ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 8 บทที่ 1
การเคลื่อนไหวของผู้เจนรบ ดุจเทพปรากฏดั่งปีศาจดำเนิน วิบวับประหนึ่งดาวระยับ บ้างลึกลับดำมืด บุกเข้าถอยออกมิให้เห็นแม้แต่น้อย ปานสกุณาเหินบินกิเลนกระโจน พญาหงส์ร่อนโผนมังกรทะยาน เปิดฉากดั่งหนึ่งลมสารท ปราดเปรียวปานประหนึ่งมัจฉาลี้เร้น
‘บันทึกไหวหนานจื่อ บทตำรายุทธวิธี’
บทที่ 1
หลวงจีนเถื่อน
เสียงตะโกนร้องไห้ดังก้องอยู่หน้าซุ้มประตูวัดเส้าหลินแห่งเขาเส้าซื่อ
เป็นเสียงของทารกคนหนึ่ง ทว่าในสุ้มเสียงนั้นกลับทุ้มลึกสั่นสะเทือนรางๆ ฟังแล้วมิคล้ายร่ำไห้เพราะโหยหิวหรือหวาดกลัว ทว่าเหมือนร้องคำรามมากกว่า
เสียงร้องไห้ดังต่อเนื่องเนิ่นนาน แต่ทารกผู้นั้นกลับไม่มีทีท่าเหนื่อยล้าหรือจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย หลวงจีนและเณรน้อยหลายคนที่ยืนอยู่หน้าซุ้มประตูต่างไม่รู้จะทำอย่างไร
เหมันต์ปีนี้หนาวเหน็บยิ่งนัก ผู้เป็นมารดานำเสื้อของตนเองห่อทารกเอาไว้ ตนเองสวมเพียงอาภรณ์บางๆ ชิ้นเดียว แม้นางจะเป็นชาวนาหญิงที่ล่ำสัน แต่ยังคงอดมิได้ที่จะสั่นเทา
มือทั้งสองของหลวงจีนยกปิดหูเอาไว้ พินิจมองทารกเพศชายที่ถูกห่ออยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายบางๆ นั้น แม้มันเป็นนักบวช แต่ครั้นมองแวบแรกก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว ทารกผู้นี้เพิ่งอายุสามเดือนเต็มได้ไม่นาน ทว่าร่างกายผอมเล็กกลับเต็มไปด้วยขนที่ทั้งดำทั้งหนาอย่างน่าประหลาด จอนผมและแก้มก็ล้วนเหมือนมีหนวดเคราปกคลุม มองเพียงเผินๆ ดูไม่ออกว่าเป็นมนุษย์ ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นสุนัขแรกคลอด
ทารกประหลาดผู้นี้ยังคงร้องไห้อยู่ มือน้อยขนปุกปุยข้างหนึ่งจับอาภรณ์ตรงทรวงอกมารดาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ผู้เป็นมารดาหลั่งน้ำตาไปพลางออกแรงสลัดไปพลาง แต่มือของเด็กน้อยมีกำลังเกินคาด อย่างไรก็สลัดมันไม่หลุด
หลวงจีนเองได้ลองเข้าไปช่วยดึงแขนของทารก แต่อย่างไรก็ดึงไม่ออก หากใช้แรงเกินไปก็กลัวจะทำร้ายเด็ก จึงหมดปัญญาทำการอันใดไปพักหนึ่ง
เพราะชาวนายากจนที่อาศัยอยู่เชิงเขาไร้กำลังเลี้ยงดู จึงส่งบุตรขึ้นวัดเส้าหลินเป็นเรื่องปกติ บุตรและมารดาร้องไห้จะเป็นจะตายยามแยกจากกันเป็นเรื่องธรรมดา บรรดาหลวงจีนต่างเคยเห็นจนชินตา แต่สถานการณ์เช่นนี้กลับเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก
เสียงร้องไห้นั้นกังวานอย่างยิ่ง สะท้อนไปในช่องเขาไม่หยุด เกรงว่าคงถ่ายทอดไปถึงวัดและอารามด้านบนแล้ว หลวงจีนเฝ้าประตูกลัวว่าเสียงนี้จะไปรบกวนคาบเรียนของกลุ่มหลวงจีนในวัดและตนเองจะถูกเจ้าอาวาสกล่าวโทษ จึงเอ่ยกับมารดาของเด็ก
‘ประสก เจ้านำมันลงเขาไปก่อนจะดีกว่า…รอโตอีกหน่อยค่อยส่งขึ้นมา…’
ชาวนาหญิงกระวนกระวายจนแทบคุกเข่าลงไปร้องไห้สะอึกสะอื้น สามีของนางเพิ่งป่วยตายเมื่อเดือนก่อน เด็กเจ็ดคนในบ้านส่วนมากยังอายุน้อยเลี้ยงดูไม่ไหว มีเด็กหญิงสามคนกับเด็กชายหนึ่งคนถูกส่งไปให้ผู้อื่นเลี้ยงดูแล้ว เหลือเพียงเจ้าตัวน้อยที่เกิดมาน่ากลัวนี้ จะพูดอย่างไรก็ไม่มีใครต้องการ นอกจากส่งขึ้นมาที่วัดนางก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว
‘ไต้ซือโปรดนำกรรไกรมา’ นางกล่าวพลางฝืนกลั้นน้ำตา ‘ข้าจะตัดชุดนี้ออกเสีย’
เรื่องน่าละอายเช่นนี้เกิดขึ้นหน้าซุ้มประตูวัดเส้าหลิน หากถ่ายทอดออกไปผิดๆ ชื่อเสียงของวัดอาจเสื่อมเสียได้ ขณะหลวงจีนเฝ้าประตูกำลังหนักใจก็พลันเห็นคนเดินทอดน่องลงมาจากบันไดศิลา คนทั้งหมดจ้องมองเงาร่างสวมจีวรถือไม้ขักขระนั้น ที่แท้มิใช่ใครอื่น เป็นเปิ่นตู้ไต้ซือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน
หลวงจีนทั้งหลายรีบประนมมือก้มศีรษะ ในใจพวกมันต่างกลัวเกรงอย่างมาก…เจ้าอาวาสลงมาตรวจดูเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ด้วยตนเอง ต้องกล่าวตำหนิพวกมันที่ปล่อยให้มีเสียงร้องไห้รบกวนผู้คนเป็นแน่แท้
ฝีเท้าขณะก้าวลงมาของเปิ่นตู้ไต้ซือหนักแน่นอย่างยิ่ง ไม้ขักขระของมันเพียงแตะพื้นเบาๆ หาได้ใช้ช่วยทุ่นแรงยามเดินไม่ รูปร่างสูงใหญ่วัยห้าสิบปีเต็มนั้นเหยียดตรง จีวรที่พาดอกและไหล่อันกว้างหนาตึงแน่น บนศีรษะและใบหน้านอกจากรอยตราศีลแล้วยังมีรอยแผลเป็นลึกอีกสองสามรอยที่ประทับไว้จากการฝึกยุทธ์และประลองในวัดขณะเยาว์วัย
แม้มีรูปร่างหน้าตาและท่วงท่าน่าเกรงขามเช่นนี้ เปิ่นตู้ก็หาได้มีท่าทีเย่อหยิ่งชวนให้รู้สึกกดดันแม้สักเล็กน้อย แต่กลับเหมือนต้นไม้ใหญ่เดินได้ที่มั่นคงแข็งแรงให้ร่มเงาแก่ทุกสิ่ง
กลุ่มหลวงจีนมองดูด้านหลังเจ้าอาวาส ผู้ที่ติดตามลงมายังมีหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเหลี่ยวเฉิงไต้ซือหลวงจีนบุ๋นที่ชราภาพแล้ว ข้างกายซ้ายขวามีศิษย์สองคนช่วยประคองอยู่ เหลี่ยวเฉิงคืออาจารย์อาของเปิ่นตู้ ปัจจุบันในวัดเส้าหลินนอกจากอดีตเจ้าอาวาสเหลี่ยวเหิงไต้ซือที่ละจากตำแหน่งแล้วเหลี่ยวเฉิงก็นับว่าอาวุโสที่สุด บรรดาหลวงจีนเฝ้าประตูเห็นแล้วต่างก็หวั่นเกรงจนตัวลีบเล็ก
เปิ่นตู้รุดหน้ามาดูทารกที่มีขนทั่วร่างผู้นั้น ขนคิ้วแซมขาวของมันเลิกขึ้น
‘เด็กผู้น่าสงสาร…’ เปิ่นตู้ยื่นฝ่ามือที่นิ้วทั้งห้าที่แบเรียบจากการฝึกวิชาฝ่ามือทรายเหล็กส้าหลิน ลูบไล้ศีรษะของทารกเบาๆ
ฝ่ามือนั้นแม้มีข้อต่อกระดูกโผล่ชัดและเต็มไปด้วยหนังด้านหนา แต่สัมผัสลูบไล้กลับอ่อนโยน เห็นได้รางๆ ว่าวรยุทธ์ของเปิ่นตู้บรรลุถึงขั้นจากแข็งสู่อ่อนแล้ว
