• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 9 บทที่ 2

    บทที่ 2

    ฝ่าด่าน

     

    กลางดึกยามอู่ จันทร์สกาวประดับนภา

    แววตาเฉียบคมราวกับกระบี่ของหวังโส่วเหรินทอดมองซุ้มประตูไม้ที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเบื้องหน้า

    ซุ้มประตูซึ่งสูงจั้งเศษตั้งตระหง่านบนปากเส้นทางเขาอันคับแคบ ธงสีแดงสองแถบที่เขียนเต็มไปด้วยอักขระลัทธิอู้อี๋ซึ่งแขวนอยู่ทั้งซ้ายขวาปลิวสะบัดช้าๆ ในความมืดมนอนธการ ชวนให้รู้สึกน่าสะพรึงยิ่งนัก

    หน้าหลังซุ้มประตูนั้นมีเพียงคบเพลิงไม่กี่อัน ทำให้มองเห็นสภาพการณ์ด้านในไม่ชัด แต่พอมองเห็นว่ามีเงาคนเคลื่อนไหวเลือนราง

    ด่านประตูอันมืดครึ้มนั้นราวกับปากสัตว์ที่มีฟันแหลมคมอ้าอยู่ รอคอยเวลากลืนกินเลือดเนื้อ

    แม้มองไม่ชัดเจน แต่หวังโส่วเหรินรู้ว่าหลังประตูนั้นกองทัพกำลังหลักนับร้อยคนของศัตรูต้องกำลังจัดวางกำลังอย่างแน่นหนารอคอยอยู่เป็นแน่

    ศิษย์จอมเวทมีอาวุธลับเป็นเกาทัณฑ์อาบพิษอันน่ากลัว ด้วยเหตุนี้หวังโส่วเหรินจึงนำทัพอาสามาหยุดอยู่ในระยะห่างนี้ ลักษณะพื้นที่เส้นทางเขาของเขาชิงหยวนนั้นคับแคบยิ่งนัก ด้านขวายังติดกับหน้าผาสูงชันยากปีนป่าย ด้านซ้ายเป็นชะง่อนผาที่จิงเลี่ยตกลงไปก่อนหน้า ทัพอาสาหกร้อยกว่าคนทำได้เพียงตั้งขบวนเป็นงูยาว เรียงแถวอยู่บนขั้นบันไดขึ้นเขาตลอดเส้นทาง

    ด่านซุ้มประตูของวัดชิงเหลียนแห่งนี้ จุดที่สำคัญอยู่ตรงซุ้มประตูรักษาการณ์ซึ่งตั้งอยู่บนปากทางคับแคบ ความกว้างเพียงเท่านี้ทำได้แค่นำคนห้าหกคนเรียงหน้ากระดานบุกเข้าโจมตีพร้อมกัน แต่พอผ่านซุ้มประตูไปกลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปิดกว้าง ตั้งรูปขบวนขนาดใหญ่ได้ หากฝ่ายศัตรูเลือกใช้รูปขบวนจันทร์เสี้ยวภายในซุ้มประตู แนวหน้าฝ่าด่านของทัพอาสาก็จะถูกโจมตีจากสามด้านทันที ลักษณะเหมือนพุ่งเข้าสู่กับดักเอง

    “เพราะเหตุใด…คบเพลิงพวกมันถึงน้อยเพียงนี้” หวงเสวียนลูกศิษย์เยาว์วัยข้างกายหวังโส่วเหรินถาม มันเคร่งเครียดจนเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก สถานการณ์เช่นนี้มันเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก

    “จอมเวทปัวหลงเองก็มิใช่คนไร้พิษสง” หวังโส่วเหรินกล่าว “มันไม่ให้ฝ่ายเรามองเห็นจำนวนคนและรูปขบวนแน่ชัด ถึงอย่างไรสิ่งที่พวกมันเฝ้าก็มีเพียงปากประตูนี้ พอมีคนเข้าไปเพียงขนาบตีไปยังตำแหน่งเดียวกันอย่างสุดชีวิตก็จบแล้ว ไม่ต้องมองเห็นชัดจนเกินไป ความมืดมิดเล็กน้อยกลับมีประโยชน์ต่อพวกมัน”

    หวังโส่วเหรินเองก็กำชับทัพอาสาให้ใช้โล่ไม้ที่พกมาบังคบเพลิงฝ่ายตนเองเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศัตรูมองเห็นลาดเลาชัดเจนขณะยังไม่บุกเข้าโจมตี

    ในลูกศิษย์หกคนที่หวังโส่วเหรินพามา จูเหิงที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้วคือผู้ที่หนักแน่นที่สุด แต่ยามมองเห็นสถานการณ์เบื้องหน้านี้ก็อดมิได้ที่จะกล่าว “เซียนเซิง จะฝ่าด่านนี้เกรงว่า…”

    ในใจหวังโส่วเหรินเองก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดมาว่ายังมีกลยุทธ์ที่มีโอกาสมากกว่านี้อีกหรือไม่ แต่ก็ไม่มี

    ถึงแม้เป็นแม่ทัพปราดเปรื่องเรืองปัญญาที่ร้ายกาจที่สุด การทำศึกก็ใช้แผนได้ถึงเพียงขั้นหนึ่ง สุดท้ายยังคงอาศัยการต่อสู้จริงอย่างหัวชนฝา

    ในเมืองยามกลางวัน ขณะหวังโส่วเหรินและหกกระบี่บ้านแตกร่างกลยุทธ์ก็ได้ถามพวกมันหลายครั้งว่า

    ‘รบเช่นนี้ พวกท่านมั่นใจหรือ’

    การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เหมือนการเคลื่อนพลรบธรรมดา เพราะที่ต้องโยกย้ายมิใช่พลทหารทั่วไป กำลังรบที่เฉียบขาดที่สุดของฝ่ายทัพอาสาคือจอมยุทธ์ที่มีวิทยายุทธ์เหนือชั้น จะให้พวกมันสำแดงพลังอย่างสุดฤทธิ์เช่นไร คือจุดสำคัญของการแพ้ชนะ ทว่าหวังโส่วเหรินเองก็ต้องรู้ชัดถึงขีดจำกัดของพวกมันเช่นเดียวกัน

    เลี่ยนเฟยหงซึ่งประสบการณ์มากที่สุดเป็นคนเดียวที่กระจ่างถึงฝีมือของคนทั้งหก มันในตอนนั้นลูบเคราพลางครุ่นคิดรอบหนึ่ง ซ้ำยังมองดูจิงเลี่ย จากนั้นจึงพยักหน้า

    ‘บนโลกไม่มีสงครามที่มีโอกาสเต็มเปี่ยม’ เลี่ยนเฟยหงตบผังร่างผืนนั้น ‘แต่พวกเราน่าจะทำได้’

    หวังโส่วเหรินมองดูแววตาเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของคนทั้งหก ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อพวกมัน…

    “ยังไม่บุกโจมตีหรือ…” หวงเสวียนกล่าวอย่างร้อนใจ มันยกมือพาดบนต้นไม้ต้นหนึ่งข้างเส้นทางเขาและคลำถูกหุ่นไม้ลงอาคมที่กลุ่มศิษย์จอมเวทติดไว้ตรงลำต้น พลันตกใจรีบชักมือกลับ “รอต่อไปก็มีตัวประกันต้องตายอีก…”

    หวังโส่วเหรินย่อมกระจ่างอย่างยิ่งยวด ทุกขณะที่ยืดเวลาก็จะมีคนตาย แต่มันจำต้องรอ

    มันหันหน้ามองไปยังชะง่อนหินผาด้านขวาซึ่งสูงใหญ่เท่าตัวคน

    บนยอดหินผานั้น เงาดำหนึ่งมนุษย์หนึ่งม้ากำลังยืนตระหง่าน ม้าดำนั้นผ่านการฝึกฝนมานาน แม้ยืนอยู่บนที่สูงก็ไม่ตกใจทั้งยังหายใจอย่างเงียบสงบ

    มือขวาของจิงเลี่ยถือดาบที่ทั้งแคบทั้งยาวสะท้อนแสงจันทร์จางๆ ห้อยอยู่ข้างอานม้า ท่วงท่าของมันสงบนิ่ง ใบหน้าที่คลุมไว้ด้วยผ้าโพกศีรษะสีดำเงยขึ้นทอดมองไปเหนือสถานที่ไกลโพ้นตรงหน้าอย่างเยือกเย็น

    ทัพอาสาหกร้อยกว่าคนยืนเรียงอยู่บนเส้นทางเขาในคืนฤดูร้อนอย่างเงียบๆ และหลั่งเหงื่อไม่ขาดระยะในความมืดมิด

    ผ่านไปนานเท่าใดมิทราบ นัยน์ตาของจิงเลี่ยพลันจ้องเขม็งคล้ายมองเห็นอะไรเข้าแล้ว

    มันชูดาบแคว้นวอในมือขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันก็ลดสายตาลงมามองหวังโส่วเหริน

