช่เวลาเหม่อลอย ก่อนฟ้าสาง เจ้าต้องนำพวกนางทั้งหมดกลับไป”
พอนึกว่าความปลอดภัยของคนมากเช่นนี้อยู่ในมือตนเอง เซวียจิ่วหนิวก็ตื่นขึ้นจากอาการตกใจยิ่งยวดที่สังหารคนเป็นครั้งแรก
“ความรับผิดชอบนี้เจ้าต้องการเอง” จิงเลี่ยยื่นมือพาดไหล่ของมัน “หากเป็นบุรุษก็พยายามทำมันให้สำเร็จ”
เซวียจิ่วหนิวพยักหน้าอย่างแรง ถูกนักดาบร้ายกาจผู้นี้ตรงหน้ายอมรับเป็นบุรุษ หัวใจมันก็พองโต
จิงเลี่ยเก็บสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ชุดคลุมหลากสีลัทธิอู้อี๋ที่ยังมิได้เปื้อนเลือด เป็นตัวที่มันถอดออกมาจากร่างคนหนึ่งในบ้านก่อนหน้า มันสวมใส่ชุดคลุม ปกปิดคราบเลือดบนร่าง ค่อยเดินไปเก็บมีดเสี้ยวจันทร์ยวนยางบริเวณผนังดินนั้นกลับมา แล้วสาวเท้าวิ่งไปยังทางขึ้นเขาชิงหยวนต่อ ก่อนหายวับไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
หวังโส่วเหรินมีลูกศิษย์สองคนถือโคมไฟนำทางให้ยามเดินผ่านถนนยามราตรีของอำเภอหลูหลิง
เพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตียามดึก หลายแห่งในเมืองล้วนต้องจุดไฟตลอดคืน หวังโส่วเหรินมองไปยังบ้านเรือนเรียงรายใต้แสงไฟแวบหนึ่ง คิดถึงขณะกุมอำนาจที่นี่อย่างเลี่ยงมิได้ แม้มันเคยเป็นนายอำเภอที่นี่เพียงสิบเดือน แต่อย่างไรก็เป็นสถานที่แรกที่อุ้มชูมันหลังค้นพบสัจธรรมฟื้นสู่ตำแหน่ง การบรรยายเผยแผ่ธรรมก็เริ่มจากอำเภอหลูหลิง มันจึงผูกพันต่อสถานที่แห่งนี้เป็นพิเศษ
ก่อนหน้ามันได้ไปสำรวจประตูและกำแพงเมืองแต่ละแห่ง เห็นมีหลายแห่งขาดการซ่อมแซมพังทลาย ไม่เอื้อต่อการป้องกันเป็นอย่างมาก ขณะหวังโส่วเหรินอยู่ในตำแหน่งเคยระดมชาวบ้านซ่อมแซมกำแพงเมืองเพื่อป้องกันโจร แต่มิทันซ่อมเสร็จก็ถูกโยกย้าย เงินคงคลังที่เหลือไว้ใช้ซ่อมแซมล้วนถูกผู้สืบทอดตำแหน่งของมันใช้จ่ายจนขาดดุล งานโยธาย่อมต้องหยุดเอาไว้ก่อน
หวังโส่วเหรินแม้เป็นขุนนางบุ๋นแต่ชอบอ่านตำราพิชัยสงครามตั้งแต่วัยเยาว์ ศึกษาค้นคว้าวิธีเดินทัพรุกรับ ขณะอายุสิบห้าปีเคยตั้งปณิธานเป็นแม่ทัพ มันรู้ดีว่าถึงแม้กำแพงเมืองสมบูรณ์ แต่จะจัดวางกำลังป้องกันเมืองก็ยังคงลำบากอย่างยิ่ง ชายฉกรรจ์ที่รวบรวมได้ทั้งหมดมีไม่มาก ชาวบ้านในเมืองแม้มีหลายพันคน แต่เท่าที่มันสำรวจดู ความหวาดกลัวต่อจอมเวทปัวหลงผู้นั้นของกลุ่มคนฝังรากลึกไปแล้ว ครั้นฝ่ายตรงข้ามมารุกราน เกรงว่าไม่ทันต่อสู้ก็แตกพ่ายเสียแล้ว