ภายใต้การปลอบขวัญด้วยฝ่ามืออันอบอุ่นนี้ ทารกยังคงร้องไห้ไม่หยุด กำปั้นน้อยที่จับอกเสื้อมารดาอยู่คล้ายกำแน่นยิ่งกว่าเดิม
เหลี่ยวเฉิงไต้ซือก้าวมาเบื้องหน้าบ้าง ดวงตาเปี่ยมเมตตาก้มมองทารกน้อยที่กำลังร้องไห้
‘หมดวาสนาแล้วก็ปล่อยออกเถอะ’
เหลี่ยวเฉิงกล่าวเบาๆ หนึ่งประโยค
เสียงร้องไห้ของทารกหยุดลงทันที ปากที่เต็มไปด้วยขนหุบสนิทอย่างง่ายดาย นิ้วทั้งห้าที่จับเสื้อมารดาอยู่ก็คลายออกแล้ว
เหลี่ยวเฉิงยื่นมือที่ลีบเหี่ยวเหมือนกรงเล็บวิหคออกไป ชาวนาหญิงผู้นั้นมองดูดวงตากระจ่างใสของหลวงจีนชราครู่หนึ่งก็เก็บความโศกเศร้า มอบทารกเพศชายสู่อ้อมอกมัน
ทารกเพศชายที่หยุดร้องไห้แล้ว ยามนี้กลับมองตาเหลี่ยวเฉิงที่กอดตนเองอยู่ ในแววตานั้นไม่มีความตื่นกลัวต่อคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย มันจ้องมองนิ่งประหนึ่งผู้ใหญ่
เหลี่ยวเฉิงมอบทารกเพศชายใส่มือศิษย์หลาน
‘เปิ่นตู้ หลังเด็กคนนี้ผ่านวัยไว้แกละ* ก็ให้เจ้าโกนผมเองกับมือ’
เปิ่นตู้รับเด็กมาอย่างนอบน้อม ในใจรู้สึกพิศวง
เหลี่ยวเฉิงกล่าวจบก็ให้ศิษย์สองคนช่วยพยุงก้าวขึ้นบันไดกลับไปบนเขาทีละขั้น ก่อนจากไปมันยังได้กล่าวอีกประโยค ‘เด็กคนนี้แม้ดื้อรั้น แต่เกิดมามีหัวใจมองทะลุสันดานตน ภายหน้าจะเป็นที่ประจักษ์ ครึ่งปีให้หลัง ขนแรกคลอดประหลาดบนร่างจะค่อยๆ หลุดร่วงไปเอง ไม่ต่างจากทารกปกติอีกต่อไป’
อายุครบห้าปีเด็กคนนั้นจึงได้บวชเข้าวัดเส้าหลิน เจ้าอาวาสเปิ่นตู้รับเป็นศิษย์โกนผมให้ด้วยตนเอง และแบ่งลำดับอาวุโสตามเจ็ดสิบสองอักษรเส้าหลิน เป็นอักษรหยวน (圓)
อายุเจ็ดปีเริ่มสวดมนต์ไหว้พระอย่างเป็นทางการ ในขณะเดียวกันเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์ วัดเส้าหลินเน้นย้ำ ‘ฌานยุทธ์ไม่เป็นสอง’ ถึงแม้เป็นหลวงจีนบู๊ก็มิอาจละเลยการเรียนกรรมฐาน หากเกียจคร้านก็ห้ามฝึกยุทธ์ เพื่อป้องกันพวกมันเอาแต่ต่อสู้ชิงชัย ผ่านไปสองปีเต็ม เด็กคนนี้ก็ยังสวดมนต์แรกเข้าสำนักไม่ได้ ขณะนั่งสมาธิฟังเทศนาก็สัปหงกอยู่เนืองๆ แต่ทุกครั้งที่ถึงคาบวิชาต่อสู้กลับมีชีวิตชีวาทันที อีกทั้งจิตใจมุ่งเอาชนะก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะฝึกฝนประเภทใดก็ล้วนชอบประลองกับสหายร่วมรุ่นไปจนถึงผู้อาวุโส สหายร่วมสำนักมากมายต่างก็กลัวมัน
เปิ่นตู้ผู้เป็นอาจารย์ลงโทษมันห้ามเหยียบลานฝึกยุทธ์หลายครั้ง และมักเป็นอาจารย์ทวดใหญ่เหลี่ยวเฉิงออกปากให้ ‘สุดแล้วแต่มัน เด็กคนนี้มิอาจสอนแบบคนอื่นๆ’
หลังได้ฟังคำพูดของอาจารย์ทวดใหญ่ มันกลับหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่านด้วยตัวเองบางครั้ง แม้สุดท้ายยังคงอ่านบทสวดไม่เข้าใจเท่าใดนัก
อายุยี่สิบสองปี มันผ่าน ‘ตรอกมนุษย์ไม้’ อันเป็นการทดสอบขั้นสูงสุดของวิชายุทธ์เส้าหลิน ใช้แขนทั้งสองหนีบกระถางธูปร้อนผ่าวที่วางอยู่ตรงทางออกของตรอก ด้านในแขนตีตราประทับมังกรเขียวซ้าย พยัคฆ์ขาวขวา เป็นสัญลักษณ์ของยอดฝีมือเส้าหลิน หลายร้อยปีที่ผ่านมาผู้เยาว์วัยที่ได้สัญลักษณ์นี้ของเส้าหลิน มันคือคนที่สี่
รอยแผลสัญลักษณ์ยังไม่หายดี ในวันเดียวกันมันก็คุกเข่าใน ‘โถงจินกัง’ ไม่ลุกขึ้นมาเป็นเวลานาน ขอร้องอาจารย์เจ้าอาวาสอนุญาตให้มันฝึกฝนค่ายกลสิบแปดมนุษย์ทองคำอันเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาเส้าหลิน สามวันให้หลังก็เป็นเหลี่ยวเฉิงที่ช่วยพูดให้มันอีก จนได้รับการประทานเกราะทองสำริดหนึ่งชุด พลองเสมอคิ้วหุ้มเหล็กหกเหลี่ยมหนึ่งเล่ม
อายุยี่สิบสี่ปี มันได้รู้จากปากนักสู้ที่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนว่ายุทธภพก่อเกิดมรสุมร้ายแรง
หนึ่งเดือนให้หลังมันออกจากเขาเส้าซื่อลำพัง เพราะคำสองพยางค์
‘อู่ตัง’
หน้ากากยักษาทองสำริดครึ่งหน้านั้นลักษณะเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เกราะคุ้มกายที่ห่อหุ้มด้วยแผ่นทองสำริดล้วนเต็มไปด้วยรอยริ้วรอยร่องยุบชวนสะเทือนขวัญ
ทว่าในขณะนี้ ในสายตาของชาวบ้านสองร้อยคนแห่งหมู่บ้านเชอเฉียนมณฑลเจ้อเจียง เงาร่างที่สะท้อนแสงอาทิตย์ออกมาเป็นสีทองแดงนี้ไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์ที่จุติลงมา จนต่างคนต่างก็คิดจะคุกเข่าหมอบกราบไปวูบหนึ่ง
หลวงจีนหยวนซิ่งสวมเกราะมนุษย์ทองคำครึ่งร่าง มือขวาถือพลองเสมอคิ้วเฉียงไว้ข้างลำตัว สายตาจ้องเขม็งไปยังเอ้อเอ๋อร์ห่านที่อยู่ห่างออกไปสิบฉื่อ
ภายใต้แสงแดดสาดส่อง ใบหน้าเค้าโครงลึกของเอ้อเอ๋อร์ห่านกลับปรากฏสีหน้าอึมครึม สายตาไม่เย็นชาเหมือนปลาตายเช่นยามปกติอีกต่อไป มันถลึงมองหานซือเต้าคู่หูที่ถูกหยวนซิ่งเหยียบอยู่ใต้เท้าอย่างดุดัน
มือซ้ายและขวาของเอ้อเอ๋อร์ห่านไขว้สลับจับด้ามกระบี่คู่ตรงข้างเอวเอาไว้พลางระแวดระวังหลวงจีนเถื่อนที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใดผู้นี้เต็มที่
หานซือเต้านอนหงายอยู่บนพื้น ใบหน้าซึ่งแต่เดิมขาวถูกหมัดของหยวนซิ่งต่อยจนปูดบวมกลายเป็นสีม่วงคล้ำไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาเรียวเล็กทั้งสองเหลือกลอย มุมปากมีน้ำลายไหล หายใจรวยรินคล้ายเป็นตายเท่ากัน
ศิษย์จอมเวททั้งสิบคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังเอ้อเอ๋อร์ห่าน แววตาดุร้ายวางอำนาจของพวกมันก่อนหน้านี้เลือนหายไปนานแล้ว แต่ละคนปากอ้าตาโพลงสีหน้าราวไม่อยากเชื่อ
ในใจและสายตาพวกมัน มิเพียงแต่ตัวจอมเวทปัวหลง แต่ผู้คุ้มธงทั้งหลายที่จอมเวทแต่งตั้งล้วนเป็นดั่งอสุรกายที่คนธรรมดามิอาจแตะต้อง ทว่าหานซือเต้าผู้เป็นหนึ่งในนั้นกลับถูกคนต่อยจนล้มนอนเหมือนตายโดยที่พวกมันมองไม่ทันด้วยซ้ำ!
