ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 8 บทที่ 2
บทที่ 2
การพันตูอันอบอุ่น
ร่างผอมเล็กของจิงเลี่ยขดตัวอยู่ในถ้ำหินผาอันคับแคบ กอดกระบี่ไม้ที่เต็มไปด้วยรอยยุบเล่มหนึ่งไว้แนบแน่น ดวงตาสว่างสุกใสจ้องมองท้องฟ้าดำขลับนอกถ้ำ
เสียงฝนค่อยๆ หยดลงมา แม้ฟ้ามืดเหลือเกินจนมิอาจมองเห็นหยาดฝน แต่มันเพ่งมองอย่างเพลิดเพลินราวกับเห็นอะไรบางอย่าง
มันรู้ว่าสถานที่ไกลโพ้นตรงข้ามชายฝั่งทะเลแห่งนี้คือเลี่ยอวี่สถานที่ถือกำเนิดของตนเอง…หรือสมควรกล่าวว่าเป็นสถานที่ที่บิดาพบมัน
บิดามารดาที่ให้กำเนิดมันเป็นปริศนา และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดมันจึงถูกทอดทิ้งอยู่บนชายฝั่งทะเลนั้น มันไม่มีอันใดให้เกี่ยวข้องกับโลกใบนี้เลย
มันทำได้เพียงกอดดาบไม้ไว้ให้แน่นต่อไป
‘ไอ้หนู! ไสหัวออกมา!’
เสียงตวาดด้วยโทสะอันทรงพลังถ่ายทอดผ่านเสียงฝนมา จำแนกได้ชัดว่าเป็นสุ้มเสียงของบิดา
มันชะโงกหน้าออกไปมองดู
ฟ้าพลันแลบพอดี เงาร่างล่ำสันที่เปลือยท่อนบนของจิงเจ้าแวบปรากฏในชั่วขณะนั้น น้ำฝนที่กระทบบนไหล่มันถูกอุณหภูมิร่างกายแปรเป็นไอ มือขวาของมันถือไม้เท้าหวาย มือซ้ายถือสุราป้านหนึ่ง
จิงเจ้ายกป้านสุราดื่มหนึ่งอึกและตะโกนอีก “ข้ารู้ว่าเจ้าหลบอยู่ที่นี่! ไสหัวออกมา!” ในสุ้มเสียงกระด้างนั้นเต็มไปด้วยโทสะ
จิงเลี่ยย่อมรู้เหตุผลที่บิดาเดือดดาล ขณะฝึกยุทธ์ที่ ‘โถงหู่ซาน’ ตอนเย็น เพราะประหม่าจนเกินไปจิงเลี่ยจึงใช้ดาบไม้ทำให้นิ้วชี้ของจิงเยวี่ยผู้เป็นพี่ชายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต้องบาดเจ็บ นั่นเป็นเพียงการฝึกใช้กระบวนที่กำหนดให้หักล้างกัน จิงเลี่ยที่ออกกระบวนส่งเดชย่อมมีส่วนผิด แต่จิงเยวี่ยที่อายุมวยแก่กว่าน้องชายบุญธรรมกลับหลบดาบนั้นไม่พ้น เป็นการเสียหน้าต่อหน้าเหล่าสหายร่วมสำนักอย่างมาก…เพราะมันมิใช่ใครอื่น แต่เป็นว่าที่เจ้าสำนักในภายหน้าของสำนักหู่จุนแห่งหนานไห่นั่นเอง
จิงเจ้าตะโกนไปพลางวิ่งกระโดดตามช่องหินผาที่มืดมิดไปพลาง แม้สองสามปีมานี้จะลุ่มหลงกับสิ่งที่อยู่ในจอก แต่ก็มิได้กระทบกับฝีมือมัน… ‘พยัคฆ์วชิระคำรน’ ฉายานี้มิใช่การยกย่องเพราะเป็นเจ้าสำนักหู่จุนจึงได้รับ แต่เป็นฉายานามที่ได้มาจากความสำเร็จในยุทธภพฝูโจวขณะเยาว์วัย
ในคืนฝนกระหน่ำยากที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ จิงเจ้าหาจนทั่วแต่ไม่พบจึงโมโหยิ่งขึ้น มันยกสุราดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วโยนป้านสุราทิ้งไป ก่อนเงยหน้าคำรามเสมือนสัตว์ร้าย
ยามนี้จิงเลี่ยกลับปีนออกมาจากในถ้ำเอง
ฟ้าแลบอีกครั้ง
จิงเจ้ามองเห็นเด็กหนุ่มเปียกโชกทั่วร่างผู้นี้จากไกลๆ ก็รีบวิ่งกระโดดไปด้วยความเร็วทั้งหมด
จิงเลี่ยมิได้หลบหนี
จิงเจ้าพอถึงเบื้องหน้ามันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หวดไม้เท้าหวายไปยังไหล่ซ้ายของจิงเลี่ย
มือทั้งสองของจิงเลี่ยแยกจับด้ามและปลายของดาบไม้ยกขึ้นสกัดไม้เท้าหวายที่ข้างลำตัว น้ำหนักของมันมิได้แม้ครึ่งหนึ่งของบิดา ด้วยการปะทะอันรุนแรงจึงล้มคุกเข่าลงไปอีกด้านหนึ่ง เกือบจะกลิ้งตกหินผาไป
…แต่มันสกัดการโจมตีนี้เอาไว้ได้แล้ว
จิงเจ้าเดือดดาลยิ่งขึ้น ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาบีบลำคอของบุตรบุญธรรม ยกทั้งตัวของมันขึ้นกลางอากาศ
จิงเลี่ยถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก หัวสมองและในอกล้วนเหมือนจะระเบิดออกมา แต่มันมิได้ขัดขืน ดาบไม้ในมือเองก็มิได้ปล่อยออก มันถลึงดวงตาที่เต็มไปด้วยโลหิต มองตรงไปยังบิดาโดยไม่กลัวเกรง