ผู้ติดตามยังมีชาวบ้านหลายคน พวกมันมองเห็นท่าทางหนักอกหนักใจนั้นของใต้เท้าหวังก็เป็นห่วงอย่างยิ่ง
…ต้องการผู้ที่แกร่งกล้ามากยิ่งขึ้น
หวังโส่วเหรินคิดถึงตรงนี้พลันนึกถึงชื่อหนึ่ง
มันถามชาวบ้านชราข้างกาย “กลางวันไม่เห็นเงาเมิ่งชีเหอ…มันได้ยินคำพูดของข้าจึงไปสมัครสอบขุนนางบู๊ใช่หรือไม่”
“ไม่…เมิ่งชีเหอ…มันนำพี่น้องกลุ่มหนึ่งไปเป็นโจร หลังใต้เท้าถูกโยกย้ายได้ครึ่งปี…” ชาวบ้านชรากล่าวอย่างลำบากใจ “บัดนี้ค้าขายอยู่ที่เทือกเขาหมาผีทางทิศเหนือ ได้ยินว่าคนที่รวบรวมได้มีไม่น้อย”
หวังโส่วเหรินถอนหายใจส่ายหน้า
ยามนี้มันมองเห็นบ้านหลังหนึ่งตรงเบื้องหน้า ที่มุมหนึ่งของหลังคามีเงาคน
ที่แท้เป็นเยียนเหิงกำลังนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนผิวกระเบื้องหลังคา วางโคมไฟไว้ข้างกาย ปลดกระบี่สงัดนิ่งวางไว้ข้างซ้าย กระบี่ยาวหนามมังกรวางราบอยู่บนตัก
หวังโส่วเหรินเดินไปด้านล่างของบ้านหลังนั้น เยียนเหิงรีบลุกขึ้นแสดงมารยาท
“พวกเราทั้งหมดตัดสินใจหมุนเวียนกันเฝ้าในคืนนี้” เยียนเหิงกล่าวอธิบาย “ข้าเป็นคนแรก”
“จอมยุทธ์น้อยเยียนลำบากแล้ว” หวังโส่วเหรินประสานมือไปด้านบน
เยียนเหิงเห็นดังนั้นจึงคิดจะกระโดดลงจากหลังคาลงไปหา
“อย่าลงมา” หวังโส่วเหรินกลับโบกมือหยุดยั้งมันไว้ แล้วจึงถกชุดคลุมขึ้น ปีนขึ้นไปด้านบนจากราวหน้าต่างด้านข้างของบ้าน ลูกศิษย์สองคนที่ติดตามมัน คนหนึ่งคืออวี๋ฮ่วนที่อายุค่อนข้างมาก อีกคนหนึ่งคือหวงเสวียน พวกมันนำโคมไฟยัดให้ชาวบ้านด้านหลังอย่างเร่งร้อน เข้าไปช่วยหวังโส่วเหรินปีนกำแพง
หวังโส่วเหรินคือผู้มีความสามารถรอบด้าน ขณะเยาว์วัยเคยฝึกยิงเกาทัณฑ์ฟันกระบี่อย่างหนัก แรงกายไม่อ่อนด้อย หาไม่ก็คงผ่านช่วงเวลายากลำบากหลายเดือนนั้นที่เมืองหลงฉ่างมณฑลกุ้ยโจวมิได้ แม้อายุเกินสี่สิบปี มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ปีนขึ้นหลังคาบ้านได้ แต่อวี๋ฮ่วนและหวงเสวียนที่อยู่ด้านหลังกลับใช้แรงมากกว่ามัน
หลังคนทั้งสามขึ้นมาได้ก็เดินไปบนผิวกระเบื้องอย่างระมัดระวัง เยียนเหิงประสานมือทักทายศิษย์อาจารย์หวังทั้งสองคน
“ที่นี่ดียิ่งนัก” หวังโส่วเหรินมองไป บ้านอยู่กึ่งกลางของเมือง บ้านเรือนโดยรอบราวกับหลับใหลอยู่ท่ามกลางอนธการ คนอยู่บนที่สูง เสียงดังถ่ายทอดมาจากด้านใดก็ตามล้วนจำแนกทิศทางได้ทันที
หวังโส่วเหรินและเยียนเหิงนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนกระเบื้องหลังคา เยียนเหิงขณะนี้ใกล้กับหวังโส่วเหรินเพียงเผชิญหน้า ซ้ำยังนึกถึงอำนาจขณะเห็นอีกฝ่ายก้าวออกจากรถม้าเป็นครั้งแรกตอนกลางวัน ยังมีความเคารพและเชื่อถือที่ประชาชนอำเภอหลูหลิงมีให้ โคมไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ส่งผ่านเฉียบแหลมนั้น
“จอมยุทธ์น้อยอายุเท่าใด” หวังโส่วเหรินยิ้มน้อยๆ ถาม
“เพิ่งสิบแปดปีบริบูรณ์” เยียนเหิงตอบอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย ระหว่างเดินทางมาเจียงซีมันฉลองวันคล้ายวันเกิดไปแล้ว ย้อนกลับไปคิด ชีวิตไร้โศกที่เขาชิงเฉิงตอนสิบเจ็ดปีคล้ายห่างไกลมากแล้ว
“อายุเท่านี้ผาดโผนยุทธภพ ก็ไม่นับว่าเร็วนัก” หวังโส่วเหรินกล่าว “ข้าน่ะสิบเอ็ดปีก็ออกจากบ้าน ตามบิดาเข้าเมืองหลวงไปเรียนหนังสือ อายุเท่าเจ้านี้ก็แต่งงานแล้ว”
“ข้าเคยได้ยิน” หวงเสวียนที่อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าวแทรก “คืนนั้นที่หยางหมิงเซียนเซิงเข้าหอ กลับหนีไปอารามเต๋า สนทนาหลักการดูแลสุขภาพกับนักพรตทั้งคืน”
หวังโส่วเหรินและศิษย์ล้วนหัวเราะฮาๆ หวังโส่วเหรินลูบเครา “ตอนเยาว์วัยข้าบ้าเล็กน้อย ยังเคยคิดจะบวชพระเข้าฌาณสมาธิ”
“เพราะเหตุใดต่อมามิได้กระทำล่ะ” เยียนเหิงถาม
“หลักการละทางโลกของพุทธไม่เหมาะกับนิสัยของข้า” ขณะหวังโส่วเหรินกล่าว ใบหน้าก็ปรากฏความอาจหาญอันเถรตรงออกมาอีก
เยียนเหิงรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่าตรงหน้าคือผู้ที่ตั้งปณิธานกระทำการเพื่อปุถุชนทั่วหล้า
“ข้าฟังศิษย์บอกแล้ว” หวังโส่วเหรินกล่าวอีก “จอมยุทธ์น้อยเยียนคือผู้สืบทอดสำนักกระบี่ชิงเฉิง”
เยียนเหิงพยักหน้า หน้าตาเคร่งขรึมขึ้นมา
“เรื่องของสำนักอู่ตังในช่วงนี้ ข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง” หวังโส่วเหรินมองดูจันทร์กระจ่างบนนภา “กล้านักมักบิ่น สำนักอู่ตังแสวงหาจุดสูงสุดเช่นนี้ เกรงว่าสุดท้ายต้องเผชิญหายนะ ได้ยินว่าวรยุทธ์ไท่จี๋ที่ใช้แข็งอ่อนผสมผสานของพวกมันนามระบือทั่วหล้า กลับไม่เข้าใจหลักการนี้ น่าเวทนาเสียจริง”
เยียนเหิงฟังคำพูดนี้ของหวังโส่วเหรินกลับหาได้เห็นด้วยไม่ อู่ตังแม้เป็นศัตรูคู่แค้นสังหารอาจารย์ แต่เป้าหมายกระทำการของพวกมันกลับมิอาจกล่าวว่าแยกจากวิถียุทธ์…เป็นนักสู้ ไม่แสวงหาจุดสุดยอดอันยิ่งใหญ่ จะเป็นไปเพื่ออะไร
…เป้าหมายของข้า คือต้องแข็งแกร่งกว่าอู่ตัง!