ศิษย์จอมเวทคนหนึ่งที่ถือยันต์เสกสิ่งปึกใหญ่ตะลึงงันจนคลายนิ้วมือออกโดยไม่รู้ตัว ยันต์กระดาษหลุดมือ ดั่งใบไม้ร่วงปลิวไปตามลม
ยันต์กระดาษหลายแผ่นถูกพัดไปบนร่างเอ้อเอ๋อร์ห่าน มันไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ยังคงรักษาท่วงท่าเตรียมชักกระบี่ไว้ ทว่าภายในใจกลับลอบตัดพ้อ…
พบเจอเรื่องราวเช่นนี้สองวันติดกัน เป็นเคราะห์ร้ายอันใดกันแน่
ในขณะเดียวกัน หยวนซิ่งซึ่งระแวดระวังพวกเอ้อเอ๋อร์ห่านเช่นกันก็ลอบสำรวจสภาพโดยรอบ มันมองเห็นชาวบ้านร่ำไห้น้ำมูกไหลจำนวนมาก ทั้งยังเห็นข้างอานม้าที่กลุ่มศิษย์จอมเวทจูงอยู่ห้อยไว้ด้วยถุงผ้าขนาดใหญ่หลายใบก็รู้ว่าตรงหน้ามิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน…ยิ่งหานซือเต้าพลันลงมือลอบทำร้ายยิ่งบ่งบอกชัดเจน
…นำถุงมามากเพียงนี้ ปล้นสะดมหรือ
โจรปล้นม้าสี่คนที่ถูกหยวนซิ่งจับและบังคับให้ลากรถต่างหยุดบ้าคลั่งดิ้นรนแล้ว ทีแรกพวกมันเห็นไพร่พลจอมเวทปัวหลงจึงหวาดกลัวเสียขวัญคิดจะหนีตายสุดชีวิต ไหนเลยจะคาดคิดว่าหมัดของหลวงจีนเถื่อนผู้นี้กลับโค่นล้มหัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามพร้อมทั้งหักกระบี่ วรยุทธ์ระดับนี้พวกมันไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึง
สุดท้ายพวกมันกลับมีชีวิตรอดภายใต้เงื้อมมือของหลวงจีน…ช่างเป็นบุญที่สั่งสมมาสามชั่วคนโดยแท้!
โจรปล้นม้าคนหนึ่งในนั้นคว้ายันต์เสกสิ่งที่ปลิวมาเอาไว้แล้วมองดู ปากอดมิได้ที่จะกล่าวพึมพำ “ข้าเคยได้ยิน…จับทาสวิญญาณ ที่แท้เป็นเรื่องจริง…”
ความคิดอ่านของหยวนซิ่งมิคล้ายรูปลักษณ์ภายนอกที่ซื่อตรงนั้น ประโยคนี้มิได้รอดพ้นหูของมัน
“เล่ามาเร็ว” มันยักคิ้วหนาขึ้น
โจรปล้นม้าผู้นั้นพลันรู้สึกผิดที่พลั้งปาก มันหันรีหันขวางอย่างหวาดหวั่น คิดในใจว่าไม่ควรล่วงเกินหลวงจีนผู้นี้มากกว่า จึงกลืนน้ำลายแล้วกล่าว “ถุงผ้าเหล่านั้น…ใช้บรรจุศีรษะมนุษย์ เหมือนเป็นพิธีกรรมสักอย่างของพวกมัน ต้องใช้ชีวิตมนุษย์เซ่นผู้ตาย…”
หยวนซิ่งมองดูขนาดและจำนวนของถุงผ้าแวบหนึ่ง ซ้ำยังมองจำนวนของชาวบ้าน
มิใช่ปล้นสะดม แต่เป็นฆ่าล้างหมู่บ้าน
ดวงตากลมโตของมันจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
ครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว!
แรกเริ่มเป็นเพราะหยวนซิ่งสะกดรอยตามเหยียนชิงถงจึงจับพลัดจับผลูมาถึงเจียงซี แต่กลับได้ข่าวว่ามีศิษย์อู่ตังอยู่ที่นี่อีกอย่างคาดไม่ถึง ด้วยรู้สึกประหลาดใจจึงลงใต้เสาะหามาโดยตลอด หาได้คาดคิดว่าจะพบศิษย์อู่ตังที่ว่าจริงๆ ทั้งยังเป็นศิษย์ที่ชั่วร้ายเช่นนี้
หยวนซิ่งมองไปแวบเดียวก็ชี้ขาดได้ว่าแม้เผชิญหน้ากลุ่มคนสิบเอ็ดคน แต่ที่เรียกว่าศัตรูได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือบุรุษเคราเหลืองที่พกกระบี่คู่ รูปโฉมไม่คล้ายชาวฮั่นผู้นี้
เอ้อเอ๋อร์ห่านแม้จะตกใจอย่างมากเมื่อเห็นหานซือเต้าถูกโค่นล้ม แต่อย่างไรมันก็ได้รับถ่ายทอดวิชาจากจอมเวทปัวหลงด้วยตนเองมาหลายปี ท่วงท่าต่อสู้จึงมิได้หวั่นไหวสั่นคลอน กล้ามเนื้อแขนทั้งสองอยู่ในภาวะละเอียดอ่อน ไม่เครียดเกร็งแต่ก็ไม่ผ่อนคลาย สามารถชักกระบี่โจมตีได้อย่างรวดเร็ว เข่าทั้งสองย่อลงเล็กน้อย ดุจเสือดาวพร้อมกระโจนได้ทุกเมื่อ
หยวนซิ่งมองออกว่าคนผู้นี้ไม่อ่อนแอ ทักษะเช่นนี้หากมิได้ผ่านการห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายมานับไม่ถ้วนก็ต้องได้รับการถ่ายทอดจากสำนักชื่อดังเป็นแน่
“รวบรวมศีรษะมนุษย์…” หยวนซิ่งแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ไหม ข้าเคยเปิดหูเปิดตาได้พบศิษย์อู่ตังที่แท้จริง…ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าคือของปลอม”
มันกล่าวพลางยกหัวพลองชี้ตรงไปยังหน้าของเอ้อเอ๋อร์ห่าน
“ศิษย์อู่ตังจะไม่ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
เอ้อเอ๋อร์ห่านได้ฟัง นัยน์ตาทั้งสองก็คืนสู่ความนิ่งงันไร้ชีวิตชีวาเช่นแต่ก่อนราวกับไม่เหลียวแลสรรพชีวิต
ภายใต้ความเย็นชาขั้นสุดนั้นความจริงเพลิงโทสะกลับลุกโชนอยู่ในใจ
…นี่เจ้าบอกว่า ยอดวิชาสำนักอู่ตังที่ท่านเทพจอมเวทสอนให้ข้าเป็นของปลอม?
สำหรับเอ้อเอ๋อร์ห่านแล้ว นี่เท่ากับเป็นการปฏิเสธชีวิตของมัน
ยามนี้มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งร้องดังขึ้น เป็นหานซือเต้าที่อยู่บนพื้น
ที่แท้เท้าของหยวนซิ่งที่เหยียบอยู่บนอกมันเพิ่มแรงกดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากกล่าวว่าหานซือเต้าร้อง สู้กล่าวว่าแรงเหยียบนั้นรีดลมในอกของมันออกมาจะดีกว่า
ความเดือดดาลของหยวนซิ่งไม่เป็นรองเอ้อเอ๋อร์ห่านอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากมองออกถึงระดับวรยุทธ์ของเอ้อเอ๋อร์ห่าน
มีวรยุทธ์ระดับนี้กลับใช้เพื่อข่มเหงทำร้ายชาวบ้านธรรมดา…ในโลกของหยวนซิ่ง นี่นับเป็นเรื่องต่ำช้าจนยากจะนึกถึง!
กระดูกซี่โครงบริเวณอกหานซือเต้าส่งเสียงแตกหักออกมา
เอ้อเอ๋อร์ห่านได้ยินก็เดือดดาลยิ่งขึ้น แม้ความสัมพันธ์ของมันและหานซือเต้าจะไม่เรียกว่าดี แต่อย่างไรหานซือเต้าก็เป็นรองผู้คุ้มธงที่ท่านเทพจอมเวทคัดเลือกด้วยตนเอง ถูกคนเหยียบอยู่ใต้เท้าเหมือนแมลงสาบเช่นนี้ ก็เท่ากับลบหลู่ท่านเทพจอมเวทโดยตรง!
ตอนเช้าเมื่อวานที่อำเภอหลูหลิง มันเลือกที่จะวิ่งหนีอย่างไม่ละอายสักนิด เพราะฝ่ายตรงข้ามมีถึงห้าคน
ทว่าวันนี้คู่ต่อสู้ตรงหน้ามีเพียงคนเดียว
…หากวันนี้มิอาจนำทาสวิญญาณกลับไป ข้ายังนับเป็นผู้คุ้มธงของลัทธิอู้อี๋ได้หรือ
‘เสื่อมสิ้นเป็นอนิจจัง มรณังไยต้องกลัว
สนองตนร้อยปรารถนา ร่างดับวิญญาณ์หวน
รับใช้เทพถือสัตย์ควร เผยแผ่คำสอนเกรียงไกร’
แววตาของเอ้อเอ๋อร์ห่านเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ครั้งนี้มันฉายแววบ้าคลั่งออกมา
หยวนซิ่งเลิกคิ้ว มันรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าท่าต่อสู้ของเอ้อเอ๋อร์ห่านแผ่อำนาจคุกคามรุนแรงกว่าเดิม
หยวนซิ่งเคยพบเห็นแววตาที่คล้ายคลึงกันนี้…บุรุษดุจซากศพเดินได้ที่ตายในอ้อมอกมันผู้นั้น
เอ้อเอ๋อร์ห่านหาได้เสพผงฝ่างเซียนไม่ แต่อาศัยศรัทธาต่อจอมเวทปัวหลงกระตุ้นตัวเอง แต่ผลลัพธ์ก็เป็นดังเช่นตอนที่มันสวดคาถาใส่ไพร่พลศิษย์จอมเวทที่เมืองเมื่อวาน
เอ้อเอ๋อร์ห่านแยกเขี้ยวยิงฟันทั้งสองแถว เคราเหลืองโบกพลิ้ว
หยวนซิ่งรับรู้ถึงไอต่อสู้ที่ศัตรูแผ่ออกมาจึงตอบสนองทันที
คนทั้งสองเปิดฉากแทบจะในชั่วขณะเดียวกัน
กระบี่คู่โบราณสำนักเซียงหลงบนสายคาดเอวของเอ้อเอ๋อร์ห่านชักออกแทบพร้อมกัน ร่างโน้มไปด้านหน้าเกือบจะเป็นเส้นตรง พุ่งตัวออกไปสุดแรง!
หยวนซิ่งใช้หานซือเต้าเป็นกระดานเหยียบ ขาซ้ายที่สวมเกราะทองสำริดถีบแผ่นอกมันทะยานไปข้างหน้า ร่างล่ำสันพุ่งออกไปดั่งปืนใหญ่ หานซือเต้ากระอักเลือดอย่างทรมาน หยวนซิ่งยกพลองเสมอคิ้วขึ้นยืมแรงพุ่งนี้ใช้ ‘ท่าทะลวงแขนเสื้อ’ ของพลองราชากินนร หัวพลองหกเหลี่ยมหุ้มด้วยเหล็กฝังหมุดกลมแทงไปยังใบหน้าเอ้อเอ๋อร์ห่าน!
เอ้อเอ๋อร์ห่านออกกระบวนท่ากระบี่คู่ ใช้กระบี่เดชอู่ตังที่จอมเวทปัวหลงถ่ายทอด ยกกระบี่มือซ้ายเฉียงขึ้น กระบี่มือขวาฟันขวางไปยังลำคอหยวนซิ่ง!
ท่ากระโจนของคนทั้งสองรวดเร็วยิ่ง ระยะห่างสิบฉื่อหดสั้นลงในพริบตา กระบี่พลองปะทะกันอย่างเร่งร้อน!
กระบี่เดชกระบวนนี้ของเอ้อเอ๋อร์ห่านตั้งใจฝืนทำลายซึ่งหน้า อาศัยกระบี่มือซ้ายสกัดพลองที่แทงมาของหยวนซิ่งออกไป กระบี่มือขวาก็ฟาดฟันใส่พร้อมกัน เอาชนะด้วยการปัดป้องพร้อมทำลายล้าง แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าพอกระบี่มือซ้ายกระทบถูกพลองเสมอคิ้วก็รับรู้ถึงพลังที่เด็ดขาดอย่างยิ่งราวแหวกผาคว่ำสมุทร มิเพียงไม่อาจสกัดพลองออกไป ซ้ำยังถูกแรงซัดกลับเข้ามา กระทบต่อท่าต่อสู้และการประสานงานทั่วร่างของมัน กระทั่งกระบี่มือขวาก็ติดขัดฟันไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เพียงปะทะคมอาวุธ พละกำลังของหยวนซิ่งก็เพียงพอที่จะกระแทกเข้าไปในร่างกายและโครงกระดูกของฝ่ายตรงข้าม ราวกับตรึงเอ้อเอ๋อร์ห่านไว้ที่เดิม!
…พลังอันใดกันนี่
เอ้อเอ๋อร์ห่านยังไม่ทันหายตื่นตะลึงก็รู้สึกว่ากระบี่ซ้ายถูกกดกลับมา พลองหกเหลี่ยมต้านพลังกระบี่แทงเข้ามายังกลางลำตัว!
เอ้อเอ๋อร์ห่านเปลี่ยนแปลงทิศทางกระบี่มือขวาฉับพลัน ชักกลับมาประสานกระบี่คู่เข้าสกัดพลองเสมอคิ้ว จึงต้านพลังเอาไว้ได้
ท่าทะลวงแขนเสื้อกระบวนนี้ของหยวนซิ่งคือการกระโดดแทงกลางอากาศเพื่อชิงระยะการโจมตีที่ยอดเยี่ยมที่สุด มือขวาและเท้าขวาล้วนอยู่หน้า ยามนี้พลังพลองปล่อยออกจนสุดแล้ว เมื่อเท้าขวามันแตะพื้น ขาซ้ายก็ก้าวต่อ พร้อมใช้มือซ้ายผลักหัวพลองหุ้มเหล็กอีกปลายหนึ่งออกไปอย่างแรงเหมือนอย่างพายเรือ เป็น ‘ท่าข้ามกระบี่’ หวดโจมตีไหล่ขวาเอ้อเอ๋อร์ห่าน!
จากการแทงตรงระยะไกลเหมือนหลาวเมื่อครู่ เปลี่ยนแปลงเป็นหวดขวางในระยะใกล้ ปลายซ้ายขวาออกกระบวนอิสระคือจุดวิเศษของพลองเสมอคิ้วเล่มนี้
เอ้อเอ๋อร์ห่านเผชิญหน้าการโจมตีแนวขวางของฝ่ายตรงข้าม เดิมอาจใช้กระบี่คู่แปรเป็นแทงตรงโต้กลับได้ด้วยกลยุทธ์ ‘ใช้ตรงทำลายขวาง’ เพื่อบีบหยวนซิ่งออกไป
แต่เบื้องหน้ากลับปรากฏเป็นกำแพงแสงผืนหนึ่ง ที่แท้ขณะนี้หยวนซิ่งเปลี่ยนเป็นเท้าซ้ายอยู่หน้า หันร่างซีกซ้ายซึ่งล้วนมีเกราะทองสำริดป้องกันออกมา ปลายกระบี่ของเอ้อเอ๋อร์ห่านจึงหมดทางลงมือ ท่าข้ามกระบี่นี้ของหยวนซิ่งมิได้หมายถึงเพียงเพลงพลองในมือ แต่ทั่วทั้งร่างกายประหนึ่งปราการเหล็กเคลื่อนที่ได้ ครั้นแล้วก็หวดพลองใส่เอ้อเอ๋อร์ห่าน!
ขณะรับกระบวนท่าก่อนหน้านี้ เอ้อเอ๋อร์ห่านได้เปิดหูเปิดตาพละกำลังของหยวนซิ่ง จึงยิ่งมิกล้าฝืนปะทะ มันหงายหลังหลบหลีก ขาทั้งสองสำแดงเพลงเท้าวิชาตัวเบาอู่ตังที่จอมเวทปัวหลงถ่ายทอดให้ ใช้มุมแยบยลถอยหลบพลองที่ฟาดขวางใส่ลำตัวนี้!
เอ้อเอ๋อร์ห่านถอยหลัง หยวนซิ่งกลับไม่เข้าไปไล่ตาม มันเพียงแกว่งพลองครึ่งวงตามท่ากวาดโจมตี ก่อนไถลฝ่ามือทั้งสองเปลี่ยนจากจับช่วงกลางพลองไปจับปลายพลองในพริบตา ใช้ความได้เปรียบของพลองยาวห้าฉื่อกว่าหวดกว้างออกไปอีกครั้ง เป็น ‘ท่ามังกรกาฬพลิกวารี’ ฟาดไปที่เข่าทั้งสองของเอ้อเอ๋อร์ห่านที่กำลังถอยหลัง!
ความได้เปรียบของอาวุธยาวคือไม่ต้องสับเปลี่ยนท่าต่อสู้สูงต่ำ รัศมีของอาวุธก็ครอบคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทั่วร่างฝ่ายศัตรู!
เอ้อเอ๋อร์ห่านพลันรู้ตัวว่ามีการจู่โจมคุกคามมายังช่วงล่าง มันตกใจความเร็วและการเปลี่ยนกระบวนของศัตรูจึงไม่กลัวเสียหน้าอีก รีบชักเท้ากระโดดถอยหลบพลองที่กวาดต่ำมานี้ ยามแตะสัมผัสพื้นอีกครั้งยังกระโดดถอยอีกหลายก้าว มือทั้งสองที่กุมกระบี่กางออกรักษาสมดุล สภาพจนมุมอย่างยิ่ง
พลองยาวกวาดมาเรี่ยพื้นหอบฝุ่นทรายดั่งเคียวตัดหญ้า
ชาวบ้านที่มุงดูโดยรอบมีสายตาไม่เฉียบคมพอที่จะจับท่าพลองเร็วนั้นได้ จึงเห็นเพียงเงาหนึ่งวูบผ่านพื้นพร้อมสุ้มเสียงเฉียบคมอย่างยิ่ง พวกมันยังเข้าใจผิดครู่หนึ่งว่าพลองไม้เล่มนั้นในมือหยวนซิ่งแปรเป็นของมีคมไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
หยวนซิ่งฉวยโอกาสปราดไปด้านหน้าเพื่อติดตามซ้ำเติม มือทั้งสองแปรเป็นท่าจับพลองสองปลายเข้าโจมตีประชิดตัวอีกครั้ง มันไสเท้าย่อตัวพุ่งใส่กลางลำตัวเอ้อเอ๋อร์ห่าน มือทั้งสองเหยียดเสยงัดขึ้นด้านหน้าหมายใช้กึ่งกลางพลองกดลำคอศัตรูตรงๆ!
เอ้อเอ๋อร์ห่านอย่างไรก็ฝึกวิชากระบี่อย่างหนักมานาน เพียงชั่วครู่ก็คืนสู่ท่านั่งม้าอย่างสมดุล ครั้นเห็นพลองนี้โจมตีมา มันรีบตั้งกระบี่คู่ขึ้นเป็นเส้นขนานตรงหน้าอกทันใด สกัดกดตัวพลองลงไว้ได้อย่างแม่นมั่น!
คนทั้งสองเปลี่ยนเป็นใช้ต้านพลังกันในระยะประชิด อาวุธสามเล่มเบียดบด ศีรษะของพวกมันเองก็ห่างกันไม่ถึงสองฉื่อ
เอ้อเอ๋อร์ห่านรู้สึกว่าพลังเหมือนภูผาทลายของหยวนซิ่งโถมเข้ามาอย่างไม่ผ่อนคลายสักขณะ มันออกแรงเกร็งข้อต่อแขนทั้งสองไว้แน่นจึงฝืนต้านทานไว้ได้
เอ้อเอ๋อร์ห่านมองดูหยวนซิ่งในระยะใกล้แวบหนึ่ง พบว่าแม้หนวดเครารุงรังเต็มใบหน้า แต่ความจริงหน้าตาอีกฝ่ายอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง
ทักษะหมัดพลองระดับนี้ หนำซ้ำยังเป็นหลวงจีน ในใจเอ้อเอ๋อร์ห่านไม่สงสัยอีกต่อไป
“เส้าหลิน?”
หยวนซิ่งได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ ถามกลับหนึ่งคำ
“อู่ตัง?”
รอยยิ้มของหยวนซิ่งเปี่ยมด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
ความหมายคือ ‘นี่เจ้าก็นับว่าเป็นอู่ตัง?’
สิ่งนี้ล้ำเส้นความภาคภูมิในใจเอ้อเอ๋อร์ห่าน
หยวนซิ่งพลันรู้สึกว่าแรงต้านบนพลองสลายไป แทนด้วยแรงชักนำประหนึ่งกาวติด
กระบี่ทั้งสองของเอ้อเอ๋อร์ห่านเปลี่ยนท่าแล้ว จากผลักต้านไปข้างหน้าแปรเป็นพาเฉียงลงไปด้านล่าง
วิชานำสู่เวิ้งว้าง กระบี่ไท่จี๋
พลองเสมอคิ้วของหยวนซิ่งถูกกระบี่คู่ชักนำไปยังข้างลำตัวเอ้อเอ๋อร์ห่านทันที สูญเสียความแม่นยำในการโจมตีไปสิ้น!
เอ้อเอ๋อร์ห่านเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าอีกครั้ง กระบี่มือขวายังคงพาดกึ่งกลางพลองยาวนำสู่ด้านล่าง กระบี่ซ้ายกลับวาดเป็นเส้นตรงที่สั้นที่สุด ใช้การเคลื่อนไหววงแคบที่สุด แทงราบไปยังตาขวาหยวนซิ่ง!
