ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 9 บทที่ 3
บทที่ 3
เพลิงผลาญวัดชิงเหลียน
เมิ่งชีเหอชูไหที่บรรจุสุราจนเต็มใบยืนอยู่บนยอดหน้าผาสูงชันที่ตั้งตระหง่านหลังวัดชิงเหลียน เล็งยอดตำหนักวัดที่ห่างประมาณสิบจั้งแล้วขว้างลงไปอย่างแรง ถูกกระเบื้องหลังคาอย่างแม่นยำและทะลุร่วงตรงลงสู่ด้านใน
โจรภูเขาอีกสิบกว่าคนก็กำลังยุ่งอยู่กับการโยนหม้อไหที่แบกขึ้นหน้าผามาด้วยความลำบากลงไปไม่หยุดยั้ง ทุกครั้งที่โยนล้วนเต็มเปี่ยมด้วยความสะใจ
เดินทางเหนื่อยมานานก็เพื่อเวลานี้!
ภายใต้การนำของเมิ่งชีเหอ ในที่สุดพวกมันยี่สิบเอ็ดคนก็บรรลุการเดินทางอันยากลำบากในภารกิจสำคัญเร่งขึ้นยอดผาตะวันออกตอนเที่ยงคืนท่ามกลางความมืดมิดนี้แล้ว
ก่อนหน้าขณะอยู่นอกซุ้มประตูตะวันตกด้านโน้น ทัพอาสาเอาแต่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนพลก็เพราะรอสัญญาณไฟที่ยอดผานี้
หน้าผานี้สูงชันอย่างยิ่ง หม้อกระเบื้องและไหสุราของโจรภูเขามิอาจโยนถูกเป้าหมายทั้งหมด แต่มีเจ็ดแปดส่วนหากมิได้ตกแตกบนหลังคาวัดก็ทะลุเข้ากระเบื้อง และมีจำนวนหนึ่งตกลงแถบลานหลังวัด สุราและน้ำมันสาดกระจายจนทั่วทั้งวัดชิงเหลียน
หู่หลิงหลันจุดลูกเกาทัณฑ์เพลิงชุดที่สองพาดบนคันเกาทัณฑ์แล้วน้าวสายเล็งไปด้านล่าง เตรียมเพิ่มเปลวไฟขึ้นอีก
จอมเวทปัวหลงไม่แม้แต่จะเคยคิดว่าวัดเขาชิงเหลียนจะถูกคนจู่โจมจากด้านหลังจึงเหลือศิษย์ไว้เพียงไม่กี่คนคอยเฝ้าดูในวัด ศิษย์คนหนึ่งในนั้นยามนี้วิ่งออกมาจากในวัด มือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งถือชุดคลุมหลากสีพุ่งไปยังเปลวไฟกองที่สองที่พวยพุ่งขึ้นหมายจะไปดับเสีย
ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง หู่หลิงหลันสายตาเฉียบคมเป็นพิเศษ พอมองเห็นศิษย์จอมเวทก็เปลี่ยนเป็นเล็งคันเกาทัณฑ์ไปยังเงาร่างนั้นอย่างรวดเร็ว
ตามมาด้วยเสียงสายเกาทัณฑ์ดีด ลูกเกาทัณฑ์เพลิงราวกับแปรเป็นดาวตกที่ร่วงหล่นอย่างเร่งร้อนในความมืดมิด
ศิษย์จอมเวทผู้นั้นทันเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หัวลูกศรลุกไหม้ก็ปักเข้าหัวใจมันแล้ว ทั้งร่างติดเปลวไฟล้มลงในแอ่งสุราและถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ตะเกียกตะกายไม่กี่ครั้งก็สิ้นลม
“วิ้ว…ร้ายกาจมาก” เมิ่งชีเหอมองเห็นก็อดมิได้ที่จะผิวปากชม ยอดผาและวัดด้านล่างนี้ห่างกันราวร้อยฉื่อ มองจากตรงนี้คนด้านล่างดูเหมือนใหญ่กว่าหัวนิ้วมือไม่เท่าใดนัก แม้กล่าวว่าลูกศรยิงตรงไปข้างล่าง โอกาสเบี่ยงเบนจากการยิงจะไกลค่อนข้างน้อย แต่วิชาเกาทัณฑ์สุดแม่นยำของหู่หลิงหลันยังคงน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
หู่หลิงหลันกลับมิได้มองดูมันสักแวบเดียว สีหน้านางเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง นำลูกเกาทัณฑ์ชุบน้ำมันอีกดอกหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อและจุดไฟจากกองไฟเล็กๆ บนพื้นข้างกาย ยิงซ้ำไปยังวัดที่อยู่ด้านล่างอีก