หวังโส่วเหรินเห็นเยียนเหิงนิ่งเงียบ คิดว่ามันไม่อยากกล่าวถึงหายนะของสำนักจึงเปลี่ยนหัวข้อ
“ทุกท่านมาหลูหลิงก็เพราะต้องการจะรับมือจอมเวทปัวหลงอมนุษย์ตนนั้นหรือ”
“ไม่ อันที่จริงแรกเริ่มพวกเราจะมาหาอาวุโสหานสือจื่อท่านนั้น เพื่อลับและซ่อมอาวุธให้พวกเรา”
“หานสือจื่อ? หึ…นึกถึงคนผู้นั้นแล้วมันน่าโมโห” ขณะหวังโส่วเหรินกล่าว ใบหน้ากลับเผยความคิดถึง “ถึงตายมันก็ไม่ยอมลับกระบี่ให้ข้าหรอก”
“มีเรื่องเช่นนี้?” เยียนเหิงถามอย่างประหลาดใจ
“คนผู้นั้นนิสัยประหลาดอย่างมาก มันกล่าวกับข้าว่า ‘ข้าลับเพียงอาวุธที่ใช้ได้ มีดหั่นผัก ข้าลับ มีดเชือดหมู ข้าก็ลับ มีดฆ่าคน ข้ายิ่งลับ กระบี่นี้ของเจ้าเป็นเพียงของประดับ ขอร้องข้าอีกกี่ครั้งก็ไม่ลับ’ เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่” หวังโส่วเหรินแม้น้ำเสียงเหมือนกล่าวเรื่องตลก แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าเผยความไม่สบายใจจนเยียนเหิงสังเกตเห็นได้
”ใต้เท้าอย่าได้ทุกข์ใจ พวกเราต้องพยายามช่วยผู้อาวุโสหานสือจื่อกลับมาอย่างสุดกำลังแน่นอน”
หวังโส่วเหรินพยักหน้าอย่างปลื้มใจ
ยามนี้เยียนเหิงหัวคิ้วกระตุก คลำด้ามกระบี่บนตักเอาไว้อย่างระแวดระวัง ความเคลื่อนไหวถ่ายทอดมาจากด้านหนึ่งของถนนด้านล่าง
คนทั้งสี่ก้มมองไปยังด้านล่าง กลับเห็นผู้ที่มาที่แท้เป็นเลี่ยนเฟยหง มันถือขวดสุราเล็กๆ ใบหนึ่งอยู่ โบกมือมาทางด้านหลังคานี้แล้วจ้ำอ้าวเข้ามา กระโดดขึ้นกำแพงยื่นแขนปีน ร่างตีลังกา เพียงพริบตาก็มาอยู่บนผิวกระเบื้องหลังคาอย่างปราดเปรียว
หวงเสวียนแม้ตั้งใจเล่าเรียนหลักการแห่งปราชญ์ แต่อย่างไรก็เป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ มองเห็นทักษะระดับนี้ ก็อิจฉาเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้
“เด็กน้อย เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ให้ข้าเฝ้าแทนเอง” เลี่ยนเฟยหงหย่อนก้นนั่งข้างกายเยียนเหิงทันที “ข้าแก่แล้ว ไม่ต้องนอนมาก” มันกล่าวพลางหยิบอาวุธตรงเอวลงมาวางไว้ข้างกาย
“ไม่ วันนี้ท่านสู้จนเหนื่อยแล้ว ข้าเห็น” เยียนเหิงกลับกล่าว “ท่านต้องพักผ่อนให้มาก”
“เจ้าหมายความว่าข้าแก่แล้ว เรี่ยวแรงไม่พอ?” เลี่ยนเฟยหงร้องอุทาน เพียงเพราะเยียนเหิงกล่าวถูกจุดอ่อนของมัน โดยเฉพาะพวกหวังโส่วเหรินที่ได้ยินคำพูดนี้ “จะแข่งขันกับข้าตอนนี้เลยหรือไม่ วิ่งไปประตูเมืองด้านโน้นค่อยกลับมา ดูว่าใครเร็วกว่า?”