ท่ามกลางการพันตูประชิดตัวพลันเกิดการเปลี่ยนแปรนี้ ซ้ำปลายกระบี่โบราณยังแทงมาอย่างเร่งร้อนในระยะอันใกล้ยิ่งนัก หยวนซิ่งคล้ายปราศจากที่ว่างให้หลบหลีกแล้ว…ในชั่วขณะนั้นในใจมันซาบซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง…ยอดฝีมือสายพลอีกาอู่ตัง ซั่งซื่อหลาง
เพราะการต่อสู้กับซั่งซื่อหลางที่ซีอาน หยวนซิ่งจึงคุ้นเคยกับวิชาไท่จี๋นานแล้ว พอเอ้อเอ๋อร์ห่านเปิดฉากทักษะแปรพลังของกระบี่คู่ มันก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่ว่ายอดฝีมือคนใดก็จะบอกเจ้าว่าในการสัประยุทธ์นั้น คำว่า ‘รู้’ สำคัญเพียงไร
ชั่วสะเก็ดไฟแสงฟ้าแลบ หัวใจเอ้อเอ๋อร์ห่านเกิดอาการลิงโลด เพราะมือซ้ายที่แทงกระบี่ออกไปถ่ายทอดสัมผัสแห่งความสำเร็จมายังด้ามกระบี่
ข้าเอาชนะหลวงจีนเส้าหลินได้แล้ว!
ความปีตินั้นทำให้มันมองข้ามความแตกต่างเล็กน้อยของสัมผัสนั้น ที่ปลายกระบี่แทงถูก คือสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าส่วนใดของร่างกายมนุษย์
ที่แท้หยวนซิ่งจับอานุภาพของกระบี่ที่แทงมานี้ได้ก่อน จึงเอียงศีรษะเล็กน้อย ใช้บริเวณหน้าผากของหน้ากากยักษาครึ่งซีกซ้ายรับกระบี่นี้เอาไว้!
ความปีติซึ่งมิอาจควบคุมได้ในชั่วขณะของเอ้อเอ๋อร์ห่านเป็นความผิดพลาดถึงชีวิต การจะสำแดงวิทยายุทธ์ที่ละเอียดอ่อนจน ‘ขนนกไม่อาจเพิ่ม’* ของวิชาไท่จี๋อย่างเต็มที่ต้องมีจิตใจแน่วนิ่งไม่หวั่นไหวสักนิดแม้อยู่ท่ามกลางขุนเขาดาบทะเลโลหิต พันขุนศึกหมื่นอาชา หากเกิดติดขัดด้วยอารมณ์ตื่นกลัว ลังเล หยิ่งยโส หรือเลินเล่อก็จะมิอาจเปิดสัมผัสอันฉับไวเพื่อรับรู้ทิศทางพลังของศัตรูได้อย่างสมบูรณ์
ดังเช่นศึกซีอาน กุ้ยตันเหลยรับดาบยักษ์ปากว้าที่ฟันลงมาของอิ่นอิงชวนได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้มันได้รับชัยชนะ
แค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าไท่จี๋ของเอ้อเอ๋อร์ห่านยังคงขาดความชำนาญ
เอ้อเอ๋อร์ห่านพลันพบว่าท่าแทงหาได้สำเร็จลุล่วงไม่ กระบี่มือขวารีบชักนำพลองยาวของหยวนซิ่งลงด้านล่างต่อ เพื่อป้องกันมันชักพลองตีกลับ
แต่ไม่มีประโยชน์แล้ว การติดขัดเมื่อครู่ตัดกำลังทักษะแปรพลังของมัน และมันมิใช่ยอดฝีมือขั้นสุดยอดหนึ่งใจใช้สองเช่นเหยาเหลียนโจว กระบี่ซ้ายเองก็ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของกระบี่ขวา
เส้นโค้งของทักษะแปรพลังไม่เป็นวงอีกต่อไป
พลองเสมอคิ้วหลุดออกจากการควบคุมของไท่จี๋
ผู้ใช้วิชาไท่จี๋สูญเสียการควบคุมก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว
ทักษะแปรพลังของเอ้อเอ๋อร์ห่านไม่อาศัยดวงตา แต่อาศัยเพียงประสาทสัมผัสบนกระบี่ชี้ชัดที่อยู่ของพลองเสมอคิ้วฝ่ายตรงข้าม บัดนี้พลองหายไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้ ในความกลัวของมันทำได้เพียงเรื่องเดียวคือเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่าง เตรียมรับการโจมตีของพลองนั้น
ความเจ็บปวดแสบร้อนเหมือนโดนแส้จู่โจมเข้าชายโครงซ้าย เอ้อเอ๋อร์ห่านดังถูกสายฟ้าฟาด กระอักน้ำรสขมออกมาหนึ่งคำ!
มันมีวิธีกระตุ้นตนเองของลัทธิอู้อี๋พอดีจึงบรรเทาความเจ็บปวดนั้นได้ เอ้อเอ๋อร์ห่านฝืนหายใจออกหนึ่งเฮือกปล่อยร่างลอยถอยด้วยความเร็วทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ร่ายควงกระบี่คู่อยู่หน้าลำตัว หมายขัดขวางการติดตามซ้ำเติม…แต่หยวนซิ่งกลับไม่จำเป็นต้องก้าวเท้าไล่ตามไป เพียงคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงที่เดิม มือขวาจับปลายด้านท้ายพลองแล้วกระทุ้งดันไปอย่างแรง ตัวพลองพุ่งปราดออกมาจากใต้เกราะหุ้มหมัดทองสำริดมือซ้าย!
พลองหกเหลี่ยมทะลุผ่านช่องโหว่เล็กน้อยของกระบี่คู่ที่ควงอยู่นั้น แม่นยำดังเช่นงูพิษเลื้อยฉก กระดูกซี่โครงของเอ้อเอ๋อร์ห่านแตกหัก เคราเหลืองย้อมติดสีแดงทันทีเมื่อเสียง “อั้ก!” ดังออกจากปาก
การโจมตีนี้ก็ทำลายความเชื่อมั่นแห่งการเป็นนักสู้ของเอ้อเอ๋อร์ห่านไปในขณะเดียวกัน
หมัดพลองแต่ละกระบวนท่าของหยวนซิ่งล้วนสุดแสนเรียบง่าย แต่กลับปรากฏรูปแบบชั้นยอดอันเข้มแข็งของเส้าหลินต้นตำรับ ทั้งหมดอาศัยความเร็ว พลัง อำนาจและจิตใจซึ่งเหนือกว่าคู่ต่อสู้
ใจเที่ยงตรง หมัดก็เที่ยงตรง
ขณะนี้ในสายตาของเอ้อเอ๋อร์ห่านที่กำลังถอยหลังพลางกระอักเลือด หลวงจีนเส้าหลินผู้นี้ประหนึ่งหินผาอันแข็งแกร่งที่มองไม่เห็นจุดอ่อน
หากเป็นเพียงการประลองระหว่างนักสู้ ยามนี้ย่อมแยกผลแพ้ชนะออกแล้ว แต่หยวนซิ่งไม่คิดที่จะหยุดยั้ง พอนึกถึงถุงผ้าขนาดใหญ่หลายใบนั้นและใบหน้าตื่นกลัวของชาวบ้านสองร้อยคน มันไม่มีเหตุผลใดที่ต้องเคารพศัตรูผู้นี้
แววตาภายใต้หน้ากากทองสำริดครึ่งซีกเยียบเย็นดุจเกล็ดน้ำค้าง
ในขณะเดียวกันความเย็นชานี้กลับแสดงความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่สุดออกมา
ขจัดความชั่วร้ายให้สรรพสัตว์
หยวนซิ่งอาศัยท่าแทงพลองก้าวเท้าขวากระโดดขึ้นอย่างแรง มือทั้งสองจับปลายพลองเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ รวมแรงทั่วร่างอีกทั้งใช้ความยาวทั้งหมดของพลองเสมอคิ้วออก ‘ท่าสืบเท้าฟาดบรรพต’ ของพลองราชากินนรฟาดลงไปยังศีรษะเอ้อเอ๋อร์ห่าน!
