• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน รหัสลับหลันถิงซวี่ ตอนที่ 3

    เผยเสวียนจิ้งยังคงครุ่นคิด แต่หวังอี้กลับพูดน้ำเสียงฉุนเฉียว “หวังอี้เป็นมือปราบชั้นผู้น้อยที่นายท่านพากลับมาด้วยตอนเดินทางไปสานสัมพันธ์การทูตที่เว่ยป๋อ* ทุกคนในคฤหาสน์ต่างล้วนรู้ดี คุณหนูมิจำเป็นต้องเฉไฉบ่ายเบี่ยงแต่ประการใด วันนี้หวังอี้ทำให้นายท่านต้องได้รับบาดเจ็บ เป็นความผิดของหวังอี้ นายท่านคิดจะลงโทษเช่นไรก็เชิญลงโทษเช่นนั้น หวังอี้มิมีคำใดแก้ตัว ต่อให้นายท่านต้องการให้หวังอี้ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้…” เขานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดตบท้ายด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หวังอี้ก็ยินดีทำตามความปรารถนาของนายท่านอย่างไม่รั้งรอ!”

    เผยเสวียนจิ้งลืมตาโพลงอย่างไม่รู้ตัว การแสดงออกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแค้นเคืองเช่นนี้มิเกินไปหน่อยหรือไรกัน โดยเฉพาะตอนพูดว่าจะไปจากที่นี่ ฟังดูราวกับระเบิดออกมาจากความรู้สึกอัดอั้นที่สั่งสมไว้นานวันก็ไม่ปาน หากเพียงเพราะความผิดพลาดตอนท่านอาเผยตู้ลงจากหลังม้าแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องแสดงออกรุนแรงเช่นนี้สักหน่อย และยิ่งไม่จำเป็นต้องโมโหเกรี้ยวกราดใส่คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างนางด้วย

    ดังนั้นนางจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอามิได้เล่าที่มาที่ไปของท่านแก่ข้า ที่ข้าเดาว่าท่านมาจากทางเหนือล้วนเพราะเห็นท่าทางท่านเหมือนไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อนอบอ้าวของฉางอันก็เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแก้มทั้งสองข้างของท่านยังมีรอยเหมือนคนสวมงอบบังแดดเป็นเวลานาน ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้อีกข้อว่าท่านคงเป็นคนทางเหนือ ส่วนเรื่องที่ท่านเคยเป็นมือปราบชั้นผู้น้อยประจำการอยู่ที่เว่ยป๋อนั้น ข้าไม่เคยรู้มาก่อน” นางยิ้มพร้อมพูดเสริมขึ้นอีกประโยค “มิน่าถึงได้ทั้งกล้าหาญทั้งชาญฉลาดเช่นนี้”

    หวังอี้ก้มหน้า ใบหน้าหูเหอล้วนแดงก่ำ

    เผยเสวียนจิ้งค้อมคำนับ “ข้ามาเพื่อกล่าวคำขอบคุณจริงๆ”

    หวังอี้กุมมือเข้าหากันแสดงการตอบรับ ร่างกายสูงใหญ่นั้นดูเหมือนจะค้อมลงเล็กน้อยคล้ายไม่อาจแบกรับไหว

    เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา นางก็ยิ่งพูดจาละมุนละม่อม “ก็เหมือนกับสารถีคนนั้น ความจริงข้าไม่ได้คิดตำหนิอะไรเขาเลยสักนิด แต่เขากลับหวาดวิตกหลบหนีไปเอง แม้แต่เงินค่ารถก็ยังไม่รับ ไม่เพียงเสียม้าไปเปล่าๆ แม้แต่รถม้าก็ยังพังเสียหายไปด้วย ตอนนั้นท่านเห็นเขา อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นบ้างหรือไม่”

    “บาดเจ็บ?” หวังอี้ยิ่งตะลึงงัน “เอ่อใช่ๆ เขา…ไม่เป็นไรแล้ว”

    “แขนขวาที่บาดเจ็บจากการควบคุมม้าตื่นตัวนั้นก็ดีขึ้นแล้วกระนั้นหรือ”

    “อา…ดีขึ้นแล้ว”

    ใจของเผยเสวียนจิ้งหนักอึ้งขึ้นมาอีกคราว นางจำได้ชัดเจน สารถีหล่นลงมาได้รับบาดเจ็บที่หัวและที่ใบหน้าเท่านั้น ไม่ใช่มือและแขน

    “ได้ยินอาสะใภ้พูดว่าท่านหาข้าพบที่นอกวัดเจิ้นกั๋ว?”

    “ถูกแล้ว”

    “ที่อยู่ข้างๆ คือเรือนพำนักของผู้เฒ่าจย่าชางใช่หรือไม่”

    หวังอี้มองตรงมาที่เผยเสวียนจิ้ง แต่กลับไม่ได้ตอบอะไรออกมา

    *เว่ยป๋อ เป็นชื่อเขตปกครองในสมัยราชวงศ์ถัง อยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเหอเป่ย เหนือแม่น้ำหวงเหอ ประกอบด้วย 6 เมือง 43 อำเภอ เป็นหนึ่งในดินแดนหัวเมืองที่ผู้ครองเขตตั้งตนเป็นใหญ่แบ่งแยกอำนาจหลังเกิดเหตุการณ์กบฏอันสื่อ

    ความทรงจำนอกประตูชุนหมิงในคืนนั้นราวกับสายน้ำที่กำลังไหลย้อน เพียงพริบตาก็ทะลักเอ่อท่วมหัวสมองของเผยเสวียนจิ้ง นางอดไม่ได้ที่จะซักไซ้ไล่ถามต่อ “ผู้เฒ่าจย่าชางเขา…”

    “คุณหนู!” หวังอี้ตัดบทนาง “ข้าไม่รู้เรื่องเรือนผู้เฒ่าจย่าชางอะไรนั่น ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”

    เผยเสวียนจิ้งตะลึง “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว” ขณะกำลังหันหลัง จู่ๆ หวังอี้ก็พูดขึ้น

    “เมื่อครู่คุณหนูพูดถึงภรรยาและบุตรสาวของหวังอี้ ไม่ทราบคุณหนูรู้ได้เช่นไรว่าข้ามีบุตรสาว”

    เผยเสวียนจิ้งชี้ไปยังเก้าอี้พับที่ตั้งวางอยู่หน้าห้องเล็ก “ปิ่นทองที่วางอยู่บนนั้นคงเป็นของท่านกระมัง ปิ่นแบบนี้เป็นของที่เด็กสาวอายุสิบห้าใช้ตอนวันปักปิ่น ประเพณีเช่นนี้ที่บ้านข้าผู้เป็นบิดาจะมอบปิ่นปักให้กับบุตรี เพื่อแสดงให้รู้ว่าบุตรีได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้เป็นบุตรีต้องเสียบปิ่นทองนี้ไว้ตลอดเวลา จนกว่าจะแต่งงานออกเรือนไปถึงจะเปลี่ยนมาปักปิ่นที่ผู้เป็นสามีมอบให้แทน ดังนั้นข้าจึงคิดว่า…ท่านต้องมีบุตรสาวแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังใกล้อายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์แล้วด้วย”

    แม้จะเดินจากมาไกลมากแล้วก็ตาม แต่นางกลับยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังอี้ที่จับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของตนเอง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook