ประการที่สองคือเผยเสวียนจิ้งมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา หลายปีมานี้ช่วยผู้เป็นบิดาลงโทษคนชั่วไปไม่น้อย แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมสร้างความแค้นเคืองให้กับผู้คนมากมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงมีศัตรูมากมายคิดหาหนทางล้างแค้นพ่อลูกตระกูลเผยคู่นี้ คนพวกนั้นคิดใช้วิธีการเช่นไรย่อมไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ แต่ถึงอย่างนั้นการคุกคามเหล่านั้นก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดอยู่ การที่เผยเซิงจู่ๆ ก็เส้นโลหิตในสมองแตกกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณบ่งชี้ล่วงหน้าเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นการยืมมือพวกภูตปีศาจช่วยจัดการแทนก็เป็นได้ ส่วนเรื่องที่เผยเสวียนจิ้งต้องเข้าอารามหลังสิ้นผู้เป็นบิดา ด้านหนึ่งอาจเพราะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว รู้สึกผิดต่อการตายของผู้เป็นบิดา ส่วนอีกด้านอาจเป็นเพราะต้องการลี้ภัย หวั่นว่าศัตรูจะตามเล่นงานมาถึงตน หวังให้นักพรตเซียนผู้วิเศษช่วยปกปักคุ้มครอง
คำกล่าวที่ว่านี้ยกให้เหล่าภูตผีปีศาจเป็นตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ในเมื่อคู่กรณีปิดปากเงียบ ไม่ว่าผู้คนจะซุบซิบนินทาเช่นไร ก็ย่อมไม่อาจมีหลักฐานอันใดมายืนยันได้ สุดท้ายคำพูดเหล่านั้นจึงเป็นได้ก็แต่เพียงคำลือคำเล่าอ้างเท่านั้น
สุดท้ายบุตรีตระกูลเผยที่เคยมีชื่อเสียงอยู่บ้างก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน
ระยะเวลาสามปีผันผ่านรวดเร็ว จู่ๆ ชาวบ้านในอำเภอหย่งเล่อก็ได้ยินว่าบุตรีตระกูลเผยออกจากอารามแล้ว หนำซ้ำยังกำลังจะแต่งงานออกเรือนไปอีกต่างหาก
ผู้คนมากมายเริ่มกลับมาจำชื่อของเผยเสวียนจิ้งได้อีกครั้ง พวกเขาต่างนึกขึ้นได้ในฉับพลันทันที ที่แท้ที่เผยเสวียนจิ้งเข้าอารามไปในตอนแรกก็เพียงเพื่อไว้ทุกข์ให้ผู้เป็นบิดาเท่านั้น เมื่อช่วงเวลาไว้ทุกข์สามปีผ่านพ้น เผยเสวียนจิ้งย่อมต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ยังมีคนจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อสามปีก่อนตอนบุตรีคนโตตระกูลเผยเข้าอารามนางอายุสิบเก้าปีบริบูรณ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปีนี้นางย่อมอายุยี่สิบสองแล้ว
อายุอานามเท่านี้จัดว่าไม่น้อยแล้ว การที่จะตบแต่งออกเรือนไปย่อมนับว่าเหมาะสมแก่การอยู่
แต่ถึงทุกคนจะพยายามสืบข่าวสักเท่าใด ก็ไม่มีใครบอกถึงรายละเอียดงานหมั้นหมายของเผยเสวียนจิ้งได้ แต่ไหนแต่ไรเฉพาะตัวเผยเสวียนจิ้งเองก็เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับแปลกประหลาดชวนให้ผู้คนกระหายใคร่รู้อยู่แล้ว ยิ่งผนวกเข้ากับชีวิตยากลำบากในอารามกับเรื่องงานแต่งลึกลับ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนต่างทวีความอยากรู้อยากเห็นไม่สิ้น
ดังนั้นรัชศกหยวนเหอปีที่สิบ เดือนห้า วันที่หนึ่ง ตอนเผยเสวียนจิ้งขึ้นรถม้าสีหมึกที่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ แม้แสงแดดในวันนั้นจะร้อนแรงสักเพียงใด แต่บนท้องถนนกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาร่วมสังเกตการณ์ ตอนนายอำเภอนำขบวนออกมาส่งนางเดินทางด้วยตนเองนั้น ฮูหยินเจินซื่อยังร่ำไห้หลั่งน้ำตามากมายราวกับหมายจะสร้างบรรยากาศ ‘เจาจวิน* ออกนอกด่าน’ กลางฤดูร้อนก็ไม่ปาน
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มาห้อมล้อมมุงดู รถม้าสีหมึกของเผยเสวียนจิ้งค่อยๆ เคลื่อนออกนอกเมือง ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงดั่งไฟ เหนือรถม้าเหมือนจะมีหมอกควันสีม่วงจางๆ ลอยอยู่ บรรดาผู้คนที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนสติสัมปชัญญะรางเลือนเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ…ไม่มีฝ่ายส่งตัวเจ้าสาว ไม่มีเกี้ยวหรือวงมโหรีใดๆ แม้แต่สาวใช้ หีบสัมภาระออกเรือนที่จะติดตัวสักชิ้นก็ยังไม่มี
เช่นนี้นับเป็นการออกเรือนได้ด้วยกระนั้นหรือ
ความจริงแล้ว ไม่มีใครจะรับรู้หรือเข้าใจการออกเรือนแบบหัวมังกุท้ายมังกรนี้ได้ลึกซึ้งไปกว่าตัวเผยเสวียนจิ้งเองอีกแล้ว
*เจาจวิน หรือหวังเจาจวิน หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามผู้พลิกประวัติศาสตร์จีน สมญา ‘ปักษีตกนภา’ เดิมเป็นนางกำนัลในวังของจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ นางอาสาตัวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนู สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ยังความสงบสุขมาสู่ทั้งสองแผ่นดิน เล่ากันว่าในวันที่เจาจวินเดินทางออกนอกด่านเพื่อไปแต่งงานกับชนต่างเผ่า มีผู้คนมารอส่งตลอดทางด้วยความสะเทือนใจในความเสียสละเพราะไปแล้วยากจะได้กลับมา