เอ้อเอ๋อร์ห่านใช้กระบี่โบราณทั้งสองยกขึ้นรับเหนือศีรษะ คิดจะใช้นำสู่เวิ้งว้างอีกครั้ง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่อันตรายที่สุด มันพึ่งพากระบี่ไท่จี๋ที่ไว้วางใจที่สุดตลอดมาโดยสัญชาตญาณ
แต่หยวนซิ่งมีประสบการณ์ต่อสู้กับวิชาไท่จี๋ต้นตำรับของอู่ตังแล้ว ในสายตาของมัน กระบี่คู่ของเอ้อเอ๋อร์ห่านเป็นเพียง ‘ไท่จี๋ปลอม’ ที่ไม่สมบูรณ์
เมื่อวานขณะเอ้อเอ๋อร์ห่านยังสมบูรณ์พร้อมก็มิอาจต้านดาบแคว้นวอของจิงเลี่ยได้อย่างปลอดภัย ขณะนี้ผู้ที่มันเผชิญหน้าก็คือหยวนซิ่งที่กำลังทัดเทียมกัน
วงโค้งของ ‘วิชาวงแหวนป่วนเล็ก’ แห่งกระบี่ไท่จี๋นี้แม้รับพลองเสมอคิ้วได้ แต่ท่าฟาดของพลองรุนแรงและแข็งแกร่งเกินไปโดยแท้จริง จึงทำได้เพียงปัดมันแฉลบไปด้านข้างสองเฟิน…
ผ้าทรงม้วนบนศีรษะของเอ้อเอ๋อร์ห่านถูกพลองเสมอคิ้วฟาดใส่อย่างรุนแรง!
ดวงตาที่ไม่มีพลังชีวิตแต่เดิมของมันเหลือกขาวพร้อมกัน ลิ้นแลบยาวออกมา กระบี่คู่หลุดมือ ร่างกายทรุดลงกับพื้นประหนึ่งถุงผ้าเก่าขาดกองหนึ่ง!
หยวนซิ่งลากพลองเสมอคิ้วที่เปื้อนเลือดตั้งตระหง่านหน้าลำตัวเอ้อเอ๋อร์ห่านที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ไอสังหารที่เต็มเปี่ยมทั่วร่างมันทำให้ชาวบ้านต่างคุกเข่าลงอย่างมิอาจยับยั้งและจ้องมองมันอย่างเคารพศรัทธา
ศิษย์จอมเวทสิบคนที่เหลือตื่นตะลึงจนมิอาจหายใจ ใต้เท้าผู้คุ้มธงสองคนที่พวกมันเห็นเป็นเหมือนปีศาจ ในเวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็ล้มลงแทบเท้าหลวงจีนเถื่อนผู้นี้ต่อเนื่องกัน
หยวนซิ่งก้มมองเอ้อเอ๋อร์ห่านที่ดวงตาทั้งสองไร้แวว มือเท้ายังคงตะเกียกตะกายอยู่อย่างช้าๆ
“น่าสงสารจริงๆ ไท่จี๋นี้ที่เจ้าเรียนเป็นของปลอม”
หยวนซิ่งมองใบหน้าที่หลั่งโลหิตสดจากบนศีรษะไม่หยุดของมัน และอดมิได้ที่จะกล่าวโดยไม่สนว่ามันยังได้ยินหรือไม่
“หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ คนที่สอนเจ้าผู้นั้นเองก็ยังฝึกอยู่ แค่ใช้เจ้ามาทดสอบวิชา วิชาชุดนี้ที่เจ้าเรียน เอาชนะผู้กล้าที่แท้จริงมิได้”
เอ้อเอ๋อร์ห่านเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา ไม่รู้ว่าเพราะบาดเจ็บสาหัส หรือเพราะรู้ว่า ‘ยอดวิชาอู่ตัง’ ที่ตนเองฝึกหนักหลายปีเป็นเพียงของปลอมจึงรู้สึกเคืองแค้น
สายตาของมันกลอกกลิ้งคล้ายมิอาจมองเห็นหยวนซิ่งได้แล้ว อาศัยเพียงสุ้มเสียงจำแนกที่อยู่และยื่นมือซ้ายออกไปคล้ายจะคลำหามัน
ร่างกายของเอ้อเอ๋อร์ห่านย่ำแย่อย่างยิ่งแล้ว แต่มันยังมีเรี่ยวแรงพอทำเรื่องเรื่องหนึ่ง
ใช้นิ้วดึงกลไกที่ซ่อนอยู่ตรงข้อมือ
วัตถุหนึ่งถูกยิงออกมาจากในแขนเสื้อของชุดคลุมหลากสีของมัน!
หยวนซิ่งยืนใกล้อย่างยิ่ง พลันเห็นวัตถุประหลาดลอยมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ก็ยกมือซ้ายที่มิได้ถือพลองขึ้นอย่างรวดเร็ว!
เดิมทีมันคิดต่อยวัตถุนั้นให้กระเด็นไป แต่ชั่วขณะนั้นกลับรู้สึกผิดปกติ
หยวนซิ่งเติบโตที่วัดเส้าหลินแต่เด็ก ระยะเวลาที่ย่างเข้ายุทธภพสั้นยิ่งนัก ยามนี้มันหาได้อาศัยประสบการณ์ชี้ขาดไม่ แต่กลับเป็นเพราะความคิดใสซื่อ มีสัญชาตญาณฉับไวอย่างยิ่งต่อความชั่วร้าย
หมัดซ้ายของมันแปรเป็นกรงเล็บมังกรกลางคัน คว้าจับวัตถุที่ลอยมาไว้กลางฝ่ามืออย่างแม่นยำ!
เอ้อเอ๋อร์ห่านราวกับใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายจนหมด แขนซ้ายข้างนั้นระทวยลง ไม่ไหวติงนับจากนั้น
มันมิอาจกินน่องไก่ที่ปล้นมาได้อีกตลอดไป และมิอาจฆ่าคนได้อีกตลอดกาล
หานซือเต้าที่ยังคงสำรอกน้ำลายอยู่อีกด้านหนึ่ง ผลสุดท้ายก็มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าเอ้อเอ๋อร์ห่านเล็กน้อย
หยวนซิ่งแบมือซ้ายออก มองดูว่าตนเองรับอะไรได้
นั่นเป็นลูกเทียนเล็กๆ สีเขียวลูกหนึ่ง ดูจากภายนอกผิวเทียนไขนั้นหาได้หนาไม่ กระแทกอะไรก็แตกได้ มีเพียงด้านหนึ่งในนั้นที่ติดกระดาษเอาไว้หลายชั้น ค่อนข้างหนาและแข็งสำหรับใช้รับแรงขณะยิงกลไก
หยวนซิ่งใช้มือที่สวมเกราะทองสำริดอันหนักอึ้ง แต่กลับใช้เพลงหัตถ์กรงเล็บมังกรในห้าหมัดเส้าหลิน รับลูกเทียนนี้ไว้โดยไม่เสียหายแม้แต่น้อย เห็นได้ว่านอกจากหมัดพลองอันแกร่งกร้าวของมันแล้ว ยังมีทักษะที่ละเอียดอ่อนอยู่ในมือ
…หลังหยวนซิ่งประชันมวยดาบไท่จี๋กับซั่งซื่อหลาง ครึ่งปีมานี้จึงตั้งใจฝึกวิชาคว้าจับอย่างหนักระหว่างออกเดินทาง เพื่อจะเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายขณะพันตูประชิดตัวในตอนนั้น
มองเห็นลูกเทียนนี้ในมือหยวนซิ่ง กลุ่มศิษย์จอมเวทที่ล้อมชมอยู่ก็ร้องตะโกนขึ้นมา สิ่งนี้มิใช่อื่นใด มันคือหลินเมฆสังหาร ยาพิษลับอันน่ากลัวของลัทธิอู้อี๋ที่สังหารหลายคนสิบคนในอึดใจเดียว ณ อำเภอหลูหลิงเมื่อวาน
หากเมื่อครู่หยวนซิ่งกระแทกมันเล็กน้อยหรือหลบหลีกออกไปให้มันตกแตก หมอกพิษร้ายก็จะแผ่กระจาย คนทั้งหมดทั้งศัตรูและตนเองสองฝ่ายในหมู่บ้านเชอเฉียนล้วนต้องตายเป็นแน่