ในสายตานั้นหาได้มีความเกลียดชังไม่ แต่กลับมีความคาดหวัง
แม้เจ็บปวดจนแทบจะหมดสติแต่ในใจจิงเลี่ยกลับมีความชื่นมื่น…มีเพียงขณะยั่วโทสะบิดาเท่านั้น ที่อีกฝ่ายมิอาจมองข้ามการดำรงอยู่ของมัน
นี่คือเรื่องที่จิงเลี่ยเข้าใจหลังประสีประสา ยามปกติ มันในสายตาบิดายังเทียบสุนัขเฝ้าประตูที่เลี้ยงไว้ในบ้านมิได้ ไม่ว่าจะล้มบาดเจ็บก็ดี เจ็บป่วยก็ดี หิวโหยก็ดี…แต่ไรมาบิดาไม่เคยอินังขังขอบ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือขณะมันทำเรื่องให้บิดาบันดาลโทสะ
ผ่านไปหลายปี จิงเลี่ยก็ค่อยๆ รู้ว่าเรื่องใดที่ยั่วให้บิดาไม่สบายใจที่สุดได้ ขณะมันดื้อเกินไปจนก่อเรื่องข้างนอก ขณะมันกระโดดลงมาจากต้นไม้สูง กระโดดไปจับปลาในทะเล ปีนขึ้นหลังคาศาลบรรพบุรุษ หรือทำสิ่งบังอาจอื่นๆ ขณะมันต่อยเด็กในหมู่บ้านใกล้เคียงจนหัวแตกเลือดไหล…นั่นก็คือทุกครั้งที่มันแสดงธาตุแท้อันกล้าหาญออกมา
แม้สุดท้ายทุกครั้งต้องถูกตีจนน่าเวทนาอย่างมาก แต่เว้นไปช่วงหนึ่งมันก็จะจงใจทำเรื่องเหล่านี้อีก เพราะมีเพียงขณะถูกด่าถูกตี มันจึงรู้สึกได้ใกล้ชิดบิดาอย่างเงียบๆ
จิงเลี่ยตัดสินใจว่าหากดึงดูดความสนใจของบิดา ตนเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด
แข็งแกร่งกว่าท่านพี่…ไม่ สักวันหนึ่ง ต้องแข็งแกร่งกว่าท่านพ่อ!
จิงเลี่ยที่กำลังจะหมดสติคิดเช่นนี้ ดวงตายังคงจ้องมองจิงเจ้า
จิงเจ้าพลันรับรู้ถึงความผิดปกติจากในแววตาของบุตรบุญธรรม มันไม่รู้ว่านั่นคืออะไร แต่ฝ่ามือที่บีบลำคอบุตรบุญธรรมอยู่กลับปล่อยออกโดยไม่รู้ตัว
ร่างของจิงเลี่ยอ่อนระทวยล้มพับลงบนหินผา
จิงเจ้าก้มมองบุตรบุญธรรมที่นอนแน่นิ่งครู่หนึ่ง ฝนคลั่งตกกระหน่ำใส่ศีรษะมัน จิงเจ้าโค้งตัวลงโอบจิงเลี่ยขึ้นมา ออกจากชายฝั่งทะเลกลับไปตามเส้นทางที่มา
ยามนี้จิงเจ้าหารู้ไม่ว่าจิงเลี่ยที่หมดสติช่วงสั้นๆ แท้จริงถูกฝนปลุกให้ตื่นนานแล้ว
จิงเลี่ยหลับตาไว้ ขดอยู่ในอ้อมอกของบิดา
ท่ามกลางสายฝน มันรู้สึกว่าแผ่นอกกว้างหนานั้นอบอุ่นเป็นพิเศษ
จิงเลี่ยลืมตาตื่นขึ้นจากความทรงจำและห้วงความฝันอันแสนสั้น
แสงรุ่งอรุณอันเจิดจ้าแยงตาอย่างมากลอดผ่านเข้ามาในโพรงไม้
สิ่งแรกที่มันทำหลังตื่นมาคือเงี่ยหูฟังว่าด้านนอกยังมีสุ้มเสียงของผู้ไล่ล่าหรือไม่
ขณะฟ้ายังไม่สว่าง เหมยซินซู่ยอดฝีมือชุดดำผู้นั้นก็นำกลุ่มศิษย์จอมเวทลงมาที่เชิงเขาชิงหยวนด้วยตัวเอง พวกมันถือคบเพลิงเสาะหาจิงเลี่ยที่ตกลงมาจากหน้าผา สองชั่วยามมานี้จิงเลี่ยหนีตายและเปลี่ยนที่ซ่อนไม่หยุดหย่อน
ดูเหมือนความสามารถในการสั่งการของเหมยซินซู่จะสูงอย่างยิ่ง ขอบเขตการตามจับของกลุ่มศิษย์จอมเวทจึงกว้างขวางเป็นพิเศษ จิงเลี่ยเกือบถูกล้อมจับตายมาแล้วครั้งหนึ่ง หากมิใช่เพราะมันรู้จักพอกโคลนบนร่างและติดใบไม้อำพราง คงมิอาจเล็ดลอดสายตาของศิษย์จอมเวทไปได้เป็นอันขาด
หลังแน่ใจแล้วว่ามิได้ยินเสียงคนอีก จิงเลี่ยจึงค่อยๆ ผ่อนคลาย และเริ่มตรวจสอบสภาพร่างกาย มันลองออกแรงสูดลมหายใจเข้าลึก ยังคงรู้สึกว่าลมหายใจนั้นมิอาจถ่ายเทได้ทั้งหมด หัวสมองงุนงงวูบหนึ่ง สายตาพร่าเลือนเล็กน้อย
ซี่โครงซ้ายของมันได้รับบาดเจ็บเพราะกระแทกหินผาที่ยื่นออกมาขณะตกจากผา ตอนนี้ทุกครั้งที่หายใจล้วนเหมือนถูกคนใช้เข่ากระแทกเล็กน้อย ทว่าที่มันหายใจติดขัดหาได้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บนี้ไม่