    หวังโส่วเหรินเองก็พยักหน้าให้มัน

    …ทุกอย่างเรียบร้อย ฝากด้วย

    …ทุกคนต้องอยู่ต่อไป

    หวังโส่วเหรินโบกมือ เหลียงฝูทงที่อยู่ในกองกำลังโจรภูเขาแนวหน้าเข้าใจในทันใด มันยกขวานในมือขึ้นสั่งการพี่น้องแปดสิบคนบุกไปข้างหน้าช้าๆ

    บนร่างกลุ่มโจรภูเขาสวมเกราะที่ทำจากแผ่นไม้ไผ่ ซ้ำยังใช้ห่อผ้าหนาหุ้มขาเพื่อป้องกันเกาทัณฑ์อาบพิษของกลุ่มศิษย์จอมเวททำร้าย คนสี่สิบคนที่นำอยู่หน้าสุดต่างถือโล่ไม้สูงเท่ากับครึ่งตัวคนแผ่นหนึ่งที่ชาวบ้านหลูหลิงใช้บานประตูในเมืองสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจ

    ในซุ้มประตูฝั่งตรงข้ามยังคงมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ กำลังเชิญท่านลงโอ่ง

    เหล่าโจรภูเขาบุกถึงบริเวณประมาณห้าจั้งหน้าซุ้มประตูก็หยุดขบวนลง

    คนผู้หนึ่งถือคบเพลิงแหวกพวกโจรภูเขาออกมา

    กลุ่มศิษย์จอมเวทร้อยคนที่อยู่ในซุ้มประตูวางกำลังเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสามด้านห้อมล้อมช่องว่างหน้าประตูดังเช่นที่หวังโส่วเหรินคาด รูปขบวนหนาถึงหกเจ็ดคนปิดด่านนี้เอาไว้อย่างมิดชิดดั่งฝาเหล็ก พวกมันทั้งหมดล้วนกินยาของลัทธิอู้อี๋ ซ้ำยังได้รับการกระตุ้นจากเสียงคาถา แต่ละคนเอ่อล้นไปด้วยความปรารถนาฆ่าคนอันเข้มข้นและเฝ้ารอเงียบๆ อยู่ใต้จันทร์เพ็ญ

    …รีบเข้ามาสิ ทุกคนที่เข้ามา พวกข้าจะแทงมันจนกลายเป็นรังผึ้ง

    แต่ขณะได้เห็นผู้ที่เดินเข้ามาเพียงลำพังจากกลุ่มโจร เหล่าศิษย์จอมเวทที่เรียงอยู่ด้านหน้าก็ตกตะลึง

    ฝ่ายตรงข้ามคือบุรุษสวมชุดคลุมกว้างหลากสีของลัทธิอู้อี๋

    “เป็นของปลอม! ไม้นี้พวกมันเคยใช้แล้ว!” มีคนตะโกนจากในขบวน

    แต่ในขณะที่พวกมันมองดูเงาร่างที่มือหนึ่งถือคบเพลิงอีกมือหนึ่งยันไม้เท้าเอาไว้นั้นอย่างละเอียด กลับเงียบเสียงพร้อมกัน

    เนื่องเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นั้นไม่ผิดแผกแตกต่างกับท่านเทพจอมเวทปัวหลง ศีรษะล้านเลี่ยน บนแก้มสองมีรอยสักคาถาสีดำอย่างถี่ยิบ ทว่าดูร้ายกาจกว่าจอมเวทเสียอีก

    “ข้าคือ ‘เทพเจ้าต้าหยวนหม่าน’ แห่งลัทธิอู้อี๋ ครานี้จุติลงมาจากแดนสัตย์จริงเพื่อเผยแผ่บารมีลัทธิ และอำนวยอวยพรหรือลงทัณฑ์สาวกโดยเฉพาะ ผู้ใดกล้าขัดขวาง!”

    รูปร่างเทพเจ้าต้าหยวนหม่านผู้นี้ล่ำหนา แม้ไม่สูงใหญ่เท่าจอมเวทปัวหลง แต่ดวงตาพยัคฆ์กลมโตทั้งสองแผ่ความน่าเกรงขามเต็มเปี่ยม กอปรเสียงดั่งระฆังใหญ่ ยามตะโกนกึกก้องทั้งขุนเขาและสะท้านใจคน

    ศิษย์จอมเวทต่างอยู่ในเงามืดสลัว ครั้นเมื่อเทพเจ้าผู้นี้ถือคบเพลิงลุกโชนปรากฏตัวก็เห็นทั่วร่างคล้ายแผ่ความน่าเกรงขามลึกลับชนิดหนึ่งออกมา แสงเงาวูบวาบที่ฉายทอดบนร่างมันยิ่งเกิดรูปร่างแปลกประหลาด

    เทพเจ้าต้าหยวนหม่านผู้นี้ย่อมเป็นหยวนซิ่ง บทพูดที่อ้างตัวว่าเป็น ‘เทพเจ้าจุติ’ นั้น ล้วนมาจากคำพูดของศิษย์จอมเวทที่เคยถูกจับในเมืองก่อนหน้า กอปรกับเนื้อเพลงลัทธิอู้อี๋ที่จิงเลี่ยได้ยินขณะลอบขึ้นเขาคืนก่อน และให้หวังโส่วเหรินช่วยเรียบเรียง

    นี่คืออุบายที่หวังโส่วเหรินคิดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามใช้ศรัทธาอันบ้าคลั่งควบคุมศิษย์ กระตุ้นให้พวกมันต่อสู้ฆ่าคน ฝ่ายเราเองก็ยืมใช้มันก่อกวนศัตรูได้ นี่คือสงครามแห่งจิตใจ

    ยามนี้กลุ่มโจรภูเขาและผู้กล้าเบื้องหลังหยวนซิ่งต่างคลอเพลงพื้นบ้านขึ้นมาพร้อมกันตามคำสั่งของใต้เท้าหวัง เป็นท่วงทำนองเพลงสรรพสิ่งดับหวนคือสัจธรรมที่จิงเลี่ยเคยฟัง

    สุ้มเสียงประสานของคนหลายร้อยคนประหนึ่งดังขึ้นจากทั่วทุ่งนาป่าเขา บรรยากาศลึกลับเข้มข้นขึ้นยิ่งขึ้น กลุ่มศิษย์จอมเวทที่เฝ้าอยู่หลังประตูไม่รู้จะทำอย่างไรไปพักหนึ่ง บางคนขยับปากตามท่วงทำนองโดยไม่รู้ตัว

    “รับใช้เทพถือสัตย์ควร เผยแผ่คำสอนเกรียงไกร!” หยวนซิ่งร้องเสียงดังไปพลางเดินเข้าใกล้ซุ้มประตูไปพลาง “ศิษย์ภักดีลัทธิข้า ยังไม่คุกเข่าให้ข้าอีก!?”

    หยวนซิ่งเดิมทีเติบโตในวัด ได้ยินน้ำเสียงขณะหลวงจีนอาวุโสในวัดเทศนาจนชินแล้ว บัดนี้เลียนแบบขึ้นมาจึงเหมือนกับต้นฉบับโดยแท้จริง มันยังสวดประโยคที่ไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจออกมาอีกจำนวนมาก ซึ่งความจริงคือบทสวดสันสกฤตที่มันเคยท่องจำในวัดเส้าหลินกอปรกับการผสมปนเปส่งเดช สำหรับศิษย์จอมเวทแล้วที่หยวนซิ่งสวดหาได้เหมือนคาถาลัทธิอู้อี๋ที่จอมเวทปัวหลงสวดในยามปกติไม่ แต่หยวนซิ่งกลับท่องได้เป็นเรื่องเป็นราวยิ่งนัก คล้ายกำลังกล่าวภาษาลึกลับอันใดอยู่ พวกมันจึงยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น

    ในกลุ่มศิษย์จอมเวทความจริงมีไม่น้อยที่เหมือนกับฮั่วเหยาฮวาและหานซือเต้าคือไม่เชื่อคำสอนที่ว่า ‘สังขารแตกดับวิญญาณหวนคืน’ อะไรนั่นอย่างสิ้นเชิง แต่พวกมันเพิ่งได้เสพยาจำพวกผงฝ่างเซียนหรือลูกกลอนเจาหลิงจึงมีอารมณ์ร่วมกับผู้ศรัทธาข้างกายอย่างง่ายดายมาก

    ศิษย์จอมเวทที่ยืนอยู่แถวหน้ามีคนสองคนเชื่อฟังที่หยวนซิ่งกล่าวจริงๆ และลดอาวุธคุกเข่าลงตรงนั้น

    หยวนซิ่งเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นจนมองเห็นสถานการณ์กลุ่มศิษย์จอมเวทที่วางกำลังอยู่หลังซุ้มประตู

    …ได้ผลแล้ว…ขอเพียงให้ข้าเข้าใกล้อีกเล็กน้อย

    แต่ในยามนี้เองด้านหลังสุดของขบวนกลุ่มศิษย์จอมเวทพลันมีสุ้มเสียงดังกังวานชวนฟัง แต่ก็เยียบเย็นจนชวนให้ขนพองสยองเกล้าถ่ายทอดมา

    “ชำแหละของปลอมที่ดูหมิ่นลัทธิผู้นี้!”