ท่วงท่าก้มตัวโก่งคันเกาทัณฑ์ของนางทั้งอาจหาญและงดงาม ลมภูเขาจากยอดผาพัดเส้นผมดกดำที่เปียกเหงื่อปลิวไสว แสงไฟที่หัวลูกศรสะท้อนแววตาสุกใสและเด็ดเดี่ยวภายใต้แสงจันทร์และราตรีมืดมิดดุจดั่งภาพวาดที่ทั้งเหี้ยมโหดและน่าหลงใหล
โจรภูเขาหลายคนล้วนมองดูจนเหม่อลอยพลางทอดถอนใจ มีโอกาสเคียงไหล่ทำศึกกับวีรสตรีที่งามสะคราญนับเป็นบุญวาสนาในชาตินี้แล้ว
…หลายสิบปีให้หลัง พวกมันบางคนยังคงเล่าเรื่องราวในค่ำคืนนี้ให้แก่ลูกหลานตนเอง
หลังหู่หลิงหลันยิงกระหน่ำต่อไปอีกหลายดอก วัดชิงเหลียนติดเปลวไฟแล้วสี่ห้าจุด หมอกควันหนาแน่นตลบขึ้นมา เสียงคนดังอึกทึกในวัด เห็นได้ชัดว่ากำลังดับไฟอยู่ แต่ดูจากความเร็วและแรงของเปลวเพลิงนั้นยากที่จะควบคุมแล้ว
เปลวเพลิงแห่งความยุติธรรมกำลังเผาไหม้รังอันชั่วร้ายแห่งนี้อย่างไร้เมตตา
พวกโจรภูเขาที่มองดูเปลวเพลิงนี้อดมิได้ที่จะแกว่งหมัดตะโกนร้องอย่างสะใจ แม้ก่อนหน้าต้องปีนเขาข้ามภูมาอย่างทุกข์ทรมาน แต่พอมองเห็นฉากนี้ก็รู้สึกว่าต่อให้เดินทางอีกเท่าหนึ่งก็คุ้มค่า
เมิ่งชีเหอแบกดาบยักษ์ปากว้าขึ้นมา เผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
…ข้ามิได้ทำให้ใต้เท้าหวังต้องผิดหวัง!
จอมเวทปัวหลงคิดเองว่าด้านหลังวัดชิงเหลียนมีร่องน้ำตามธรรมชาติที่ยากจะบุก จึงนำกำลังพลทั้งหมดรวมอยู่ที่ซุ้มประตูด้านหน้า คิดไม่ถึงว่าหวังโส่วเหรินกลับจู่โจมสถานที่ที่มันวางใจที่สุดอย่างกะทันหัน
ความได้เปรียบทางชัยภูมิอันยิ่งใหญ่กลับสร้างจุดบอดในใจคนอย่างง่ายดาย นี่คือความมหัศจรรย์ของพิชัยสงคราม
ชาวบ้านสี่ร้อยคนของหมู่บ้านซื่อถังก็ถูกจัดเตรียมไว้บนพื้นที่ว่างด้านข้างทางทิศใต้ของวัดชิงเหลียน ที่แห่งนั้นมีศิษย์จอมเวทที่รับหน้าที่ประหารตัวประกันเฝ้าดูอยู่หลายคนเช่นกัน คนทั้งหลายนี้เดิมที่กำลังกังวลกับการศึกที่ซุ้มประตูด้านโน้น หาได้สนใจว่าลานวัดถูกบุกจู่โจมกะทันหัน บัดนี้พลันเห็นแสงไฟจึงล้วนร้อนใจจนกระโดดขึ้นมา
“รีบ…ดับไฟ!” ศิษย์ในนั้นตะโกนขึ้นพลางคิดจะไปสั่งการชาวบ้าน แต่ยามนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าจอมเวทปัวหลงให้มัดมือเท้าของตัวประกันเอาไว้ ซ้ำยังใช้เชือกยาวมัดเชื่อมแต่ละคนเข้าด้วยกันอีกเพื่อมิให้ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายด้านหลังวัดขณะทำสงคราม
ตอนนี้จะไปแก้เชือกให้ชาวบ้านช่วยดับไฟก็ไม่ทันแล้ว พวกมันเห็นหม้อกระเบื้องใส่โจ๊กสองใบข้างกายที่กินหมดนานแล้วก็ร้อนใจจนไม่สนว่าเล็กเกินไป รีบหยิบขึ้นไปตักน้ำที่ลำธารเล็กๆ ด้านหน้า
บนหน้าผาสูงชัน ถังป๋ากับโจรภูเขาอีกคนหนึ่งผูกเชือกกองใหญ่ที่พกมาเสร็จแล้วและนำปลายด้านหนึ่งยึดไว้กับต้นไม้และหินผา
ยามนี้ยังมีเงาคนวิ่งออกมาจากประตูหลังวัดชิงเหลียนที่ไหม้ไฟ หู่หลิงหลันกำลังจะใช้เกาทัณฑ์เล็ง แต่พอมองเห็นว่าคือผู้ใดก็ขมวดหัวคิ้วและรีบลดคันเกาทัณฑ์ลง