จิงเลี่ยลูบข้างคอด้านขวา ตรงนั้นมีรอยแผลกรีดรอยหนึ่งปรากฏสีม่วงจางๆ เมื่อวานตอนอยู่บนหน้าผา แม้มันปล่อยโซ่เหล็กหลบหนีไปข้างล่างอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ขณะอยู่กลางเวหาก็ยังถูกกลุ่มศิษย์จอมเวทยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้ออาบพิษดอกหนึ่งลงมาจากยอดหน้าผา เฉียดลำคอจนบาดเจ็บ
จิงเลี่ยรู้ดีว่ายาพิษของกลุ่มศิษย์จอมเวทร้ายกาจ หลังจรดถึงพสุธาก็รีบออกแรงรีดเลือดจากปากแผลทันที ทั้งยังกินยาฉุกเฉินสองเม็ดที่ซ่อนไว้ในสายคาดเอว แต่พิษที่เคลือบอยู่ตรงหัวลูกศรช่างร้ายแรงยิ่งนัก แม้เพียงกรีดผ่านตื้นๆ พิษก็เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว กอปรกับจิงเลี่ยวิ่งหนีไม่หยุดโดยตลอด ยิ่งกระตุ้นให้เลือดลมเดินเร็วขึ้น พิษจำนวนน้อยนั้นไม่นานก็รบกวนเส้นลมปราณ ที่ยามนี้จิงเลี่ยยังมิได้สลบก็ด้วยอาศัยร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป
หลับฝันเมื่อครู่ ก็เป็นเพราะถูกพิษกระมัง?…ถูกพิษยังมิใช่วิกฤตเพียงหนึ่งเดียวของมัน จิงเลี่ยนอนอยู่ในโพรงไม้ ลองเกร็งกล้ามเนื้อแต่ละแห่งทั่วร่างดูว่าอาการบาดเจ็บส่วนอื่นเป็นเช่นไร ทั้งไหล่ซ้ายและเข่าขวาต่างรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง ข้อต่อเหมือนถูกเข็มแหลมทั้งยาวทั้งหยาบแทงลึก ระทวยเสียวแปลบวูบหนึ่ง เกือบมิอาจใช้แรงได้อย่างสิ้นเชิง
จิงเลี่ยขมวดคิ้ว แผลฟกช้ำสองจุดนี้ได้รับมาขณะร่วงจากหน้าผาตกลงบนเชิงเขา ขณะตกลงมาแม้มันใช้กิ่งไม้ช่วยลดความเร็วหลายครั้ง แต่แรงกระแทกขณะแตะสัมผัสพื้นยังคงหนักหนาอย่างยิ่ง…จิงเลี่ยวรยุทธ์สูงเพียงใดก็เป็นเพียงมนุษย์
การบาดเจ็บเดิมทีคือคู่หูที่รู้จักมักกันดีคุ้นระหว่างฝึกฝนวิถียุทธ์ จิงเลี่ยไม่รู้สึกแปลกหน้าสักนิด กระทบกระแทกขาดสะบั้น เนื้อปริกระดูกหัก ล้วนมิใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดประการแรกคือการบาดเจ็บภายในที่กระทบต่อสมรรถภาพของอวัยวะภายใน เลือดลมอ่อนแอ ไปจนถึงมิอาจใช้แรง ประการที่สองคือข้อต่อสำคัญเสียหาย ไม่อาจออกแรงหรือสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวพุ่งกระโดดไป นักสู้เด่นล้ำเพียงใดก็ต้องจบชีวิตบนวิถียุทธ์ลงเพียงเพราะข้อต่อหัวเข่าหรือสะโพกเสียหาย
จิงเลี่ยลองออกแรงอีกครั้ง ความเจ็บปวดยังคงแสบสันอย่างยิ่ง มันคิดว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดได้ช้าลงไม่น้อยเพราะถูกพิษ ก็หมายความว่าอาการบาดเจ็บในความเป็นจริงของหัวไหล่และหัวเข่าสาหัสยิ่งกว่าที่รับรู้ในตอนนี้…จิงเลี่ยก็เป็นเช่นนี้ มันยังคงคิดไม่หยุด แม้เท้าและมือบาดเจ็บ สติถูกยาพิษรบกวน ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งตัวเหลือเพียงมีดสั้นล่าสัตว์เล่มเดียว ซุ่มซ่อนลอบเร้นในป่าเขาที่ขรุขระ หลบหนีการล้อมจับของคนเกินร้อย แม้กระทั่งตัวมันเองก็ลืมไปแล้วว่าหนีมาที่นี่ได้อย่างไร
มิใช่เพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน แต่เป็นสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดที่ฝังลึกเข้ากระดูก จากประสบการณ์ขณะอยู่ในสถานที่ป่าเถื่อนต่างแดนแรมปี
แม้หลุดพ้นจากผู้ไล่ล่าชั่วคราว แต่จิงเลี่ยก็รู้ว่าตนเองจะหยุดไม่ได้เป็นอันขาด
คนผู้นั้น…มิใช่จะล้มเลิกง่ายดายเช่นนี้
จิงเลี่ยนึกถึงพยัคฆ์ชุดดำที่ใช้คมบินโซ่เหล็กซึ่งพบขณะลอบเข้าวัดชิงเหลียนเมื่อคืน ยามนั้นมันยังครุ่นคิดว่าคนผู้นี้คือตัวจอมเวทปัวหลงเองหรือไม่ แต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่สอดคล้องกับที่ชาวบ้านหลูหลิงพรรณนา น่าจะเป็นคนหนึ่งในสี่ยอดฝีมือใต้อาณัติของจอมเวทมากกว่า
คนผู้นั้นเป็นเพียงลูกน้อง…จอมเวทปัวหลงช่างลึกล้ำยากหยั่งคาด!