เยียนเหิงมองดูตาเฒ่าที่ไม่ยอมจำนนผู้นี้พลางส่ายหน้า
เลี่ยนเฟยหงหายโกรธ มันดึงจุกปิดขวดออก แล้วจึงจิบสุราจากขวดหนึ่งอึก
“ท่านบอกว่าจะเฝ้าดู? ยังดื่มสุรา?” เยียนเหิงอดมิได้ที่จะกล่าว
“คนโง่ ข้างในคือน้ำต่างหาก!” เลี่ยนเฟยหงยกปากขวดไปยังปลายจมูกเยียนเหิง “ข้าน่ะมิใช่ตัวโง่งมประเภทนั้นที่ดื่มสุราแล้วจึงมีกำลังต่อยตี!”
เยียนเหิงมองเห็นเลี่ยนเฟยหงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก็รู้ว่านี่คือการเล่นตลกไร้สาระที่มันจงใจกระทำ จึงอดมิได้ที่จะส่ายหน้าอีกครั้ง ตาเฒ่าที่ชอบเล่นเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนแรกไปเป็นเจ้าสำนักคงถงได้อย่างไร
ยามนี้เลี่ยนเฟยหงมองดูหวังโส่วเหริน เงยคางเล็กน้อยเพื่อทักทายและมิได้แสดงมารยาท เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตำแหน่งขุนนางของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตา หวังโส่วเหรินกลับมิได้ถือสาแม้แต่น้อย แต่กลับประสานมือไปยังผู้ชราที่อายุมากกว่าตนเองยี่สิบปีผู้นี้อย่างเคารพนับถือ
หวังโส่วเหรินรู้สึกเพียงวันนี้ประสบกับจิงเลี่ยและเลี่ยนเฟยหงนักสู้เหล่านี้ แม้เป็นคนบ้าบิ่นที่มีวิถีไม่เหมือนกับมัน แต่ความดึงดันและจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้คนเหนือกว่าวิญญูชนจอมปลอมมากมายที่พบเห็นตามกลุ่มนักปราชญ์และในวงราชการก่อนหน้า
…ต่อมาหวังโส่วเหรินเคยเขียนในบทความไว้ดังนี้ ‘ผู้ผยองปณิธานดังคนโบราณ เรื่องจิปาถะทางโลกทั้งมวลมิอาจกวนใจมัน เปรียบเช่นหงส์เหินบิน เพียงควบคุมตนเองได้ก็จะเป็นนักปราชญ์’
“เด็กน้อย” เลี่ยนเฟยหงกล่าวต่อเยียนเหิงอีก “ข้าเคยได้ยินถงจิ้งเล่า เรื่องที่เจ้ายั้งมือขณะต่อสู้กับสำนักอู่ตังที่ซีอาน” ขณะมันกล่าวน้ำเสียงและสีหน้าล้วนเคร่งขรึมขึ้นมา
เยียนเหิงยักหัวคิ้ว สิ่งที่เลี่ยนเฟยหงกล่าวคือเรื่องที่มันไม่ยอมคร่าชีวิตฝานจงที่มือเท้าถูกปิดกั้นบนหลังคาหออิ๋งฮวา จากนั้นยังไม่ลงมือกับเหยาเหลียนโจวที่ถูกพิษอยู่ในห้อง
“อยู่ที่นี่ เจ้าต้องโยนความคิดพรรค์นั้นทิ้งไป” เลี่ยนเฟยหงกล่าวด้วยสีหน้าตึงเครียด “ตอนนี้มิใช่การประลองตัดสินระหว่างนักสู้ แต่เป็นการสู้รบ เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือฆ่าศัตรูเหล่านั้นให้หมดสิ้น ต่อให้สิบคน ยี่สิบคน สามสิบคนล้อมโจมตีฝ่ายตรงข้ามคนเดียวล้วนประเสริฐ และไม่มีคำว่าต่ำทราม ไม่ต่ำทรามอะไรทั้งนั้น เจ้าลองคิดดู หากพวกมันมีชีวิตอยู่จะมีชาวบ้านเท่าใดที่ถูกพวกมันทำร้ายจนตาย เจ้าจะไม่ลงมือก็คงมิได้” ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันแต่ต่างสถานที่ เลี่ยนเฟยหงก็กล่าวคำพูดที่ใกล้เคียงกันกับจิงเลี่ยออกมา