    สุ้มเสียงนี้ประหลาดยิ่งนักเหมือนเปล่งมาจากหอสูงสองชั้น กองกำลังกลุ่มศิษย์จอมเวททั้งหมดด้านล่างล้วนได้ยิน

    หยวนซิ่งมองเห็นศิษย์จอมเวทที่ตกอยู่ในความสับสนแต่เดิมจำนวนมากนั้นในแถวหน้า แววตาเปลี่ยนเป็นได้สติในชั่วขณะ

    เพียงประโยคเดียวก็มีอิทธิพลเช่นนี้ หยวนซิ่งย่อมเดาออกว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้ใด

    จอมเวทปัวหลงขี่อยู่บนม้าสูงใหญ่เป็นพิเศษถลึงดวงตากลมโตก้มมองไปด้านหน้า มันมาคุมทัพด้วยตัวเองอยู่กึ่งกลางด้านหลังสุดพร้อมใช้แถบผ้ามัดแขนเสื้อของชุดคลุมหลากสี เตรียมชักกระบี่สู้รบด้วยตัวเอง

    หยวนซิ่งแม้ไม่เคยเห็นจอมเวทมาก่อน แต่ได้ยินว่ามันคือยอดฝีมือวิชากระบี่อู่ตังของแท้แน่นอน หัวใจจึงยิ่งลุกโชนความปรารถนาต่อสู้ขึ้นมา

    มันรู้ว่าอุบายหลอกศัตรูนี้ถึงขีดจำกัดแล้วจึงโยนคบเพลิงในมือซ้ายลงไปยังหน้าผาข้างเส้นทางเขาอย่างฉับพลัน

    หยวนซิ่งราวกับหายวับไปต่อหน้าต่อตากลุ่มศิษย์จอมเวท

    นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่หยวนซิ่งดึงดูดสายตาของพวกมันทั้งหมดไวไ เมื่อแสงสว่างวูบดับลงดวงตาของกลุ่มศิษย์จอมเวทเองจึงเสมือนมืดบอดไปชั่วคราว

    นี่ก็เป็นอุบายที่หวังโส่วเหรินกำชับหยวนซิ่งเพื่อสร้างช่องโหว่อันแสนสั้นอย่างยิ่งออกมา

    และหยวนซิ่งก็อาศัยในช่องโหว่นี้พิชิตระยะห่างที่เหลือ

    มันใช้เพียงอึดใจเดียวเปิดฉากต่อสู้

    รองเท้าหลวงจีนถีบพื้นอย่างแรง

    เรือนร่างล่ำสันดั่งสัตว์ร้ายวิ่งเตลิดไปยังกึ่งกลางซุ้มประตู

    ไม่มีที่ว่างให้หันหลังกลับแล้ว

    ชั่วขณะนี้หยวนซิ่งพลันนึกถึงวัยเด็กขณะอยู่วัดเส้าหลิน อาจารย์ทวดใหญ่เหลี่ยวเฉิงเคยจูงมือมันกล่าวหลักการมากมาย

    หลักการเหล่านั้นแต่ไรมามันไม่เคยจดจำใส่ใจ แต่ตอนนี้ล้วนนึกออกแล้ว แม้ยังมิกล้าบอกว่าเข้าใจทั้งหมด

    บางทีการที่ข้าเกิดมาบนโลก ถูกส่งขึ้นไปฝึกยุทธ์ที่วัดเส้าหลินและลงเขาเพราะสำนักอู่ตัง…ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเพื่อเวลาเช่นนี้

    พลีชีพลืมความตายได้ เพื่อวิถีทางที่ถูกต้อง

    หยวนซิ่งล้วงหน้ากากยักษาครึ่งซีกออกมาจากใต้ชุดคลุมหลากสีประกบบนใบหน้าขณะวิ่ง

    มันแปรเป็นผีร้ายที่เดือดดาลในพริบตา

    ยามนี้ด้านหลังมันก็มีเงาร่างอื่นๆ พุ่งตามเข้ามาติดๆ

    หยวนซิ่งเดินลอดผ่านเสาประตูที่แขวนธงแดงสองแถบนั้นมา

     

    ศิษย์ที่ถูกเสียงจอมเวทปัวหลงปลุกให้ได้สติยามนี้กำลังจัดขบวนต้านรับศัตรูอีกครั้ง พวกมันแม้มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็รู้สึกได้ถึงอำนาจรุนแรงที่พุ่งเข้ามาในขอบเขตสังหารแล้ว

    กลุ่มศิษย์จอมเวทล้อมขนาบพื้นที่ว่างหลังซุ้มประตูเอาไว้สามด้าน ศิษย์หลายคนที่ยืนอยู่แถวที่สองจากด้านหน้ายกแขนขึ้นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง นิ้วมือพลันดึงสลักลวดยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้ออาบพิษผนึกโลหิตสังหารออกพร้อมกัน

    หยวนซิ่งเตรียมการไว้ก่อนแล้ว พอผ่านซุ้มประตูมันก็เบี่ยงกายหันร่างซีกซ้ายไปยังด้านหน้า ยกไหล่ซ้ายขึ้นกำบังลำคอ ซ้ำยังงอแขนซ้ายขึ้นปกป้องดวงตา มันรักษาท่วงท่าเช่นนี้พุ่งเข้าหากลางขบวนศัตรูด้วยความเร็วสูงสุด

    เกาทัณฑ์แขนเสื้อหกดอกยิงเข้าแขนซ้ายและลิ้นปี่ ปักเข้าชุดคลุมหลากสีตัวนั้นของมัน

    ศิษย์จอมเวทแถวหน้าเห็นอาวุธลับเข้าเป้าทั้งหมดในคราวเดียวก็กำลังจะลิงโลด…

    พลันมีเงาหนึ่งดุจมังกรร้ายออกจากถ้ำ

    ศิษย์จอมเวทที่ถือทวนยาวคนหนึ่งสันจมูกระเบิดเป็นเลือดร่างหงายทับพวกพ้องแถวหลัง

    …มันมิได้ถูกพิษ!

    นี่ย่อมเป็นเพราะลูกเกาทัณฑ์พิษล้วนถูกเกราะมนุษย์ทองคำที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดคลุมของหยวนซิ่งต้านทานเอาไว้

    หยวนซิ่งใช้เกราะป้องกันฝืนพุ่งไปยังกึ่งกลางขบวนศัตรูตามที่หวังโส่วเหรินกำชับ แผนการของหวังโส่วเหรินคือกลุ่มศิษย์จอมเวทแม้ได้เปรียบจากการโอบล้อมสามด้าน แต่ปีกสองฝั่งด้านข้างมิอาจใช้อาวุธลับขว้างซัด เพราะหากยิงพลาดก็จะถูกสหายร่วมรบที่อยู่ตรงข้ามได้ง่ายดายนัก ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงศิษย์จอมเวทตรงกลางที่ยิงเกาทัณฑ์ได้

    แม้ศิษย์จอมเวทห้าสิบคนที่ตายในอำเภอหลูหลิงก่อนหน้าจะไม่สนใจความปลอดภัยตนเองและยิงส่งเดชท่ามกลางศึกติดพัน แต่หวังโส่วเหรินเชื่อมั่นว่าพอถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ศิษย์ที่เหลืออยู่ของจอมเวทปัวหลงย่อมไม่มากแล้ว ไม่อาจสละชีพพร่ำเพรื่อได้อีก จึงต้องควบคุมวิธีต่อสู้ของศิษย์จะได้ไม่มีความสูญเสียรุนแรงเช่นนี้อีก อนึ่งจอมเวทปัวหลงได้คัดเลือกชัยภูมิที่เอื้อประโยชน์และวางค่ายกลกำหนดชัยชนะแล้ว ยิ่งไม่มีทางให้ศิษย์ห้ำหั่นกันเองจนตกสู่ความชุลมุนให้รูปขบวนพังทลาย

    …จอมเวทปัวหลงยิ่งวางแผนด้วยสติปัญญา หวังโส่วเหรินกลับยิ่งรับมือมันได้ง่าย

    พลองเสมอคิ้วหกเหลี่ยมของหยวนซิ่งยืดหดปานฟ้าแลบ กลุ่มศิษย์จอมเวทยังมิทันมองชัดว่าสิ่งที่แทงออกมาคืออาวุธใด มันชักพลองกลับเข้าอ้อมอก ฝ่ามือพลิกจับลากหัวพลองอีกปลายหนึ่งหอบเอาฝุ่นทรายม้วนขึ้นมา ตวัดจากล่างสู่บนโจมตีใส่จุดสำคัญตรงหว่างขาศิษย์จอมเวทอีกคนหนึ่งอย่างแรง

    เพลงพลองเส้าหลินทรงพลังยิ่งนัก ศิษย์จอมเวทผู้นั้นถูกหวดจนลอยขึ้นจากพื้น ร่างที่สิ้นสติปลิวตกไปในฝูงชนแถวหลัง