จิงเลี่ยมิอาจปฏิเสธว่าเป็นเพราะเมื่อวานตนเองได้ปะทะกับเอ้อเอ๋อร์ห่านและหานซือเต้าก่อน ทำให้ประเมินกำลังของกองปีศาจจอมเวทต่ำเกินไป จึงต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้
มันตักเตือนตนเองในใจอีกครั้งว่าต่อไปอย่าได้ประเมินคนและเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับอู่ตังต่ำเด็ดขาด!
จิงเลี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือกอีกครั้ง ทนความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นท่านั่งคุกเข่า ชะโงกหน้าออกไปนอกโพรงของโคนต้นไม้
แสงแดดทำให้เบื้องหน้าของมันเป็นภาพเงาทั้งแถบ ต้องรวบรวมสมาธิจึงปรับสายตาให้มองเห็นได้ชัด พิษที่เหลือในร่างกายทำให้มันประหนึ่งเป็นโรค ริมฝีปากแห้งแตกแผ่สีขาว แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็น
การหลบหนีด้วยสองเท้าคล้ายเป็นไปมิได้อย่างยิ่ง ถึงแม้หนีออกจากเชิงเขานี้ได้ พอถึงพื้นที่โล่งกว้างก็ง่ายต่อการถูกศัตรูพบและไล่ตามอย่างมาก อนึ่งมันยังต้องลากขาขวาที่บาดเจ็บอยู่ ไม่รู้ยังเดินไปได้ไกลเท่าใด
จิงเลี่ยคิด หากมีม้าขี่ก็คงสะดวก ไม่ว่าจะหลบหนีหรือต่อสู้ บนหลังม้ามันล้วนมีโอกาสมากกว่า
เซวียจิ่วหนิวต้องทิ้งม้าตัวหนึ่งไว้ให้มันที่ป่าอย่างแน่นอน ทว่าขณะนี้ไม่แน่ว่ากลุ่มศิษย์จอมเวทที่ลงเขาไปอาจเสาะหาพบเข้าแล้ว หากจิงเลี่ยไปรับม้าก็อาจติดกับพวกมันได้
แต่รอต่อไปก็มิใช่วิธีที่ดี ประการแรกจิงเลี่ยพะวงว่าเหมยซินซู่จะมาตามหาอีก ประการที่สองตนเองมิได้กลับอำเภอหลูหลิงเป็นเวลานานแล้ว หู่หลิงหลันและพวกพ้องต้องกังวลเป็นแน่ เป็นไปได้มากว่าอาจพากันมาหามันที่เขาชิงหยวนอย่างเลินเล่อ…
จิงเลี่ยตัดสินใจว่าอย่างไรคงต้องลองเดิมพันดู มันมองดูตะวันบนฟ้า จำแนกทิศทาง เดินเป๋อยู่ในป่า ไปยังเนินเล็กๆ ของป่ารกที่ทิ้งม้าไว้เมื่อคืน
ทุกย่างก้าวของจิงเลี่ย ข้อต่อแขนขาและซี่โครงล้วนถ่ายทอดความเจ็บปวดรุนแรงมา แต่สิ่งนี้กลับทำให้มันมีสติต่อต้านยาพิษที่ทำให้หัวสมองวิงเวียน มันเด็ดใบไม้ตามทางหลายใบมาเคี้ยวไว้ในปาก ให้น้ำใบไม้ขมฝาดไหลสู่ลำคอ ช่วยแก้กระหายเล็กน้อย และทำให้สมองแจ่มใสได้
ขณะจิงเลี่ยเดินอยู่พลางมองดูรอบด้าน ผืนแผ่นเขียวขจีล่างเขาชิงหยวนนี้ แสงแดดทอดลงมาระหว่างใบไม้ของต้นไม้สูง ทิวทัศน์ลึกลับเงียบสงบ หากมิได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่มาเดินเล่นตามลำพังคงจะจิตใจเบิกบานจริงแท้ จิงเลี่ยอดมิได้ที่จะยิ้มขื่น
…มิได้จนมุมเช่นนี้นานมากแล้ว
จิงเลี่ยออกจากป่ารกผืนนั้นมาอย่างยากลำบาก รู้สึกเพียงเวียนศีรษะหายใจหอบ ทั่วร่างล้วนเต็มไปด้วยเหงื่อ สิ่งที่อาบบนเกาทัณฑ์แขนเสื้อของกลุ่มศิษย์จอมเวทอย่างไรก็เป็นพิษร้ายถึงชีวิต จิงเลี่ยถูกกรีดผ่านเบาๆ เพียงนิดเดียวนับว่าเคราะห์ดีอย่างยิ่ง
นอกป่ามีทางเล็กๆ ที่เงียบสงัดสายหนึ่ง จิงเลี่ยย่อมมิได้โง่จนรีบกระโดดออกไปทันที แต่ซุ่มสำรวจอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง
ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีสักขณะที่จิงเลี่ยไม่สดับฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบอย่างถี่ถ้วน ก่อนหน้านี้ล้วนไม่พบสถานการณ์ผิดปกติ กระทั่งอยู่ข้างทางขณะนี้ มันได้ยินสุ้มเสียงดังแว่วมาวูบหนึ่งจากระยะไกลทางทิศเหนือ