เยียนเหิงนึกถึงศึกพรรคหม่าไผที่เฉิงตูก่อนหน้า ซ้ำยังหวนนึกถึงการต่อสู้เช้าวันนี้ มันกัดริมฝีปากล่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นมองเลี่ยนเฟยหงพลางพยักหน้า
เลี่ยนเฟยหงกล่าวถึงเรื่องราวที่ซีอานก็ทำให้เยียนเหิงนึกถึงคำถามข้อหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน จึงถือโอกาสที่มีหวังโส่วเหรินผู้ทรงปัญญาเช่นนี้อยู่ตรงหน้าเป็นโอกาสในการไขว่คว้าหาคำตอบ
“ใต้เท้าหวัง ข้าได้ยินว่าท่านมีความรู้มาก มีเรื่องหนึ่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่กระจ่างว่าตนเองทำถูกหรือผิด หวังว่าใต้เท้าจะให้คำแนะนำแก่ข้าได้บ้าง” เยียนเหิงกล่าวพลางเล่าเหตุการณ์ขณะตนเองอยู่ในหออิ๋งฮวาในวันนั้น เผชิญหน้ากับเหยาเหลียนโจวที่ถูกยาพิษจนมิอาจต่อต้าน กลับมิได้ฉวยโอกาสอันหาได้ยากนั้นสังหารคู่แค้นด้วยกระบี่
“ใต้เท้าหวังรู้ถึงความแค้นของสำนักอู่ตังกับข้าแล้ว” เยียนเหิงกัดฟันกล่าว “คนผู้นี้คือตัวการที่ส่งคนในสำนักมาทำลายล้างสำนักชิงเฉิงข้า ฆ่าอาจารย์ข้า เยี่ยเฉินยวนผู้ช่วยของมันก็อาศัยโรคทางตาของเหอจื้อเซิ่งอาจารย์ข้าจึงเอาชนะได้ แต่ในวันนั้นข้ากลับมิได้ลงมือ…” มันสะเทือนใจจนร่างสั่นเทาเล็กน้อยขณะกล่าวเรื่องในอดีต “ข้าคือคนโง่หรือ อกตัญญูหรือไม่”
หวังโส่วเหรินฟังจบก็นิ่งเงียบพักหนึ่ง
หวงเสวียนลูกศิษย์ที่อยู่ด้านข้างกล่าวแทรก “ข้าเคยบอกแต่แรกแล้ว พวกเจ้านักสู้แก้แค้นชิงความแข็งแกร่งเช่นนี้ ในสายตาพวกเราเดิมทีก็ไม่มีเหตุผลให้กล่าวถึง! หยางหมิงเซียนเซิงจะ…”
เยียนเหิงได้ยินกำลังจะขออภัย หวังโส่วเหรินกลับยกมือหยุดยั้งคำพูดของหวงเสวียน
มันเพ่งตรงไปยังดวงตาของเยียนเหิง แววตานั้นราวกับกำลังมองทะลุจิตวิญญาณ
เยียนเหิงเก็บความสะเทือนใจเพราะแววตานี้ ทั้งร่างยืดตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าลองคิดดูก่อน” หวังโส่วเหรินกล่าว “หากว่าสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกในวันนี้ ขณะนี้เจ้าจะเลือกแทงกระบี่ที่ทรวงอกของเจ้าสำนักอู่ตังผู้นั้นได้หรือไม่ หรือว่าจะตัดสินใจเช่นเดียวกัน ต้องตอบตัวเองอย่างจริงใจ”
เยียนเหิงได้ฟังก็ใจสั่นสะท้าน คำพูดของหวังโส่วเหรินทำให้มันหวนนึกถึงป้ายของสำนักชิงเฉิงเมื่อก่อนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง… ‘จื้อเฉิง’
…หรือว่าที่มันพูดสอดคล้องกับคำสอนของอาจารย์ข้า?