หยวนซิ่งมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวที่เผยออกมาขณะเพ่งมองหลินเมฆสังหารของกลุ่มศิษย์จอมเวทก็รู้ว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เป็นพิษร้ายหรือ” หยวนซิ่งใช้ปลายนิ้วสองนิ้วหนีบลูกเทียนนั้นไว้เบาๆ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวถามกลุ่มศิษย์จอมเวทเหล่านั้น
กลุ่มศิษย์จอมเวทเห็นมันถือหลินเมฆสังหารอย่างเลินเล่อเช่นนี้ต่างก็ใจหายวาบ คนหนึ่งในนั้นอดมิได้ที่จะร้องขึ้นเบาๆ “ห้ามทำแตก…”
หยวนซิ่งพยักหน้า หยิบผ้าซับเหงื่อผืนหนึ่งออกมาจากด้านในจีวร ห่อคลุมลูกเทียนใส่เข้าไปในอกเสื้อ
กลุ่มศิษย์จอมเวทยามนี้โล่งอกเล็กน้อย แต่เมื่อมองดูเอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าบนพื้นอีกครั้งก็พลันตระหนักว่าตนเองอยู่ในสภาพการณ์ใด พลองเสมอคิ้วในมือหยวนซิ่งที่หัวพลองหุ้มเหล็กยังมีเลือดหยดอยู่ พวกมันอดมิได้ที่จะถอยหลังอย่างหวาดกลัว
“ผู้ออกบวชกล่าวคำพูดเช่นนี้คล้ายแปลกประหลาดเล็กน้อย…” หยวนซิ่งเกาคิ้วข้างที่มิได้ปิดด้วยหน้ากาก “แต่ข้าหาเหตุผลที่จะไม่สังหารพวกเจ้าไม่พบจริงๆ”
พอได้ยินกลุ่มศิษย์จอมเวทสิบคนก็ขาสั่นระริก ลักษณะน่าเกรงขามที่ระรานหลูหลิง ปล้นฆ่าตามอำเภอใจในยามปกติไม่รู้หายไปไหนแล้ว มีสองคนยังปัสสาวะราดอยู่กับที่
เมื่อครู่พวกมันได้เห็นความเร็วประหนึ่งสัตว์ร้ายของหยวนซิ่งแล้ว การหลบหนีมิใช่ทางเลือก
…บางทีหากสิบคนกระจายกันวิ่งหนีอาจมีหลายคนรอดชีวิต แต่ใครจะยินยอมเสี่ยงอันตรายไปเป็นเหยื่อล่อให้ผู้อื่นหนีรอดกันเล่า
ดังเช่นชาวบ้านเชอเฉียนก่อนหน้า พวกมันสิบคนเองก็ถูกความหวาดผวาตรึงไว้กับที่มิกล้าหนีไป เพียงแต่ตอนนี้สถานะสลับกันแล้ว ยามปกติพวกมันตะโกนร้องเพลงลัทธิอู๋อี้ ‘ไยต้องกลัวตาย’ ขณะทำพิธีบวงสรวงตะโกนคำขวัญตามคนหมู่มาก ครั้นความตายมาถึงตัวจริงๆ แต่ละคนล้วนมิได้ปฏิบัติตามบัญชาเทพ ที่ผ่านมาอำนาจของจอมเวทปกคลุมไปทุกแห่งหน ศิษย์สาวกจำนวนมากล้วนลิงโลดเคลิบเคลิ้มอยู่ในอำนาจความปรารถนา แต่บัดนี้สถานการณ์พลิกกลับ ภายใต้บารมีหลวงจีนเส้าหลินคุณธรรมเปี่ยมล้นผู้นี้ ศรัทธาของพวกมันล้วนพังทลาย
ปลายนิ้วของหยวนซิ่งเคาะขมับของหน้ากากครึ่งซีกเบาๆ หลายครั้ง ท่าทางเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“ทำเช่นไรดีล่ะ…จะให้ข้าฆ่าคนที่มิกล้าต่อต้านก็ยากจะลงมือ จะให้ข้าปล่อยพวกเจ้าหรือก็ผิดต่อชาวบ้านที่นี่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผ่านไปอีกสองวันพวกเจ้าจะไม่นำถุงผ้าขนาดใหญ่หลายใบนั้นกลับมาอีก”
กลุ่มศิษย์จอมเวทรีบโบกมือส่ายหน้า มีบางคนโต้แย้งอย่างติดอ่าง “มะ…ไม่! ไม่เด็ดขาด…”
“เช่นนี้เถอะ…” หยวนซิ่งกล่าวแล้วโยนพลองเสมอคิ้วไปยังพวกมันอย่างกะทันหัน ศิษย์จอมเวทคนหนึ่งรับพลองไว้ด้วยสองมือ
โยนอาวุธให้ศัตรูอย่างไม่พะวงแม้แต่น้อย ความมั่นใจในตนเองและความอาจหาญนี้ทำให้คน ณ ที่แห่งนั้นล้วนลิ้นจุกปาก
“พวกเจ้าทุกคนตีแขนข้างหนึ่งกับขาข้างหนึ่งให้หัก ทิ้งอาวุธไว้แล้วไสหัวไปซะ” หยวนซิ่งกล่าวจบก็ไม่สนใจพวกมันอีก และหันหน้าเดินไปหาโจรปล้นม้าที่ถูกมันจับมาจากหมู่บ้านเหิงซีสี่คนนั้น
คนทั้งสี่มองดูกลุ่มศิษย์จอมเวทที่ตะลึงงันอยู่กับที่เหล่านั้น ในใจอดมิได้ที่จะรู้สึกยินดี พวกมันแม้ไปเป็นโจรเพราะชีวิตยากลำบาก แต่เพราะมโนธรรมเล็กน้อยจึงมิได้ไปสวามิภักดิ์จอมเวทปัวหลงที่วิกลจริตผู้นั้น หาไม่วันนี้คงมิเพียงแค่ถูกบีบบังคับให้ลากรถไม้เช่นนี้
หยวนซิ่งเดินมา ถอดหน้ากากยักษาครึ่งซีกยัดเข้าไปในสายคาดเอวของเกราะทองสำริด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราตาโตคิ้วหนายามนี้ไอสังหารเลือนหายไปแล้ว มันยื่นมือคลายเชือกบนคอให้คนทั้งสี่
“เทียบกับเจ้าพวกนั้น พวกเจ้าเหมือนมิได้โฉดชั่วมากมายนัก” หยวนซิ่งโยนเชือกไปด้านข้าง “ไม่ต้องไปจวนว่าการแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ ต่อไปเป็นเช่นไร พวกเจ้าเลือกเอง”
คนทั้งสี่มองดูหลวงจีนประหลาดผู้นี้อย่างตกใจครู่หนึ่ง ยามนี้ด้านหลังหยวนซิ่งมีเสียงร้องโอดโดยถ่ายทอดมา กลุ่มศิษย์จอมเวทเริ่มใช้พลองทุบตีข้อต่อมือเท้าของกันและกันแล้ว
คนทั้งสี่ตื้นตันอย่างยิ่ง พวกมันคุกเข่าให้หยวนซิ่งพร้อมกับชาวบ้านและโขกศีรษะอย่างแรง ก่อนจะวิ่งจากไปโดยไม่กล่าวคำ
…พวกมันมิได้เป็นโจรอีกนับจากนั้น คนหนึ่งกลับบ้านเฝ้าที่นาของบิดามารดา คนหนึ่งเป็นศิษย์ของหมอพเนจร อีกสองคนร่วมกันไปกว่างตง สิบกว่าปีให้หลังทำการค้าจนร่ำรวย
หยวนซิ่งหันมามองดูชาวบ้านเชอเฉียนเหล่านั้นอีก พวกมันแต่ละคนยังคงคุกเข่าอยู่ หยวนซิ่งขมวดคิ้ว เกาผมสั้นที่หนาดกดั่งวัชพืชนั้น
“เกิดอะไรขึ้น…ก่อนหน้าก็เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าชาวจี๋อันมีประเพณีมองเห็นหลวงจีนก็ต้องคุกเข่าหรือ” มันกล่าวพลางเข้าไปพยุงชาวนาหญิงแก่ชราคนหนึ่งขึ้น
“ข้าอยากถามหน่อยว่าในหมู่บ้านพวกเจ้ามีคนโกนผมเป็นไหม”