เป็นเสียงกีบเท้าม้า
จิงเลี่ยซุ่มอยู่ใต้พุ่มไม้ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มือขวาพลิกจับด้ามไม้ของมีดสั้นไว้แน่น ใช้ความมุ่งมั่นสะกดร่างกายที่หนาวสั่นเป็นพักๆ เอาไว้
มันตั้งใจฟัง เสียงกีบเท้านั้นมิได้รีบเร่ง เพียงก้าวเดินอย่างช้าๆ อีกทั้งฟังออกว่ามีแค่ตัวเดียว
…เป็นศัตรูที่หลุดมาคนเดียวหรือ
ไม่ว่าอย่างไร นี่คือโอกาสหนีรอดอันดีเลิศ มันถูกตามจับมาตลอดจนรุ่งเช้า จิงเลี่ยอัดอั้นตันใจต่อโชคร้ายนี้มากพอแล้ว ชิงม้าหลบหนีรวดเดียว จึงสมกับนิสัยมัน
เมื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้แล้ว จิงเลี่ยก็มีชีวิตชีวาขึ้นในทันใด มันหายใจลึกและมั่นคงยิ่งขึ้น
มันคุกเข่าอยู่ในพุ่มไม้โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว รอคอยให้ทั้งคนและม้ามาถึง ขาซ้ายที่ไม่บาดเจ็บสั่งสมพลังกระโดดไว้แล้ว มีดในมือขวาพลิกจับยกขึ้นอยู่ตรงหน้าอก เตรียมแทงออกทุกเมื่อ
ท่วงท่าในขณะนี้ของจิงเลี่ยประหนึ่งงูพิษอำพรางตัว มันเกาะกุมพื้นที่อยู่ใต้ต้นไม้อย่างสงบเงียบ เตรียมฉกโจมตีทุกขณะ
บริเวณปากทางปรากฏเงาร่างเล็กๆ ของม้าและคน ข้ามผ่านแสงแดดเป็นลำๆ ในป่าใกล้เข้ามา
ดวงตาของจิงเลี่ยยังคงมองไม่ชัดเล็กน้อย ขณะคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ มันรู้สึกรางๆ ว่าคุ้นตา เงาร่างบนอานม้าสูงใหญ่มาก เส้นผมปลิวไสวตามลม มองออกว่าเป็นสตรี ในมือถือดาบคมยาวเล่มหนึ่งเฉียงๆ…
เป็น…หู่หลิงหลัน?
หัวใจจิงเลี่ยลิงโลดวูบหนึ่ง แต่มันยังคงอดกลั้นไม่กระโดดออกไปและรอเงาร่างนั้นเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ
เมื่อมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นหัวใจจิงเลี่ยก็เย็นเยือกลง เคราะห์ดีที่เมื่อครู่มิได้ดีใจเกินเหตุ
หญิงขี่ม้าชุดดำผู้นั้นแม้รูปร่างอวบอัด แต่ท่วงท่าบนหลังม้าไม่มีบุคลิกผ่อนคลายอย่างหู่หลิงหลัน ใบหน้าที่สะท้อนแสงแดดขาวใส มิใช่สีน้ำตาลเหมือนสตรีรื่อเปิ่น ดาบยาวที่ถืออยู่ก็ไม่ใช่ดาบแคว้นวอ
ฮั่วเหยาฮวานั่งงอตัวโยกโคลงอยู่บนอานม้า หากจะกล่าวว่านางขี่ม้า สู้กล่าวว่าม้าบรรทุกนางเดินมาจะดีกว่า สายตาของนางเลื่อนลอยเลอะเลือนคล้ายไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด สติสัมปชัญญะยังไม่ฟื้นจากฤทธิ์ยาลูกกลอนเจาหลิง ทั้งยังถูกด้ามดาบของหู่หลิงหลันกระแทกเข้าเมื่อวาน
เมื่อคืนฮั่วเหยาฮวาหนีออกจากอำเภอหลูหลิงราวคนบ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงขึ้นม้าควบจากไป แต่กลับไม่รู้ทิศทางโดยสิ้นเชิง สนเพียงแต่เร่งม้า ไม่นานก็นั่งหลับในอยู่บนอาน อาศัยม้าที่จำทางได้พานางกลับมาเขาชิงหยวน นางเพิ่งตื่นมาไม่นาน ขณะนี้รู้สึกเพียงปวดศีรษะราวหัวจะปริแตก ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด แม้กระทั่งความทรงจำเมื่อคืนก็เลือนรางอย่างยิ่ง จึงปล่อยให้ม้าบรรทุกนางเดินไปตามใจชอบ แผลดาบบนร่างนางล้วนแห้งแข็งเป็นก้อนเลือด หาได้อันตรายถึงชีวิตไม่ แต่ผลกระทบของฤทธิ์ยาทำให้รู้สึกเหมือนแขนขาจะขาดร่วงลงมาตลอดเวลา
พลันมีเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง ทำลายความสงบของพงไพร
จิงเลี่ยที่ผมเผ้าสยาย ทั้งร่างเต็มไปด้วยโคลนและใบไม้ กระโจนดุจสัตว์ป่าโจมตีฮั่วเหยาฮวาที่อยู่บนอานม้า!