    กลุ่มศิษย์จอมเวทถูกกระตุ้นจากยาและเสียงสวดคาถา ไอสังหารที่สั่งสมไว้พลันระเบิดออก กองกำลังแถวหน้าร้องตะโกนเหมือนสัตว์คำราม ทวนยาวห้าเล่มแทงปราดไปยังหยวนซิ่งอย่างเร่งร้อน

    หยวนซิ่งกัดฟัน ต้องใช้แผนการและเสี่ยงอันตรายมากมายจึงพุ่งมาถึงระยะนี้ได้ มันมิอาจถอยเป็นอันขาด หากถอยเพียงนิดอาวุธลับอาบพิษของศัตรูจะต้องซัดออกมาอีกเป็นแน่

    มันเผชิญหน้ากับทวนคมห้าเล่ม สองเท้าแยกออกครึ่งส่วน มือทั้งสองจับพลองเสมอคิ้วใช้ท่ายกกระถางขึ้นสกัดรับ ในขณะเดียวกันก็เกร็งเปล่งพลังที่จุดตันเถียนใต้ช่องท้อง ทั่วร่างใช้พลังแกร่งวิชาภูษาเหล็กของเส้าหลินและใช้วิชายืมภาวะจินตนาการว่าร่างตนแปรเป็นเหล็กแข็งก้อนหนึ่ง

    พลองเสมอคิ้วทำได้เพียงสกัดทวนออกไปสองเล่ม ที่เหลืออีกสาม…เล่มหนึ่งแทงเข้าหัวไหล่มันแต่ถูกเกราะทองสำริดต้านไว้ได้และครูดผ่านไป ทวนอีกสองกลับแทงเข้าหน้าอกและชายโครงด้านซ้ายของมันอย่างจัง

    แม้ปลายทวนจะแทงไม่ทะลุแผ่นเกราะทองสำริด แต่พลังรุนแรงยังคงผ่านเข้าสู่ร่างกาย วิชาภูษาเหล็กของหยวนซิ่งมิอาจส่งผ่านแรงได้เพียงพอเพราะต้องแกว่งพลองป้องกันไปด้วย จึงมีพลังเพียงห้าส่วนของยามปกติ แรงกระแทกจากทวนทั้งสองพลันทำให้ท้องไส้มันปั่นป่วน

    ทว่ามันฝืนทนความเจ็บปวดนี้ไว้

    มิอาจหวั่นไหวเด็ดขาด! แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อย!

    หยวนซิ่งกลั้นหายใจและยันด้ามทวนสองเล่มที่ขัดอยู่บนพลองกลับไป ศิษย์จอมเวทที่ถือทวนสองคนนั้นยืนไม่อยู่จึงชนเข้ากับสหายข้างกาย

    ยามนี้กลุ่มศิษย์จอมเวทที่ล้อมขนาบซ้ายขวาก็บุกมาถึงแล้ว อาวุธหลากหลายเล่มล้วนฟันแทงมายังด้านหลังของมันจากทั้งสองฟาก

    หยวนซิ่งรู้สึกดังตอนฝ่าเข้าส่วนลึกของตรอกมนุษย์ไม้วัดเส้าหลิน รอบกายล้วนเป็นศัตรูแข็งแกร่งโอบล้อม มองไม่เห็นทางออกโดยสิ้นเชิง

    แต่ไม่เหมือนกับตรอกมนุษย์ไม้ ครั้งนี้มันหาได้อยู่เพียงลำพังไม่

    กลุ่มศิษย์จอมเวทยามนี้จึงพบว่าเรือนร่างกว้างหนาของหยวนซิ่งบดบังไม่ให้เห็นการมาถึงของอีกคนหนึ่งเบื้องหลัง

    ประกายคมสั้นหนึ่งยาวหนึ่งวูบขึ้น

    กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย

    ดวงตากระจ่างใสทั้งสองของเยียนเหิงเปล่งประกายอันเด็ดเดี่ยวในความมืดมน

    มันควงกระบี่ด้วยท่า ‘กระบี่กระสวยกลม’ สำนักชิงเฉิงอย่างต่อเนื่อง หนามมังกรและเจ้าพยัคฆ์สับเปลี่ยนกันด้วยความเร็วสูง ราวกับแปรเป็นลูกตุ้มล้อมคมลูกหนึ่งอยู่ด้านหลังหยวนซิ่ง

    คมดาบพุ่งทะยาน ด้ามทวนหักสะบั้น

    อาวุธที่ปรี่ไปยังแผ่นหลังหยวนซิ่งถูกกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียต้านทานออกไป

    กระบวนท่านี้ความจริงค่อนข้างอันตราย ปลายอันเฉียบคมไร้เทียบเทียมของกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย ทั้งหมดล้วนโฉบผ่านบริเวณไม่กี่ชุ่นหน้าแผ่นหลังหยวนซิ่ง

    นี่คือความเชื่อใจ…หยวนซิ่งเชื่อในความแม่นยำของเยียนเหิง เยียนเหิงเองก็เชื่อถือว่าหยวนซิ่งจะต้านแรงกดดันจากทวนศัตรูเอาไว้ได้จึงไม่ถอยสักชุ่นเดียว

    หยวนซิ่งได้เยียนเหิงคุ้มกันด้านหลังจึงสบโอกาสหายใจเข้าออก ข่มความเจ็บปวดภายในช่องท้องเอาไว้และจดจ่อกับการโจมตีตรงหน้า มันเปลี่ยนกลับเป็นตั้งมือจับโคนของพลองเสมอคิ้ว ควงหัวพลองหมุนวนไปมา สยบขบวนศัตรูตรงกลางเอาไว้

    ในขณะเดียวกันเยียนเหิงก้าวลึกเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ใช้กระบี่คู่โจมตีไปยังด้านขวาข้างลำตัว คุ้มกันร่างกายซีกขวาที่ไม่มีเกราะทองสำริดหยวนซิ่ง

    จอมยุทธ์เส้าหลินและชิงเฉิงรวมพลังสำแดงอานุภาพแท้จริงแห่งเก้าสำนักใหญ่ในใต้หล้าออกมา

    เบื้องหน้ามีศิษย์จอมเวทอีกคนหนึ่งหลบหลีกไม่ทัน ถูก ‘ท่าปัดหมอก’ แห่งพลองราชากินนรของหยวนซิ่งโจมตี หัวพลองห่อหุ้มด้วยแผ่นเหล็กฝังหมุดทองแดงฟาดเข้าหูซ้ายมันจนเลือดกองหนึ่งพุ่งออกมาจากรูหูอีกข้าง กระอักเลือดสิ้นชีพในทันที

    ที่ด้านหลัง เยียนเหิงใช้กระบี่สั้นเจ้าพยัคฆ์มือซ้ายรับดาบเดี่ยวที่ฟันไปยังศีรษะหยวนซิ่งเอาไว้ ขณะที่ประกายคมสีเหลืองทองของกระบี่ยาวหนามมังกรด้านขวาพุ่งพรวดเสียบเข้าคอหอยของมือดาบผู้นั้น ครั้นแล้วก็ชักเจ้าพยัคฆ์กลับมาฟันไปยังใต้รักแร้ขวาของศัตรูอีกผู้หนึ่ง โจมตีถูกกำปั้นที่ถือขวานศึกข้างหนึ่ง นิ้วมือสามนิ้วและขวานหลุดลอยพร้อมกัน

    ได้ผ่านการประมือกับจอมเวทปัวหลงหนึ่งศึก กระบี่คู่ของเยียนเหิงจึงแม่นยำและต่อเนื่องยิ่งกว่าก่อนหน้า อีกทั้งเริ่มชำนาญการใช้จุดเด่นและคุณสมบัติพิเศษที่ต่างกันของกระบี่ล้ำค่าทั้งสองเล่ม อานุภาพดั่งมือกระบี่สองคนที่ต่างถือกระบี่คมสั้นยาวร่วมกันทำศึก

    แต่เมื่อเยียนเหิงตั้งใจคุ้มกันด้านขวาของหยวนซิ่งเท่ากับส่งแผ่นหลังของตนเองให้ศัตรูอีกด้าน มือดาบคนหนึ่งในขบวนซ้ายของกลุ่มศิษย์จอมเวทแลเห็นโอกาสที่มิอาจพลาด จึงใช้ดาบใบหลิวแทงใส่หัวใจของเยียนเหิงจากด้านหลัง

    กระแสลมกระบี่อีกหอบหนึ่งพัดขึ้น

    เป็นคมกระบี่สีดำที่แทบจะกลมกลืนไปในความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง

    แต่พลังกระบี่มิต้องใช้ดวงตาไปมองก็รับรู้ได้

    ดาวไล่เดือน กระบี่เพลิงวายุแห่งสำนักชิงเฉิง

    ศอกขวาศิษย์จอมเวทผู้นั้นยังมิทันเหยียดสุดก็ถูกกระบี่เร็วแทงถูกเส้นเอ็นจนสูญเสียแรงดาบร่วง มันร้องอย่างน่าเวทนาพลางถอยไปด้านหลัง

    พอกระบี่สงัดนิ่งแทงออกสำเร็จก็เก็บกลับ

    เงาร่างอรชรเข้ามาสนับสนุนอยู่ด้านหลังของเยียนเหิงและข้างหลังของหยวนซิ่งแล้ว

    คุณหนูถงมาถึงแล้ว!