เมิ่งชีเหอเองก็มองเห็น เป็นสตรีรูปร่างซูบผอมวิ่งออกมาอย่างโซซัดโซเซและคุกเข่าลงกลางลานหลัง ดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก คงจะสำลักควันหนา
“แย่แล้ว! เร็วเข้า!” เมิ่งชีเหอเร่งเร้าถังป๋าทำเชือกให้เสร็จอย่างรีบร้อน ตัวมันเองยุ่งอยู่กับการแขวนบ่วงเชือกคาดเอวไว้บนร่าง
ขณะเดียวกันที่ขบวนรบหน้าซุ้มประตู กลุ่มศิษย์จอมเวทพลันมองเห็นวัดชิงเหลียนซึ่งเป็นค่ายของตนด้านหลังมีไฟลุกขึ้นมาก็ตกใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้แผนวิเศษอะไรบรรลุการบุกโจมตีนี้จึงตกสู่ความอลหม่าน “ศัตรูอีกขบวนหนึ่งบุกเข้ามาแล้วหรือ มาจากที่ใด!”
“หากถูกขนาบหน้าหลังจะทำอย่างไร”
“ป้องกันไม่อยู่แล้ว!”
เปลวเพลิงเผาวัดชิงเหลียนจุดความหวาดหวั่นขึ้นในใจพวกมันและลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
รูปขบวนของกลุ่มศิษย์จอมเวทหละหลวมขึ้นมาทันใด
หวังโส่วเหรินสร้างการบุกโจมตีด้วยเพลิงในจังหวะเดียวกันอย่างลำบากลำบนก็เพื่อเฝ้ารอผลลัพธ์นี้ สิ่งที่มันตั้งใจจะเผาจริงๆ มิใช่วัด แต่เป็นปณิธานของศัตรู
พวกหยวนซิ่งและเยียนเหิงทั้งสี่เห็นขบวนศัตรูอ่อนแอลงก็มิพลาดโอกาส บุกฝ่าไปข้างหน้าอย่างดุดันยิ่งขึ้น
ความคิดต้านทานศัตรูของกลุ่มศิษย์จอมเวทถูกกองเพลิงด้านหลังลิดรอน ยิ่งเผชิญหน้ากับหกกระบี่บ้านแตกที่ดุร้ายดุจมังกรพยัคฆ์ยิ่งไร้จิตใจจะสู้ สนเพียงถอยหลังหลบหนีจนเบียดอัดกันเป็นแถวๆ
ศิษย์จอมเวทที่อยู่แถวท้ายสุดถอยหลังเพราะอุปาทานหมู่เช่นเดียวกัน คนหนึ่งในนั้นไม่ทันระวังจนแผ่นหลังชนเข้ากับพาหนะของจอมเวทปัวหลงจนม้ากระโดดร้องเสียงแผ่วเบา
“ขออะ…” ศิษย์ผู้นั้นตกใจ หันหน้าอย่างตื่นตะลึง ยังมิได้กล่าวจบประโยคแรกศีรษะก็แยกจากร่างกาย ลอยหมุนออกไป
ศิษย์คนอื่นที่อาบอยู่ท่ามกลางฝนโลหิต แผ่นหลังเย็นวาบ
จอมเวทปัวหลงถือกระบี่ยาวเปื้อนเลือด ใบหน้าสักคาถานั้นสั่นรุนแรงอย่างเดือดดาล
ผงฝ่างเซียนที่ปรุงอย่างยากลำบากและเก็บสะสมในวัดชิงเหลียนกำลังจะมอดไหม้ทั้งหมด ทุนที่จะอยู่ในกำมือมันแปรเป็นเถ้าธุลี
แต่ตอนนี้มันไม่อาจระดมกำลังศิษย์ไปดับไฟได้…หากขบวนรบตรงหน้านี้แตก แนวรบทั้งหมดก็จะพังทลาย ผลลัพธ์จะยิ่งหนักหนากว่าสูญเสียวัดชิงเหลียนและผงฝ่างเซียนหลายสิบกล่องอย่างมาก
ค่ายเหล็กหมาดถลำลึกยิ่งขึ้นภายใต้การนำของหกกระบี่บ้านแตก ระหว่างหยวนซิ่งและจอมเวทปัวหลง กั้นไว้ด้วยศิษย์จอมเวทเพียงสามแถว
แนวหน้าโจรภูเขาหลายสิบคนเข้าสู่ซุ้มประตูไปก่อนแล้ว ผู้กล้าหลูหลิงที่เรียงอยู่ด้านหลังพวกมันก็เข้าไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หวังโส่วเหรินชักกระบี่ออกมานำผู้กล้าเข้าด่านไปภายใต้การอารักขาของลูกศิษย์จนสบโอกาสมองเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน
ค่ายเหล็กหมาดยัดเยียดเข้าภายในด่านกันเกินร้อยคน จำนวนเหนือกว่ากลุ่มศิษย์จอมเวทแล้ว
“บุก!” หวังโส่วเหรินเห็นว่าได้จังหวะสมควรจึงชูกระบี่ส่งสัญญาณ
เหลียงฝูทงได้ยินคำบัญชาของใต้เท้าหวังก็ตะโกนไปยังพี่น้องโจรภูเขาทั้งสองด้าน “แยก!”
เหล่าโจรภูเขาพลันโยนโล่ไม้กระดานอันหนักอึ้งทิ้งพร้อมกันและถือเครื่องมือเกษตร ทวนไม้ไผ่ อาวุธหลากหลายประเภทขึ้นมาพุ่งปราดไปข้างหน้า แปรจากฝ่ายป้องกันเป็นบุกโจมตี
…พวกมันรอคอยเวลานี้เนิ่นนานแล้ว พลังเฮือกหนึ่งที่อดกลั้นไว้มาตลอดรอเวลาที่จะระเบิดออกเช่นนี้
สองด้านค่ายเหล็กหมาดดุจดั่งปีกวิหคกางออก ทั้งหมดพุ่งไปยังศัตรู ประจัญบานตัดสินซึ่งหน้า
หยวนซิ่งที่อยู่กลางแนวค่าย บนหน้ากากทองสำริดครึ่งซีกนั้นล้วนเต็มไปด้วยหยดเลือดเป็นจุดๆ มองแวบแรกยากแยกว่าเป็นพระหรือปีศาจ ศัตรูที่ถูกสังหารใต้พลองของมันมีสิบเอ็ดรายแล้ว
ยามนี้พลันมีไอสังหารแหลมคมปรากฏตรงเบื้องหน้า ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนร้อยคนที่ได้เผชิญเมื่อครู่
สำนักอู่ตัง…ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว
ใบหน้าครึ่งซีกของหยวนซิ่งกำลังยิ้ม
ม้าพ่วงพีแหวกกลุ่มศิษย์จอมเวทตรงกลาง ปรากฏต่อหน้าหยวนซิ่ง
โลหะแผ่นหนึ่งสะท้อนแสงจันทร์และแสงไฟ เปล่งประกายระยิบระยับบนอานม้า
เลี่ยนเฟยหงที่ยืนอยู่ด้านหลังหยวนซิ่งเหลือบเห็นแสงนี้ก็รับรู้ได้ถึงอันตรายรุนแรงเช่นเดียวกันจนแขนขวาที่เป็นแผลเจ็บแปลบขึ้นมารางๆ มันโฉบร่างเคลื่อนไปคุ้มกันเบื้องหน้าถงจิ้ง
เยียนเหิงที่อยู่อีกด้านก็ตื่นตัวขึ้นมา ฝ่ามือทั้งสองที่ถือกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียร้อนราวไฟลวก
…วันนี้จะมิให้เจ้าฆ่าคนอีก!
ม้าใหญ่ตัวนั้นก้าวเท้าทะยานหนึ่งทีก็มาถึงเบื้องหน้าหยวนซิ่งแล้ว
หยวนซิ่งเงยหน้ามองเงาร่างที่สูงจนน่าตกใจใต้แสงจันทร์
มันเผชิญหน้าโดยปราศจากความกลัว ใช้ท่าเหินฟ้าสกัดของพลองราชากินนรตวัดหัวพลองเหล็กฟาดขึ้นสูงไปยังผู้อยู่บนหลังม้า
จอมเวทปัวหลงกลับเปิดฉากก่อนแล้วหนึ่งจังหวะ ร่างท่อนบนเอนไปข้างหน้าจากบนอานม้า แขนที่ยาวเหยียดออกอย่างเร่งร้อน กระบี่เงินโจมตีลงจากที่สูงดั่งสายฟ้าฟาด เสือกตรงไปยังตาขวาหยวนซิ่ง
หากกล่าวถึงความยาวอาวุธ พลองเสมอคิ้วของหยวนซิ่งเดิมควรได้เปรียบกว่า แต่จอมเวทปัวหลงกลับใช้ร่างสูงแขนยาวชดเชยระยะห่างนี้ได้ ยามมันก้มตัวใช้กระบี่เร็วบนม้า ทั้งแขนและกระบี่รวมเป็นแนวเดียวราวกับทวนซัดออกทั้งเล่ม
หยวนซิ่งแม้เคยได้ยินพวกเยียนเหิงพรรณนารูปร่างของจอมเวทปัวหลง แต่เมื่อพบเจอด้วยตัวเองจึงรู้ว่าน่าอัศจรรย์นัก มันไม่คาดคิดว่าเพลงกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามจะมีระยะโจมตีเช่นนี้ แลเห็นตนเองจะถูกกระบี่ก่อนหนึ่งจังหวะจึงจำต้องหันหน้าไปทางขวาอย่างเร่งร้อนพร้อมรั้งพลองกลับมาช่วย
กระบี่ยาวอู่ตังถูกพลองสกัดเบี่ยงออกเล็กน้อย กอปรกับหยวนซิ่งหันหน้าหลบเลี่ยง ปลายคมจึงกรีดถากหน้ากากยักษาตรงขมับซ้ายจนเกิดสะเก็ดไฟ
หากไม่มีหน้ากากทองสำริดนี้ต้านไว้หน้าผากมันคงแยกออกพร้อมหลั่งเลือดไปแล้ว
หยวนซิ่งสูญเสียพลังจากการต่อสู้อันดุเดือดขณะฝ่าด่านมาแล้ว ซ้ำยังบาดเจ็บ แต่ประมือกระบวนแรกนี้มันมิอาจไม่ยอมรับว่าวรยุทธ์ของจอมเวทปัวหลงร้ายกาจกว่าศิษย์อู่ตังที่มันเคยพบที่ซีอาน
จอมเวทปัวหลงพอแทงออกก็เก็บกระบี่กลับทันที เงาร่างบนม้าเหมือนไม่เคยขยับเขยื้อน เป็นความเร็วอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เยียนเหิงกำลังจะเข้าไปช่วยรบ แต่หยวนซิ่งยื่นมือห้ามมันไว้
“พวกเจ้ารีบไปช่วยขบวน!” หยวนซิ่งตะโกน
เยียนเหิงและเลี่ยนเฟยหงมองไปยังด้านข้าง เห็นเพียงในการตะลุมบอนของปีกซ้ายขวามีโจรภูเขาล้มลงแล้วเจ็ดแปดคน
แม้กลุ่มศิษย์จอมเวทมีคนสองคนถูกสังหารเช่นกัน แต่ก็มองออกได้ถึงความต่างด้านกำลังรับของทั้งสองฝ่าย
กลุ่มศิษย์จอมเวทคือลูกน้องที่อูจี้หงรวบรวมได้หลังหนีออกจากเขาอู่ตังและร่อนเร่ในยุทธภพ ส่วนมากเดิมทีคือโจรชั่วในพื้นที่ และจำนวนไม่น้อยมีพื้นฐานวรยุทธ์อยู่แล้ว หลายปีมานี้พวกมันยังได้รับการฝึกฝนวิทยายุทธ์จากจอมเวทปัวหลงและผู้คุ้มธงทั้งหลาย กอปรกับอาวุธที่ใช้ค่อนข้างยอดเยี่ยม เทียบกับโจรภูเขาไส้แห้งของเมิ่งชีเหอ วิทยายุทธ์และกำลังต่อสู้ของศิษย์จอมเวทโดยเฉลี่ยห่างกันอยู่หนึ่งขุม