แม้แขนขามันบาดเจ็บ แต่มิได้กักเก็บแรงในการกระโจนนี้แม้แต่น้อย จิงเลี่ยรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ขาซ้ายแล้วกระโดดขึ้น มีดล่าสัตว์ในมือขวาแทงไปข้างหน้า!
แต่อย่างไรฮั่วเหยาฮวาก็เป็นมือดาบหญิงที่ผ่านสนามรบต่อสู้เป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน จึงตอบสนองต่อการต่อสู้อันไม่คาดฝันได้ในพริบตา นางยกดาบเลื่อยต่างโล่สกัดมีดของจิงเลี่ย มืออีกข้างหนึ่งคว้าจับเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างแรง!
จิงเลี่ยรูปร่างกำยำพลังกระโจนก็รุนแรง แม้ถูกฮั่วเหยาฮวาสกัดมีดได้ แต่ท่วงท่ากลับมิได้หยุด มันเข้ากอดรัดฮั่วเหยาฮวาจนล้มกลิ้งตกไปอีกด้านหนึ่งของอานม้าทั้งคู่!
การดักซุ่มโจมตีของจิงเลี่ยรวดเร็วและกะทันหันเหลือเกิน ม้าร้องตกใจกระโดดหนีออกหลายก้าว ดาบเลื่อยของฮั่วเหยาฮวาหลุดมือตกลงบนพื้นหญ้าข้างทางแรงกระแทก
คนทั้งสองกอดรัดกันอย่างรุนแรงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ทั้งคู่ต่างได้รับผลกระทบจากพิษและยามาก่อน หัวสมองจึงไม่ปลอดโปร่งโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดล้วนอาศัยความรู้สึกของร่างกายกับสัญชาตญาณดั้งเดิมเป็นที่ตั้ง และใช้แรงอันป่าเถื่อนเข้ายับยั้งฝ่ายตรงข้าม
จิงเลี่ยหาได้รู้ไม่ว่าฮั่วเหยาฮวาคือใคร ในระยะเวลาสั้นๆ นี้มันมิอาจคิดโยงถึงปีศาจสาวใต้อาณัติของจอมเวทที่ชาวบ้านพรรณนาเมื่อวาน รู้เพียงสตรีนางนี้ขี่ม้าพกดาบปรากฏกายอยู่ตรงเชิงเขาชิงหยวน เป็นไปได้มากว่าคือศัตรู พอลงมือก็ไม่ไว้ไมตรี
เมื่อนอนฟัดกันบนพื้นไม่จำเป็นต้องยืน อาการบาดเจ็บเข่าขวาของจิงเลี่ยจึงค่อนข้างไม่เป็นอุปสรรค แต่ไหล่ซ้ายยากจะออกแรง มันอาศัยมือขวาข้างเดียวถือมีดสู้กับฝ่ายตรงข้าม แขนซ้ายทำได้เพียงฝืนกอดเอวฮั่วเหยาฮวาเอาไว้ ฝั่งฮั่วเหยาฮวาแม้ใช้ทั้งสองมือได้ ทว่าจิงเลี่ยถืออาวุธไว้ในมือ ในการประจัญบานประชิดตัวนี้ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง นางใช้มือทั้งสองยับยั้งแขนขวาของจิงเลี่ยลงสุดชีวิต ครู่เดียวคนทั้งสองก็กลายเป็นคู่คี่สูสีรัดกันเป็นก้อน
เดิมทีพวกมันบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว หลังรบพันกันพักหนึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็หอบหายใจและสิ้นเรี่ยวแรง การเคลื่อนไหวหยุดชะงัก ไม่มีใครชนะใคร สติเลือนรางกว่าเดิมด้วยความอ่อนเพลีย หากมีคนที่ไม่รู้เบื้องหลังอยู่ตรงนั้นอาจเข้าใจผิดว่าชายหญิงร่างงามคู่นี้กำลังกอดกันอย่างรักใคร่…
ร่างกำยำสักลายที่เต็มไปด้วยเหงื่อของจิงเลี่ยพลิกกลับขึ้นมาทับอีกฝ่ายพลางกอดไว้แนบแน่น ในหัวสมองของฮั่วเหยาฮวาพลันเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยขึ้นมา
…ศิษย์พี่
ความทรงจำอันเนิ่นนานซัดเข้ามาดุจกระแสน้ำ
ฮั่วเหยาฮวาที่กราบเข้าสำนักดาบฉู่หลางขณะนั้นแก่แดดอย่างยิ่ง นางเลื่อมใสบุรุษในสำนักที่แกร่งกล้ากว่าตนเองตั้งแต่เยาว์วัย ในบรรดาคนเหล่านั้นผู้ที่นางมีความรู้สึกให้อย่างแรงกล้าที่สุดคือศิษย์พี่สามเวิงเฉิงเทียน เวิงเฉิงเทียนยามนั้นวิทยายุทธ์เหนือล้ำรุ่นเดียวกัน รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หัวไหล่ซ้ายยังมีรอยสักหมาป่าที่งดงามอย่างมากรูปหนึ่ง ฮั่วเหยาฮวาหลงเสน่ห์มันอย่างหัวปักหัวปำ