    กลุ่มศิษย์จอมเวทในขบวนซ้ายเห็นว่าผู้ที่ปรากฏตัวคือหญิงสาวที่งามหยาดเยิ้มเช่นนี้ยิ่งปลุกเร้าสันดานสัตว์ของพวกมัน มีสามคนกระโจนโจมตีใส่ถงจิ้งพร้อมกัน

    ถงจิ้งขณะนี้นึกถึงคำพูดของเลี่ยนเฟยหงอีกครั้ง

    คนที่ไม่เชื่อตนเองจึงกลายเป็นภาระของผู้อื่น…

    นางแต่ก่อนเพียงชมชอบกระบี่ แต่ขณะนี้นางกำลังใช้ความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนไปต่อสู้

    เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของคนมากมาย…

    และเพื่อผู้บริสุทธิ์ที่ตายไปเหล่านั้น…

    เงาร่างถงจิ้งขยับไหว ร่างอรชรหมอบเตี้ยกว่าเดิม ปล่อยให้ทวนยาวเล่มหนึ่งที่โจมตีมาโฉบผ่านศีรษะไป และใช้ท่าทลายบึงท่าที่เจ็ดแห่งกระบี่เพลิงวายุฟันเฉียงไปยังเข่าขวาของคนผู้นั้น

    ยามนี้ถงจิ้งรู้สึกว่าศัตรูอีกคนหนึ่งโจมตีมาจากข้างซ้าย นางจำคำสอนของเลี่ยนเฟยหงได้ ขณะรบหมู่อย่าใช้กระบี่ฟันแทงลึกจนเกินไป เพราะนางแรงน้อย หากไม่ระวังปล่อยให้คมกระบี่ฝังลึกเข้าร่างกายศัตรูก็จะชักกระบี่ออกมารับมือคนต่อไปไม่ทัน ท่าทลายบึงเมื่อครู่นางจึงใช้เพียงปลายกระบี่สองชุ่นเฉือนจุดอ่อนของศัตรู นางดึงกระบี่สงัดนิ่งกลับมาพร้อมหมุนต่อด้วยท่า ‘คลี่พัด’ ท่าที่เก้าแห่งกระบี่เพลิงวายุอย่างราบรื่นปราศจากอุปสรรค ตัวกระบี่ดิ่งตรงโฉบไปยังด้านซ้ายพร้อมใช้มือซ้ายพาดบนข้อมือขวา ขวางสกัดดาบเดี่ยวที่แทงมาของคนที่สองไว้ได้พอดี

    กระบวนท่าคลี่พัดนี้คือกระบวนท่ากระบี่ป้องกันขนานแท้ของสำนักชิงเฉิง ใช้วงโคจรแนวโค้งเคลื่อนที่แต่ไม่ฝืนสกัด กอปรกับถงจิ้งเข้าใจแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองด้วยการใช้มือซ้ายช่วยเสริมพลัง ด้วยเหตุนี้แม้นางไม่ทรงพลังเท่าคู่ต่อสู้ แต่ก็ต้านการฟันอย่างรุนแรงเอาไว้ได้

    ขณะที่ต้านเอาไว้ถงจิ้งกลับรู้สึกคุ้นตาดาบของฝ่ายตรงข้าม ที่แท้มิใช่อื่นใด เป็นดาบปีกปักษาของจิงเลี่ย…คราก่อนมันถูกเหมยซินซู่ชิงไปจากที่นี่และถูกศิษย์จอมเวทผู้นี้ยึดไปใช้

    ถงจิ้งฝึกฝนกระบี่เพลิงวายุกับเยียนเหิงเพื่อประกระบี่ได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงคุ้นเคยกับการรับมือกับความรู้สึกขณะปะทะอาวุธ เมื่อสัมผัสได้ว่าดาบปีกปักษาของฝ่ายตรงข้ามดีดออกไปก็เปลี่ยนกระบวนปานฟ้าแลบ ฝ่ามือซ้ายยังคงตบบนข้อมือขวาที่กุมกระบี่ แขนทั้งสองยกขึ้นพร้อมกันตามท่าหมุนเอวเป็นท่าอินทรีสยายปีกท่าที่สิบสองของกระบี่เพลิงวายุ ตวัดขึ้นจากล่างสู่บนของกึ่งกลางลำตัว

    ปลายคมของกระบี่สงัดนิ่งกรีดออกเป็นทางโลหิตตรงดิ่งหนึ่งสายกลางลำคอและคางของมือดาบผู้นั้น

    ขณะเดียวกันศิษย์จอมเวทคนที่สามเข้าก็มาฟันดาบพัวเตาแสกหน้าถงจิ้งจากทางด้านขวา

    เดิมถงจิ้งจะกระโดดหลบหลีกก็ย่อมได้ แต่นางปฏิเสธ

    หากข้าหลบก็จะเผยช่องโหว่ที่แผ่นหลังของหลวงจีนกับเยียนเหิง จะหนีมิได้เป็นอันขาด

    นางขบกรามกรอด ยืมท่าทางตวัดกระบี่ของอินทรีสยายปีก ขวางกระบี่สงัดนิ่งไว้บนศีรษะ ใช้ท่า ‘ชายคาสวรรค์’ ป้องกันหน้าผากเอาไว้ ครั้งนี้ต้องฝืนสกัดจริงๆ แล้ว

    ดาบพัวเตาฟันถูกตัวกระบี่ระเบิดสะเก็ดไฟออกมา เกือบทำให้กระบี่สงัดนิ่งกระแทกถูกศีรษะถงจิ้ง

    ศิษย์จอมเวทที่ถือดาบพัวเตาผู้นั้นเดิมอาศัยความได้เปรียบนี้กดดันต่อไปก็ย่อมได้ แต่มันแลเห็นพวกพ้องสองคนกลับล้มพับลงใต้กระบี่เร็วของสตรีนางนี้ในอึดใจก็อดมิได้ที่จะลนลาน รีบลากดาบพัวเตากลับไปคุ้มกาย หมายจะดูสถานการณ์ให้ชัดก่อนค่อยว่ากัน

    ทว่าถงจิ้งรับรู้ถึงความขลาดกลัวในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว และเห็นประจวบเหมาะ…

    นี่คือโอกาสสุดวิเศษ!

    แขนขวาถงจิ้งเก็บกระบี่ สั่งสมพลังหมายแทงออกอีกครั้ง

    ศิษย์จอมเวทผู้นั้นเห็นท่ากระบี่จะปล่อยออกจึงยกด้ามยาวของดาบพัวเตาขึ้นสกัดอย่างเร่งด่วน

    แต่กระบี่กลับไม่ปล่อยออก เพราะนี่คือกระบวนท่าลวง

    เป็นเพลงผลัดลวงคงถงที่เลี่ยนเฟยหงพยายามถ่ายทอดให้นาง ครึ่งหัตถ์หนึ่งหทัย

    กระบี่สงัดนิ่งใช้ความต่างของเวลาอันละเอียดอ่อนเปิดฉากขณะฝ่ายตรงข้ามยกด้ามขึ้นได้เพียงครึ่งหนึ่ง ใช้ท่า ‘ค่างขาวขว้างหิน’ ของเพลงกระบี่ฝึกมือสิบห้ากระบวนแห่งสำนักคงถงทิ่มแทงจากใต้ด้ามดาบ เสียบเข้าคอหอยของคนผู้นั้น

    ถงจิ้งเก็บกระบี่ยาวสีดำด้านที่เปื้อนโลหิตสดของคนทั้งสามกลับมายกขวางไว้ด้านหน้าและยืดตัวอย่างทะนงอยู่ด้านหลังหยวนซิ่งกับเยียนเหิง ความจริงนางยังคงหวาดกลัวอยู่ในใจ เมื่อครู่ตนใช้หนึ่งต้านสามนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็รอดมาได้อย่างฉิวเฉียด

    แต่ในสายตากลุ่มศิษย์จอมเวทกลับเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พวกมันมองเห็นคือสตรีบอบบางที่ดูคล้ายลมพัดก็ปลิวนางนี้ใช้กระบี่เร็วปานฟ้าแลบสังหารสามคนติดต่อกันในพริบตา

    กระทั่งดรุณีน้อยนางเดียวก็ร้ายกาจเพียงนี้…พวกมันคือผู้ใดกันแน่

    ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มศิษย์จอมเวทจากการเห็นถงจิ้ง หนักหนากว่าหยวนซิ่งและเยียนเหิง

    หยวนซิ่ง เยียนเหิง และถงจิ้งนักสู้ทั้งสามตั้งขบวนเป็นรูปอักษรผิ่น (品) เฉียงๆ ดั่งมีดปักเข้าค่ายจันทร์เสี้ยวของกลุ่มศิษย์จอมเวท อำนาจของพวกมันเฉียบคมไม่ธรรมดา พริบตาเดียวก็มีแปดคนถูกคมอาวุธสังหาร