หวังโส่วเหรินนั่งอยู่บนหลังคา แหงนมองท้องนภาอนธการอันไร้สิ้นสุด แสงจันทร์สาดส่องกายมัน แผ่บุคลิกสันโดษชนิดหนึ่งออกมา
“แต่ก่อนเป็นเพราะข้าทูลถวายฎีกาอย่างเถรตรง จึงล่วงเกินหลิวจิ่นขันทีใหญ่ที่มีอำนาจเหนือใต้หล้า ถูกราชสำนักจำคุก ตามด้วยเนรเทศไปยังเมืองหลงฉ่างมณฑลกุ้ยโจว ระหว่างทางยังต้องเสแสร้งฆ่าตัวตาย จึงหลบหลิวจิ่นที่ส่งคนมาตามฆ่าได้ เรียกได้ว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่อยู่ในสถานที่ทุรกันดารที่เต็มไปด้วยภัยพาลเช่นหลงฉ่าง ขณะไม่เหลือสิ่งใด ข้าได้รู้แจ้งในสิ่งที่สำคัญที่สุดชั่วชีวิต” หวังโส่วเหรินยื่นมือชี้หัวใจของตนเอง “มรรคาแห่งนักปราชญ์ เติมเต็มตนเอง หลักแห่งสรรพสิ่งในโลกอยู่ในใจมนุษย์ ไร้ซึ่งที่ให้แสวงหาได้อีก” หวังโส่วเหรินมองเยียนเหิง “การทดสอบเหล่านี้ ต้องการจะให้เจ้าเห็น ‘ตัวตนแท้จริง’ ที่อยู่ภายใน ในขณะตัดสินใจช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เป็นการสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของคนผู้หนึ่ง ผู้ที่เข้าใจหลักการในใจ ขณะกระทำการกลับสับสนกับความปรารถนาส่วนตัว สุดท้ายนั่นคือคุณธรรมจอมปลอม มีเพียงเดินบนวิถีทางที่ถูกต้อง กระทำเรื่องสุจริตได้พร้อมกันด้วยใจซื่อตรง รู้แจ้งทั้งภายนอกและภายในโดยสอดคล้อง นั่นจึงเป็นรู้และกระทำรวมหนึ่ง”
“แต่ว่า…” เยียนเหิงถาม “ถ้าหากกระทำเรื่องที่ตนเองรู้สึกว่าถูกต้อง กลับทำให้ท่านพ่ายแพ้ล่ะ?”
“บนโลกมีผู้ใดไม่ตาย แต่ไม่ละอายใจขณะตาหลับตราบชั่วนิรันดร์จะมีสักกี่คน” ขณะหวังโส่วเหรินกล่าว ดวงตามองดูระยะไกลราวกับจะใช้แววตาสุกสกาวเรียวเล็กสองจุดนี้ส่องสว่างทั้งอนธการ
“ผู้เดินบนทางที่ถูกต้องแห่งใต้หล้า แม้วางวายก็ไร้อาวรณ์”
เยียนเหิงมองดูดวงตาเรียวเล็กแต่เปี่ยมด้วยคุณธรรมคู่นั้น เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างโดยพลัน แต่ก็พรรณนาออกมามิได้
“เอาล่ะ” เลี่ยนเฟยหงยามนี้ออกแรงตบไหล่ของเยียนเหิงเบาๆ “กลับโรงเตี๊ยม นอนไปพลางคิดไปพลาง เช้าวันนี้เจ้าเพิ่งถูกผงฝ่างเซียนนั่นกล่อมประสาท ต้องพักผ่อนให้มาก”
เยียนเหิงเดิมคิดอยู่ต่อเพื่อขอคำชี้แนะจากหวังโส่วเหรินมากขึ้น แต่เลี่ยนเฟยหงเร่งเร้าซ้ำไปซ้ำมา มันจำต้องสะพายกระบี่ขึ้น ถือโคมไฟกล่าวอำลากับกลุ่มคนบนหลังคาแล้วจึงกระโดดลงไป
“ขอบคุณเจ้ามากนะ” เลี่ยนเฟยหงจิบน้ำดื่มหนึ่งอึก มองดูเยียนเหิงที่จากไปพลันกล่าว
หวังโส่วเหรินยิ้มน้อยๆ
เลี่ยนเฟยหงมองดูเงาของเยียนเหิงจากไปและกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียที่มันสะพายหลัง
“เด็กคนนี้…” เลี่ยนเฟยหงกล่าวพึมพำ “ขอเพียงมันเชื่อในตัวเองให้มากขึ้น…”