เวิงเฉิงเทียนเองก็รับรู้ได้ถึงความรักใคร่ของศิษย์น้องเล็กนางนี้ คนทั้งสองปิดบังอาจารย์และสหายร่วมสำนัก คบกันเป็นคู่รักอย่างลับๆ จากนั้นไม่นานฮั่วเหยาฮวาก็เสียตัวให้มัน
ฮั่วเหยาฮวาไม่มีวันลืมวันเวลาเหล่านั้นได้ ในลานหญ้าฟางที่มืดมิดไร้แสงไฟ เรือนร่างเร่าร้อนที่แผ่กลิ่นกายบุรุษเพศและเหงื่อเปียกชุ่มของศิษย์พี่สามกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ปลายนิ้วมือของนางลูบไล้ผ่านหัวไหล่และแผ่นอกอันแข็งแกร่งดั่งหินผานั้นของมัน…
แต่พวกมันอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงหนึ่งปี เวิงเฉิงเทียนก็รับคำสั่งอาจารย์ตบแต่งกับบุตรีของพ่อค้ารุ่มรวยคนหนึ่งในพื้นที่เพื่อความมั่นคงและแหล่งรายได้สำคัญสำนักดาบฉู่หลาง มันไม่แม้แต่จะกล่าวลากับนางสักคำ ด้วยเกรงว่านางจะติดพันกับตนเอง ฮั่วเหยาฮวามองเห็นชัดแล้วว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอันแข็งแกร่งนั้นคือหัวใจดวงหนึ่งที่ขี้ขลาดอ่อนแอเช่นนี้
นับจากนั้นฮั่วเหยาฮวาก็สิ้นหวังต่อร่างกายตนเอง และคิดเพียงเรื่องเดียว
…ข้าต้องแข็งแกร่งกว่าบุรุษต่ำช้าเหล่านี้ให้ได้!
นางเริ่มใช้ความงามไปยั่วยวนศิษย์พี่คนอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งวิชายุทธ์สำนักดาบฉู่หลางที่ตนเองยังไม่เคยเรียน สุดท้ายแม้แต่ซูฉีซานผู้เป็นอาจารย์ก็ปฏิเสธนางไม่ลง ถ่ายทอดวิชาลับของสำนักให้อย่างหมดเปลือกในห้องนอน
ยามนั้นความเชื่อในใจนางหยั่งรากฝังลึกยิ่งขึ้น
…ทุกคนบนโลก ล้วนเพียงมีชีวิตอยู่เพื่อความปรารถนาของตนเอง
การประลองของสำนักในหลายปีต่อมา ฮั่วเหยาฮวากำราบเวิงเฉิงเทียนจนมันลุกไม่ขึ้น นางก้มมองใบหน้าที่บาดเจ็บ ทุกข์ทรมาน และละอายใจของมัน ทว่านางหาได้รู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้นตามคาดหวังไม่ แต่กลับเศร้าสลดต่อตนเองในอดีต
…ข้าเคยรักบุรุษที่อ่อนแอถึงเพียงนี้
นางรู้สึกขยะแขยงต่อบุรุษเพศทั้งหมดข้างกาย สิบปีหลังจากนั้น ฮั่วเหยาฮวาไม่เคยประสบกับชายฉกรรจ์ที่แข็งแกร่งกว่านางอีกเลย…นอกจากจอมเวทปัวหลงผู้เดียว จอมเวทคือบุคคลที่น่ากลัวเหลือเกิน หากกล่าวว่าฮั่วเหยาฮวาเคารพเลื่อมใสมัน มิสู้กล่าวว่านางถูกความรู้สึกน่ากลัวของมันสยบจะถูกต้องกว่า ฮั่วเหยาฮวาแม้ถูกจอมเวทรับเป็นอนุภรรยาคนโปรด แต่นางไม่เคยเกิดความรักใคร่ต่อมันเลยแม้แต่น้อย
บางครั้งนางยังคงมิอาจยับยั้งความทรงจำอันเร่าร้อนขณะถูกบุรุษเพศกอดครั้งแรกขณะอายุสิบห้าปี…
ฮั่วเหยาฮวาที่สติไม่แจ่มชัดกอดรัดจิงเลี่ยที่มีรอยสักตรงหัวไหล่เหมือนศิษย์พี่เอาไว้ ความคิดถึงไหลพุ่งดั่งทำนบแตก เงาร่างของเวิงเฉิงเทียนซ้อนทับกับจิงเลี่ยรางๆ
ขณะเดียวกันความเยียบเย็นของยาพิษก็จู่โจมมายังกระดูกสันหลังจิงเลี่ยจนมันหนาวสั่น และพลันรู้สึกว่าอ้อมกอดของฮั่วเหยาฮวาอบอุ่นไร้เทียบเทียม
ดังเช่นขณะบิดากอดมันในฝนตกวันนั้น
ชั่วขณะอันแสนสั้น คนทั้งสองกอดกันอย่างสันติ
ลมพัดใบไม้ไหว แสงแดดลำหนึ่งส่องลอดมาสะท้อนบนคมมีดในมือจิงเลี่ย
แสงสะท้อนเข้าตาฮั่วเหยาฮวา
นางพลันตื่นจากความฝันอันแสนสั้น