    “บุกอีก!” หยวนซิ่งตะโกนพลางยกพลองเสมอคิ้วขึ้น เท้าขวาที่อยู่ด้านหลังถีบพื้น เข่าซ้ายยกขึ้นกระโดดไปข้างหน้า ใช้ท่าสืบเท้าฟาดบรรพตครึ่งก้าวโจมตีตรงไปข้างหน้าโดยยังคงเบี่ยงกายใช้เกราะมนุษย์ทองคำครึ่งซีกป้องกันตัวเอง

    ทวนสองเล่มที่เคยแทงมันก่อนหน้าหมายจะเสือกมาอีก แต่ท่าพลองหยวนซิ่งเร็วยิ่งยวด ออกหลังบรรลุก่อน ฝืนโจมตีด้ามทวนที่แทงมากลางคันจนหักทั้งสองเล่ม แรงที่เหลือยังหวดลงสู่ด้านล่างโจมตีบนฝ่าเท้าคนหนึ่งในนั้นเนื้อแตกกระดูกหักในทันใด

    การโจมตีอย่างรุนแรงของหยวนซิ่งทำให้จิตใจของศิษย์จอมเวทแถวหน้าสั่นสะท้าน ใครก็กลัวหัวพลองเหล็กที่ตีก้อนหินจนแหลกได้ง่ายดายนั้น แม้กระทั่งยาและคาถาของลัทธิอู้อี๋ก็สะกดสัญชาตญาณกลัวหัวหดไว้มิได้ ขบวนรบตรงกลางถอยผลักกันและกัน ก่อเป็นความวุ่นวายขึ้นจนร่นไปข้างหลังสองก้าว

    กลุ่มศิษย์จอมเวทซ้ายขวาสองปีกเกรงว่าค่ายจันทร์เสี้ยวจะขาดและปรากฏช่องโหว่จึงต้องถอยตามเพื่อรักษาแนวรบ

    …นักสู้ทัพอาสาใช้แรงของสามคนก็โจมตีจนค่ายใหญ่ร้อยคนของจอมเวทต้องถอยหลังได้

    เยียนเหิงและถงจิ้งสืบเท้าตามหยวนซิ่งไปติดๆ ยกกระบี่ระแวดระวังซ้ายขวา

    จอมเวทปัวหลงที่มองดูลงมาจากม้าด้านหลังสุดของขบวนรบ ในดวงตาลุกโชนเพลิงโทสะ มันจ้องเขม็งไปยังหยวนซิ่งที่อยู่นอกฝูงชน

    มีคนเช่นนี้เพิ่มมาอีกหนึ่ง…มาจากที่ใดกันแน่

    จอมเวทปัวหลงคิดว่าหยวนซิ่งเพียงโกนศีรษะเลียนแบบมัน เนื่องจากรอยตราศีลตรงหน้าผากถูกอักขระปลอมที่เขียนด้วยหมึกดำกลบทับจึงมองไม่ออกว่ามันคือหลวงจีน หาไม่ต้องคิดโยงถึงวัดเส้าหลินเป็นแน่

    “ห้ามถอย!” จอมเวทปัวหลงตะโกน มันไม่เคยร้อนใจอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ต่อหน้าเหล่าศิษย์

    การรุกเข้าไปของพวกหยวนซิ่งทั้งสามทำให้ที่ว่างหลังซุ้มประตูที่ถูกกลุ่มศิษย์จอมเวทล้อมจนเล็กแคบแต่เดิมพลันกว้างขวางไม่น้อยในทันที

    ทันใดนั้นคลื่นระลอกที่สี่แห่งการฝ่าด่านก็มาถึงแล้ว

    เหลียงฝูทงโจรภูเขาตาเดียวยกขวานคู่ขึ้นนำพี่น้องทัพหน้าแปดคนชุดแรก จัดเป็นสองแถวพุ่งเข้าซุ้มประตู

    “สู้ตาย!” ภายใต้การกู่ร้องเสริมอำนาจของเหลียงฝูทง โจรภูเขาด้านละสี่คนยกโล่ไม้กระดานขึ้นวิ่งเข้าไปรวมกับจอมยุทธ์ทั้งสามคนจากด้านหลัง

    โจรภูเขาเหล่านี้มิได้รับการฝึกฝนเหมือนพวกหยวนซิ่ง กอปรกับถือโล่อันหนักอึ้งจึงมิอาจตามขึ้นไปสมทบทัน กลุ่มโจรภูเขาทั้งสองด้านยังไม่ทันถึงแนวรบของเยียนเหิงและถงจิ้งก็ถูกปีกทั้งสองของทัพศัตรูสังเกตเห็น พวกศิษย์จอมเวทรู้ว่ามิอาจปล่อยไปจึงประดังกันเข้าโจมตีขัดขวางพวกมัน

    เหลียงฝูทงที่เดินอยู่ตรงกลางค่อนข้างฉับไว แต่ก็มิอาจดูแลทั้งสองฝั่ง ทำได้เพียงเลือกทางขวาและแกว่งขวานไปยังกลุ่มศิษย์ที่กรูเข้ามาด้านนั้นอย่างรุนแรง

    ศิษย์จอมเวทคนหนึ่งเพิ่งแทงทวนยาวออกก็ถูกโล่ของโจรภูเขาสกัดไว้ทันที ปลายทวนติดอยู่ในไม้กระดานดึงไม่ออกประเดี๋ยวหนึ่งจึงถูกขวานของเหลียงฝูทงฟันแสกหน้า

    โจรภูเขารู้ว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญจึงทุ่มเทกำลังมากยิ่งกว่ายามปกติ ใช้โล่ยันทวนดาบที่ฟันมาออกไปและพยายามดันเข้าไปอีกหลายก้าว ในที่สุดด้านขวาก็เชื่อมเป็นแนวเดียวกับเยียนเหิง

    แต่อีกด้านหนึ่งกลับวิกฤต โจรภูเขาที่บุกอยู่ด้านหน้าสุดแม้ยกโล่ต้าน แต่ประสบกับศิษย์จอมเวทที่สูงล่ำผิดปกติคนหนึ่งพอดี ดาบข่านเตาสันหนาอันหนักอึ้งของมันฟันมาจนโล่ของโจรภูเขาผู้นี้แตกพร้อมกะโหลกศีรษะ

    ถงจิ้งมองเห็นสถานการณ์นี้ แม้อยากเข้าไปช่วย ทว่าศิษย์จอมเวทหลายคนตรงหน้าของนางก็โรมรันแกว่งดาบตรึงนางไว้ ถงจิ้งมิกล้าห่างจากแผ่นหลังของหยวนซิ่งและเยียนเหิง จึงทำได้เพียงวกกระบี่ปราดแทงกระหน่ำเพื่อบีบพวกมันออก แต่ก็ไม่ว่างไปช่วยเหลือกลุ่มโจรภูเขา

    แลเห็นช่องโหว่ด้านซ้ายกว้างใหญ่จนรูปขบวนฝ่าด่านนี้ใกล้จะพังทลายแล้ว ระหว่างสามคนด้านหน้ากับกองหนุนกำลังจะถูกตัดขาด…

    เวหาพลันถ่ายทอดเสียงประหลาด

    ศิษย์จอมเวทสูงใหญ่ที่ฟันดาบข่านเตาเมื่อครู่หงายล้มไปด้านหลังตามเสียง บนหน้าปักไว้ด้วยมีดบินติดผ้าแดงเล่มหนึ่ง

    ศิษย์จอมเวทอีกคนหนึ่งข้างกายมันหันมองไปตามเสียง ทว่ามีดบินเล่มที่สองได้พุ่งจู่โจมมาอีกและปักเข้ากลางอกมัน

    ที่แท้บนยอดซุ้มประตูมีเงาร่างคล้ายนกยักษ์ตัวหนึ่งนั่งย่ออยู่ แสงจันทร์ส่องเคราขาวของมันที่ปลิวไสว

    ที่แท้เลี่ยนเฟยหงได้ใช้กรงเล็บเหล็กขโมยใจไต่ขึ้นไปบนยอดซุ้มประตูพร้อมกับตอนที่เยียนเหิงและถงจิ้งฝ่าด่านเข้าไปและคอยมองดูสถานการณ์ทั้งหมดจากที่สูง พอเห็นรูปขบวนปรากฏวิกฤตก็ปล่อยคมบินส่งวิญญาณไปอุดช่องโหว่นั้นทันที

    เลี่ยนเฟยหงสังหารสองคนรวดแล้วก็หาได้อยู่เฉยไม่ มันกระโดดลงจากยอดประตู มือซ้ายชักดาบโค้งแดนตะวันตกตรงข้างเอวออกมากลางอากาศ เท้าจรดพสุธากึ่งกลางขบวนฝ่ายตนและยืมแรงคงเหลือหลังตกพื้นวิ่งไปข้างหน้าอีกหลายก้าวก่อนยืนเคียงไหล่กับถงจิ้ง ดาบวงตะวันในมือพลิกตวัดฟาดดาบเล่มหนึ่งที่กำลังโจมตีถงจิ้งจนลอยหวือไปและโจมตีต้นขาของศิษย์จอมเวทคนหนึ่งจนล้มเลือดกระเซ็น