บัดนี้โจรภูเขาที่ยังคงยืนอยู่ในขบวนเหลือไม่ถึงหกสิบคน แต่พวกมันคือยอดทหารที่ค่อนข้างพึ่งพาได้ในทัพอาสา ครั้นเสียสละ ผู้กล้าที่หนุนเนื่องยิ่งยากจะต่อสู้ซึ่งหน้ากับกลุ่มศิษย์จอมเวท
“สู้ตาย!” เหลียงฝูทงเห็นพี่น้องบาดเจ็บล้มตายยับเยินก็โมโหจนกัดริมฝีปากเป็นแผล จามขวานคู่ไปข้างหน้า แต่ศิษย์จอมเวทผู้นั้นตรงหน้าหาได้ธรรมดาไม่ มันเคยเป็นโจรที่ระรานแถบเยียนหยาง รูปร่างแม้จะเล็กแต่ทั้งคล่องแคล่วทั้งเจ้าเล่ห์ มันก้มงุดหลบขวานคู่นั้นและลอบจู่โจมไปยังขาของโจรภูเขาด้านข้างเหลียงฝูทงหนึ่งดาบจนหัวเข่าขาด
เยียนเหิงรู้ว่ามิอาจให้โจรภูเขาเสียสละต่อไปได้อีก เมื่อมันคิดว่าคนเหล่านี้ทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์เลือดร้อนที่มาทำความดีชดเชยความผิดเพราะได้รับการกล่อมเกลาจากหวังโส่วเหริน ในใจยิ่งทนมิได้
“มอบให้ท่านแล้ว!” มันกล่าวกับหยวนซิ่งหนึ่งประโยคและล้มเลิกการขนาบตีจอมเวทปัวหลงอย่างไม่รีรอ ก่อนโถมเข้าท่ามกลางดงคมอาวุธนั้น
เพียงเยียนเหิงก้าวออกก้าวเดียวนี้ก็ทำให้กลุ่มศิษย์จอมเวทก็พะว้าพะวังเป็นการใหญ่ แนวรบเบียดเสียดถอยไปข้างหลังหลายก้าว
…เยียนเหิงมีอำนาจและอากัปกิริยาแห่งยอดฝีมือระดับนี้แล้ว
มันไม่แม้แต่จะตั้งท่าต่อสู้ กระบี่ยาวหนามมังกรแกว่งไกวเหมือนพลันเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิต ทิ่มตรงไปยังแผ่นอกของศิษย์จอมเวทที่แคระแกร็นผู้นั้น
ศิษย์จอมเวทผู้นั้นใช้ท่าร่างถอยเฉียงหลบหลีก แต่ความเร็วระดับนี้ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเยียนเหิง มันสืบเท้าใช้เจ้าพยัคฆ์ติดตามซ้ำเติมต่อ
ครานี้ศิษย์จอมเวทหลบเลี่ยงไม่ทันแล้ว จำต้องใช้ดาบเดี่ยวในมือขวางไว้ตรงหน้าอกเพื่อต้านรับ แต่กลับทำได้เพียงสกัดเจ้าพยัคฆ์เฉออกไปสองเฟิน คมกว้างของเจ้าพยัคฆ์ที่เบิกร่องโลหิตตรงสันกระบี่ยังคงแทงเข้าอกมันจนกระอักเลือดตกตายทันที
คนผู้นื้คือผู้ที่มีวิทยายุทธ์ค่อนข้างดีในกลุ่มศิษย์จอมเวท แต่กลับต้านสองกระบี่ของเยียนเหิงมิได้
เลี่ยนเฟยหงและถงจิ้งที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เข้าร่วมวงรบแล้วเช่นกัน ทำให้สถานการณ์พลิกผันในทันใด
บริเวณที่ดาบวงตะวันสำนักคงถงผ่าน หากมิใช่เป็นภาพเงาร่างถอยหลบอย่างตะลีตะลานก็เป็นชิ้นส่วนแขนขาที่หยดเลือดลอยละล่อง
ถงจิ้งผ่านการใช้ครึ่งหัตถ์หนึ่งหหัยสองหนจึงมั่นใจในวิชากระบี่ของตนเองขึ้นอย่างมาก ยิ่งคิดถึงว่าสมาชิกทั้งสี่ของเถ้าแก่เจิงแห่งโรงเตี๊ยมที่หลูหลิงตายอนาถเช่นไร นางก็ไม่เหลือไมตรีต่อกลุ่มศิษย์จอมเวทสักนิดเดียว
เมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ผู้ควบคุมผลแพ้ชนะของสงครามยังคงเป็นนักสู้ทั้งหลาย
จอมเวทปัวหลงเองก็ย่อมเข้าใจจุดนี้
…ต้องฆ่าคนผู้นี้ก่อน!
จอมเวทปัวหลงจ้องมองหยวนซิ่งจากที่สูง มันมองออกถึงมิตรภาพแห่งการพึ่งพากันและกันของหกกระบี่บ้านแตก ในใจวางแผนว่าขอเพียงสังหารพวกมันได้สักคน คนอื่นๆ ต้องจิตใจปั่นป่วนเป็นแน่ และย่อมจัดการมันได้ทีละคน
กีบเท้าม้าตะกุยขึ้นอีกครั้ง จอมเวทปัวหลงยกกระบี่สั่งสมแรงไว้ข้างใบหน้าหันไปหาหยวนซิ่ง
หยวนซิ่งเงยหน้าจับจ้อง การโจมตีด้วยกระบี่ของจอมเวทปัวหลงประหนึ่งลงมาจากฟากฟ้าโดยแท้ หยวนซิ่งไม่เคยเผชิญกับศัตรูที่ร่างกายสูงผิดปกติเช่นนี้ ประสบการณ์ในการรับมือกับการโจมตีจากมุมบนมีน้อยอย่างยิ่ง ทำให้มันยากที่จะป้องกัน
…แต่ข้าต้องรับกระบี่นี้ไว้ให้จงได้
จอมเวทปัวหลงตั้งท่าต่อสู้ แต่กลับยังมิได้ออกกระบวน
เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของมันคือต้องดึงดูดความสนใจของหยวนซิ่งไว้ด้านบน
ศิษย์จอมเวทหลายคนที่ยืนอยู่ข้างม้าของจอมเวทปัวหลงล้วนอยู่แถวหลังสุดของรูปขบวนจันทร์เสี้ยว ตลอดมามิได้เข้าร่วมวงรบ เพียงดูเชิงอยู่ด้านหลังกับจอมเวทเท่านั้น
คนหนึ่งในแถวศิษย์นั้นคลุมร่างไว้ด้วยเสื้อคลุมหลากสี หมวกบนศีรษะดึงลงต่ำจนมองไม่ชัดแม้กระทั่งหน้าตา มันเพียงยืนอยู่ระหว่างพวกพ้องไม่เคลื่อนไหวใดๆ และมิได้กู่ร้องเสริมอำนาจตามพวกพ้อง
ในชั่วขณะนี้เอง คนผู้นี้ได้ก้มตัวพุ่งออกมาจากฝูงชน ความเร็วในการวิ่งของมันทำให้เสื้อคลุมนั้นสะบัดขึ้น
แขนทั้งสองที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม ยามนี้จึงเผยอาวุธใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่ง
เงาร่างนี้พุ่งปราดไปยังหยวนซิ่ง แกว่งประกายแสงโลหะจากล่างสู่บน
เป็นดาบใหญ่ติดฟันเลื่อยเล่มหนึ่ง!
หยวนซิ่งเดิมทีคุมเชิงกับจอมเวทปัวหลงไว้ด้วยสมาธิทั้งหมด พลันประสบกับการจู่โจมกะทันหัน ยิ่งคิดไม่ถึงว่าในกลุ่มจอมเวทกลับยังคงซ่อนยอดฝีมือเช่นนี้เอาไว้…อีกทั้งรอจนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จึงลงมือ
ทว่าการตอบสนองต่อการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาสิบเจ็ดปีในวัดเส้าหลินฝังลึกเข้ากระดูกมันแล้ว
หยวนซิ่งแปรท่านั่งม้าที่ยืนมั่นแต่เดิมเป็นกระโดดขึ้นจากพื้นหลายชุ่นดื้อๆ และหดขาซ้ายป้องกันไว้ตรงหว่างขา มือทั้งสองยกพลองเสมอคิ้วขวางไปยังเบื้องล่าง
ฮั่วเหยาฮวาที่พุ่งมาเอียงศีรษะและร่างท่อนบนไปด้านข้าง ใช้แรงทั้งหมดตวัดฟัน
ดาบเลื่อยใหญ่ฟันบนตัวพลองและน่องซ้ายที่สวมเกราะทองสำริดของหยวนซิ่ง บังเกิดเสียงดังก้องขบวนรบ
พลองเสมอคิ้วถูกฟันจนเศษไม้กระเด็นออกมา หยวนซิ่งลอยไปยังด้านหลังพร้อมเกราะภายใต้การปะทะนี้
เสื้อคลุมของฮั่วเหยาฮวายามนี้หลุดออกและเผยใบหน้าขาวนวลออกมา รอยยิ้มน้อยๆ แห่งความทะนงองอาจปรากฏขึ้น
บัดนี้ทั้งร่างหยวนซิ่งสูญเสียการควบคุมขณะอยู่กลางอากาศ
อันตรายที่แท้จริงเพิ่งมาถึงในขณะนี้
เรือนร่างสูงยาวของจอมเวทปัวหลงถือโอกาสกระโดดออกจากหลังม้า ผสมผสานท่าร่างวิชาตัวเบาทะยานบันไดเมฆาของสำนักอู่ตัง ใช้กระบี่มังกรเหินอู่ตังเสือกตรงไปยังแผ่นอกหยวนซิ่ง
หยวนซิ่งหมุนร่างหลบหลีกกลางอากาศสุดกำลัง ปลายกระบี่แม้มิได้ทะลุอก แต่ยังคงทิ่มแทงเข้าด้านบนกระดูกไหปลาร้าขวามัน
โลหิตพรั่งพรูออกมาจากระหว่างไหล่ขวาและคอหยวนซิ่ง ทั้งร่างร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วง
ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ แต่พลองเสมอคิ้วของหยวนซิ่งยังคงมิได้หลุดมือ ขณะนอนอยู่บนพื้นมันพยายามเงยหน้า ดวงตาจ้องมองศัตรูแข็งแกร่งทั้งสองตรงหน้าอย่างเดือดดาล ใช้มือเดียวจับพลองเสมอคิ้วชี้ไปยังพวกมัน
จอมเวทปัวหลงชอบใจอย่างมาก ศัตรูที่ไม่ยอมจำนนเช่นนี้ประทับใจมันที่สุด…ขณะได้สังหารมักรู้สึกเบิกบานเป็นเท่าตัว
โอกาสสังหารศัตรูเช่นนี้จอมเวทปัวหลงย่อมมิปล่อยไป ขายาวทั้งสองของมันก้าวออกด้วยเพลงเท้า เตรียมปลิดชีพหยวนซิ่งที่อยู่บนพื้นด้วยกระบี่
เยียนเหิง เลี่ยนเฟยหง ถงจิ้งล้วนมองเห็นเหตุไม่คาดฝันนี้เพราะเสียงดังสนั่นของดาบฮั่วเหยาฮวา ทว่าพวกมันกำลังอยู่ในขบวนรบ ไม่อาจปลีกตัวเร่งมาช่วยเหลือได้ทัน
ถงจิ้งตกใจจนเบ้าตารื้น
…กำลังจะสูญเสียพวกพ้องที่สำคัญไป คือเรื่องที่มิอาจรับได้เรื่องหนึ่ง
ยามนี้กลับมีโจรภูเขาสี่คนที่ยืนอยู่ใกล้หยวนซิ่งที่สุดพุ่งออกมาคุ้มกันเบื้องหน้ามัน
พวกมันล้วนเคยได้ยินว่าปีศาจสูงใหญ่ตนนี้ตรงหน้าน่ากลัวเพียงไร ในใจเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ขาและแขนแปดข้างล้วนสั่นเทา
แต่มีพลังที่ใหญ่ยิ่งกว่าบีบให้พวกมันยืดอกออกมา
…พลังนี้เป็นหวังโส่วเหรินที่จุดชนวนให้พวกมัน
“อย่า!” หยวนซิ่งกำลังจะห้าม แต่คนทั้งสี่ยกอาวุธขึ้นหาจอมเวทปัวหลงแล้ว
รอยยิ้มชั่วร้ายของจอมเวทปัวหลงเจิดจ้ากว่าเดิม
…ในเมื่อเป็นผู้ที่ไม่กลัวตาย ข้าก็จะให้พวกเจ้าตายไปซะ
มันก้าวเท้าออก คมสีเงินในมือร่ายขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระบี่เร็วระดับอสรพิษน้ำตาลแห่งสำนักอู่ตังหาใช่สิ่งที่โจรภูเขาในชนบททั่วไปเหล่านี้จะรับมือได้
คลื่นโลหิตสาดกระจาย ในสี่คนมีเพียงคนเดียวที่ค่อนข้างโชคดี สูญเสียเพียงฝ่ามือข้างเดียว
จอมเวทปัวหลงเหยียบข้ามซากศพสามศพที่เพิ่งล้มลง เดินเข้าไปใกล้หยวนซิ่งอีกครั้ง
ยามนี้มันกลับได้ยินเสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนดังมาจากด้านหน้า
มันมองทอดไปท่ามกลางขบวนศัตรูซึ่งคลาคล่ำด้วยฝูงชนไม่รู้ว่าแยกออกเป็นสองฟากตั้งแต่เมื่อใด ครั้นจึงเห็นเงาเร็วสายหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้
ผู้ควบขี่ชุดดำ ม้าพ่วงพีสีดำ
วัตถุประหนึ่งงูยาวชิ้นหนึ่งหอบเสียงแหลมหวีดหวิวแหวกฝ่าอากาศ ซัดพุ่งมาอย่างเร่งร้อน
…ศิษย์น้องเหมย?
แรงสั่นสะท้านที่หัวใจของจอมเวทปัวหลงได้รับในขณะนี้มิอาจพรรณนา
แต่นั่นหาได้กระทบต่อการตอบสนองของมันไม่ จอมเวทปัวหลงยกกระบี่ขึ้นสกัดการโจมตีของวัตถุที่ลอยมาไว้
อาวุธทั้งสองกระทบกัน โซ่เหล็กยาวรัดพันบนกระบี่อู่ตังของจอมเวทหลายรอบแล้วจึงหยุดลง
จอมเวทปัวหลงยามนี้มองเห็นกระจ่างชัดแล้ว อาวุธเฉียบคมที่คล้องอยู่ตรงปลายโซ่นั้นมิใช่อื่นใด เป็นมีดคมโค้งของเหมยซินซู่
ผู้ที่กำลังควบม้าบุกมากลางขบวนย่อมเป็นจิงเลี่ย
ผ้าคลุมสีดำม้วนขึ้นดุจเมฆ
ใบหน้าที่พันเฉียงด้วยแถบผ้าดำของจิงเลี่ยพกพาไอสังหารคุกคามผู้คน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเรือนร่างสูงใหญ่ของจอมเวทปัวหลง
…ในที่สุดก็ได้พบเจ้าแล้ว ตัวบัดซบ