ฮั่วเหยาฮวาตวาดเบาๆ มือทั้งสองจับข้อมือขวาจิงเลี่ย ใช้หัวแม่มือกดหลังมือมันหมุนบิดข้อต่อ
ต่อให้จิงเลี่ยมีแรงแขนที่แข็งแกร่งก็มิอาจต่อต้านการบิดข้อต่อด้วยสองมือของฮั่วเหยาฮวาได้ นิ้วทั้งห้าของมันคลายด้ามมีดออกและหมุนบิดศอกเก็บแขนขวากลับไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นมีดหลุดมือฮั่วเหยาฮวาก็ไม่สนใจแขนมันอีก นางยื่นมือไปกลางอากาศรับมีดที่ตกลงมาเอาไว้
จิงเลี่ยอาศัยช่องโหว่ขณะฮั่วเหยาฮวารับมีดรีบฟันศอกขวาไปยังใบหน้านาง
ศอกนี้ระยะใกล้เหลือเกิน ฮั่วเหยาฮวาหลบไม่ทันจึงทำได้เพียงยกหัวไหล่ซ้ายขึ้นเบี่ยงรับศอกนี้ การปะทะทำให้ร่างนางโงนเงนล้มไปข้างหลัง แต่สัญชาตญาณสังหารเช่นสัตว์ร้ายยังคงอยู่ มือขวาที่ถือมีดจ้วงออกไปยังใบหน้าจิงเลี่ย
ทว่าจิงเลี่ยกลับมิได้อยู่ที่เดิมแล้ว เดิมทีมันหาได้จะใช้ศอกทำร้ายนาง แต่คำนวณแล้วว่าฮั่วเหยาฮวาต้องสกัดไว้ได้แน่ จึงตั้งใจยืมแรงกระแทกกลับของศอกนี้ถอยปราดไปข้างหลัง
โค่นล้มศัตรู…มิใช่เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้
คมมีดกรีดผ่านอากาศเบื้องหน้าจิงเลี่ยหลายชุ่น
จิงเลี่ยถือโอกาสกลิ้งถอยไปบนพื้น ท่วงท่านั่งย่อ มือขวาจับพื้นดินประหนึ่งกบ มันหมุนตัวใช้แรงผลักถีบของมือและเท้ากระโดดไปยังม้าที่หยุดอยู่ข้างทาง
ม้ายังมิทันตกใจขัดขืน จิงเลี่ยก็ยื่นมือขวาจับขนแผงคอมันกลางอากาศ ยืมแรงพลิกตัวด้วยแขนข้างเดียว ประเดี๋ยวเดียวก็นั่งอยู่บนอานม้า
ฮั่วเหยาฮวาที่ถูกโจมตีด้วยศอกเป็นเพียงการให้จิงเลี่ยยืมแรง พลังเหมือนอัดกระแทกมากกว่าทะลุทะลวง จึงหาได้บาดเจ็บไม่ แต่เมื่อฟันมีดไม่ถูกหนำซ้ำฝ่ายตรงข้ามยังชิงขี่ม้าของนางไปได้ในพริบตา ดวงตาหยาดเยิ้มของฮั่วเหยาฮวาก็ถลึงมองด้วยโทสะ กัดฟันพุ่งเข้าไปหมายดึงจิงเลี่ยลงจากอานม้า
แต่จิงเลี่ยพอขึ้นม้าก็เหมือนรอดตายแล้ว มันดึงหัวม้าสั่งให้เตะกีบเท้าหลังใส่ฮั่วเหยาฮวา บีบให้นางออกไป
ฮั่วเหยาฮวาขณะนี้ได้สติไม่น้อย นางพินิจมองชายฉกรรจ์ป่าเถื่อนที่มัดผมเปียทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดและโคลนสกปรกตรงหน้า
…คนผู้นี้คือ?
ฮั่วเหยาฮวาชูมีดที่ชิงมาไปยังจิงเลี่ย บอกเป็นนัยว่า
…หากทำได้ก็มานำมันกลับไปสิ
จิงเลี่ยกลับมองดูนางพลางยิ้มน้อยๆ
“ข้าต้องรีบไป มีดนี้ฝากไว้ที่เจ้าชั่วคราว วันหลังค่อยคืนข้า”
มันกล่าวแล้วชักม้าวิ่งไปตามทาง
ฮั่วเหยาฮวาคุกเข่าลงอย่างอ่อนเพลีย มองจิงเลี่ยที่จากไปไกลแล้วอย่างโกรธแค้น ทว่าหลังจากมันหายลับไป นางก็คิดถึงกายสัมผัสอันอุ่นร้อนจากอ้อมกอดของบุรุษเมื่อครู่ขึ้นมาอีก หัวคิ้วพลันค่อยๆ คลายออก
นางก้มมองมีดจากต่างแคว้นแดนไกลในมือ ปลายนิ้วลูบไล้ด้ามมีดอันโค้งงอเป็นพิเศษนั้น หากมิใช่เพราะในมือถือมีดเล่มนี้เอาไว้ คงมิอาจแน่ใจได้ว่าทุกสิ่งเมื่อครู่คือมายาหรือความจริง
ฮั่วเหยาฮวามิอาจพรรณนาว่าขณะนี้ตนเองอยู่ในอารมณ์ใดไปครู่หนึ่ง ความงุนงงเช่นนี้นางมิได้ลิ้มรสมาหลายปีแล้ว
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าใดเสียงฝีเท้าจำนวนมากค่อยๆ ดังขึ้นจากบริเวณป่าลึกด้านหลังดึงนางกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง
ฮั่วเหยาฮวาดึงผ้าปิดหน้าสีดำที่พันอยู่ตรงคอลง ห่อมีดล่าสัตว์นั้นซ่อนเข้าไปใต้เสื้อผ้าตรงเอวอย่างเบามือ