    ท่าทางทั้งหมดของเลี่ยนเฟยหง ตั้งแต่ลอยตัวชักดาบ แตะสัมผัสพื้นพุ่งไปข้างหน้าและโจมตี ท่วงท่าดุจเมฆเคลื่อนธาราไหล เห็นได้ชัดถึงกำลังเหนือธรรมดาของอดีตเจ้าสำนักคงถง

    ถงจิ้งเข้าสนับสนุนโดยไร้ซึ่งจิตใจว่อกแว่ก กระบี่สงัดนิ่งหันหามือดาบสองคนที่เหลือ ใช้ครึ่งหัตถ์หนึ่งหทัยหลอกศัตรูอีกครั้ง ครั้งนี้กลับชี้ซ้ายตีขวา กระบี่ทำท่าโจมตีไปยังคนด้านซ้ายก่อน ระหว่างครึ่งจังหวะอันละเอียดอ่อนกลับหมุนตัดไปยังอีกคนหนึ่ง

    เส้นเอ็นหน้าแขนข้างที่จับดาบของคนผู้นั้นถูกปลายกระบี่กรีดจนขาด มันแผดร้องทิ้งดาบโดดถอยอย่างเจ็บปวด

    เลี่ยนเฟยหงเหลือบเห็นถงจิ้งใช้กระบี่เร็วที่มันถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงประยุกต์ได้ก็ดีใจอย่างมาก

    อีกด้านหนึ่งของรูปขบวน เยียนเหิงเข้าร่วมกับเหลียงฝูทงและกลุ่มโจรภูเขาแล้วจึงลดความกังวลด้านหลังลง ยิ่งกล้าช่วยหยวนซิ่งบุกโจมตีด้านหน้ามากขึ้น ท่าต่อสู้ของมันเปลี่ยนเป็นเท้าซ้ายอยู่หน้า อาศัยเจ้าพยัคฆ์ที่ตัวคมกว้างหนาฟันอาวุธที่ยื่นมาของศัตรูเปิดทางออกไป หนามมังกรมือขวาแทงเข้าช่องโหว่อย่างรวดเร็วทันที ตาขวาของศัตรูรายหนึ่งแปรเป็นโพรงโลหิตอย่างฉับพลัน

    เป็นเด็กหนุ่มที่ทุกแห่งบนหน้าและร่างยังถูกพันแผลอยู่ชัดๆ แต่ความเร็วของกระบี่คู่สั้นยาวทั้งสองกลับทำให้กลุ่มศิษย์จอมเวทที่โหดร้ายล้วนเกิดความหนาวเหน็บในใจ

    “มาสิ!” เยียนเหิงยามนี้ยิงฟันกล่าวอย่างแน่วแน่ “จอมเวทของพวกเจ้าก็ถูกกระบี่ของข้าฟัน!”

    ประโยคนี้ย่อมเป็นหวังโส่วเหรินกำชับให้มันกล่าว แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องจริง…แม้ว่าแผลกระบี่ที่ได้รับบนร่างเยียนเหิงจะมากกว่าจอมเวทปัวหลงมากมายหลายเท่าก็ตาม

    กลุ่มศิษย์จอมเวทพอได้ยิน แม้ยังไม่เชื่อสนิท แต่ก็อดมิได้ที่จะเกิดความหวั่นไหวเล็กน้อย

    ขณะต่อสู้ด้านหลังยังมีโจรภูเขาอีกสิบกว่าคนถือโล่กรูเข้าซุ้มประตูมา ยิ่งเสริมให้ขบวนของทัพอาสาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

    บัดนี้พวกมันให้สี่นักสู้ของหกกระบี่บ้านแตกเป็นหัวลูกศรของทัพหน้า สองฝั่งจัดแถวโล่ไม้ป้องกันแน่นหนา รวมเป็นขบวนค่ายเหล็กหมาดปลายแหลมขนาดมหึมา

    ขบวนทลายด่านตามแผนการของหวังโส่วเหริน ผ่านความลำบากและอันตรายมากมายจนในที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

    …แต่ยังคงห่างไกลชัยชนะ

    บนเส้นทางเขานอกประตู หวังโส่วเหรินนำผู้กล้ากลุ่มใหญ่บุกไปพร้อมตะโกนสั่งการโจรภูเขาคนอื่นๆ ด้านหน้า “บุกเข้าไป! อย่าได้ถอย!”

    จอมเวทปัวหลงมองขบวนศัตรูเสียบเข้าด่านมาเหมือนเหล็กหมาดตาปริบๆ และกำลังฝืนขยายช่องโหว่ก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    ถ้าหากยึดตามพิชัยสงคราม ยามนี้จอมเวทปัวหลงควรละทิ้งการล้อมขนาบสองฝั่งจากค่ายจันทร์เสี้ยวเปลี่ยนเป็นค่ายทแยงมุม ต้านทัพหน้าศัตรูเอาไว้พลางผลักออกไปในขณะเดียวกัน รวบรวมพลังโจมตีไปข้างหนึ่ง หรือถือโอกาสเปิดประตูหลักเอง ล่อทัพหน้าศัตรูบุกลึกกว่าเดิมแล้วแนวรับซ้ายขวาสองเส้นทางตัดขาดส่วนหลังของมันปิดผนึกด่านซุ้มประตู ล้อมปราบกองทัพเดียวดายจำนวนน้อยที่ถลำลึกเข้ามา…

    ทว่าพวกมันเป็นเพียงโจรพเนจรที่จอมเวทปัวหลงรวบรวมมาเมื่อหลายปีก่อน หาได้ผ่านการฝึกฝนไม่ กลุ่มศิษย์จอมเวทยามปกติวางอำนาจบาตรใหญ่ ยิ่งไม่เคยมุ่งเน้นการร่วมมือต่อสู้ ส่วนมากมักจะต่างคนต่างสู้ ต่อให้พวกพ้องบาดเจ็บล้มตายก็ไม่มีจิตใจช่วยเหลือ บัดนี้จะให้พวกมันร่วมแรงร่วมใจปรับเปลี่ยนรูปขบวนจึงเป็นไปมิได้โดยแท้จริง

    อนึ่ง แม้จอมเวทปัวหลงมีแผนในใจ แต่มันเพียงมาจากสำนักอู่ตัง มิเคยเรียนพิชัยสงครามจริงๆ การจัดทัพรูปขบวนจันทร์เสี้ยวนี้ก็เพียงอาศัยสัญชาตญาณของนักสู้กระทำการ เทียบความสามารถสั่งการกับหวังโส่วเหรินที่ร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามตั้งแต่เล็กแล้วยังห่างไกลนัก

    หยวนซิ่งจดจำคำแนะนำของหวังโส่วเหรินได้ขึ้นใจ รู้ว่าแม้มาถึงขั้นนี้แต่รูปขบวนฝ่ายตนเองยังไม่มั่นคง มิอาจเฉื่อยชาได้

    “ตามมา!” มันตะโกนซ้ำยังถือพลองยื่นไปข้างหน้า เยียนเหิงและถงจิ้งเองก็ตามติดซ้ายขวา เป็นฝ่ายเปลี่ยนมุมบุกไปยังศัตรูมุมเฉียงด้านหน้าทั้งสองฝั่ง เลี่ยนเฟยหงอยู่แนวหลังคอยอาศัยประสบการณ์อันโชกโชนของมันประสานงานสนับสนุนซ้ายขวาทุกเมื่อ

    คนทั้งสี่ฝ่าเข้าไปดุจปลายทวน เป้าหมายคือต้องเปิดช่องโหว่กลางขบวนศัตรูแล้วแบ่งมันจากหนึ่งเป็นสอง

    “ยิงเกาทัณฑ์!” จอมเวทปัวหลงตะโกน ขณะนี้ศัตรูอุดอยู่กึ่งกลาง ไม่ต้องกังวลว่าจะยิงพลาดถูกคนของตนเองอีกต่อไปจึงรีบสั่งการให้ใช้อาวุธลับทันที

    ศิษย์ตรงกลางกำลังตะลุมบอนกับพวกหยวนซิ่งทั้งสี่ที่บุกเข้ามา หยดเลือดลอยกระเซ็น เสียงฆ่าฟันเคล้าเสียงตะโกนร้องอย่างน่าเวทนา ท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวายเช่นนี้จึงไร้จังหวะให้ยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้อ

    ทว่าศิษย์จอมเวทปีกซ้ายและขวาต่างถอยยืดระยะห่างตามคำสั่งและเรียงแถวยกแขนเล็งอย่างแม่นยำ

    โจรภูเขาที่เฝ้าอยู่สองข้างค่ายเหล็กหมาดเตรียมพร้อมก่อนแล้ว ยามนี้ทั้งสองฟากมีคนเพิ่มขึ้นสิบสองสิบสามคน พวกมันเรียงแถวยกโล่ไม้กระดานขึ้นอย่างแน่นขนัด ก้มศีรษะหดซ่อนอยู่ด้านหลัง

    ลูกเกาทัณฑ์พิษต่างยิงออกมาจากสองข้าง

    “ยาพิษ!” สองด้านค่ายเหล็กหมาดล้วนมีคนร้องอย่างน่าเวทนา เหล่าโจรภูเขาอย่างไรก็มิใช่กองทัพที่ฝึกฝนมา ยุทธวิธีนี้เกิดจากแผนร่างของหวังโส่วเหรินที่เพิ่งคิดขึ้น มิเคยได้ฝึกซ้อม ค่ายโล่เผยช่องโหว่ออกมาอย่างเลี่ยงมิได้ คนหนึ่งด้านซ้ายและสองคนด้านขวาล้วนถูกเกาทัณฑ์พิษผนึกโลหิตสังหารยิงล้มในบัดดล

    เมื่อเห็นโล่ในมือของผู้ถูกเกาทัณฑ์ต่างร่วงหล่นก็มีคนรีบเข้าไปรับโล่พยุงไว้ เป็นพวกโจรภูเขาที่เติมเข้ามาจากกลางค่ายเหล็กหมาด

    ก่อนหน้านี้หวังโส่วเหรินออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไปยังพวกมันแล้วว่าหากคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งต้องเติมเต็ม อย่าได้มีความลังเลแม้สักนิด

    ‘พวกเจ้าต้องจำไว้’ ขณะอยู่ที่เมืองหวังโส่วเหรินเตือนสติทัพอาสาทุกคน ‘การทำสงครามนี้หากมีคนสองคนรักตัวกลัวตายในสนามรบ ไม่ยอมเดินหน้า ช่องโหว่เล็กๆ ช่องหนึ่งก็พอที่จะทำให้ทั้งทัพล่มสลายได้ กลับกัน หากทุกคนคิดต้องสละชีพก็จะมีชัยชนะกลับมาด้วยกันได้!’

    ยามนี้กลุ่มศิษย์จอมเวทที่เพิ่งยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้อเสร็จพลันถอยหลัง สับเปลี่ยนพวกพ้องแถวที่สองให้ขึ้นมาอยู่หน้า ซ้ำพวกมันยังยกแขนเสื้อขึ้นเล็งไว้พร้อมกันแล้ว

    เหล่าโจรภูเขาจดจำคำสั่งของใต้เท้าหวังได้และยกโล่ขึ้นต้านต่อ ปลุกความกล้าหาญที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญกับหัวลูกศรอาบพิษร้ายรอบที่สอง

    ครั้งนี้มีสี่คนถูกเกาทัณฑ์ล้มลงไปอีก

    “บุก! ต่อไป!” เหลียงฝูทงที่อยู่ตรงกลางตะโกนพลางเร่งเร้าพี่น้องหนุนเนื่องเติมเข้าไป ในขณะเดียวกันก็สั่งการค่ายโล่ทั้งหมดให้บุกเข้าไปตามจอมยุทธ์ที่เปิดทาง

    มันมิได้มองดูพี่น้องที่นอนตายอยู่ในขบวน แต่ตาข้างเดียวนั้นได้หลั่งน้ำตาออกมาแล้ว

    คำสั่งที่ใต้เท้าหวังมอบให้มันคือต้องเฝ้าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไว้ให้มั่น ให้รูปขบวนฝ่ายตนยังคงแข็งแกร่งอีกทั้งผลาญอาวุธลับอันชั่วร้ายของศัตรู

    ‘ต้องมีคนเสียสละ’ ในตอนนั้นมันกล่าวอย่างหนักแน่นไปยังเหลียงฝูทง

    เหลียงฝูทงอยู่มาจนถึงปูนนี้ ซ้ำยังเป็นโจรพเนจรหลายปี ไหนเลยจะไม่เคยเห็นเรื่องราวชอกช้ำอันโหดร้าย แต่ขณะนี้มันมิอาจไม่สะเทือนใจ

    …เพราะคนที่ตายในครานี้ทั้งมิใช่เพื่อเงินและมิใช่เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

    ยามนี้ค่ายเหล็กหมาดบีบเข้าเจาะกึ่งกลางกลุ่มศิษย์จอมเวทหนักหน่วงขึ้น กองหนุนของโจรภูเขาเข้ามาร่วมมากขึ้น โล่สองข้างต่างมีถึงยี่สิบอันแล้ว รูปขบวนแผ่ขยายยิ่งขึ้น ผู้ที่บุกเข้าซุ้มประตูมามีถึงหกสิบกว่าคน เริ่มสูสีกับจำนวนกลุ่มศิษย์จอมเวท

    หลังกลุ่มศิษย์จอมเวทสองด้านยิงลูกเกาทัณฑ์อาบพิษอีกชุดหนึ่งก็อับจนหนทางแล้ว พวกมันจึงตระหนักได้ว่าที่ฝ่ายศัตรูไม่บุกมามิใช่กลัวจนหัวหด แต่เพื่อผลาญอาวุธลับอันร้ายกาจที่สุดของพวกมัน แต่บัดนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว…เกาทัณฑ์แขนเสื้อนั้นค่อนข้างเสียเวลาบรรจุกระสุน ท่ามกลางขบวนรบประชิดเช่นนี้หามีเวลาว่างไม่

    เหลียงฝูทงเองก็สังเกตเห็นว่าศัตรูที่ยิงเกาทัณฑ์บางตาลงแล้ว มันมองดูซากศพของพี่น้องสิบกว่าคนบนพื้นและปฏิญาณอย่างแน่วแน่ในใจ

    เพื่อพวกเจ้า ต้องฆ่าอมนุษย์เหล่านี้ให้สิ้น!

    ในขณะเดียวกัน ด้านหน้าทัพพวกหยวนซิ่งและเยียนเหิงก็กระโดดข้ามซากศพที่เพิ่มมาใหม่เจ็ดศพ

    ค่ายเหล็กหมาดของทัพอาสา หน้าหลังพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทัพด้านหลังต้องอาศัยยอดฝีมือด้านหน้าพยายามเปิดทางอย่างสุดชีวิต มิเช่นก็ไม่อาจตีฝ่าแผ่ขยาย ทัพหน้าอย่างพวกหยวนซิ่งหากไม่มีกองหนุนด้านหลังเสริมแกร่งเป็นรูปขบวนอย่างไม่ขาดสายคอยคุ้มกันก็รังแต่จะกลายเป็นทัพเดียวดายเล็กๆ ที่ถลำลึกสู่ขบวนศัตรู ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ โจรภูเขา หรือผู้กล้า มีเพียงร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวจึงจะสร้างสถานการณ์เช่นนี้ออกมาได้สำเร็จ

    ขณะเดียวกันกึ่งกลางทัพของกลุ่มศิษย์จอมเวทก็เริ่มอ่อนแอลง

    จอมเวทปัวหลงแลเห็นฝ่ายตนเองสูญเสียกำลังพลต่อเนื่อง ซ้ำตรงกลางค่ายจันทร์เสี้ยวจะถูกทัพหน้าของฝ่ายตรงข้ามบุกทะลวงแล้ว

    ในใจมันแม้ยังคงกังวลอยู่ว่าในขบวนศัตรูยังมียอดฝีมือยุทธภพมากกว่านี้หรือไม่ แต่ขณะนี้หากมันไม่ลงมือเองค่ายก็จะพังทลาย เมื่อนั้นพื้นที่ว่างหน้าวัดชิงเหลียนนี้ก็จะมิใช่ด่านที่เอื้อประโยชน์ต่อมันอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นที่ฝังร่างอันไร้ที่ให้หลบหนี

    ให้พวกมันได้เห็นความน่ากลัวที่แท้จริงก็แล้วกัน…

    กระบี่ยาวสีเงินของสำนักอู่ตังออกจากฝักตรงข้างเอวช้าๆ รูปโฉมของจอมเวทปัวหลงเปลี่ยนจากผู้นำจอมวางแผนด้วยสติปัญญากลับสู่ปีศาจบ้าระห่ำเช่นก่อนหน้าแล้ว

    “ถอยไป”

    ขณะจอมเวทปัวหลงกำลังจะแหวกเหล่าศิษย์เพื่อควบม้าเข้าไปรับการบุกตีของพวกหยวนซิ่งด้วยตนเองก็พลันสังเกตเห็นว่าด้านหลังบางสิ่งผิดปกติ

    สว่างเหลือเกิน

    ก่อนหน้าเพื่อที่จะมิให้ศัตรูมองเห็นลักษณะพื้นที่และการจัดกำลังป้องกันชัดเจน มันจึงสั่งการอย่างเด็ดขาดมิให้จุดไฟส่องสว่างทั่วทั้งวัดชิงเหลียน

    แต่ในขณะนี้กลับมีแสงวูบวาบสาดมาจากด้านหลังมันไกลๆ

    ครั้นจอมเวทปัวหลงหันหน้ากลับไปมอง ดวงตาโตประหลาดแต่เดิมก็ถลึงกว้างยิ่งขึ้นอย่างตื่นตระหนก

    ตำหนักที่วาดเต็มไปด้วยคาถาของวัดชิงเหลียนพลันมีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมา!

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook